ฮอนด้า เปิดตัวฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 สปอร์ตพรีเมียมซีดานไอคอน

แรง เร้าใจกับขุมพลัง VTEC TURBO และมั่นใจทุกการขับขี่กับ Honda SENSING ทุกรุ่นย่อย ยกระดับประสบการณ์ใหม่ให้สมบูรณ์แบบในทุกมิติเกินกว่าใครจะตามทัน

จัดเต็มสำหรับทุกรุ่นย่อย ด้วยเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ ที่มอบความแรงเร้าใจแต่ยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ยกระดับไปอีกขั้นกับระบบใหม่ Lead Car Departure Notification System (LCDN)

สปอร์ตพรีเมียมทุกมุมมอง ด้วยดีไซน์ประณีตทั้งภายนอกและภายใน ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย

สปอร์ตโฉบเฉี่ยวอีกขั้น ด้วยรุ่น RS ดีไซน์สุดเอกซ์คลูซีฟที่ตกแต่งพิเศษด้วยโทนสีดำรอบคัน พร้อมปลอกท่อไอเสียคู่

ครั้งแรกกับ ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card มอบประสบการณ์ความสะดวกสบายสุดพรีเมียม

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ตอกย้ำความเป็นไอคอนของยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ที่ได้รับการพัฒนาดีเอ็นเอความสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ให้ก้าวล้ำตลอด 10 เจเนอเรชันที่ผ่านมา ครั้งนี้ ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชันที่ 11 พร้อมแล้วที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์อีกครั้ง ด้วยดีไซน์ภายนอกสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง เสริมความโฉบเฉี่ยวเร้าใจด้วยรุ่น RS ดีไซน์สุดเอกซ์คลูซีฟสไตล์สปอร์ตที่ตกแต่งพิเศษด้วยโทนสีดำรอบคัน พร้อมปลอกท่อไอเสียคู่ ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย พร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 3 โหมด นอกจากนี้ ในทุกรุ่นย่อย ให้ความแรงทรงพลังเร้าใจเกินใคร ด้วยเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ พร้อมระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม 17.2 กม./ลิตร ทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 และมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ยกระดับไปอีกขั้นกับระบบใหม่ Lead Car Departure Notification System (LCDN) สะดวกสบายแบบเหนือกว่ากับครั้งแรกของระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย โดยพร้อมให้สัมผัสได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้น 964,900 บาท

นายมาซายูคิ อิงาราชิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ งานปฏิบัติการประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า ซีวิค เป็นยนตรกรรมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ตลอดเวลาเกือบ 50 ปี ได้รับการพัฒนาและสร้างมาตรฐานใหม่มาอย่างต่อเนื่องในทุกเจเนอเรชัน โดยได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลกด้วยยอดขายมากกว่า 27 ล้านคัน ในมากกว่า 170 ประเทศ และวันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกนอกทวีปอเมริกาเหนือที่จะเปิดตัว ฮอนด้า ซีวิค ซีดาน ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ในฐานะตลาดที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียอีกด้วย”

นายโนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า ซีวิค ถือเป็นไอคอนของรถซีดานที่เติบโตคู่กับสังคมไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ซึ่งตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย รวมทั้งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยมาโดยตลอด พิสูจน์ได้จากการเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์คอมแพคท์ ด้วยยอดขายสะสมเกือบ 600,000 คัน ด้วยดีเอ็นเอความสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งในด้านดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ อีกทั้งครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ ส่งผลให้ล่าสุด ฮอนด้า ซีวิค สามารถครองอันดับ 1 ในเซกเมนต์ถึง 5 ปีซ้อน และในวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 จะเข้ามายกระดับคอมแพคท์ซีดานให้เหนือกว่าทุกรุ่นที่เคยมีมาอีกครั้ง ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตพรีเมียม ผสานสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมันด้วยขุมพลัง VTEC TURBO พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ที่จะมาสร้างตำนานบทใหม่ ให้สมกับเป็นยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดานที่ทุกคนรอคอย”

ดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง โดดเด่นกว่าด้วยความประณีต…ในทุกรายละเอียด

ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชันที่ 11 มาพร้อมการออกแบบที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความสปอร์ตพรีเมียม โดดเด่นด้วยเส้นสายโฉบเฉี่ยวรอบคัน หรูหราในทุกมุมมองด้วยกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ มาพร้อมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้ายแบบ LED สไตล์เอกลักษณ์เฉพาะตัว เสาอากาศแบบครีบฉลาม ท่อไอเสียแบบคู่ และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่

ยกระดับความสปอร์ตในรุ่น RS ด้วยดีไซน์สุดเอกซ์คลูซีฟรอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าและกันชนหน้า ดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ RS ไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้ายแบบ LED กระจกมองข้างสีดำ มือจับประตูด้านนอกสีดำ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ สปอยเลอร์หลังสีดำพร้อมสัญลักษณ์ RS ด้านท้าย ท่อไอเสียแบบคู่พร้อมปลอกท่อไอเสีย และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 17 นิ้ว ภายในห้องโดยสารสะท้อนความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต และสะกดทุกสายตาด้วย สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง มอบความสะดวกสบาย ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม มาพร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกล้ำสมัย พร้อมเชื่อมต่อคุณและรถยนต์ให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยฟังก์ชันและเทคโนโลยีที่หลากหลาย* สำหรับรุ่น RS อาทิ ใหม่ ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ดีไซน์เรียบหรู พกพาสะดวก ให้คุณล็อกและปลดล็อกรถได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแค่พกการ์ดไว้กับตัว มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา และ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน เป็นต้น

สำหรับรุ่น EL+ และ EL อาทิ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เป็นต้น

ขับเคลื่อนเหนือทุกจุดหมาย สู่ความสมบูรณ์แบบใหม่

ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย และเมื่อมีความเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
  • ใหม่! ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
  • พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่ครบครัน* อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front Passenger and Rear Seat Belt Reminder) และไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) เป็นต้น

การขับเคลื่อนที่ไม่ใช่แค่ความแรง แต่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

แรงทรงพลังที่มอบความเร้าใจเกินใครกับ ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ใหม่ 4 สูบ 16 วาล์ว ที่พัฒนาไปอีกขั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ มาพร้อม Turbo Charger ที่อัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT ให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 17.2 กิโลเมตร/ลิตร อีกทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 พร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ตามสไตล์ 3 โหมด ได้แก่

  • ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
  • Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
  • เพิ่มเติมด้วย Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่การทำงานของเครื่องยนต์ตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้นเพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ (เฉพาะรุ่น RS)

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น RS ราคา 1,199,900 บาท
  • รุ่น EL+ ราคา 1,009,900 บาท
  • รุ่น EL ราคา 964,900 บาท

สีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS พร้อมด้วย สีใหม่ สีฟ้ามอร์นิงมิสต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น EL+ และ EL และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) อีกทั้งสีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีภายใน มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีเทาเบจ ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและสีภายนอก

มาพร้อมข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ได้ง่ายขึ้นกับ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2564 – 31 สิงหาคม 2564

นอกจากนี้ ยังเสริมความสปอร์ตไปอีกขั้นด้วย ชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมกับแนวคิด “Make the CIVIC 3F (Fashion, Function and Featured)” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก ราคา 10,000 บาท แป้นวางเท้าแบบสปอร์ต ราคา 1,800 บาท คิ้วบันได LED ราคา 5,100 บาท ฝาครอบกระจกมองข้าง ราคา 1,000 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,950 บาท ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ราคา 5,250 บาท คิ้วตกแต่งกระจังหน้า ราคา 3,900 บาท คิ้วตกแต่งกันชนหลัง ราคา 5,900 บาท ไฟส่องสว่างที่เท้า ราคา 2,200 บาท เป็นต้น

หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ทั้งหมด 4 แพ็กเกจ ได้แก่
Exhaust Pipe Finisher Package ราคา 1,950 บาท ประกอบด้วย ปลอกท่อไอเสียสเตนเลส 2 ชิ้น

  • Sport Package ราคา 8,900 บาท ประกอบด้วย คิ้วตกแต่งกระจังหน้า และคิ้วตกแต่งกันชนหลัง
  • Exclusive Sport Package ราคา 17,200 บาท ประกอบด้วย คิ้วตกแต่งกระจังหน้า คิ้วตกแต่งกันชนหลัง และ สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก
  • Modulo Aero Package ราคา 18,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง

สัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/civic ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถทดสอบสมรรถนะได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

ช้อปอะไรดี? SKECHERS ลดสุดคุ้มต้อนรับมหัศจรรย์เลข 8.8

ลดสุดคุ้มต้อนรับมหัศจรรย์เลข 8.8!! SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรนด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชั้นนำสัญชาติอเมริกัน จัดแคมเปญ SKECHERS 8.8 LUCKY SALE ยกขบวนสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้า, รองเท้า, สนีกเกอร์, กระเป๋า ฯลฯ มอบพร้อมช้อปง่ายๆ กับสินค้ายอดฮิตแบบ ONE PRICE ในราคา 580 บาท,  880 บาท, 1,280 บาท และ 1,580 บาท ปิดท้ายด้วยโปรโมชั่นรับส่วนลดเพิ่มทันที 28% เมื่อซื้อสินค้า 2 ชิ้นขึ้นไป ช้อปกันได้ตั้งแต่วันที่ 5 – 8 สิงหาคม 64 ทาง https://www.skechers.co.th/collections/lucky-sale

สนใจช้อป

คุณค่าข้าวต้มชามแรก สร้างพลังศรัทธาในการทำดี มานานกว่า 110 ปี

เรื่องราวการทำความดีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งศรัทธา สืบสานการทำงานภายใต้ปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นบรรเทาทุกข์ และบำรุงสุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ ได้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 110 ปี และวันนี้เรื่องราวเหล่านี้ก็ได้ถูกนำมาบอกเล่าผ่านวิดีโอคลิปชุด “คุณค่าข้าวต้มชามแรก สร้างพลังศรัทธาในการทำดี มานานกว่า 110 ปี” โดยร้อยเรียงเนื้อหาจากอดีตถึงปัจจุบัน เล่าเรื่องการอุทิศตนด้วยความเสียสละของหลวงปู่ไต้ฮง  ผู้ปลุกพลังศรัทธาในใจผู้คนให้เป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนความดีด้วยการทำความดี นับจากการแจกข้าวต้มชามเล็ก ๆ ให้กับพี่น้องชาวจีนเสื่อผืนหมอนใบ นำไปสู่การช่วยเก็บศพไร้ญาติของคณะเก็บศพไต้ฮงกง การช่วยเหลือผู้คนให้ก้าวข้ามความทุกข์ เพื่อต่อลมหายใจต่อชีวิต รักษาชีวิตเพื่อให้มีอนาคต และสร้างอนาคตเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และองค์กรในเครือทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว

วิดีโอคลิปชุดนี้จัดทำขึ้นในโอกาสครบรอบ 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวการตอบแทนความดีด้วยการทำความดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเตือนให้คนไทยตระหนักถึงการทำความดี หันมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่หลายคนต้องเผชิญกับความเดือดร้อนในการใช้ชีวิต เพราะอย่างน้อยการช่วยเหลือจากสองมือเล็ก ๆ ของคุณ อาจเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดเส้นทางแห่งความดีที่ไม่สิ้นสุด และเป็นความดีที่ยั่งยืนตลอดไป ผู้สนใจสามารถเข้าไปชมคลิปได้ที่ www.youtube.com/watch?v=bAqBpSSvHWk หรือ www.facebook.com/atpohtecktung #110ปีมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ความดีไม่มีที่สิ้นสุด #ช่วยชีวิตรักษาชีวิตสร้างชีวิต #มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน

กรณีศึกษา “แมริออทฯ” สร้างการยอมรับความต่างในที่ทำงาน

แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ลงนามในหนังสือสัญญาความหลากหลายทางเชื้อชาติและการยอมรับความแตกต่าง สำหรับพนักงาน (Racial Diversity and Inclusion Charter for Employers) โดยคณะกรรมาธิการเพื่อความเท่าเทียมทางโอกาส ฮ่องกง (Equal Opportunities Commission Hong Kong)

ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่าง คือสิ่งที่แมริอท อินเตอร์เนชั่นแนลให้ความสำคัญมาตลอด และเป็นค่านิยมหลักขององค์กรในการให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นลำดับแรก รวมถึงการสร้างสรรค์บรรยากาศที่เป็นมิตรสำหรับทุกคน แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ลงนามในหนังสือสัญญา (Racial Diversity and Inclusion Charter for Employers) ความหลากหลายทางเชื้อชาติและการยอมรับความแตกต่าง สำหรับพนักงาน เน้นให้เห็นว่าบริษัทมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเป็นผู้นำทางความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่าง

นำโดยคณะกรรมาธิการเพื่อความเท่าเทียมทางโอกาส ฮ่องกง หนังสือสัญญาความหลากหลายทางเชื้อชาติและการยอมรับความแตกต่าง สำหรับพนักงาน เสนอแนวทางปฏิบัติ และวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด ผ่านนโยบายและวิธีปฏิบัติงานซึ่งพนักงานสามารถนำมาใช้เพื่อบรรจุเป้าหมายทางด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่าง รวมทั้งความหลากหลายทางเชื้อชาติ และการยอมรับความแตกต่างในสถานที่ทำงาน

เราภูมิใจที่ได้ลงนามในหนังสือสัญญาความหลากหลายทางเชื้อชาติและการยอมรับความแตกต่างสำหรับพนักงาน กับคณะกรรมาธิการเพื่อความเท่าเทียมทางโอกาส ฮ่องกง ซึ่งเป็นการสนับสนุนความพยายามที่ต่อเนื่องของเราในการส่งเสริมให้ที่ทำงาน เป็นสถานที่แห่งการยอมรับในความแตกต่าง” เรแกน ไตรกฤษดาพร หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ของแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว ที่แมริออท เราเชื่อในเรื่องความต้องการพื้นฐานในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งพนักงานทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีและด้วยความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างและพัฒนาผู้หญิงให้เป็นผู้นำองค์กรขณะเดียวกันเราก็พยายามผลักดันความเท่าเทียมกันของทุกเพศในการขึ้นมาเป็นผู้นำของบริษัททั่วโลก จนถึงการจ้างงานคนพิการ และสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ในสถานที่ทำงาน เราหวังที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทอื่นๆ มาร่วมกับเราในความพยายามที่จะปรับปรุงวิธีการปฏิบัติ ในการยอมรับความแตกต่างให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยให้การต้อนรับและเป็นมิตรกับทุกคนอย่างแท้จริง

หลักชัย ความมุ่งมั่นของแมริออท ในการสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่าง ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

มากกว่า 90 ปี ที่แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ให้คำมั่นในการนำเสนอโอกาสที่เปิดกว้างให้ทุกคน และเห็นความสำคัญของบุคลากรเป็นลำดับแรก นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของความสำเร็จที่เราทำได้เมื่อไม่นานมานี้ เป็นสัญญาณว่าแมริออทมุ่งมั่นที่จะสร้างความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่างให้เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานในภูมิภาคนี้

สร้างบรรยากาศที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย และความเสมอภาคระหว่างเพศ

o   ในปี 2564 แมริออทประกาศเร่งสร้างความเท่าเทียมแก่ทุกเพศ สำหรับผู้บริหารในทุกตำแหน่งภายในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่ตั้งไว้ 2 ปี จากที่ได้ประกาศเป้าหมายนี้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว

o   ในปี 2560 แมริออทร่วมกับ Asian University for Women (AUW) ในบังกลาเทศเพื่อช่วยเหลือวัยรุ่นผู้หญิง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผ่านการให้คำปรึกษา การฝึกงาน และการให้ทุน ด้วยความร่วมมือนี้ ผู้นำผู้หญิง 50 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาสำหรับการพัฒนาอาชีพ ในขณะที่นักเรียนของ AUW เดินทางมาที่ออฟฟิศของแมริออทในฮ่องกงเพื่อฝึกงานระยะสั้น โดยในปี 2562 แมริออทสามารถส่งนักเรียนไปฝึกงานในโรงแรมได้สำเร็จที่อินเดียและบังกลาเทศ

o   แมริออทยังได้สร้างเครือข่ายทูตหญิง เพื่อช่วยพัฒนาพนักงานผู้หญิงผ่านการให้คำปรึกษาการทำงานเป็นเครือข่ายโปรแกรมฝึกฝน และโอกาสในการพูดพร้อมแนะนำ นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น และสิทธิประโยชน์ของอุตสาหกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นแม่ที่ยังทำงาน

สนับสนุนการยอมรับในกลุ่ม LGBTQ+

o   ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่แมริออท บอนวอย ประกาศร่วมสนับสนุน Gay Games ครั้งที่ 11 ประเทศฮ่องกง ในปี 2565

o   ปี 2563 แมริออท ได้รางวัล Bronze Standard in the LGBT+ Inclusion Index จัดทำโดย Community Business ถือเป็นหลักชัยแรกของการปฏิบัติ การยอมรับกลุ่ม LGBTQ+ ในสถานที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ริเริ่มในเอเชียโดยร่วมมือกับ Community Businessเพื่อเข้าร่วมและโปรโมต LGBT+ Inclusion Index ครั้งแรกในปี 2561

o   ในปี 2563 และ 2562 ดับเบิ้ลยู โฮเท็ลส์ ร่วมเป็นผู้จัดงาน Sydney Gay & Lesbian Mardi Gras เพื่อเฉลิมฉลองความเท่าเทียม และสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวได้แสดงความรักอย่างเปิดเผย เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ดับเบิ้ลยู โฮเท็ลส์ มีรถแห่ของตัวเองในขบวนพาเหรดในปี 2563

o   ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา แมริออท เริ่มเสนอสิทธิประโยชน์ให้กับคนเพศเดียวกันที่มีความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิต ให้แก่สำนักงานในฮ่องกง

สนับสนุนผู้พิการ

o   ในปี 2564 แมริออทเข้าร่วมเทศกาลจัดหางานที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อสนับสนุนการคัดเลือกนักศึกษาที่มีความพิการ ปัจจุบันบริษัทมีการจ้างงานคนพิการมากกว่า 1,000 คนในจีนแผ่นดินใหญ่

“ท็อปส์” ร่วมโครงการ Care and Share Food for All แบ่งปันอาหารส่วนเกิน

ทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญกับวิกฤต “ความหิวโหย” ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเป็นการระบุจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ล่าสุดอัตราการขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 10 “ท็อปส์” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล  ผู้นำด้านค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของประเทศ  จัดโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” ภารกิจแบ่งปันอาหารส่วนเกิน (Surplus food) จากการจำหน่ายในแต่ละวัน ได้แก่ เบเกอรี่ ผัก และผลไม้ ที่ยังมีคุณภาพดีสามารถนำไปปรุงอาหารและรับประทานได้  บริจาคให้แก่ผู้ขาดแคลนผ่านองค์กรต่างๆ โดยความร่วมมือล่าสุด ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ 33 สาขา บริจาคอาหารส่วนเกินให้กับ สหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย  ในโครงการ “Care and Share Food for All”  (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจน เด็กทุพลภาพ (พิการ ตาบอด) ผู้สูงอายุและคนเจ็บป่วยในชุมชน รวมไปถึงผู้ลี้ภัยในพื้นที่ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์คาทอลิกทั่วประเทศ

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสูญเสียอาหาร และขยะอาหารที่เกิดจากกระบวนการผลิตสินค้าพื่อจำหน่ายในแต่ละวัน จึงมีเจตนารมณ์ในการลดปริมาณขยะอาหารในประเทศไทย ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals:SDGs) ข้อ12: ว่าด้วยเรื่องสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Ensure sustainable consumption and production patterns) โดยในข้อ 12.3 มีเป้าประสงค์ที่ครอบคลุมประเด็นการลดของเสียที่เป็นอาหาร (food waste)  เพื่อจัดการอาหารส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ ได้จัดทำโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” เกิดจากแนวคิดที่ว่า อาหารทุกชนิดที่เราจำหน่ายมีคุณค่าและไม่ควรถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า เพราะการทิ้งอาหารที่ยังมีคุณภาพดี  นอกจากจะสูญเสียทรัพยากรแล้ว ยังเป็นการสร้างขยะอาหารให้เกิดขึ้นอย่างไม่จำเป็น  และจะเกิดประโยชน์มากกว่าหากเรานำอาหารที่ยังมีคุณภาพเหล่านั้นนำกลับมาทำให้เกิดคุณค่า ด้วยการส่งมอบให้กับหน่วยงานที่ดูแลเพื่อนำไปส่งต่อให้ผู้อื่นที่ขาดแคลน

ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ  ได้แก่ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ   ซัสทีแนนนซ์ (SOS) มูลนิธิวีวีแชร์ ส่งมอบอาหารส่วนเกิน ได้แก่ ผัก ผลไม้ เบเกอรี่ และล่าสุด ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ 33 สาขา ได้สนับสนุนโครงการ “Care and Share Food for All”   (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) ภายใต้การดูแลของสหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย  บริจาคอาหารส่วนเกิน ให้กับ ศูนย์คาทอลิกทั่วประเทศ 33 ศูนย์ เพื่อนำไปมอบให้กับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่ศูนย์คาทอลิกดูแล เช่น  เด็กยากจน เด็กทุพลภาพ (พิการ ตาบอด) ผู้สูงอายุและคนเจ็บป่วยในชุมชน รวมไปถึงผู้ลี้ภัยในพื้นที่” นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) ตามเป้าหมายอันดับที่ 2 การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ

ซิสเตอร์บังอร มธุรสสุวรรณ เลขาธิการสหพันธ์ฯ ณ อารามพระหฤทัย คลองเตย หนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการ “Care and Share Food for All”  (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) กล่าวว่า “โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่สหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำจัดความหิวโหยและการสูญเสียอาหารโดยเปล่าประโยชน์ในประเทศไทย เพื่อนำมายังผู้ยากจนในทุกกลุ่ม ตลอดจนผู้ที่มีอาหารไม่เพียงพอ ทั้งในชุมชนและกลุ่มบุคคลที่อยู่ในความดูแลของคณะนักบวชและ/หรือในสังฆมณฑลต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความรักและการแบ่งปันที่เป็นรูปธรรมตามจิตตารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้า และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ โครงการ “Care and Share Food for All” ได้รับการสนับสนุนจากท็อปส์  โดยเริ่มต้นโครงการครั้งแรกเมื่อเดือน มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา มีการรับมอบอาหารส่วนเกินจากท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์  6 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และ พัทยา เพื่อส่งต่อไปยังศูนย์คาทอลิก 5 แห่ง ที่เข้าร่วม ซึ่งการดำเนินโครงการประสบผลสำเร็จอย่างมาก จนปัจจุบันได้ขยายความช่วยเหลือเพิ่มอีก 28 ศูนย์ รวมเป็น 33 ศูนย์ทั่วประเทศ และรับมอบอาหารส่วนเกิน จากท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ รวม 33 สาขา”

ซิสเตอร์ปิยฉัตร บุญมูล ผู้อำนวยการศูนย์ธารชีวิตสตรี อธิการ คณะศรีชุมพาบาลบ้านพัทยา หนึ่งในศูนย์คาทอลิกที่รับอาหารส่วนเกินจาก ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขา บ้านแอนด์บียอนด์พัทยา และ พัทยาใต้ ตึกคอม กล่าวว่า “รู้สึกขอบคุณต่อความใจดี มีเมตตาจิตแก่สังคม เพราะโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” ที่ร่วมส่งมอบอาหารส่วนเกินให้กับโครงการ Care and Share Food for All ของสหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อเยาวสตรีและบรรดาสตรีที่เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์คาทอลิก คนที่ไม่เงินซื้อข้าวหรือตกงานก็ได้ทานอาหารที่รับมา ยิ่งปัจจุบันมีสถานการณ์ COVID-19 ทางศูนย์ฯ ได้แบ่งบางส่วนของขนมปังประมาณ 30-50 ชิ้น เพื่อนำไปแจกให้กับชาวบ้านที่มารอรับอาหารชายหาดเมืองพัทยาอีกด้วย” ทั้งนี้ ศูนย์ธารชีวิตสตรีเข้าร่วมโครงการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และมีประชาชนได้รับอาหารจากท็อปส์ราว 200-250 คนต่อวัน

นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  โครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข”จะยังคงดำเนินต่อไป เพราะถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอีกรูปหนึ่ง นอกจากความร่วมมือกับมูลนิธิต่าง ๆ ที่มารับสินค้าและนำไปส่งต่อชุมชนแล้ว เรายังยินดีให้ความร่วมมือกับชุมชนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและประสงค์ขอรับอาหารส่วนเกินจากร้านค้าของเรา เพื่อนำไปบริหารจัดการส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังผู้ที่ขาดแคลนภายในชุมชนใกล้เคียงสาขา การดำเนินโครงการดังกล่าวนอกจากจะได้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความลำบากให้หลุดพ้นจากความหิวโหย การบริจาคอาหารส่วนเกินยังมีประโยชน์อีกหลากหลายมิติด้วยกัน  ได้แก่ ลดปริมาณการสูญเสียอาหาร  ลดปริมาณขยะอาหารส่วนเกินของประเทศที่ส่งผลต่อมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม  ซึ่งในประเทศไทยขยะอาหารที่ถูกทิ้งในแต่ละวันมีปริมาณสูงมากและไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดีพอ การทับถมของขยะอาหารจึงส่งผลเสียมากมายทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยของประชาชน และคุณภาพชีวิต  จากวันนั้นถึงวันนี้ “ท็อปส์ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ แฟมิลี่มาร์ท” 109 สาขาทั่วประเทศ ได้ร่วมแบ่งปันอาหารส่วนเกินไปแล้วว่า 1,608,161 มื้อ ซึ่งนอกจากช่วยให้ผู้คนได้อิ่มท้องเพื่อมีแรงสู้ต่อแล้ว ยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้อีก 727,501.60 กิโลกรัม

ภาพเด็กน้อยและผู้คนที่ยิ้มออกเมื่อได้รับอาหาร คือ แรงผลักดันและแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมต่อไป เพราะท็อปส์รู้ดีว่าทุกมื้อที่อิ่มท้อง ย่อมหมายถึงหนึ่งชีวิตที่สามารถก้าวต่อไปได้ และพร้อมกลับมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน

ติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th, เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand หรือสนใจช้อปสินค้า ท็อปส์ คลิกที่นี่เลย!

ชี้สัญญาณเตือนปวดหลังที่ต้องถึงมือหมอ

ศูนย์กระดูกสันหลังโรงพยาบาลนครธน ที่เกิดจากความร่วมมือกับบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค แนะผู้ที่ปวดหลังรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากรู้สึกปวดหลังจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน  โดยทีมแพทย์ของศูนย์ฯ พร้อมให้คำแนะนำ Last Opinion และใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้องรักษาได้หายในวันเดียว

นายแพทย์วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ และศัลยแพทย์ระบบประสาท กล่าวว่า อาการปวดหลังอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ,กระดูกหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง หลายอาการสามารถหายเองได้ หรือรักษาได้ด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น การใช้ยา หรือการทำกายภาพบำบัด เป็นต้น แต่มีกลุ่มอาการสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามและควรต้องรีบมาพบแพทย์ ได้แก่ ปวดจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น ลุกยืน นั่ง หรือเดิน และมากขึ้นเมื่อขยับยืนหรือเดิน ปวดร้าวตามเส้นประสาทจากหลังลงไปถึงขาและมีอาการชา อ่อนแรง ปวดแขนหรือขาร่วมด้วย หรือรู้สึกปวดเหมือนมีไฟฟ้าช็อต ปวดแนวกระดูกกลางหลัง หรือปวดต่อเนื่องนานเกิน 4 สัปดาห์ หรือปวดเฉียบพลัน ที่ไม่ได้เกิดจากการยกของหนัก ออกกำลังกาย หรือขยับตัวผิดท่า หรืออุบัติเหตุ

“อาการปวดเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเกิดความผิดปกติกับกระดูกสันหลัง ไม่ว่าจะเป็นหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือมีโพรงกระดูกสันหลังตีบที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ซึ่งล้วนแต่เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลสำคัญต่อการใช้ชีวิตของคน” นายแพทย์วีระพันธ์ กล่าว

การวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้รักษาได้ตรงจุด และผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สูง และเครื่องมือที่ทันสมัย

แต่คนส่วนใหญ่มักรู้สึกกลัว จึงไม่ได้มาหาหมอทันที เพราะเห็นว่าการผ่าตัดกระดูกสันหลังเป็นเรื่องใหญ่ ใช้เวลานาน และมักจะไปหาความเห็นจากแพทย์หลายๆ ท่านอย่างที่เรียกว่า Second Opinion ก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาและทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดนานขึ้น กังวลนานขึ้น และทำให้อาการปวดหรือปัญหาของกระดูกสันหลังรุนแรงเพิ่มขึ้น

“ศูนย์กระดูกสันหลังโรงพยาบาลนครธนที่เกิดจากความร่วมมือกับบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ทราบดีถึงความกังวลของผู้ป่วย เราจึงทำหน้าที่เป็นผู้ให้ Last Opinion โดยมีทีมแพทย์ที่ประกอบด้วยแพทย์ระดับซีเนียร์ร่วมให้ความเห็นกับแพทย์เจ้าของไข้ รวมเป็นทีมใหญ่ และจะต้องมีแพทย์อย่างน้อย 4 ท่านที่ให้ความเห็นตรงกัน จึงจะทำการรักษา เท่ากับว่าผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องไปหา Second Opinion จากที่ไหน และได้รับ Last Opinion จากทีมแพทย์ของศูนย์ฯ ได้เลย” นายแพทย์วีระพันธ์กล่าว

นอกจากนี้ ทีมแพทย์ของศูนย์ฯ ยังเน้นการให้ข้อมูลรอบด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองอีกด้วย

และสำหรับผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท และโพรงกระดูกสันหลังตีบ 2 โรคนี้  ศูนย์ฯ มีเทคโนโลยีทันสมัย สามารถผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ทำให้มีแผลเล็กเพียง 8 มิลลิเมตรหรือเพียงปลายนิ้วก้อย ใช้เวลาผ่าตัดและรอให้ผู้ป่วยฟื้นจากยาสลบเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ก็กลับไปพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วย และสามารถกลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้นโดยการเดินได้ด้วยตนเอง

โรงพยาบาลนครธน ตั้งอยู่ในทำเลย่านพระราม 2 สะดวกเข้าถึงง่าย และเปิดการสื่อสารสะดวกหลากหลายช่องทางสำหรับทุกเจนเนอเรชันทั้งผ่านระบบโทรศัพท์ โทร 02-450-9999 บริการคอนแทคเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมงและออนไลน์แพลตฟอร์มทางเว็บไซต์ www.nakornthon.com  สามารถนัดหมายแพทย์เฉพาะทางและ บริการถาม-ตอบปัญหาสุขภาพผ่าน LINE official @Nakornthon Hospital และเฟซบุ๊กเพจ FB: Nakornthon Hospital บริการให้ข้อมูลรวมถึงติดตามข่าวสารและข้อมูลการรักษาเพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้โรงพยาบาลยังเข้าถึงผู้รับบริการต่างชาติ(กลุ่มคนจีน) ผ่านทางเว็บไซต์ Weibo และ WeChat ตอบโจทย์คนในแต่ละพื้นที่บริการได้อย่างครบครัน   ด้วยการดูแลอย่างเข้าใจดุจญาติมิตรทุกขั้นตอนจากการตรวจรักษาไปจนถึงการฟื้นฟูด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ มุ่งเน้นให้ความคุ้มค่าเหนือราคา

ยูนิซิตี้ มัดรวมผลิตภัณฑ์สร้างภูมิ ขยายช่องทางสั่งซื้อออนไลน์

บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด สร้างแพลตฟอร์มการขายตอบ Customer journey ยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์ เสริมช่องทางขายสำนักงานใหญ่ (Head office) และยูนิซิตี้ DSC 27 สาขาในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการขายทางออนไลน์แบบครบวงจรเพิ่มเป็นทางเลือกใหม่ ทั้ง Unicity App, Facebook, Line@, E-mail และ Website รับสังคมไทยยุค ‘Social distancing’ เพิ่มความสะดวกตอบโจทย์ความต้องการนักธุรกิจยูนิซิตี้แบบครบวงจร เสริมช่องทางขายแบบออฟไลน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19  และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่สังคมไทย

ยูนิซิตี้ จึงได้พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารสร้างภูมิคุ้มกันมารวมไว้ให้ได้เลือกตามความต้องการ เพราะในแต่ละวันมีโอกาสเสี่ยงที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคได้โดยไม่รู้ตัว หากช่วงใดร่างกายอ่อนแอก็จะส่งผลไปที่ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเหตุให้เกิดอาการป่วยได้

ทั้งนี้ สามารถป้องกันร่างกายให้ห่างไกลโรคได้ด้วยการดูแลตนเอง ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ ผักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้แจ่มใส รวมไปถึงเลือกเสริมสารอาหารสูตรเฉพาะที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เช่น วิตามินซี วิตามินและแร่ธาตุ สารพฤกษเคมี รวมไปถึง น้ำมันปลาซึ่งมีส่วนประกอบของวิตามินอีที่สูง และจุลินทรีย์ชนิดดี ซึ่งปัจจุบันมีผลการวิจัยหลายฉบับที่ยืนยันถึงประโยชน์ต่อสุขภาพเกี่ยวกับการลดการอักเสบและลดความเครียดของเซลล์ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพที่ดีของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

สนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด (สำนักงานใหญ่) ช่องทางออนไลน์ และศูนย์ DSC  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.unicity.com หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-092-6777

เปิดขั้นตอนการใช้งานระบบจองวัคซีนซิโนฟาร์มสำหรับบุคคลธรรมดา

โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดขั้นตอนการใช้งานระบบจองวัคซีนซิโนฟาร์มสำหรับบุคคลธรรมดา ผ่านเว็บไซต์ http://sinopharm.cra.ac.th และ แอปพลิเคชัน CRA SINOP ทั้งระบบ IOS และ Android ทั้งนี้ ต้องอัพเดทแอปพลิเคชัน CRA SINOP เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ เพื่อการใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Cr.ภาพ : โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 

กทม. ปรับแผนจัดตั้ง 6 หน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 หลัก

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการปรับแผนจัดตั้งจุดให้บริการตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกประชาชน และลดความสับสนในการเข้ารับบริการคัดกรองเชิงรุก กรุงเทพมหานครจะปรับแผนการจัดตั้งจุดตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 ในพื้นที่ จากเดิมที่มีการออกหน่วยคัดกรองเชิงรุกกระจายหมุนเวียนให้บริการประชาชนตามจุดต่างๆ จะปรับการออกหน่วยให้บริการฯ โดยจะจัดตั้งเป็น 6 จุดคัดกรองหลัก ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต และจะให้บริการตั้งแต่วันพรุ่งนี้(7 ส.ค.64) เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1.กลุ่มกรุงเทพกลาง ณ ลานกีฬาพัฒน์2 ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี ให้บริการ 500 คนต่อวัน จองคิววันต่อวันหน้าจุดตรวจตั้งแต่เวลา 06.30 น. โทร.0 2354 4212

2.กลุ่มกรุงเทพเหนือ ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ ให้บริการ 1,000 คนต่อวัน จองคิววันต่อวันหน้าจุดตรวจตั้งแต่เวลา 07.00 น. โทร.0 2982 2081-2

3.กลุ่มกรุงเทพตะวันออก ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา เขตมีนบุรี ให้บริการ 700 คนต่อวัน จองคิววันต่อวันหน้าจุดตรวจตั้งแต่เวลา 06.00 น. โทร.0 2836 9999 ต่อ 3621,3622

4.กลุ่มกรุงเทพใต้ ณ ศูนย์สร้างสุขทุกวัย สวนลุมพินี เขตปทุมวัน ให้บริการ 500 คนต่อวัน จองคิวล่วงหน้า 1 วัน ผ่าน App “QueQ” ตั้งแต่เวลา 07.00 น. โทร.0 2214 1044

5.กลุ่มกรุงธนเหนือ ณ ใต้สะพานพระราม 8 เขตบางพลัด ให้บริการ 400 คนต่อวัน จองคิวล่วงหน้า 1 วัน ผ่าน App “QueQ” 200 คิว ตั้งแต่เวลา 08.00 น. และจองคิววันต่อวันหน้าจุดตรวจ 200 คิว ตั้งแต่เวลา 07.30 น. โทร.0 2424 0056 ต่อ 5657

และ 6.กลุ่มกรุงธนใต้ ณ ตลาดบางแคภิรมย์ เขตบางแค ให้บริการ 600 คนต่อวัน จองคิววันต่อวันหน้าจุดตรวจ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. โทร.0 2415 0157

สำหรับรูปแบบการตรวจคัดกรองจะใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งสามารถรู้ผลภายใน 30 นาที โดยได้รับการรับรองจากทางการแพทย์ว่ามีความแม่นยำมากกว่า 90% หากมีผลตรวจเป็นลบสามารถกลับบ้านได้เลย แต่หากมีผลเป็นบวก คือ ติดเชื้อ หรือมีอาการน่าสงสัยจะส่งเข้ากระบวนการตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR ต่อ ณ จุดตรวจเดียวกัน พร้อมให้ฟ้าทะลายโจร หรือยาฟาวิพิราเวียร์ ตามดุลพินิจของแพทย์ ในกรณีที่อาการแย่ลงจะมีการประสานส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป ทั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องเตรียมมา ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนา ปากกาหมึกสีน้ำเงิน และขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันสุขอนามัยส่วนบุคคล (D-M-H-T-T-A) อย่างเคร่งครัด

 

 

เมื่อลูกมีปัญหาการเรียน… คุณพ่อคุณแม่ต้องแก้อย่างไร

ปัญหาเรื่องการเรียนของลูกดูเหมือนจะเป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อลูกอ่านเขียนช้า เรียนไม่ทันเพื่อน หลายคนคิดไม่ตกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษาศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช และเจ้าของเพจ หมอปุ๊ก Doctor For Kids จึงมีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก โดยยกเคสของคุณแม่ท่านหนึ่งที่ลูกชายมีปัญหาการเรียน นำมาบอกเล่าแบ่งปันให้เห็นเป็นตัวอย่าง

หมอปุ๊กเล่ามีคุณแม่ท่านหนึ่งถามว่าลูกชายเรียนอยู่ชั้น ป.2 กาลังจะขึ้นชั้น ป.3 เป็นเด็กฉลาดเฉลียว ร่าเริงแจ่มใส เรียนรู้อะไรเร็ว ช่างพูดช่างคุย ช่างซักช่างถาม ช่วยเหลือตัวเองดี ดูแล้วก็เหมือนกับเด็กวัยประถมทั่วๆ ไป แต่มีปัญหาของลูกอยู่อย่างหนึ่งที่คุณแม่ไม่เข้าใจ ก็คือจะขึ้นชั้น ป.3 แล้ว ทำไมลูกถึงยังอ่านเขียนหนังสือไม่ได้เลย พยัญชนะไทย 44 ตัวก็ยังจำได้ไม่แม่น ไม่นับตัวสะกด ผันวรรณยุกต์ต่าง ๆ จำสับสนปนเปกันไปหมด

คุณแม่เคี่ยวเข็ญ จับมาสอนให้ท่องจำแค่ไหน ไม่นานก็ลืม ต้องมาสอนจำพยัญชนะกันใหม่ตลอด พอเอามารวมตัวสะกดให้เป็นคำ ใส่วรรณยุกต์ ลูกสับสนมาก อ่านเขียนผิดซะมากกว่าถูก จะว่าลูกไม่ฉลาด สติปัญญาไม่ดี ก็ดูจะไม่ใช่ เพราะเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันจะจำได้ดี ดูจะฉลาดเอาตัวรอดเก่ง ตอนนี้มีปัญหาคือ เวลาสอนการบ้านลูกทีไร คุณแม่โมโหทุกที ดุว่าไปบ่อยๆ “แค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้” “มันยากเย็นอะไรหนักหนา” ลูกกลัวคุณแม่ ไม่อยากอ่านเขียน คอยจะเลี่ยง ทำใหัความสัมพันธ์แม่ลูกไม่ดี

ที่โรงเรียน คุณครูแจ้งให้คุณแม่ทราบว่า ลูกเรียนวิชาอ่านเขียนได้ช้า เรียนวิชาการไม่ทันเพื่อนในห้อง แต่พวกวิชาวาดรูป พละศึกษา วิชาที่ต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ เด็กทำได้ดีเท่าหรือจะดีกว่าเพื่อนร่วมชั้น คุณครูจึงช่วยด้านการเรียนโดยในเวลาว่างครูจะให้มาฝึกเขียนอ่านแยกต่างหากให้เป็นพิเศษ แต่เด็กก็ยังอ่านเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอจบชั้น ป.2 คุณครูประจำชั้นก็แนะนำให้คุณแม่พาลูกไปหาคุณหมอเพื่อดูว่าลูกมีปัญหาการเรียนรู้ หรือไอคิวบกพร่องอะไรหรือเปล่า พอรู้สาเหตุแล้ว ครูจะได้ช่วยเหลือให้ถูกจุด

เมื่อฟังคุณแม่เล่ามาแบบนี้ ในเบื้องต้น หมอปุ๊กจึงคิดว่าปัญหาหลักของลูกชายก็คือเรื่องปัญหาการเรียน คือเรียนรู้ทางวิชาการ ด้านการอ่าน การเขียนได้ช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกันทั้งๆ ที่ครูและแม่ก็ใส่ใจสอนให้ และถือว่าโชคดีที่ขณะนี้ เด็กไม่มีปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาจิตใจด้านอื่นๆ

หมอปุ๊กได้กล่าวถึงปัญหาการเรียนของเด็กว่ามีสาเหตุหลัก 3 ด้าน คือ

1.จากตัวเด็กเอง เช่น โรคซน สมาธิสั้น โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning disability) หรือแอลดี สติปัญญาบกพร่อง ปัญหาทางจิตใจอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า

2.จากครอบครัว เช่น การเลี้ยงดูไม่เอื้อต่อการเรียนของเด็ก รวมไปถึงขาดปัจจัยในการสนับสนุนการเรียน บรรยากาศครอบครัวเคร่งเครียด มีปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน

3.จากโรงเรียน สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ตามวัย เช่น ระบบการเรียนการสอนของโรงเรียน คุณสมบัติ ความสามารถ และทักษะในการสอนของคุณครู ความสัมพันธ์กับคุณครูและเพื่อนที่โรงเรียน

สำหรับสาเหตุของปัญหาการเรียนที่หมอปุ๊กนึกถึงมากที่สุดสำหรับเคสนี้ ก็คือ “โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ” หรือ “แอลดี” ซึ่งคำกว่าแอลดีนี้เป็นคำเรียกรวมของความบกพร่องของทักษะ 3 ด้านในการเรียน นั่นคือ 1. ทักษะการอ่าน 2. ทักษะการเขียนและการสะกดคำ 3. ทักษะการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์

หมอปุ๊กได้แนะนำให้คุณแม่พาลูกไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กหรือกุมารแพทย์ เพื่อทำการประเมิน และวินิจฉัยสาเหตุของปัญหาการเรียนของลูก ซึ่งแพทย์จะมีขั้นตอนการดูแลและช่วยเหลือเด็ก โดยซักประวัติเพิ่มเติมจากคุณพ่อคุณแม่ คนในครอบครัวที่เกี่ยวขัองกับเด็กและตัวเด็ก ตรวจร่างกาย ตรวจประเมินสภาพจิตใจของเด็ก และขอข้อมูลปัญหาการเรียนของเด็กจากคุณครู

ตามมาตรฐานการวินิจฉัยโรคแอลดีจะต้องตรวจประเมินระดับสติปัญญาร่วมกับตรวจแบบทดสอบประเมินความถูกต้องในการอ่านและสะกดคำ (Wide- Range -Achievement test) ฉบับภาษาไทย ซึ่งทำโดยนักจิตวิทยาคลินิก นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการช่วยเหลือเด็กโรคแอลดี ก็คือ เด็กแอลดีอาจจะมีภาวะอื่นๆเกิดร่วมด้วย เช่น โรคซน สมาธิสั้น โรควิตกกังวล การขาดแรงจูงใจในการเรียน หรือการมองเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง ฯลฯ ซึ่งภาวะที่พบร่วมเหล่านี้ควรได้รับการช่วยเหลือ ช่วยแก้ปัญหาให้เด็กไปพร้อมๆ กับการช่วยเหลือทางด้านการเรียน ผลการรักษาจึงจะครอบคลุมและได้ผลดีที่สุด

หมอปุ๊กกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเด็กแล้ว การเรียนเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ต่อการวางรากฐานชีวิตในอนาคตของเด็กคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่จำเป็นที่เด็กจะต้องแข่งขันกันเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายให้ได้ที่หนึ่งในระดับโรงเรียนหรือระดับประเทศ เด็กทุกคนไม่จำเป็นต้องเก่งวิชาการขนาดนั้น แต่หากเด็กคนใดจะเรียนได้ดีระดับนั้นโดยมีความสุขในการเรียน นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่าชื่นใจของพ่อแม่ แต่เด็กทุกคนต้องสามารถเรียนรู้ มีทักษะพื้นฐานในการอ่านเขียน การค้นคว้า การคิดวิเคราะห์เหตุผล เพื่อจะได้ต่อยอดหาความรู้ในสายงานต่างๆ ตามความถนัดความชอบต่อไป เมื่อพบว่าเด็กมีปัญหาการเรียนตั้งแต่วัยเด็กเล็ก วัยประถม พ่อแม่และครูก็ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยปละละเลย คิดว่าเด็กยังเล็ก ไม่เป็นไร เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน โตขึ้น ปัญหาการเรียนของเด็กจะยิ่งแก้ไขยากขึ้นๆ ดังนั้น หากพ่อแม่และครูพบปัญหาการเรียนของเด็กเล็กและไม่สามารถแก้ไขเองได้ ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เขี่ยวชาญ ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาและการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและครบวงจร ทั้งที่ตัวเด็ก ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งมั่นให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่าย พร้อมดูแลสุขภาพของผู้หญิง แม่ และเด็ก อย่างเข้าอกเข้าใจ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคและสุขภาพเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 หรือ www.navavej.com