เปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ กาแฟพรีเมียมใส่ขวด เจาะคนรุ่นใหม่

เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งในประเทศไทย เดินหน้าเปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ กาแฟขวดพร้อมดื่มระดับพรีเมียม มอบประสบการณ์กาแฟสไตล์คาเฟ่ชั้นเลิศ ที่ไหนเวลาใดก็ได้ตามต้องการ ใน 2 รสชาติ ‘คาราเมล เอสเปรสโซ’ และ ‘อเมริกาโน’ พร้อมราคาที่หาซื้อได้เพียง 29 บาท เอาใจคนรุ่นใหม่สายคาเฟ่ฮอปเปอร์ที่ชื่นชอบการดื่มด่ำกาแฟในร้านคาเฟ่

ปัจจุบัน เนสกาแฟ เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมที่มีมูลค่ากว่า 600 ล้านบาทและเติบโตประมาณ 16% ในปีที่ผ่านมา เนสกาแฟมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง พกพาสะดวก และดื่มได้ทุกที่ให้กับคอกาแฟ อาทิ เนสกาแฟ โคลด์ บริว เนสกาแฟ ทริปเปิ้ล เอสเปรสโซ และเนสกาแฟ อเมริกาโน เฮาส์เบลนด์ ขวดใหญ่ ล่าสุดจึงได้เปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ เสริมพอร์ตโฟลิโอกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมให้แข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ เนสกาแฟ ยังได้เปิดตัว ‘วี วิโอเลต วอเทียร์’ นักร้องสาวเสียงละมุน ขวัญใจวัยรุ่น ในฐานะพรีเซนเตอร์ ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ คนแรก ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการจิบกาแฟสไตล์คาเฟ่ เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มีชื่อว่า “น่ากิ๊นน่ากิน… บาริสต้าสไตล์ เข้มข้น หอมคาราเมล” ซึ่งเริ่มออกอากาศทางสื่อดิจิทัลทั่วประเทศแล้ววันนี้

นายธนธร พันพานิชย์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความสำเร็จของการครองความเป็นผู้นำในตลาดกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมของเนสกาแฟ ว่า เกิดจากปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ รสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม คุณภาพสูง มีความหลากหลาย ที่ตรงใจผู้บริโภค อีกทั้งราคาที่เหมาะสม ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายและให้ความสะดวกในการบริโภค และบรรจุภัณฑ์มีความสะอาดปลอดภัย

ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่อยู่บ้านและทำงานที่บ้านมากขึ้น ตลอดจนกระแสความคิดถึงการจิบกาแฟในคาเฟ่ในกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงาน เราจึงมีความยินดีในการเปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ เพื่อนำประสบการณ์กาแฟระดับพรีเมียมสไตล์คาเฟ่ในรูปแบบขวดพร้อมดื่มมาให้ผู้บริโภคดื่มด่ำได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่โดนใจคาเฟ่ฮอปเปอร์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดของเนสกาแฟอย่างแน่นอน

เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์ ให้คุณลิ้มลองกาแฟชั้นเลิศ ดื่มได้ทุกวัน ที่บาริสต้าทุกสไตล์แนะนำทั้ง 2 รสชาติ ได้แก่ ‘คาราเมล เอสเปรสโซ’ กาแฟสไตล์คาเฟ่ หอมนุ่ม กลมกล่อม หวานเบา ๆ จากการเบลนด์กาแฟชั้นดีสองสายพันธุ์ อาราบิก้าและโรบัสต้าอย่างลงตัว ผสานนมแท้ ๆ และอบอวลด้วยกลิ่นหอมที่หลายคนชื่นชอบอย่างคาราเมล เหมาะสำหรับคอกาแฟสายนุ่ม

และ ‘อเมริกาโน’ กาแฟอเมริกาโนสไตล์คาเฟ่ จากกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าผสานกันอย่างลงตัว รสชาติเข้มข้น หอม หวานน้อยเหมาะสำหรับคอกาแฟสายเข้ม ซึ่งทั้งสองรสชาติมาในรูปขวดพร้อมดื่มดีไซน์สวย คอกว้าง เพื่อรสชาติกาแฟเต็ม ๆ และยังได้รับสัญลักษณ์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพอีกด้วย

ดื่มด่ำเนสกาแฟบาริสต้าสไตล์ ใน 2 รสชาติ ได้แก่ ‘คาราเมลเอสเปรสโซ’ และ ‘อเมริกาโน่’ ขนาด 220 มิลลิลิตร ในราคาเพียง 29 บาท วางจำหน่ายแล้วที่เซเว่น-อีเลฟเว่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน และ Nestlé Official Store ในช่องทาง Lazada คลิกที่นี่เลย and Shopee คลิกที่นี่เลย

ท็อปส์ ชวน ก้าวไปด้วยกัน กับรองเท้ารุ่น Limited Edition ฉลองครบรอบ 25 ปี

ถ้าเทียบกับชีวิตมนุษย์ ท็อปส์ ในวัย 25 ปี คงเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและเต็มที่ที่สุดคนหนึ่ง เพราะ นอกจากจะสร้างสรรค์แคมเปญดีๆ มาอย่างต่อเนื่อง ในด้านการให้บริการ “ท็อปส์” ยังมุ่งมั่นตั้งใจดูแลผู้บริโภคทุกคนเป็นอย่างดี จนถือเป็น “ผู้นำธุรกิจค้าปลีก” ที่ครองใจคนไทยทั้งประเทศ ในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปี “ท็อปส์” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ขอชวนทุกคน “ก้าวไปด้วยกัน” กับรองเท้า Limited Edition ที่ออกแบบพิเศษ 2 แบบ 2 สไตล์ ได้แก่ “รองเท้าแตะ” และ “รองเท้าผ้าใบ” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Timeless Design” เพื่อให้รองเท้ารุ่นพิเศษนี้ เหมาะกับทุกยุคทุกสมัย ออกแบบโดยเลือกใช้สีสันที่โดดเด่น วัสดุคุณภาพเยี่ยมสวมใส่สบาย และที่สำคัญคุณภาพคุ้มเกินราคา!

ท็อปส์ รองเท้าแตะ เพื่อนคู่ใจ ใส่รับหน้าฝน คุณภาพดี ราคาเพียง 99 บาท! โดดเด่นด้วยสีแดง-ขาว ตัวอักษร TOPS ตัวรองเท้าทำจากวัสดุคุณภาพดี ใส่ลุยน้ำได้สบาย ไม่ลื่น ใส่ได้ตลอดปี

ท็อปส์ รองเท้าผ้าใบ เพื่อนคู่หู ไปไหนไปกัน สวมใส่ได้ทุกโอกาส สำหรับ Sneaker รุ่นนี้เลือกใช้ผ้าอย่างดีมาตัดเย็บ สวมใส่สบาย โดดเด่นมาแต่ไกลด้วยสีแดงสดกับสีเขียว ใส่ไปเที่ยวก็ดี หรือจะใส่ไปเล่นเซิร์ฟสเก็ตก็เท่ห์ไม่แพ้ใคร ที่สำคัญ ราคาเพียง 349 บาทเท่านั้น!

มองหารองเท้าคุณภาพดีที่ราคาคุ้มค่า ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร ใส่ไปช้อป ชิม แชะ จับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ ท็อปส์ เดลี่ และ ท็อปส์ ออนไลน์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tops.co.th , เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือ แอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand

คันทรี่กรุ๊ป แนะนำกลุ่มส่งออกผสาน Defensive

นายวทัญ จิตต์สำนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า ภาพรวมการลงทุนสัปดาห์นี้ยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ๆ โดยที่สถานการณ์ COVID-19 ยังเป็นปัจจัยที่มีผลมากสุดต่อการลงทุน ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ COVID-19 ยังไม่เห็นสัญญาณบวกจาก (1) จำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวระดับสูง (2) แนวโน้มการระบาดทั้งต่างจังหวัดรวมถึง กทม. และปริมณฑล ยังไม่เห็นสัญญาณกลับตัว / ชะลอตัว (3) การติดเชื้อต่อวันในวันอาทิตย์สูงกว่าหายป่วยกลับบ้าน อย่างไรก็ตามมีข้อดีเล็กน้อยคือการเสียชีวิตต่อวันลดลงแต่เชื่อว่าผลบวกต่อการลงทุนยังจำกัด ขณะที่สัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 2Q21 โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบมากสุดกับการระบาด COVID-19 ต้องติดตามว่าทั้งนักวิเคราะห์และผู้บริหารจะมีมุมมองอย่างไรหลังจากนี้ทั้งในเชิง Outlook และปัจจัยพื้นฐาน (Valuation , Target Price) อิงข้อมูลจาก Bloomberg ประเมินว่าสัปดาห์นี้ SET 100 จะรายงานราว 72 ตัว ดังนั้นจากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฎเต็มไปด้วยปัจจัยที่ค่อนไปทางลบจึงประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้จะแกว่งตัว Sideway – Sideway Down ในกรอบ 1500 – 1530 โดยมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่ากระตุ้นแรงขายนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้นอกเหนือจากการประกาศผลประกอบการได้แก่ (1) การรายงานตัวเลข CPI สหรัฐในวันพุธ Bloomberg ประเมิน +5.4%YoY เชื่อตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ใกล้เคียงคาดหรือดีกว่าคาดเล็กน้อย เพื่อมิให้ FED รีบถอนสภาพคล่องออกจากตลาด (QE Tapering) (2) สถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศหากมีสัญญาณบวก อาทิ หายป่วยสูงกว่าติดเชื้อต่อวัน หรือ ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ตลาดอาจเริ่มตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามหากเกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกันก็อาจจะเป็นแรงกดดันแทน

กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำหุ้น Defensive อย่างสื่อสารและโรงไฟฟ้าเช่นเดิม (ADVANC BCPG BGRIM GPSC GULF) รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า (ASIAN DELTA HANA KCE TU) เชื่อว่าจะ Outperform ได้มากกว่า Domestic Play

GPSC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 95 บาท) คาดผลประกอบการของบริษัทใน 2Q21 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นของ IPP ตามปัจจัยฤดูกาล (ค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้นของทั้ง GHECO-one และ GIPP) และการรับรู้กำไรที่สูงขึ้นจาก XPCL

KCE (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาด KCE รายงานผลการดำเนินงาน 2Q21E ที่ 531 ล้านบาท (+644% YoY และ 6%QoQ) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2020 และ เพิ่มขึ้น 7% QoQ ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคา

บีโอไอ ลงทุนครึ่งปีแรกปี 64 คำขอมูลค่ากว่า 3.8 แสนล้าน

บีโอไอ เผยยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มูลค่ากว่า 3.8 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 158 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ผลจากการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการพลังงานไฟฟ้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงสุดอยู่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการแพทย์ ขณะที่ FDI ครึ่งปีแรกมีมูลค่าสูงถึง 2.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 3.8 เท่า โดยการลงทุนจากญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งการขอรับการส่งเสริมฯ สูงสุด

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2564 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 801 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14 มูลค่าเงินลงทุน 386,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 158 ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการขนาดใหญ่ในกิจการพลังงานไฟฟ้าที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากถึง 198 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 120,814 ล้านบาท สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าเงินลงทุน 60,970 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการแพทย์มีมูลค่าเงินลงทุน

43,040 ล้านบาท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มีมูลค่าเงินลงทุน 28,160 ล้านบาท อุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหารมีมูลค่าเงินลงทุน 23,170 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพมีมูลค่าเงินลงทุน 20,720 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาด้านอัตราการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ พบว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 850 หรือ 9.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่จากกลุ่มทุนสหรัฐฯ ในกิจการผลิต Polylactic Acid (PLA) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่เติบโตมากกว่า 3.3 เท่า จากความต้องการอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยางทางการแพทย์ที่ไทยมีศักยภาพ

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 403 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 278,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3.8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2563 ทั้งปี (171,160 ล้านบาท) ร้อยละ 62 โดยประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่นมีมูลค่าเงินลงทุน 42,773 ล้านบาท รองลงมาคือ สหรัฐฯ มีมูลค่าเงินลงทุน 24,131 ล้านบาท และจีนมีมูลค่าเงินลงทุน 18,615 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 232 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 126,640 ล้านบาท โดยจังหวัดระยอง มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 64,350 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรี มูลค่าเงินลงทุน 40,860 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าเงินลงทุน 21,430 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ มีมูลค่าเงินลงทุน 5,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 132 และพื้นที่นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม มีมูลค่าเงินลงทุน 184,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 133

นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพ ในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 83 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 12,270 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ตามลำดับ ขณะที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs มีมูลค่าเงินลงทุน 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16

สินเชื่อจำนำมอไซค์ ลดดอกต่ำ กู้ 10,000 จ่าย 150 บาทต่อเดือน

บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ในเครือ บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SAWAD ร่วมกับธนาคารออมสิน เดินหน้าลดดอกต่ำตอกย้ำสโลแกน คิดให้ครบ อนุมัติไว วงเงินสูง ดอกต่ำ เปิดโปรโมชันใหม่สินเชื่อจำนำรถมอเตอร์ไซค์ หั่นดอกเบี้ย กู้หมื่นผ่อนแค่ 150 บาทต่อเดือน  ลดภาระรายจ่ายสบายกระเป๋าช่วยคนไทยทั่วประเทศในยามที่โควิดระบาดหนัก พร้อมเปิดโปรฯรับลูกค้า ดีเดย์ 9 สิงหาคมนี้

ธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ  SAWAD เปิดเผยว่า วิกฤตโควิดที่ต่อเนื่องยาวนานหลายระลอก ส่งผลต่อหนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นในระดับสูง จากการติดตามสถานการณ์และปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อสนองนโยบายภาครัฐและช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด ล่าสุดศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ พร้อมเดินเคียงข้างประชาชน เปิดโปรโมชันใหม่ให้ผู้กู้สามารถกู้ผ่อนชำระได้สบายกระเป๋าแม้ในยามวิกฤต ด้วยโปรโมชัน สินเชื่อจำนำรถมอเตอร์ไซค์ ผ่อนชำระแบบสบายๆ ด้วยการพักเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย ลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้กู้ในแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1.5% ต่อเดือน หรือกู้หมื่นจ่าย 150 บาทต่อเดือน ระยะเวลากู้ 12 เดือน โดยงวดสุดท้ายจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเท่านั้น

ทั้งนี้การออกโปรโมชันใหม่เพื่อช่วยคนไทย จะเป็นการสานต่อจากโปรโมชันเดิมที่ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจหั่นดอกเบี้ยต่ำเหลือ 0.49% ที่จ่ายทั้งเงินต้นและดอกในแต่ละงวดตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ซึ่งจะสิ้นสุดโปรโมชันเดิมในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยบริษัทเข้าใจต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งช่วยเหลือประชาชนด่วนที่สุด จึงได้ออกโปรโมชันใหม่ให้เท่าทันต่อสถานการณ์เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนผู้มาใช้บริการ ดีเดย์โปรโมชันใหม่ 9 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป

“ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยจากการติดตามตัวเลขหนี้ครัวเรือน ผลกระทบล่าสุดจากการแพร่ระบาดโควิดที่ลากยาวเกินครึ่งปี 2564 ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนทะลุ 90.5% ต่อจีดีพี นับเป็นตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงสุดในรอบ 18 ปี สะท้อนสถานการณ์หนี้ของประชาชนที่มีการเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยอาจเจอวังวนหนี้และรายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ เข้าใจต่อสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง จึงยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้กู้ที่มาใช้บริการ ด้วยการออกโปรโมชันใหม่ที่จะเริ่มให้บริการลูกค้าทั้ง 5,000 สาขา ทั่วประเทศ เริ่ม 9 สิงหาคมนี้ ทั้งนี้แม้จะกระทบรายได้จากดอกเบี้ยที่ลดลง แต่ศรีสวัสดิ์เชื่อมั่นโปรโมชันนี้จะต่อลมหายใจช่วยคนไทยรอดวิกฤตนี้ไปได้”ธิดา กล่าว

สำหรับลูกค้าที่สนใจโปรโมชั่นสินเชื่อจำนำรถมอเตอร์ไซค์ สามารถเข้าร่วมโครงการได้ที่สาขาของศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจทั่วประเทศกว่า 5,000 สาขา หรือที่ธนาคารออมสินกว่า 550 สาขา ส่วนสินเชื่อจำนำรถยนต์นั้น ศรีสวัสดิ์ ก็มีโปรโมชันในรูปแบบเดียวกัน สามารถขอเข้าร่วมโครงการได้ที่สาขาศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจเท่านั้น ติดตามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.sawad.co.th และทุกช่องทางการติดต่อสื่อสารของบริษัทฯ หรือโทร. 1652

คันทรี่ กรุ๊ป มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่ รพ.สนาม

ดร. วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เป็นตัวแทน “กลุ่มคันทรี่ กรุ๊ป มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภายใต้ชื่อโครงการ  “Medical Equipment for Hospital to help COVID-19 patients” ให้แก่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ บรมราชชนนี (โรงพยาบาลธัญญารักษ์) ที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสนามดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยมีนายแพทย์ สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันฯ พร้อมด้วยนายแพทย์ ล่ำซำ ลักขณาภิชนชัช รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ และคณะบุคลากรเป็นตัวแทนรับมอบ

SVT ตั้งเครื่องเวนดิ้ง แมชชีน บริการคนฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ

SUN Vending ตั้งเครื่องเวนดิ้ง แมชชีน ให้บริการประชาชนที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีน ศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ เดินหน้าส่งต่อความห่วงใยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19

นางอาภัสรา ภาณุพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT เปิดเผยถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั่วประเทศ ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาครัฐ ยังคงเข้มมาตรการลดความแออัดในที่สาธารณะและปูพรมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ลดโอกาสการแพร่ระบาดและติดเชื้อไวรัสโควิด-19

SVT ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แบรนด์ SUN Vending  พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันและร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อฟันฝ่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้  โดย SVT ได้นำ Vending Machine จำนวน 4 เครื่อง ที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม, ขนมขบเคี้ยว, อุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือ,หน้ากากอนามัย, น้ำยาฆ่าเชื้อ และเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น ไปติดตั้งบริการบริเวณประตูทางเข้าที่1 และ 3 สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้มีเครื่องดื่ม หรือขนมขบเคี้ยวรับประทาน เพิ่มความสดชื่นและมีพลังระหว่าที่รอคิดเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยสินค้าทั้งหมดภายในตู้ SVT ได้ร่วมมือกับคู่ค้า นำสินค้าคุณภาพมาตรฐานมาจัดจำหน่ายในราคาพิเศษ   เพื่อลดภาระค่าครองชีพ แบ่งเบาภาระคนไทยช่วงวิกฤตโควิด-19 รวมถึงยังเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น

สำหรับ Vending Machine ทั้ง 4 เครื่อง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เหมาะสำหรับยุค New Normal ตัวเครื่องรองรับการชำระค่าสินค้าผ่าน Cashless Payment ต่างๆ อาทิ พร้อมเพย์, TrueMoney Wallet,  Rabbit Line Pay รวมถึงเงินสดทั้งเหรียญและธนบัตร เพื่อความสะดวกรวดเร็วและง่ายสำหรับการใช้บริการของผู้บริโภค โดยเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติทุกเครื่อง   ผ่านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

“SVT ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้า รับมือสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 และส่งเสริมให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 อย่างทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประเทศไทยก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 กลับคืนสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด” นางอาภัสรา กล่าว

ขณะที่ นายพิศณุ โชควัฒนา รองผู้อำนวยการสายงานการผลิต บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT กล่าวว่า การนำ Vending Machine ทั้ง 4 เครื่อง มาติดตั้งให้บริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนได้เป็นอย่างดี ช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐในการจัดหาเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว มาให้บริการประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน

“SVT ยังคงสานต่อภารกิจสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเคียงข้างช่วยเหลือคนไทย ตามปณิธานการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมของบริษัท” นายพิศณุ กล่าว

นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564  เมื่อ 2563 บริษัทฯ  ได้นำ Vending Machine ไปตั้งให้บริการกับประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, โรงพยาบาลลาดพร้าว, เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ ชั้น 3 , เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 5, เซ็นทรัลเวิร์ลด ชั้น 7, บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) และศูนย์การค้าบิ้กซี อีกหลายสาขา เป็นต้น

รวมทั้ง ยังได้สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน และการมอบข้าวกล่อง-เครื่องอุปโภคและบริโภค แก่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ เป็นต้น โดย SVT พร้อมช่วยเหลือทุกหน่วยงานและบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

TM ผุดสินค้าฆ่าเชื้อไวรัสเจาะตลาด มั่นใจทั้งปีรายได้แตะ 650-700 ล้าน

บมจ.เทคโนเมดิคัล (TM) เดินเกมรุกเจาะตลาดฆ่าเชื้อไวรัสต่อเนื่อง ส่งสัญญาณการฟื้นตัวครึ่งปีหลังผลการดำเนินเติบโตผ่านฉลุย เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ ยอดขายสินค้ากลุ่มผ่าตัดหัวใจฉุดยอดขายลด พร้อมลุยจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มป้องกันโควิด ทั้ง Antigen test kit -ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ พร้อมเตรียมจำหน่าย Oxygen High Flow และ Oxygen Concentrator ในกลางส.ค.นี้ ระบุมั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้า 650-700 ล้านบาท

นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ยังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานรัฐ และองค์กรเอกชน ตระหนักถึงความปลอดภัยจากไวรัสดังกล่าว TM ในฐานะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อไวรัส Covid-19 มีความมุ่งมั่นในการให้บริการของบริษัทฯผ่านแพลตฟอร์ม TM CARE SHOP และช่องทางออนไลน์ต่างๆมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทิศทางครึ่งปีหลัง เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นในการนำสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการตลาดโดยเฉพาะชุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 (Antigen test kit) ที่บริษัทฯได้เริ่มจำหน่ายแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งล่าสุดมียอดออเดอร์เข้ามาแล้วกว่า 70 ล้านบาท

และภายในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทฯเตรียมจำหน่ายสินค้าใหม่ คือ อุปกรณ์ใช้สำหรับควบคุมการไหลของออกซิเจน (Oxygen High Flow) และเครื่องผลิตออกซิเจนในความเข้มข้นที่สูง (Oxygen Concentrator) ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการมากในการดูแลผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงเครื่องฟอกอากาศ เพื่อใช้ภายในบ้านที่มีไอออน ช่วยการดักจับฝุ่นขนาดเล็ก ได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์กลุ่มอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง ที่ปัจจุบันมีความต้องการเป็นจำนวนมาก และบริษัทฯจำหน่ายอยู่แล้ว อาทิ น้ำยาฆ่าเชื้อ เจลล้างมือ สเปรย์ปรับอากาศฆ่าเชื้อโรค หน้ากากอนามัย และ ชุด PPE ยังคงมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทฯในครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น ส่งผลให้บริษัทฯมั่นใจว่า แนวโน้มผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีหลังส่งสัญญาณเชิงโดยจะมีทิศทางการเติบโตมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ กลุ่มอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับไวรัสโควิด-19 ก็ยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งก็จะส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ 650-700 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ากว่า 293 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าของการดำเนินการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางภายใต้โครงการ “THE PARENTS” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารTM กล่าวเพิ่มว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อม ในการก่อสร้างอาคาร Nursing Home เพื่อใช้เป็นสถานที่รับดูแลผู้สูงอายุทุกภาวะ เฟส2 คาดว่าเริ่มก่อสร้างได้เดือนตุลาคมนี้ จากก่อนหน้านี้ได้มีการก่อสร้างในเฟสแรกไปแล้ว ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่าศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางดังกล่าว จะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2566 ซึ่งหากแผนขยายธุรกิจดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมาย จะส่งผลให้บริษัทฯ ทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้เข้ามาเฉลี่ย100-150 ล้านต่อปี โดยรายได้ดังกล่าวเข้ามาชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในส่วนของรายได้ประจำ (Recurring income) ให้มีความเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าจำนวน 293.58 ล้านบาท ลดลง 15.31 ล้านบาท หรือ 5 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง และเครื่องมือทางการแพทย์ โดยเฉพาะยอดขายจากสินค้ากลุ่มผ่าตัดหัวใจลดลง ประกอบกับการแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงสูง อีกทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า อาทิ ค่าขนส่งทางเรือ และทางอากาศ มีการปรับตัวสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ (งบการเงินเฉพาะกิจการ ) สำหรับงวด 6 เดือน 2564 อยู่ที่ระดับ 29.74 ล้านบาท แต่มีขาดทุนสุทธิ (งบการเงินรวม) จำนวน 0.67 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะกิจการเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากการขายที่ดินให้ TMNC จำนวน 28.60 ล้านบาท ขณะที่มีขาดทุนเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานปี 2563 เนื่องจากยอดขายลดลง และค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดการขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน (ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น) และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากกาไรขายที่ดินของบริษัทใหญ่

ALT นำแพลตฟอร์ม AI ประมวลผลปลูกกัญชา

เอแอลที ร่วมมือ สยามแคนนาเทค – บริษัท โรงงานเภสัชฯ เจเอสพี ต่อยอด “โครงการเกษตรอินทรีย์เขาค้อ อินโนเวชั่นพาร์ค” ในการปลูกกัญชา เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เผยใช้แพลตฟอร์ม AI เกาะติดทุกขั้นตอนการปลูกกัญชานำข้อมูลหรือ Big data มาวิเคราะห์ประมวลผล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยรวมทั้ง รักษาสมดุลผู้ซื้อและผู้ปลูก และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดทั้งคุณภาพและราคา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ “โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค” ในส่วนของบริษัทสยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT โดยมีพลเอกพลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มกล้า เขาค้อ มาร่วมเป็นสักขีพยาน

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวว่า โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค เป็นโครงการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ พืชพรรณ สมุนไพร พืชยา กัญชา และผักต่างๆ ตามโครงการทหารพันธุ์ดี ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสร้างรายได้ให้วิสาหกิจชุมชนอีกทางหนึ่ง

เรายินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค ซึ่ง ALT ทำธุรกิจเทเลคอม อินโนเวชั่น เป็นหลัก ได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา ดัดแปลงทำเป็นแพลตฟอร์มในการตรวจติดตามการปลูกกัญชา เพราะตัวกัญชา ถือเป็นสารเสพติดประเภท 5 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจติดตามตั้งแต่เมล็ด การเพาะปลูก และการเติบโตเป็นอย่างไร โดยใช้ AI ในการติดตามประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อไปทำ Big Data ให้สามารถคาดการณ์ว่า การผลิตจะออกมาวันไหน เดือนไหน เท่าไหร่ เพื่อไปสู่การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตรแม่นยำ ( Agriculture Technology) และ ระบบสามารถ แมชชิ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ผลผลิตไม่ล้นตลาด หรือไม่ทำให้ราคาสูงจนเกินไป แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งผลผลิตได้ตามเวลาที่ต้องการ ให้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย

ด้าน ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเห็นการทำงานครบ value chain โดยทางโครงการเกษตรอินทรีย์หรือมูลนิธิ เป็นเสมือนแกนกลางในการเชื่อมโยงภาคเอกชน 3 ส่วน คือ ผู้ปลูก ซึ่งผู้ปลูกก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนปลายน้ำคือผู้ผลิต ก็คือบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี จะการดำเนินการผลิต ทั้งที่เป็นยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอาง รวมทั้งเครื่องมือที่อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตสกัดกัญชา กัญชง และพืชเสพติด

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ ทางผู้ปลูกสามารถทำหน้าที่ซัพพลายกัญชา หรือพืชสมุนไพรอื่นให้กับบริษัทโรงงานเภสัชฯ เจเอสพี นำมาสกัดโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือใช้แพทย์แผนไทยมาต่อยอดในการสกัดสมุนไพรเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ยาแผนโบราณ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่มาจากน้ำมันกัญชา ทำเป็นครีมเซรั่ม ถือเป็นความร่วมมือที่ครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน คือต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

พลเอก พลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มเกล้าเขาค้อ กล่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปี โดยพลเอกพิจิตร กุลวนิช ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ต้องการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่เขาค้อ และจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดแนวคิดในการนำวัตถุดิบมาแปรรูป และทำเป็นศูนย์กลางเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี และบริษัทเอแอลที จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เป็นที่ทราบดีว่าเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการเสียชีวิตซึ่งทางศูนย์จะเร่งดำเนินการเรื่องฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งจะปลูกพืชที่เป็นประโยชน์คือกัญชา กัญชง หรืออื่นๆ

โดย ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะทำให้การก้าวเดินไปได้ตามที่กำหนด และทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่อาจไม่ได้เห็นผลภาย 6-12 เดือนแต่มั่นใจว่าจะเห็นผลในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตอาจขายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

โอสถสภา แต่งตั้ง พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และ จรัมพร โชติกเสถียร เป็นกรรมการอิสระ

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ ประกาศแต่งตั้งกรรมการอิสระใหม่ 2 ท่าน ได้แก่ พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และนายจรัมพร โชติกเสถียร ทั้งสองท่านมีประสบการณ์ในการทำงานในองค์กรชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์ การขยายธุรกิจ และการบริหารงานของโอสถสภาให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในประเทศไทยและในภูมิภาค CLMV โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2564

นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 15 ท่าน เป็น 17 ท่าน โดยแต่งตั้งให้ พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และนายจรัมพร โชติกเสถียร เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระของบริษัทฯ เนื่องจากบุคคลทั้ง 2 ท่าน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มากด้วยประสบการณ์ และเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

กรรมการอิสระทั้งสองท่านที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ต่างเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้ร่วมสร้างการเติบโตให้กับองค์กรชั้นนำและขับเคลื่อนนโยบายในระดับประเทศพลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประธานกรรมการ (กรรมการอิสระ) บมจ. ทีโอที ในปี 2557-2562 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เช่นเดียวกับ นายจรัมพร โชติกเสถียร ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนของไทย  เคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยวางรากฐานสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งที่สำคัญในบริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่ง

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 2 ท่านให้เกียรติเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัทฯประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของทั้งสองท่านจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและกลยุทธ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทให้บรรลุเป้าหมายและเอื้อต่อการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค นำมาซึ่งการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายสุรินทร์ กล่าว