เดอะ สตรีท รัชดา บริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตผู้ป่วย

จากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้มีผู้มาบริจาคโลหิตลดน้อยลง แต่การใช้โลหิตในการรักษาพยาบาลยังคงมีอย่างต่อเนื่องทุกวันจนเกิดภาวะขาดแคลนเลือดทั่วประเทศ อาจทำให้ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา ได้ร่วมกับ สภากาชาดไทย ขอเชิญผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงร่วมบริจาคโลหิตอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นการต่อชีวิตให้กับผู้ป่วย กับกิจกรรม Blood Donation ครั้งที่ 22” ในวันที่ 23 กันยายน 2564 เวลา 11:00-15:00 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา โดยศูนย์รับบริจาคโลหิตมีระบบคัดกรองความปลอดภัยและได้มาตรฐาน เจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับการประเมินความเสี่ยงก่อนเข้าปฏิบัติงาน มีการตรวจวัดอุณหภูมิทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริจาคเลือดก่อนเข้าสถานที่ รวมทั้งมีการทำความสะอาดอุปกรณ์และสถานที่อย่างสม่ำเสมอ

มีคำแนะนำในการปฏิบัติตนสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีน COVID-19 และมีความประสงค์บริจาคโลหิต ดังนี้

บริจาคโลหิต ก่อน ฉีดวัคซีน 

  • หากไม่มีอาการอ่อนเพลีย สามารถฉีดวัคซีนได้ ในวันถัดไป
  • ไม่ควรบริจาคโลหิตวันเดียวกับวันที่ฉีดวัคซีน

บริจาคโลหิต หลัง ฉีดวัคซีน  

  • กรณีได้รับวัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ควรเว้นระยะ 7 วัน หลังฉีด
  • กรณีมีอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน ขอให้หายดีก่อน เว้น 7 – 14 วัน ตามความรุนแรงของอาการ

หลังจากนี้จะดำเนินการส่งต่อโลหิตให้แก่ผู้ป่วยที่ต้องการรับโลหิตอย่างปลอดภัย ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกุศลด้วยการต่อชีวิตให้กับผู้ป่วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: The Street Ratchada

ช้อปอะไรดี? A&W Thailand จัดเต็ม 4 หน้า เมนู WaffZa

ส่งความอร่อยอย่างต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากเมนูใหม่ WaffZa” (วาฟซ่า) เมนูลูกผสมระหว่างวาฟเฟิล และพิซซ่ามารวมกันอยู่ในถาดเดียว มาในเดือนนี้ A&W Thailand ยังเอาใจคนรักการทานวาฟเฟิลและพิซซ่า ด้วย 2 หน้าใหม่ให้แฟนๆ ได้ฟินตามคำเรียกร้อง กับ “ไก่สไปซี่” และ “ป๊อปอายชีส” รวมกับ 2 รสชาติเดิมที่อร่อยไม่แพ้กัน  เบคอนชีส และฮาวาเอี้ยน ก็มีให้เลือกแบบจัดเต็มถึง 4 หน้า!!

รสชาติไม่ต้องบอกเพราะการันตีการเป็นเมนูเบสท์เซลเลอร์ และเป็นซิกเนเจอร์ของ A&W ทั่วโลก ดังนั้น นอกจากจะได้ความกรอบอร่อยจากแป้งวาฟเฟิล ที่กรอบนอกนุ่มใน และได้กลิ่นหอมชวนหิวในรูปแบบหน้าพิซซ่าแล้ว ยากเกินที่จะอดใจชิมอย่างแน่นอน!! และ 2 รสชาติใหม่ ไก่สไปซี่ ที่มีความเผ็ดเล็กๆ ผสานกับไก่นุ่มๆ ก็ทำฟินไปตามๆ กัน หรือใครชอบผักโขมอบชีส ต้องสั่ง ป๊อปอายชีสมาลอง รับรองว่าสั่งซ้ำแน่นอน!

  • อร่อยเต็มชิ้นแบบถาด ราคาเพียง 109 บาท
  • ️อร่อยแบบชิ้นราคาเพียง 29 บาท
  • วาฟเฟิลสูตรลับเฉพาะของ A&W จะสายคาว สายหวาน A&W จัดให้เต็มๆ
  • ไปเติมความอร่อยได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 9 ตุลาคม 2564
  • สั่งรับประทานที่ร้าน A&W  กลับไปทานบ้าน หรือสั่ง Delivery
  • ก็อร่อยเต้มคำด้วยเมนูคุณภาพ ความอร่อยสไตล์อเมริกันต้องที่ A&W
  • STAY HOME AND STAY SAFE ENJOY!

LINE เปิดตัว “อิโมจิแอนิเมชัน” อิโมจิดุ๊กดิ๊ก ครั้งแรกในไทย

LINE ประเทศไทย ปล่อยความสนุกรูปแบบใหม่ในการแชท “อิโมจิ แอนิเมชัน” (Animated Emoji) อิโมจิดุ๊กดิ๊ก ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ทุกการแชทสนุกยิ่งขึ้น เติมเต็มความสุขให้ผู้ใช้งานได้มากยิ่งกว่าเดิม

อิโมจิแอนิเมชัน ชุดไอคอนอิโมจิรูปแบบใหม่เคลื่อนไหวได้ ที่สามารถแทรกเพิ่มเติมในประโยคแชทได้ทันที เพื่อแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดในการสื่อสารได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังสร้างชีวิตชีวาให้กับข้อความแชทต่างๆ โดยอิโมจิแอนิเมชันนี้มีให้เลือกซื้อเพื่อใช้งานมากกว่า 10 ชุดจากเหล่าคาแรคเตอร์ยอดนิยมระดับสากล นำทัพโดย BROWN & FRIENDS, Hello Kitty,  Snoopy และ Mickey Mouse ตามด้วยคาแรคเตอร์ สุดฮิตของไทยอย่าง Jay the Rabbit, ปังปอนด์, บิสกิต, นมเย็นและหัวเกรียน และออนนี่ แบร์ เสริมทัพด้วยคาแรคเตอร์ชั้นนำจากไต้หวัน ได้แก่ French Bulldog PIGU และ Lazy Rabbit & Mr.Chu โดยจำหน่ายในราคาชุดละ 60 บาท ในแต่ละชุดประกอบด้วยอิโมจิแบบเคลื่อนไหวจำนวน 40 ไอคอน

ผู้ใช้งาน LINE สามารถใช้งานอิโมจิแอนิเมชันได้บน LINE สำหรับ iOS เวอร์ชัน 11.15.0 ขึ้นไป หรือ LINE สำหรับ Android เวอร์ชัน 11.15.2 ขึ้นไป หรือ LINE Desktop เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป เท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กันยายน 2564) โดยผู้ใช้งาน LINE ในเวอร์ชันที่ต่ำกว่าที่กำหนด เมื่อส่งหรือได้รับอิโมจิแอนิเมชันจะแสดงผลเป็นอิโมจิแบบภาพนิ่ง

เพิ่มอรรถรสให้กับทุกการแชทของคุณด้วยอิโมจิแอนิเมชันได้แล้ววันนี้ ดาวน์โหลดเลยที่ Sticker Shop บนแอปพลิเคชัน LINE เว็บไซต์ LINE STORE (store.line.me) และร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจาก LINE STICKERS (Verified Reseller)

ช้อปอะไรดี? หมอนสุขภาพทูอินวัน (2-IN-1 PILLOW)

น.ส.วิสาลินี วังวิทยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวสแบรนด์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและทำการตลาดให้กับ หมอนสุขภาพทูอินวัน (2-IN-1 PILLOW)” ตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้คุณหลับสบายตลอดคืน ออกแบบและผลิตโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ยงยุทธ วัชรดุลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและเนื้อเยื่อ ซึ่งได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวว่า “หลายคนที่กำลังประสบปัญหาจากการทำงานที่นั่งใช้คอมพิวเตอร์จนเกิดการปวดคอ บ่า ไหล่ ทีเรียกว่าออฟฟิซ ซินโครม หรือบางคนที่มีความรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่ม ปวดคอและไหล่ โดยปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากลักษณะท่านอนที่ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะการนอนหงายแล้วหมอนสูงเกินไป ศีรษะจะอยู่ในท่าโค้ง ทำให้หลอดลมและทางเดินอากาศในโพรงจมูกโค้งงอ เมื่ออากาศเดินทางไม่สะดวก ก็ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จึงเป็นที่มาของการกรน หรืออาการปวดเมื่อยที่คอและไหล่เมื่อตื่นนอน นอกจากนี้การนอนในท่าดังกล่าวฯ ยังทำให้เกิดอาการคอเคล็ด ตกหมอน ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งตัวมากเวลาหลับสนิท 

โดยท่านอนที่ถูกต้องคือ ควรใช้หมอนสูงเมื่อนอนในท่านอนตะแคง และหมอนเตี้ยเมื่อนอนในท่านอนหงาย ซึ่งปัญหานี้มีทางแก้ไขด้วยหมอนสุขภาพทูอินวัน (2IN-1 PILLOW) ที่ถูกออกแบบมาให้มีรอยบุ๋มตรงกลาง เพื่อรองรับทั้งการนอนหงายและนอนตะแคง เมื่อนอนหงายท้ายทอยจะอยู่ในรอยบุ๋มซึ่งขอบหมอนจะรอง รับต้นคอพอดี และเมื่อนอนตะแคงแก้มจะอยู่บนเนินทั้งสองข้างที่สูงกว่า เพราะคนเราระหว่างการนอนจะมีการพลิกตัวไปมาเป็นธรรมชาติ ดังนั้นหมอนจะช่วยรองรับไม่ว่าจะนอนหงานหรือนอนตะแคง ขณะที่การใช้หมอนปกติความสูงของหมอนจะเท่ากันทั้งใบ  

สำหรับหมอนสุขภาพทูอินวัน (2IN-1 PILLOW) ออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ผลิตจากใยสังเคราะห์ หุ้มด้วยผ้าฝ้ายอย่างดี อากาศถ่ายเทสะดวก ป้องกันไรฝุ่น สามารถซักด้วยมือหรือเครื่องได้ ด้วยคุณสมบัติหมอนสุขภาพ ทำให้นอนหลับสบายตลอดคืน เพราะออกแบบโดยคำนึงถึงความสูงของหมอนที่ต่างกันในท่านอนหงายและท่านอนตะแคง  บรรเทาการปวดเมื่อยที่คอและไหล่เพราะคอมีขอบหมอนมารองรับ เมื่อตื่นนอนลดอาการปวดคอเนื่องจากจากอาการตกหมอนเพราะกล้ามเนื้อเกร็งตัวไม่สมดุล” 

โดยผู้สนใจหมอนสุขภาพทูอินวัน (2-IN-PILLOW) สามารถสั่งซื้อได้ จากราคาปกติใบละ 2,400 บาท วันนี้ลดเหลือเพียง 1,600 บาท สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook : Wiseproduct (INBOX) หรือที่โทรศัพท์ 086-4978941 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  

TM ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังฟื้น มั่นใจทั้งปีรายได้แตะ 700 ล้าน

บมจ.เทคโนเมดิคัล (TM) ส่งสัญญาณแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังฟื้นตัว เหตุมีการปรับกลยุทธ์  การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆประเภทป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่อง  พร้อมสบช่องเจาะตลาดการขายผ่านช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้าน CEO  “สุนทรี จรรโลงบุตร” ระบุ มั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้า 700 ล้านบาทแน่นอน

นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ทั้งนี้เนื่องจาก บริษัทฯมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี รวมไปถึงมีการมุ่งเน้นเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้า ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯมีการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ของTM ได้ง่ายขึ้น ผ่านช่องทางwww.tmcare-shop.com , FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/ และ Line@ : @tmcareshop อาทิ เจลล้างมือ PURELL , หน้ากาก Life 3D Surgical Mask , ชุด PPE , แผ่นเช็ดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ V-Wipes , Fresh & Clean 3 in1 สเปรย์ปรับอากาศฆ่าเชื้อโรค (Callington) , น้ำยาฆ่าเชื้อNetbiokem และ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ KOYO เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ใช้สำหรับควบคุมการไหลของออกซิเจน (Oxygen High Flow) เครื่องผลิตออกซิเจนในความเข้มข้นที่สูง (Oxygen Concentrator) ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการมาก ในการดูแลผู้ป่วยไวรัส      โควิด-19 รวมไปถึงเครื่องฟอกอากาศ ดักจับฝุ่นป้องกันเชื้อโรค พร้อมกันนี้บริษัทฯ มีแผนในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสฯที่เตรียมเจาะตลาดเพิ่มเติม อาทิ สเปรย์พ่นจมูก (TAFFIX) สมุนไพรฟ้าทะลายโจร และกระชายขาว ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์ที่TM เป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายอยู่ในกลุ่มประเภทป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้น โดยจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวยังดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจากแผนกลยุทธ์ในข้างต้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการปรับตัวทางธุรกิจของTM ที่สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน TM ยังได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายชุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 (Antigen test kit)       ที่บริษัทฯได้เริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งในแบบ professional use และ  home use          ให้กลุ่มโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงกลุ่มสมาคมร้านขายยาเวชภัณฑ์ และ กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ยอดออเดอร์ Antigen test kit ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีดีมานด์พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ในไตรมาส3/2564 บริษัทฯมีรายได้จากยอดขายเข้ามาอย่างชัดเจน

 “จากปัจจัยบวกในข้างต้นส่งผลให้บริษัทฯมั่นใจว่า ภาพรวมTM ตั้งแต่ในไตรมาส3/2564 มีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมยังคงตั้งเป้าอัตราการเติบโตในปี2564 ที่ 700 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้ ขณะเดียวกันบริษัทฯยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำและตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ครบวงจรระดับต้นๆของประเทศ”นางสุนทรี กล่าวทิ้งท้าย

อลิอันซ์ อยุธยา เปิดตัวเลขยอดจ่ายเคลมโควิดแล้วเกือบ 500 ล้าน

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยตัวเลขจ่ายเคลมประกันสุขภาพการรักษาพยาบาลและเสียชีวิตจากเชื้อโควิด 19 โดยในปัจจุบัน จ่ายเคลมแล้วเกือบ 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัท ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19  ยืนยันให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิตและสุขภาพ และพร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกเงื่อนไขชีวิต

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า ท่ามกลางความกังวลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 และการให้ความคุ้มครองของธุรกิจประกัน  อลิอันซ์ อยุธยา ขอยืนยันความแข็งแกร่งของบริษัทที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างเพื่อคุ้มครองคนไทยในทุกเงื่อนไขชีวิต พิสูจน์ด้วยตัวเลขการจ่ายเคลมตามกรมธรรม์จากสถานการณ์โควิด 19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้จ่ายเคลมรวมไปแล้วกว่า 8,340 เคส เป็นเงินรวมกว่า 490 ล้านบาท โดยประมาณ 7,600 เคส เป็นค่ารักษาพยาบาลการเจ็บป่วยจากโควิด 19 และประมาณ 600 เคส เป็นการชดเชยจากการแพ้วัคซีน และ ประมาณ 140 เคส มาจากการเสียชีวิต

โดยบริษัทยังคงยืนยันความแข็งแกร่งของบริษัท พร้อมให้ความคุ้มครองตามพันธสัญญาที่บริษัทให้ไว้กับลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ทุกราย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าผู้ถือกรรมธรรม์ของอลิอันซ์ อยุธยา ไม่เพียงได้รับความคุ้มครองเมื่อเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเท่านั้น หากแต่ บริษัทยังมีบริการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกลูกค้าในช่วงนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการ Telemedicine แบบเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ผ่าน True HEALTH มุ่งให้บริการลูกค้าที่มีประกันสุขภาพแบบผู้ป่วยนอก มีอาการป่วยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล สามารถปรึกษาแพทย์ผ่าน VDO Conference ซึ่งแพทย์สามารถวินิจฉัย สั่งยา ส่งถึงลูกค้าได้เลย การลดระยะเวลารอคอยให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองเร็วขึ้น กรณีที่ลูกค้ามีการซื้อสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองสุขภาพฉบับใหม่ โดย ลดระยะเวลารอคอยการเข้ารับการรักษาด้วยโรคโควิด-19 จาก 30 วันเป็น 14 วัน และสามารถใช้บริการเคลมแบบที่ลูกค้าไม่ต้องสำรองจ่ายออกไปก่อน (แฟกซ์เคลม) จากเดิม ที่จะใช้สิทธิ์ได้ต้องรอ 90 วัน ลดเหลือเพียง 30 วันก็สามารถเคลมแบบไม่ต้องสำรองจ่ายได้ และการบริการเงินกู้ตามกรมธรรม์ ซึ่งอาจเป็นอีกช่องทางช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับลูกค้าในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ได้

“อลิอันซ์ อยุธยา ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความยากลำบากของคนไทยในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เราจะเดินหน้ามุ่งมั่นทำตามพันธสัญญาของเราในการให้ความคุ้มครองคนไทยในทุกเงื่อนไขชีวิต และพร้อมจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนของสังคมไทย ที่จะจับมือทุกฝ่ายก้าวผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย

YGGคว้า 3 รางวัลการันตีผลงานเยี่ยม

อิ๊กดราซิลคว้า 3 รางวัล การันตีผลงานเยี่ยม ธุรกิจได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เผยงานทุกส่วน เติบโตต่อเนื่องภาพรวมธุรกิจแข็งแกร่งทุกด้าน  มีรายได้ประจำสม่ำเสมอ หนุน YGG เติบโตยั่งยืน

นายธนัช จุวิวัฒน์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ YGG ในปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งทุกด้านไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจเกมและอินโนเวชั่น   ธุรกิจด้านโฆษณาและภาพยนต์(VFX) รวมทั้งธุรกิจด้านภาพยนตร์แอนิเมชั่น ทุกกลุ่มธุรกิจล้วนได้รับการยอมรับคุณภาพจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

โดยล่าสุดบริษัท ได้รับรางวัลสินค้าธุรกิจยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise Award) สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟต์แวร์ (Digital Content & Software) จากงานมอบรางวัล Prime Minister ’s Export Award 2021 ครั้งที่ 30   ซึ่งรัฐบาลมอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกที่มีความโดดเด่น ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดที่บริษัทได้รับการรับรองจากรัฐบาล   เพื่อเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาธุรกิจ

ส่วนธุรกิจด้านโฆษณาและภาพยนต์(VFX)บริษัทได้รับรางวัล  Best VFX In TV Commercial Award จาก  ผลงาน BTS Past & Present (บีทีเอส พาส แอนด์ พรีเซ้นท์)  จากการจัดงาน Bangkok International Digital Content Festival 2021 หรือ BIDC 2021 ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้สะท้อนถึงผลงานที่มีคุณภาพของ YGG ได้เป็นอย่างดี บริษัทได้มีการพัฒนางานด้านโฆษณาและภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์  สอดคล้องกับตามความต้องการของผู้บริโภค สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้

สำหรับงาน Bangkok International Digital Content Festival 2021 หรือ BIDC 2021  เป็นการจัดขึ้นจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน   โดยจัดในรูปแบบออนไลน์  มีการจัดกิจกรรมเสวนาออนไลน์ (Webinar) เกี่ยวกับอุตสาหกรรม  ดิจิทัล คอนเทนต์  พร้อมมอบรางวัล BIDC AWARDS 2021 ให้ผู้ประกอบการไทย  รวมถึงมีการจัดเจรจาธุรกิจออนไลน์ระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติทั่วโลก

นายธนัช ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของงานด้านโฆษณาและภาพยนตร์ของYGG ว่า มีการเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง จากการที่บริษัทได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ซึ่งมีทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่รายๆ  จึงส่งผลให้บริษัทได้รับงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   จากผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้จากงานโฆษณาและภาพยนตร์จำนวน  26.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 23.4 ล้านบาท  โดยมีสัดส่วนรายได้31.3%ของรายได้รวม

“งานโฆษณาและภาพยนตร์ หรือ  VFX  เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ไม่ค่อยผันผวน มีรายได้ประจำสม่ำเสมอเป็น Recurring Business  ที่ทำให้ YGG เติบโตอย่างยั่งยืน แม้ที่ผ่านมาจะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด- 19  แต่งานของบริษัทไม่ค่อยได้รับผลกระทบ  เพราะการที่ต้องWork From Home ต้องใช้งานผ่านหน้าจอ  การใช้สื่อออนไลน์ก็มากขึ้น” นายธนัชกล่าว

ขณะที่ธุรกิจด้านเกมและอินโนเวชั่นว่าบริษัทได้รับรางวัลจากงาน NEWYORK FESTIVALS 2021 เป็นรางวัล “GOLD WINNER” CATEGORY-Collaboration  Partnerships ด้าน Creative Makting Strategy /Effectiveness

ทั้งนี้ธุรกิจเกมและอินโนเวชั่นมีการเติบโตที่โดดเด่น หลังจากที่บริษัทได้มีการเปิดตัวเกมออนไลน์ Home Sweet Home Survive  ก็ได้รับการตอบรับที่ล้นหลาม มียอดดาวน์โหลดเกมเกินเป้าหมาย 3 เท่าตัว หรือ 150,000 ครั้ง จากตั้งเป้าแค่ 50,000 ครั้ง ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็ได้มีการพัฒนาระบบรองรับความต้องการผู้เล่นอย่างต่อเนื่อง มีการจัดแข่ง Tournament  และคาดว่าจะมีการเปิดตัวใหม่ๆ เดือนตุลาคมนี้ พร้อมผลักดันขยายฐานสู่การเล่นแพลตฟอร์มอื่นๆ

ส่วนงานด้านภาพยนตร์แอนิเมชั่นก็มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมเอนเตอร์เทนเมนท์ โดยในไตรมาส2/2564 บริษัทรายได้จากงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น จำนวน 24.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 20.5 ล้านบาท

AGE ปลื้มเข้าคำนวณดัชนี FTSE Micro Cap ดีเดย์ 17 ก.ย.นี้

บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE)ปลื้มได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนีอ้างอิงระดับสากล FTSE SET Index กลุ่ม Micro Cap จากการคัดเลือกโดยองค์กรระดับโลก ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านประธานกรรมการบริหาร “พนม ควรสถาพร” เดินเกมรุกลุยธุรกิจโลจิสติกส์ทุกมิติแบบเต็มสูบ หวังปั้นรายได้โลจิสติกส์ฯ เข้ากระเป๋า 1,000 ล้านบาทได้แน่นอน พร้อมส่งซิกรายได้รวมทั้งปีนี้ แตะ11,000 ล้านบาท

นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า) เปิดเผยถึงการได้รับการคัดเลือกจาก FTSE SET Index คำนวณในกลุ่ม Micro Cap ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติ สำหรับครึ่งปีหลัง 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน ของบริษัทฯ ว่า  การได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ถือเป็นการแสดงศักยภาพความน่าดึงดูดให้กับหุ้น AGE และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจาก FTSE Rebalance เป็นหน่วยงานที่ได้รับความน่าเชื่อถือระดับโลก

สำหรับเกณฑ์ที่ FTSE Rebalance นำมาใช้ในการคำนวณ และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะถูกคำนวณรวมในดัชนี FTSE SET นั้น จะต้องผ่านเกณฑ์สภาพคล่องของจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายรายวันในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 0.05% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 เดือน จาก 12 เดือน ก่อนวันที่พิจารณาทบทวนรายชื่อดัชนีในแต่ละรอบ โดยต้องผ่านเกณฑ์การกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 15% ขึ้นไป ซึ่งจากเกณฑ์ดั้งกล่าวบ่งชี้ว่า AGE เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และเป็นที่สนใจทั้งกลุ่มนักลงทุนรายย่อย สถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลต่อยอดภายหลังที่บริษัทฯ ได้มีการย้ายการซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงที่ผ่านมา

“บริษัทฯ รู้สึกยินดี ที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับใช้ในการ ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าลงทุนในหุ้นของ AGE ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 5,807.5  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิที่ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 136.4% รวมทั้ง AGE มีการจ่ายปันผล ตามนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่างๆอย่างสม่ำเสมอ ”

นอกจากนี้ ประธานกรรมการบริหาร AGE ยังประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมุ่งเน้นธุรกิจโลจิสติกส์ ภายหลังการเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือ เพิ่มอีก 3 ท่า ส่งผลให้มีท่าเรือที่รองรับการให้บริการขนส่งทางน้ำรวมทั้งหมด 6 ท่า บริเวณอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะช่วยหนุนให้ AGE สามารถรองรับปริมาณการขนส่งผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านตันต่อปี

 ขณะเดียวกันยังลงทุนขยายกองรถบรรทุกเป็นกว่า 100 คัน ในปี 2564 จากที่ปัจจุบันมีรถบรรทุกอยู่ 68 คัน และมีรถบรรทุกเป็นพันธมิตรผู้รับจ้างงานช่วง (Sub-contractor) อีก 400-500 คัน รวมถึงขยายกองเรือโดยการเช่าและการหากองเรือพันธมิตร Sub-contractor เพื่อเพิ่มปริมาณบรรทุกสินค้าเป็น 200,000 ตัน จากที่ปัจจุบัน AGE มีกองเรืออยู่ 36 ลำ ปริมาณการบรรทุกสินค้ารวมกว่า 100,000 ตัน เพื่อรองรับปริมาณการขนส่ง ซึ่งจากแผนธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลให้ธุรกิจด้านโลจิสติกส์ จะสามารถให้บริการที่ครบทุกมิติแบบครบวงจร

บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ไว้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะมาจากธุรกิจถ่านหิน 90 % จากการตั้งเป้ายอดขายที่ 5.5 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 4.5 ล้านตัน และต่างประเทศ 1 ล้านตัน  และรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ฯ 10 % หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท

KUN ปรับเกมรุก ชู 3 กลยุทธ์ฝ่าโควิด-19

บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) วางแผนเชิงรุกชูหัวใจหลักปรับยุทธ์ศาสตร์ ชู 3 “KEY SUCCESS” ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จฝ่าวิกฤติโควิด-19 พร้อมเตรียมผุดโครงการใหม่ ครึ่งปีหลัง 2 โปรเจกต์ ส่งซิกในปี64 ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด ทั้งเป้ายอดขาย (Presale) เป้าหมายรายได้ ส่อแววทุบสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ)ต่อเนื่อง

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ภาคบริโภคเกิดการชะลอตัว ทำให้แต่ละองค์กรต้องเร่งปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่ง KUN ได้วางแผนเชิงรุกชูหัวใจหลักปรับยุทธ์ศาสตร์โดยการดึง 3 KEY SUCCESS  หลักในการพาองค์กรฝ่ากวิกฤตโควิด จนประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ บริษัทฯมุ่งเน้น 1).หลักความสามารถในการปรับตัว (ADAPTIBILITY) ซึ่งบริษัทฯได้มีความยืดหยุ่น โดยปรับรูปแบบในการบริหารองค์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

2).หลักความแม่นยำในการตัดสิน (DECISION ACCURACY) โดยบริษัทฯมองหาโอกาสและจังหวะการลงทุน (พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส)ซึ่งบริษัทฯเล็งเห็นโอกาสของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ความคุ้มค่าทั้งพื้นที่ภายในบ้าน และ ราคาที่เหมาะสม ซึ่งโครงการบ้านของคุณาลัยได้มีการปรับให้ทุกพื้นที่ภายในบ้านตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างลงตัว และ 3.หลักการจัดสรรด้านทรัพยากรให้เหมาะสม (RESOURCE ALLOCATION) โดยบริษัทฯเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลและการบริหารทรัพยากรอื่นๆให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการดำเนินงาน รวมถึงการบริหารจัดการเครื่องมือทางการเงิน เพื่อขยายการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากที่สุด

“บริษัทฯใช้เครื่องมือการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ โดยกำหนดวันรายชื่อผู้มีสิทธิในการรับจัดสรรหุ้นกู้แปลงสภาพ (Record Date) ในวันที่ 1ก.ย.นี้  โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XB ในวันที่ 31 ส.ค.นี้  และกำหนดวันเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพในวันที่ 27-30 ก.ย. ซึ่งผู้ถือหุ้นทุกคนมีสิทธิ์จองซื้อหุ้นแปลงสภาพดังกล่าวได้  ขณะเดียวกันบริษัทฯเตรียมเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นในอัตราส่วน 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ ต่อ 1,000 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (KUN-W1) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการนำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจในวิกฤตโควิด -19 ที่เกิดขึ้น”

สำหรับภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังนั้น นางประวีรัตน์ กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ “คุณาลัย Daisy” พื้นที่ 185 ยูนิต มูลค่าโครงการ 686 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ โดยคาดว่าจะเปิดตัวโครงการภายในไตรมาส 4/2564 นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโครงการในทิศที่3 ตั้งอยู่ในทิศใต้ โซนพระราม 2  ภายใต้โครงการ “คุณาลัย นาวาร่า” พื้นที่ 431 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,780 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ ซึ่งคาดจะสามารถเปิดขายได้ภายในไตรมาส 1/2565 โดยโครงการใหม่ทั้ง 2 โครงการ บริษัทฯคาดว่าจะสร้างการรับรู้รายได้ในปี 2-3 จากนี้

 “บริษัทฯเดินหน้ากระจายความเสี่ยงในการรับรู้รายได้ จากโซนอื่นๆที่ไม่ใช่นนนทบุรี บางบัวทอง เพียงอย่างเดียว โดยในปี 2564 บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากจากโซนอื่น 16 % ของรายได้รวม จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 14% โดยปัจจุบันบริษัทฯมีการรับรู้รายได้จากโครงการโซนทิศตะวันออก ได้แก่ คุณาลัย จอย ออน 314 จังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น ดังนั้นในอนาคต หากโครงการ คุณาลัย นาวาร่า (พระราม 2 ) ซึ่งเป็นทิศใต้ของกรุงเทพฯ แล้วเสร็จ จะส่งผล KUN จะกระจายความเสี่ยงของการรายได้เพิ่มมากขึ้น”

สำหรับภาพรวมการเติบโตในปี 2564 บริษัทฯวางเป้าหมายไว้ 3 ด้าน คือ 1. ตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ไว้ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 1,410 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ)  ของบริษัทฯ  2. บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง จำนวน 2 โครงการ โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯได้เปิดตัวโครงการ คุณาลัย PARCO มูลค่า 485 ล้านบาท แบบ Soft opening ไปแล้ว ซึ่งได้กระแสการตอบรับที่ดี และ 3. บริษัทฯได้วางเป้าหมายรายได้จะเติบโตที่ระดับ 10 -15% ซึ่งจะเป็นการเติบโตทำนิวไฮ จากการรับรู้ Backlog มูลค่า 380 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ทั้งหมด โดยโครงการที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังประกอบด้วย 6 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ คุณาลัย Courtyard , 2.โครงการ คุณาลัย Joy, 3.โครงการ คุณาลัย Preem, 4.โครงการ คุณาลัย Begins 2, 5.โครงการ คุณาลัย Parco และ 6.โครงการ คุณาลัย Joy on 314

 อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯยังมีนโยบายรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้อยู่ในระดับ 15% โดยการมุ่งดูแลและบริหารจัดการต้นทุน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษามาร์จิ้นให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  ทั้งนี้เพื่อให้มาร์จิ้นให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯจึงเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเป็นหลัก ซึ่งในโซนบางบัวทอง ถือเป็นโซนที่เป็นเรือธง (Flagship) ของ KUN เพราะมีสินค้าครบทุกแบบที่บริษัทได้มีการพัฒนามา และมีกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในโซนดังกล่าวด้วย และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ในการพัฒนาสินค้ามากขึ้น บริษัทฯจึงได้เพิ่มนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้ในการพัฒนาสินค้า ทั้งการจัดพื้นที่ภายในบ้าน และการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร (Solar Rooftop) ภายในโครงการบ้านจัดสรรของคุณาลัย เพื่อช่วยลดภาระให้กับลูกค้า

IMH เปิดสเต็ป Re-Open สบช่องลุยเทคโอเวอร์ รพ.- เปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง

บอร์ด บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH) ไฟเขียว ซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท เพื่อบริการการเงิน เริ่มดีเดย์ 14ก.ย.64 – 11 มี.ค.65 ด้าน CEO “ดร. สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์” สบช่องเดินเกมรุกปี65 เปิดสเต็ป Re-Open เล็งเทคโอเวอร์ รพ. เพิ่ม 1-2 แห่ง ลุยเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง พร้อมส่งซิกจ่อเจรจาสั่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตใหญ่ ฉีดให้กลุ่มลูกค้า ด้าน บล.ทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมาย 24 บาท/หุ้น

ดร. สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ หรือ IMH เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5 /2564 เมื่อวันที่ 30 ส.ค.64 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อบริหารทางการเงิน วงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 50 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 3 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 1.4 % ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด รวมระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 14 ก.ย. 2564 – 11 มี.ค. 2565

นอกจากนี้ ในปี 2565 IMH วางกลยุทธ์โดยการปรับแผนรองรับการ Re- Open หลังสถานการณ์   โควิด-19 รวมถึงศึกษาแผนการขยายกิจการ โดยการเข้าซื้อโรงพยาบาลเพิ่ม (M&A) 1- 2  แห่ง ขนาด 100 – 300 เตียง ขณะเดียวกันยังมีแผนเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย    เข้าเบิกรัฐระดับทุติยภูมิ  โดย IMH คาดว่าจะมีผู้ป่วยส่งต่อจากศูนย์อนามัยฯ เพิ่มอีกเป็นเท่าตัว หลังจากที่ IMH และโรงพยาบาลประชาพัฒน์  เริ่มเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการที่สถานพยาบาลมีศักยภาพในการตรวจเชื้อและฉีดวัคซีนโควิด จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงกลุ่มคนทั่วไป

นอกจากนี้ IMH มองว่าหลังจากที่เกิดสถานการณ์โควิด ทำให้การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นและต้องมีการฉีดเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไวรัสต่างๆ ส่งผลให้ IMH ได้เริ่มเจรจาสั่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตใหญ่เข้ามา เพื่อรองรับการฉีดให้กลุ่มลูกค้า IMH ในปี 2565 หลังจากประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีน ซิโนฟาร์ม กว่า 300,000 โดส ในปี2564มาแล้ว

ทางด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เคาะราคาเป้าหมายที่เหมาะสมหุ้น IMH ที่ระดับราคา 24 บาท/หุ้น โดยชูศักยภาพ IMH มีความโดดเด่นและได้รับอานิสงส์ ในการเป็นสถานพยาบาลที่ให้บริการฉีดวัคซีนและตรวจหาเชื้อช่วงโควิดแบบครบวงจร  และมีแผนปรับตัวธุรกิจ หลัง Re- open  ในปี2565 ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจในอนาคต