ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ จับมือ นิด้า ขับเคลื่อนนวัตกรรม

ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ ศูนย์สร้างนวัตกรรมและบ่มเพาะนวัตกรรมธุรกิจแห่งแรกของประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มุ่งส่งเสริมการพัฒนาด้านวิชาการผ่านความร่วมมือเพื่อการวิจัยและพัฒนา การสร้างเครือข่ายบุคลากร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภายใต้กรอบความร่วมมือระยะเวลา 5 ปี มุ่งมั่นยกระดับการถ่ายทอดความรู้แก่นักศึกษาและส่งเสริมการดำเนินโครงการวิจัยร่วมกัน ตลอดจนจัดการฝึกอบรมภาคปฏิบัติระหว่างนักศึกษากับภาคธุรกิจ โดยในพิธีลงนามฯ มร. เดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและการลงทุนต่างประเทศ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มร. ยูเหิง ฉาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ทัส จำกัด และ ศ.ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย และคุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีนี้

ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ และ นิด้า จะร่วมกันสนับสนุนการขยายเครือข่ายความร่วมมือในสาขาที่เกี่ยวข้องระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบริษัท ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ โดยโครงการวิจัยและการฝึกอบรมสำหรับนักศึกษานี้จะส่งเสริมการยกระดับทักษะทางวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การตลาดดิจิทัล การสื่อสารเชิงนวัตกรรม โลจิสติกส์ ทรัพยากรมนุษย์ การประกอบธุรกิจ การบริหารจัดการ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์เชิงธุรกิจ ตลอดจนสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและบ่มเพาะนวัตกรรมธุรกิจสตาร์ทอัพ ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ จะจัดโปรแกรมการฝึกอบรมที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาข้างต้นแก่นักศึกษาร่วมกับนิด้า มุ่งส่งเสริมความรู้ความสามารถของนักศึกษา นอกจากนี้ ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ ยังจะให้บริการพื้นที่ทำงานที่พร้อมขับเคลื่อนไอเดียใหม่ ๆ ในศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมของ ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ สำหรับนักศึกษาของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่กำลังดำเนินโครงการพิเศษหรือธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งสนับสนุนโดยสถาบันฯ อีกด้วย โดยนักศึกษา คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงบริการบ่มเพาะธุรกิจที่หลากหลาย ที่ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ นำเสนอให้แก่ลูกค้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการบริการเพื่อการขยายธุรกิจ (Soft Landing) และโครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพอื่น ๆ โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่รอบด้าน ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาได้สัมผัสโลกแห่งธุรกิจที่แท้จริง และยิ่งไปกว่านั้น นักศึกษาจะได้รับโอกาสจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญที่กว้างขวางผ่านโครงการนี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญต่อความก้าวหน้าในอาชีพและการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวระหว่างพิธีลงนามว่า “ในโลกยุคดิจิทัลนี้ ทรัพยากรบุคคลถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของประเทศ และเป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาและความสำเร็จในระยะยาว” พร้อมเสริมว่า “ความร่วมมือนี้จะช่วยให้นักศึกษาพัฒนาทักษะที่สำคัญ ทำให้ได้ค้นพบโอกาสใหม่ ๆ สรรค์สร้างโซลูชันเชิงนวัตกรรม ตลอดจนต่อยอดธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง การพัฒนาเช่นนี้จะเปิดทางให้เกิดกระแสแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี และเป็นการปูทางไปสู่การพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

ศ.ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ อธิการบดีสถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า “พิธีลงนามฯ ในวันนี้ถือเป็นก้าวที่น่าจดจำสำหรับแวดวงวิชาการและภาคธุรกิจ  ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ เป็นบริษัทที่เพียบพร้อมไปด้วยด้วยทรัพยากรและความเชี่ยวชาญอันเป็นเอกลักษณ์ นิด้าจะได้รับประโยชน์จากบริการบ่มเพาะธุรกิจหลากหลายรูปแบบที่ครอบคลุมตลอดทั้งวงจรของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักศึกษาและบุคลากรของเรา ในนามของสถาบันฯ ผมขอขอบคุณทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ เราจะร่วมกันสร้างเครือข่ายธุรกิจเพื่อภาคการศึกษาที่ครอบคลุมเพื่อประโยชน์ของคนไทยและสังคมต่อไป”

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เข้าลงทุนในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ผู้นำอันดับหนึ่งในการให้บริการครบวงจรด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการสาธารณูปโภคของประเทศไทย ประกาศเข้าถือหุ้น 29.40% ในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (สตอเรจ เอเชีย) ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ i-Store Self Storage” โดยการเข้าถือหุ้นครั้งนี้ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของบริษัททั้งการเข้าลงทุนและการขยายบริการด้านโลจิสติกส์เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ต่างๆ ตลอดจนการสร้างมูลค่าและคุณภาพที่มากยิ่งขึ้นให้แก่ผลิตภัณฑ์และการให้บริการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป

ในฐานะผู้นำในการให้บริการครบวงจรด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการสาธารณูปโภคของประเทศไทย ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการให้บริการที่ครบวงจร สามารถตอบสนองต่อความต้องการลูกค้า พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆ โดยดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจการจัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคล (Self-Storage) ที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันผู้ที่อาศัยและทำงานอยู่ในเมืองมักประสบปัญหาในการจัดการพื้นที่เก็บของ ดังนั้น ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จึงมองเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจการให้บริการจัดเก็บทรัพย์สินระดับพรีเมียม และได้มีการตัดสินใจลงทุนในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำของไทยในธุรกิจดังกล่าว 

 โดยบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “i-Store Self Storage” ที่ให้บริการด้านการจัดเก็บ และปกป้องดูแลทรัพย์สินของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าทั้งรายบุคคล และองค์กรที่กำลังมองหาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บทรัพย์สินมีค่า ทั้งนี้ ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการสามารถเลือกขนาดพื้นที่การจัดเก็บได้ตามความต้องการและความหมาะสม โดยปัจจุบัน สตอเรจ เอเชีย มีให้บริการทั้งสิ้น 2 สาขา ได้แก่ สีลม และสุขุมวิท 24 และในไตรมาส 1 ปี 2565 จะมีการเปิด 2 สาขาใหม่ที่สุขุมวิท 71 และพัทยา รวมถึงยังมีแผนการขยายสาขาทั่วประเทศต่อไปในอนาคต โดยความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และสตอเรจ เอเชียครั้งนี้ เป็นไปเพื่อการพัฒนาและสร้างสรรค์บริการต่างๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า เพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าในแต่ละรายให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น

 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่อย่างสตอเรจ เอเชีย โดยเราจะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ รวมทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ต่างๆ ที่เรามีมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลที่เราได้เข้าลงทุนครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพและครบวงจรยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรเพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า ผู้บริโภค และพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังถือเป็นการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์จากธุรกิจเดิมของเราเพื่อให้บริการที่ครบวงจรมากขึ้น ตลอดจนผนึกกำลังเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และนำเสนอบริการที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำเพื่อขยายธุรกิจ และส่งเสริมศักยภาพและการเติบโตของประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืน”

นายภักดี อนิวรรตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า “การได้ร่วมมือกับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการให้บริการครบวงจรด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการสาธารณูปโภคของประเทศไทยมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจครั้งสำคัญของสตอเรจ เอเชีย ทำให้เราสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น  พร้อมต่อการเติบโตและสามารถสร้างสรรค์พัฒนาบริการใหม่ๆให้ครบวงจรยิ่งขึ้น ร่วมกับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป”

WHAUP ครึ่งหลังธุรกิจสาธารณูปโภค-ไฟฟ้าหนุนผลงานโต

บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ส่งซิกครึ่งปีหลังธุรกิจสดใส ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค – ไฟฟ้าในประเทศ และต่างประเทศ จากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นตามการเปิด COD โครงการของ GSRC หน่วยผลิตที่ 2 ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้า IPP – SPP เหมือนครึ่งปีแรก พร้อมเตรียมเปิดให้บริการระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading จาก Blockchain ในเร็วๆนี้ และมองหาโอกาสการทำ M&A เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต ปูทางสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค

ดร.นิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2564 ว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง จากการดำเนินการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและไฟฟ้าให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มความต้องการใช้น้ำจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เพราะมีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า GSRC เพิ่มเติมในหน่วยผลิตที่ 2 ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ขณะที่ครึ่งปีแรกมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศ และประเทศเวียดนามที่จำหน่ายน้ำในโครงการดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) เพิ่มขึ้นทำให้ยอดปริมาณการใช้น้ำรวมเท่ากับ 67 ล้านลูกบาศก์เมตร

รวมทั้งบริษัทฯ พัฒนาการนำน้ำเสียที่ได้จากกระบวนการบำบัด และใช้ใหม่ (Wastewater Reclamation) ไปผลิตเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ     (Demineralized  Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) เพิ่มขึ้นใน 6 เดือนแรกของปี 2564 เป็นจำนวน 2 ล้านลูกบาศก์เมตร

ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้ามีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น จากการดำเนินการของโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ที่คาดว่าจะดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนดังเช่นในครึ่งปีแรก รวมถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จะยังคงมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยในไตรมาส 2/2564 โครงการ Solar Rooftop ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมแล้วทั้งสิ้น 62 เมกะวัตต์ จากเป้าปี 2564 ที่วางไว้ 90 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าในปี 2566 จะขยายธุรกิจ Solar Rooftop ได้ครบ 300 เมกะวัตต์ตามแผนที่วางไว้

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าการพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการนำระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) มาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในเร็วๆนี้รวมทั้งยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A opportunity) ต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต

“จากความมุ่งมั่นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภครูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  WHAUP กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่สะท้อนผลการดำเนินงานจำนวน 789 ล้านบาท และ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และ 44% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิจำนวน 246 ล้านบาท ลดลง 23% จากไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 1,571 ล้านบาท และ 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และ 12% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนการเติบโตของปริมาณยอดขายและบริหารจัดการน้ำ และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

IMH เล็งปั้นรายได้ไตรมาส3 แตะ 250 ล้าน

บมจ. โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH) เดินเกมรุกเจาะตลาดสู่การเป็นผู้นำการตรวจเชื้อโควิด-19 แบบครบวงจร ล่าสุด ประกาศเปิดตัว ชุดตรวจเชื้อโควิดแบบใหม่ด้วยน้ำลาย (Saliva Antigen Test Kit) ด้วยเทคโนโลยีใหม่ Nanacarbon Assay ราคา 365 บาท/ ชุด พร้อมส่งซิกไตรมาส 3/64 ปั้นรายได้จากการขายและบริการแตะ 250 ล้านบาท ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เคาะราคาเป้าหมาย 19.20 พร้อมประมาณการรายได้ปี64 ที่ 790 ล้านบาท

ดร. สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ หรือ IMH เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯประสบความสำเร็จในการจำหน่ายชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ชนิด Antigen Swab รวมถึงการให้บริการตรวจหาภูมิคุ้มกันโควิดแบบละเอียด (IgG ll Quanti) ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก ล่าสุด IMH ได้เซ็นสัญญาพันธมิตรกับ บริษัท อาร์เค เมดเทค ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าอุปกรณ์ชุดตรวจโควิดด้วยน้ำลาย (Saliva Antigen Test Kit) ด้วยเทคโนโลยีใหม่ Nanacarbon Assay ซึ่งผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอุปกรณ์ดังกล่าวถูกต้องตรงตามมาตรฐานระดับสากลของโรงพยาบาล สำหรับชุดตรวจดังกล่าวใช้งานเพียงจุ่มชุดเครื่องมือในน้ำลาย ก็สามารถรู้ผลได้ภายใน 15 นาที

ชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยน้ำลายแบบใหม่ (Saliva Antigen Test Kit) สามารถเริ่มทำการตลาด และจัดจำหน่ายได้ทันที โดยบริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขายชุดตรวจดังกล่าวไว้ที่ระดับกว่า 50,000 ชุด ขณะที่ชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ชนิด Antigen Swab  ตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 ชุด ส่วนการให้บริการตรวจหาภูมิคุ้มกันโควิดแบบละเอียด (IgG ll Quanti)  ตั้งเป้ารองรับผู้เข้ารับบริการได้มากกว่า 100,000 คน ทั้งนี้หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้จะส่งผลให้ภายในไตรมาส 3/2564 บริษัทฯจะมีรายได้จากการขายและการให้บริการ ประมาณ 250 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ IMH มีรายได้ทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งเป็นการตอกย้ำให้ IMH ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการตรวจโควิด-19 แบบครบวงจร

“ชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยน้ำลาย วางตลาดที่ราคา 365 บาท/ชุด ทั้งนี้บริษัทฯได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ4 แถม 1ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจคัดกรองโควิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเองเพียงขั้นตอนเดียวแบบง่ายๆ และรู้ผลภายใน 15 นาที ”

ด้าน บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า แนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 19.20 บาท พร้อมให้มุมมองเชิงบวกว่า แนวโน้มในครึ่งปีหลัง IMH ยังเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้บริการเกี่ยวกับโควิด-19 อาทิ การตรวจโรค การฉีดวัคซีน รวมถึงการเข้าพักรักษาตัว (ซึ่งเป็นผลจากการควบรวมกิจการโรงพยาบาลประชาพัฒน์) ส่งผลให้ฝ่ายวิจัย ประมาณการรายได้ในปี2564 ไว้ที่ระดับ 790 ล้านบาท

KUN ผนึก ALT ผุดโปรเจค Solar Rooftop แห่งแรกย่านบางบัวทอง

บมจ. วิลล่า คุณาลัย (KUN) ผนึกกำลัง “เอแอลที เทเลคอม” ผุดโปรเจคSolar Rooftop ภายในโครงการบ้านจัดสรรของคุณาลัย นำร่องโครงการอสังหาฯแนวราบแห่งแรกโซนบางบัวทอง “คุณาลัย พรีม” จำนวน 40 หลัง ช่วยลดค่าไฟให้ลูกค้าเฉลี่ย 1,500  บาทต่อเดือน คาดติดตั้งแล้วเสร็จQ4/64 พร้อมตั้งเป้า2-3 ปี(2564-2566) เดินหน้าติดตั้ง Solar Rooftopไม่ต่ำกว่า 50-60% ของโครงการบ้านทั้งหมด

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  ผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเน้นพื้นที่ในเขตปริมณฑลโดยเฉพาะอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เปิดเผยว่าบริษัทฯได้ผนึกกำลังพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร (Solar Rooftop)ภายในโครงการบ้านจัดสรรของคุณาลัย โดยเบื้องต้นจะนำร่องโปรเจคแรกโครงการคุณาลัย พรีม  โซนบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำนวน 40 หลัง ทั้งนี้สำหรับโครงการดังกล่าวคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จอย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส4/2564 ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบแห่งแรกในย่านบางบัวทอง ที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา

สำหรับวัตถุประสงค์การติดตั้ง Solar Rooftop ในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯคำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้ที่อยู่อาศัยโครงการที่พัฒนาโดยคุณาลัย ทุกโครงการได้ใช้พลังงานสะอาด เพราะต้องยอมรับว่าแนวโน้มผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาให้ความสนใจการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นมองว่า Solar Rooftop ที่นอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถช่วยประหยัด ช่วยลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้ารวมถึงสามารถขายไฟคืนให้หน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับเจ้าของบ้านกรณีไฟฟ้าเหลือใช้อีกด้วย

อีกทั้งยังถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินให้กับบ้าน และโครงการ ในระยะยาวอีกด้วย  เพื่อเตรียมสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ Smart home  ที่อยู่อาศัยของยุคดิจิทัล ที่ทั้งประหยัดพลังงาน เป็นพลังงานสะอาด  และรองรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ทั้งนี้เชื่อว่า หากมีการติดตั้งแล้วเสร็จ จะสามารถช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าให้ลูกค้าในโครงการได้เฉลี่ยถึง 1,500 บาทต่อเดือน ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในปัจจุบันอย่างมากเนื่องจากด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการ Work from Home ทำให้มีค่าไฟสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติก็สามารถที่จะยื่นเรื่องขออนุญาต ขายไฟฟ้ากลับคืนให้ภาครัฐได้ เนื่องจากได้มีการขอใบอนุญาตรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว

“ โดยส่วนตัวมองว่า ความร่วมมือระหว่าง KUN และ ALT ในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการต่อยอดระหว่าง  2  บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกัน โดย ALT มีศักยภาพในการ เป็นผู้นำให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกิจดิจิทัล และพลังงานทดแทน และมีบริษัทลูก เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแผงโซล่าเซลล์ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “Q CELLS” ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์ชั้นนำของโลกที่ใช้เทคโนโลยีของประเทศเยอรมัน อีกทั้งยังให้บริการในรูปแบบ One Stop Repair Service Center ดังนั้นด้วยศักยภาพของ ALT ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพทางธุรกิจดังกล่าว”

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะติดตั้ง Solar Rooftop ให้บ้านทุกโครงการที่พัฒนาโดยคุณาลัย ซึ่งคาดว่าภายในระยะ 2-3 ปีนี้ ( 2564-2566) จะมีสัดส่วนบ้านที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ไม่ต่ำกว่า 50-60% ของโครงการบ้านที่บริษัทฯพัฒนาแล้วทั้งหมด

ด้าน นางสาวปรียาพรรณ ภูวกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวถึงความร่วมมือกับบริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  ในการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปให้กับบ้านจัดสรร ถือเป็นโครงการนำร่องของ ALT  ในการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปให้กับโครงการบ้านจัดสรร

ทั้งนี้การติดตั้งแผงโซลาร์เหมาะกับคนที่ต้องอยู่บ้านในช่วงเวลากลางวัน โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป มีการ Work From Homeมากขึ้น อยู่บ้านเป็นหลักในช่วงเวลากลางวัน  ส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวมากขึ้น และการติดตั้งแผงโซลาร์ที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าต่อเดือนได้มาก

การดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ดังกล่าว ALTจะบริหารจัดการให้ทุกอย่างครบวงจร หรือ One Stop Service  ทั้งการติดต่อดำเนินการกับการไฟฟ้าและภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การให้บริการหลังการขาย  หรือในอนาคตหากติดตั้งแผงโซลาร์แล้วลูกบ้านมีไฟฟ้าเหลือใช้ ALTยังบริการให้ลูกค้าสามารถเป็นผู้ขายไฟฟ้าคืนให้กับการไฟฟ้าได้อีกด้วย

“โครงการติดตั้งแผงโซลาร์ในโครงการหมู่บ้านของคุณาลัย นี้ ALTเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับโลก โดยเลือกใช้แผงโซลาร์แบรนด์ Q-CELLs ถือเป็นแบรนด์ ระดับเทียร์ 1 และ อินเวอร์เตอร์ของบริษัทหัวเหว่ยฯ สำหรับการดูแลหลังการขาย  ทางเรารับประกันดูแลและซ่อมบำรุงให้ฟรีนานถึง2 ปีรับประกันแผง 12 ปี และรับรองประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากแผงนาน 25 ปี อีกด้วย”นางสาวปรียาพรรณกล่าว

KWM ครึ่งปีหลังรุก กัญชง-กัญชา-กระท่อม เต็มสูบ

บมจ. เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) ฟอร์มดีไม่ตก แจ้งผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 64 โกยกำไรสุทธิ 50.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.84 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 132.17 (YoY) และมีรายได้จากการขาย 309.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115.85 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 59.73 ขณะที่ไตรมาส 2/2564 มีรายได้จากการขาย 156.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.40 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 31.49(YoY) และกำไรสุทธิ 25.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.75 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 51.87 เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเกษตร หนุนความต้องการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรพุ่ง พร้อมปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มเป็น 40% และส่งซิกครึ่งปีหลังเดินเกมรุกธุรกิจกัญชง-กัญชา และ พืชกระท่อม เต็มสูบ

นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ผู้นำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรและมีประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมเครื่องกล และผู้นำในการผลิตเครื่องสกัดสารสกัดจากพืชสมุนไพร เปิดเผยถึงบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเติบโตของงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 50.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.84 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 132.17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มียอดขายเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าใบเกลียวที่เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันถึงร้อยละ 113.53

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 156.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.40 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 31.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 25.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.75 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 51.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)จาการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนเดิมจากไตรมาส 1/2564 ทั้งสภาพอากาศโดยไปที่เอื้ออำนวย ไม่ประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้สถานการณ์การผลิตพืชดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิต โดยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สาขาพืชขยายตัวร้อยละ 2 และสาขาบริการทางการเกษตรขยายตัวร้อยละ 2.5

นอกจากนี้ นางสาวติยาภรณ์ วนโกสุม กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงเพิ่มเติมว่าจากตัวเลขผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกที่ออกมาดี ส่งผลให้บริษัทปรับเป้ารายได้ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 15-20% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 355.06 ล้านบาท พร้อมทั้งได้วางงบลงทุนไว้กว่า 50 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนในคลังสินค้า และเพิ่มเครื่องจักรในการผลิตไลน์ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นไลน์การผลิตที่ 3 ในระบบออโตเมชั่น ที่สามารถลดการใช้แรงงานและสามารถผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และเพื่อเป็นการสำรองกำลังการผลิตในช่วงที่เครื่องจักรต้องหยุดซ่อมบำรุง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯในปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนในการผลิตลดลง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มี Margin เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทลูกค้า อาทิ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีการเพิ่มไลน์การผลิตภายใต้แบรนด์ “ตราช้าง”รวมถึงสินค้าภายใต้แบรนด์ “Pegasus” ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทเองที่ผลิตอุปกรณ์การเกษตร อาทิ ใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง ยังมีการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามบริษัทคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าผลผลิตทางการเกษตรจะมีออกมาค่อนข้างมากเนื่องจากน้ำ ดีและมีคุณภาพ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความแปรปรวนของสภาพอากาศ และความผันผวนของเงินบาท

ขณะที่นายอุกฤษณ์ วนโกสุม รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวในฐานะที่ KWM เป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องสกัดระบบ SUPERCRITICAL FLUID CO2 EXTRACTION กัญชง-กัญชา และสมุนไพรไทย สัญชาติไทยเป็นรายแรกของประเทศว่า หลังจากที่บริษัทฯมียอดออเดอร์พร้อมติดตั้งเครื่องสกัดฯเข้ามาแล้วจำนวน10  เครื่องช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาในการผลิตเครื่องจักรเพื่อติดตั้งและส่งมอบให้กับพันธมิตรรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้ พร้อมทั้งนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าสกัดสารสกัดจากกัญชง-กัญชา และพืชกระท่อม เพื่อมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ ยา อาหารและเครื่องดื่ม อย่างต่อเนื่องซึ่งแผนธุรกิจดังกล่าวจะเริ่มเห็นชัดเจนภายในครึ่งปีหลังนี้อย่างแน่นอน

KUN ครึ่งปีหลังลุยสร้างอาณาจักรใหม่ “คุณาลัย นาวาร่า”

บมจ. วิลล่า คุณาลัย (KUN) ฟอร์มดีต่อเนื่อง โตสวนกระแสโควิด โชว์งบกำไรไตรมาส2/2564 พุ่งกระฉูด 159.31% YoY แตะระดับ 41.10 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 255.13 ล้านบาท หลังยอดขาย 6 เดือนแตะ 730 ล้านบาท พร้อมแจกปันผลระหว่างกาล 0.05 บาทต่อหุ้น เตรียม XD วันที่ 26 ส.ค.2564 นี้ ด้าน CEO “ประวีรัตน์ เทวอักษร” เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง จ่อผุดโปรเจคทิศที่3แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “คุณาลัย นาวาร่า” มูลค่าลงทุน 2,350 ล้านบาท ระบุความต้องการบ้านแนวราบยังไม่ลดลงหลังไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยน สู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) มั่นใจปีนี้รายได้โตตามแผน 10-15% อย่างแน่นอน

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า  บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 มีรายได้รวม เท่ากับ 255.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.11% YoY และกำไรสุทธิ เท่ากับ 41.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.31% YoY เนื่องจากโครงการของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการคุณาลัย พรีม ซึ่งเป็นโครงการขายดีที่สุดของบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากอีก 4 โครงการประกอบด้วย โครงการคุณาลัย จอย , คุณาลัย บีกินส์ 1, คุณาลัย บีกินส์ 2 และคุณาลัย จอย ออน 314

ในขณะที่งวด 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 446.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.41% YoY และกำไรสุทธิ เท่ากับ 68.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 150% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการจากโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่ในโซนบางบัวทองและฉะเชิงเทรา โดยเฉพาะโครงการคุณาลัยพรีมที่เป็นสินค้าขายดีของบริษัทฯ สามารถทำ market share ได้สูงมากในโซนบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯมียอดขาย (Pre-sales) อยู่ที่ 730 ล้านบาท ขณะที่ยอดBacklog ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 380 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในครึ่งหลังทั้งหมด

“ ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ด้านการจัดหาเงินทุนและบริหารสภาพคล่อง เพื่อให้เพียงพอกับพัฒนาโครงการของKUN รวมถึงการปรับกลยุทธ์การขาย ที่หันมาเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ให้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และที่สำคัญ บริษัทฯยังพยายามที่จะสร้างบ้านให้เสร็จทันเวลา เพื่อให้ส่งมอบบ้านให้กับลูกค้านอกจากนี้ยังบริหารงานร่วมกันกับผู้รับเหมาแต่ละราย ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต ในส่วนของมาตรการการป้องกันโควิด-19 เราตั้งเป้าหมายร่วมกันกับทุก Stakeholders ให้เป็น “คุณาลัย=หมู่บ้านมีภูมิ” ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกครบ 100% ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้มากกว่า 70% แล้วในด้านผู้รับเหมาที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่ก่อสร้างโครงการของบริษัทฯ จะต้องผ่านการดูแลอย่างเข้มงวด ซึ่งได้ทำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มมีสถานการณ์โควิดเมื่อปีที่แล้วทั้งนี้บริษัทฯยังมุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานการอยู่อาศัยในแคมป์ก่อสร้าง และยังให้ความช่วยเหลือคนงาน เช่นในการจัดหาอาหารกลางวันให้กับคนงานก่อสร้าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงอีกด้วย”

 นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34.32 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 ส.ค. 2564 และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 ก.ย.2564 นี้

ส่วนทิศทางในครึ่งปีหลังนั้น นางประวีรัตน์ CEO KUN กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯมีแผนในการพัฒนาโครงการซึ่งเป็นทิศที่3 ภายใต้โครงการ “คุณาลัย นาวาร่า” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการในแผนธุรกิจของบริษัทฯ ที่วางนโยบายการกระจายการลงทุนให้ครบ 4 ทิศในรอบกรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในทิศใต้ โซนพระราม 2 โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,350 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในช่วงปลายปี 2564 โดยจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดขายในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้สำหรับโครงการดังกล่าวจะต้องผ่านการอนุมัติผู้ถือหุ้น การจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 ส.ค.นี้

สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์แนวราบนั้น โดยส่วนตัวมองว่า ยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง เพราะจากบ้านแนวราบจะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่อเนื่อง ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ลูกค้าต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ การทำงานจากบ้าน การใช้ชีวิตภายในบ้านมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่มาเร็วขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บ้านแนวราบยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดแนวคิดการอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ ภายใต้ EVERYTHING AT HOME ทุกสิ่งเกิดขึ้นที่บ้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชูจุดเด่นเรื่องพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่เหนือคู่แข่ง ส่งผลให้ทุกโครงการของคุณาลัย ได้การตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จด้านยอดขายตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจากแผนการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวรวมถึงการบริหารจัดการและการควบคุมค่าใช้จ่าย ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯรักษาอัตรากำไรไว้ได้ในระดับสูง โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)อยู่ที่ 15.4 % ซึ่งยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าแผนการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะส่งให้ภายในปีนี้ บริษัทฯจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 10-15% ตามแผนที่วางไว้ ภายใต้แรงกดกันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นรักษายอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

QTC จ่อคว้างานหม้อแปลงไฟฟ้า – ติดตั้งแผงโซลาร์ฟาร์ม เข้าพอร์ต

บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ฝ่าวิกฤตโควิค-19 โชว์ผลงานครึ่งปีแรก รายได้รวมแตะระดับ 528 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 45.14 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2564 รายได้รวม 294.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% (QoQ) และกำไรสุทธิ 22.49 ล้านบาท รับอานิสงส์จากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลมีงานทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้าน CEO “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจในครึ่งปีหลังเร่งต่อจิ๊กซอว์การลงทุนด้านพลังงาน หม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆ ขยายฐานลูกค้าทั้งใน-ต่างประเทศ พร้อมส่งซิกจ่อคว้างานหม้อแปลงไฟฟ้าเข้าพอร์ตเพิ่ม 100 ล้านบาท ขณะที่ติดตั้งแผงโซลาร์ฟาร์มยังฉลุย หนุนทั้งปีรายได้แตะ 1,200 ล้านบาทตามแผน

บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตจัดจำหน่ายและให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส2 ปี2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ว่า แม้ในขณะนี้ประเทศไทยยังต้องเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ทำให้แต่ละองค์กรต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่ง QTC ได้วางกลยุทธ์เชิงรุก โดยเจาะตลาดทั้งในธุรกิจการจำหน่ายและให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า และธุรกิจเทรดดิ้ง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ ให้กับ LONGI Solar, Trina Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter รวมไปถึงการจำหน่าย DE BUSDUCT ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจากการวางกลยุทธ์ดังกล่าวภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแผนที่บริษัทฯวางไว้ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ  294.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26  เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนนี้ (QoQ) ขณะที่กำไรสุทธิ เท่ากับ 22.49 ล้านบาท ยังคงทรงตัวหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (QoQ) ในขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม เท่ากับ 528.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ  45.14 ล้านบาท

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC)  เปิดเผยถึงปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องว่า มาจาก การทำการตลาดแบบเชิงรุกในงานซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้า และยังมีการขยายตลาดในส่วนของธุรกิจการจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง

ส่งผลให้ในไตรมาสดังกล่าวบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการชะลอตัวด้านการลงทุนในโครงสร้างขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน แต่บริษัทฯ ยังมีออเดอร์การจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯ สามารถคว้างานจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้อีกกว่า 123 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งสินค้าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 นี้  ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมียอดมูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 500 ล้านบาท

ส่วนภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2564 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ QTC ครบรอบ 25 ปี และย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai สู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจด้านพลังงาน เพื่อสามารถต่อยอดธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการขยายตลาดใหม่ๆเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ  ASEAN และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯจะมีโอกาสคว้างานประมูลของการไฟฟ้าภูมิภาค เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 100 ล้านบาท รวมถึงการบุกตลาดเพื่อลุยงานแผงโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการของตลาดในขณะนี้   ดังนั้นจึงมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้ 1,200 ล้านบาท จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน

DOD เตรียมผงาด ธุรกิจพืชกระท่อม ต้นปี65

บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เดินเกมรุก ต่อยอดธุรกิจ “พืชกระท่อม” เล็งศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มประเภทลดอาการบรรเทาความเจ็บปวด และกลุ่มเอเนอร์จี้ ดริ๊งค์ พร้อมลุยหาก “อย.” ไฟเขียวให้ยื่นใบอนุญาต เตรียมจ่อเดินเครื่องผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อม เจาะตลาดต้นปี 2565 ทันที

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า หลังจากราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 ยกเลิก “พืชกระท่อม” จากยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 สู่พืชเศรษฐกิจที่ไม่ผิดกฎหมาย ล่าสุดบริษัทฯ มีความพร้อมในการนำ “พืชกระท่อม” มาสกัดสารสำคัญ เพื่อมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยกลุ่มบริษัท DOD มีโครงสร้างการบริหารงานที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำด้านความเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ที่นำสารสกัดจากพืชสมุนไพรไทยมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีศักยภาพระดับต้นๆของประเทศ รวมถึงมีบริษัทในเครืออย่าง บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค จำกัด (SHT) ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงสกัดสารสกัดจาก กัญชง-กัญชา พืชกระท่อม และพืชสมุนไพรไทย ที่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพการสกัดสูงสุดที่ได้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ภายใต้ทุนจดทะเบียน 260 ล้านบาท โดยโรงสกัดดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้ 2564 ซึ่งจะสามารถสกัดสารสกัดจากสมุนไพรไทยได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยพืชกระท่อมจะเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรชนิดต้นๆ ที่บริษัทฯ จะนำเข้ามาสกัดเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ในการผลิตและจำหน่ายให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในช่วงที่ผ่านมา DOD ดึงพันธมิตรระดับโลก อย่าง บริษัท MFUSED Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการสกัดและวิจัยพัฒนากัญชง-กัญชาและพืชสมุนไพรรายใหญ่ที่สุดในเมืองซีแอตเทิลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้สิทธิเข้ามาถือหุ้น 18% ในบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด ซึ่ง MFUSED Group จะนำ Know-How ทั้งวิธีการทางเทคนิค วิทยาการความรู้ รวมถึงเทคนิคการนำสารสกัดมาวิจัยและพัฒนา เพื่อนำมาแปรรูปในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้แก่ SHT ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวสามารถช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งและศักยภาพทางธุรกิจเรื่องการสกัดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยพืชกระท่อม ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย 2  แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ เนื่องจากเล็งเห็นถึงประโยชน์ของพืชกระท่อม ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มีสรรพคุณทางยาที่มีสารสำคัญ เรียกว่า  ไมทราไจนีน (Mitragynine) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เชื่อว่าสามารถลดอาการปวด    กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงาน ช่วยให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า ซึ่งจากปัจจัยบวกดังกล่าว ทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดให้สามารถนำพืชกระท่อม มาทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป อาทิ ยา อาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ได้ ดังนั้นหากทางอย.ไฟเขียวให้ยื่นขอใบอนุญาต ในการผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อม ทาง DOD ก็พร้อมที่จะดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปออกมาจำหน่ายในช่วงต้นปี 2565 ได้ทันที โดยผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาในขณะนี้ จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทลดอาการบรรเทาความเจ็บปวด และ ผลิตภัณฑ์กลุ่มเอเนอร์จี้ ดริ๊งค์ ซึ่งตรงกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทาง อย.กำหนด

อีกทั้งยอมรับว่า หลังจากมีการปลดล็อคพืชกระท่อมในช่วงที่ผ่านมา มีกลุ่มลูกค้าหลายราย ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ประกอบการทั่วไป เข้ามาหารือเพื่อศึกษาและร่วมกันพัฒนาสูตรในการผลิตภัณฑ์ ที่ทำจากพืชกระท่อมอย่างต่อเนื่อง

“ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาสารสกัดจากพืชกระท่อมมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว รวมถึงมีกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปลูก การขนส่ง รวมถึงช่องทางการจำหน่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่คอยเสริมช่องทางธุรกิจให้มีความหลากหลายและครบวงจรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีความพร้อมที่จะเดินเกมรุกธุรกิจพืชกระท่อมต่อยอดจากธุรกิจกัญชง-กัญชา โดยผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จะเจาะตลาดผู้บริโภคในกลุ่มแรกๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ลดอาการบรรเทาความเจ็บปวด และผลิตภัณฑ์กลุ่ม  เอเนอร์จี้ ดริ๊งค์  ซึ่งบริษัทฯ มองว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน ดังนั้นหาก อย. พร้อมให้ยื่นขอใบอนุญาตเมื่อไร DOD ก็สามารถเดินหน้าลุยผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันที ” นายธนิน กล่าวทิ้งท้าย

AGE รุกโลจิสติกส์ โกยรายได้ปี64 แตะ 1,000 ล้าน

บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ลุยธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งทางน้ำ -ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า แบบเต็มสูบ หวังปั้นรายได้เฉพาะโลจิสติกส์ เข้ากระเป๋า 1,000 ล้านบาท หนุนรายได้รวมทั้งปีโตแตะระดับ 11,000 ล้านบาท

นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังว่า AGE ยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกในธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจรอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือ เพิ่มอีก 3 ท่าในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีท่าเรือที่รองรับการให้บริการขนส่งทางน้ำรวมทั้งหมด 6 ท่า บริเวณอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วยหนุนให้ AGE มีความสามารถรองรับปริมาณการขนส่งผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ AGE ยังเดินหน้าลงทุนขยายกองรถบรรทุกเป็นกว่า 100 คัน ในปี 2564 จากที่ปัจจุบันมีรถบรรทุกอยู่ 68 คัน และมีรถบรรทุกเป็นพันธมิตรผู้รับจ้างงานช่วง (Sub-contractor) อีก 400-500 คัน รวมถึงขยายกองเรือโดยการเช่าและการหากองเรือพันธมิตร Sub-contractor เพื่อเพิ่มปริมาณบรรทุกสินค้า  เป็น 200,000 ตัน จากที่ปัจจุบัน AGE มีกองเรืออยู่ 36 ลำ ปริมาณการบรรทุกสินค้ารวมกว่า 100,000  ตัน เพื่อรองรับปริมาณการขนส่ง ทั้งถ่านหิน และสินค้าในกลุ่มทรายแก้วเพื่อผลิตขวด, กระดาษ, ไม้สับ, ขี้เลื่อย และกะลาปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ ในอนาคตเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำด้านการขนส่งด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรในประเทศ

AGE ขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์เต็มรูปแบบ ทั้งการให้บริการขนส่งทางน้ำ-ทางบก รวมถึงการให้บริการท่าเทียบเรือ และให้บริการพื้นที่จัดเก็บสินค้า รวมถึงการขยายการรับขนส่งสินค้าในกลุ่มสินค้าเทกอง หรือ รวมกอง (Bulk Cargo) อาทิ สินค้าเกษตร ปุ๋ย แร่เหล็ก วัสดุก่อสร้าง และกำมะถัน เป็นต้น และในอนาคตบริษัทฯจะขยายการขนส่งกลุ่มสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ สินค้าอันตราย สินค้าที่เป็นของเหลว และสินค้าใช้ตู้คอนเทนเนอร์  ดังนั้นจากแผนดังกล่าวบริษัทฯเชื่อว่าจะส่งผลให้บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ในปี 2564 ประมาณ 1,000 ล้านบาท

ในขณะที่ภาพรวมของธุรกิจถ่านหินนั้น ประธานกรรมการบริหาร AGE กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่น โดยเป็นช่วงที่มีปริมาณการใช้ถ่านหินสูงที่สุด ดังนั้นเชื่อว่าดีมานด์ของออเดอร์ถ่านหินจะเข้ามาอย่างโดดเด่น ส่งผลให้ปริมาณยอดขายถ่านหินในปีนี้ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ 5.5 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 5 ล้านตัน และต่างประเทศ 5-7 แสนตัน ซึ่งเป็นผลจากภาพรวมการส่งออกในภูมิภาคกลับมาฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หนุนให้ความต้องการใช้ถ่านหินขยับเพิ่มขึ้นตามการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ประเทศใต้หวัน ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศจีน ส่งผลให้ทั้งปี AGE ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท ตามแผนธุรกิจที่วางไว้