คาลเท็กซ์ พาวเวอร์ ดีเซล แถมความสดชื่นด้วยน้ำดื่ม คริสตัล

บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คาลเท็กซ์ จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ เพียงเติมน้ำมันคาลเท็กซ์ พาวเวอร์ ดีเซล ที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ที่ร่วมรายการ ครบทุก 800 บาท พร้อมชำระด้วยเงินสด บัตรเครดิต หรือบัตรสตาร์แคช (Starcash) รับฟรีทันทีน้ำดื่มคุณภาพ คริสตัล ขนาด 1.5 ลิตร 1 ขวด (จำกัดการรับน้ำดื่มสูงสุดไม่เกิน 2 ขวด ต่อ 1 ใบเสร็จ ต่อการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง) ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด 

ช้อปอะไรดี? สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดผสมนม

สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดผสมนม (ทุกรสชาติ) จัดโปรโมชั่น Study from home สำหรับคุณหนูๆ สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดผสมนม ที่ผสานคุณค่าของซุปไก่สกัด เข้ากับนม พร้อม DHA OMEGA3 และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 8 ชนิด รสชาติอร่อย ดื่มง่าย ได้ประโยชน์ เหมาะกับเด็กวัยเจริญเติบโต ขนาด 160 มล. 1 ขวดมูลค่า 35 บาท (ทั้งรสช็อกโกแลตและกลิ่นวานิลลา) แถมฟรีทันที อาหารเช้าโกโก้ครั้นช์ 25 กรัม กล่อง (มูลค่า 10 บาท ) จำกัดการซื้อไม่เกิน 10 ชุด/ใบเสร็จ สามารถซื้อสินค้าได้แล้ววันนี้ ที่ 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ จนถึง 23 สิงหาคม 2564 เท่านั้น

สนใจช้อปสินค้าทาง shopee คลิกที่นี่เลย 
ช้อปสินค้าทาง lazada คลิกที่นี่เลย

โกลเบล็ก มองหุ้นไทยไซต์เวย์ เก็งกำไรหุ้นอานิสงส์ค่าบาทอ่อน

บลโกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ Sideway หลังขาดปัจจัยใหม่หนุน บวกการแพร่ระบาดของโควิด-19 การฉีดวัคซีนป้องกัน และปัญหาการเมืองที่พร้อมปะทุ จึงให้กรอบดัชนี 1,510-1,570 จุด จึงแนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ ปี มาแตะ 33.39 บาทต่อบาร์เรล ชู AHSATNERSTAKCEHANASMT ASIAN

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคง Sideway โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด แนะจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิดซึ่งจะทยอยประกาศภายในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวลดลง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังมีความอ่อนไหวต่อประเด็นการรับวัคซีน

อีกทั้งทาง  ส.อ.ท. ได้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค. ลดลงต่อเป็นเดือนที่ 4 แตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลายและกระจายวงกว้างไปทั่วประเทศ การแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งทำให้กำลังการผลิตลดลง เนื่องจากแรงงานต้องกักตัวทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งโรงงานบางแห่งต้องปิดชั่วคราวเพื่อทำความสะอาด และที่สำคัญแรงงานในภาคอุตสาหกรรมยังได้รับวัคซีนในสัดส่วนที่น้อย

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศก็ยังร้อนระอุ โดยจะมีการนัดชุมนุมทางการเมือง CAR PARK ยกระดับปราศรัยไล่นายกฯ พร้อมกันทั่วไทยวันที่ 15 ส.ค. นี้ จึงคาดการณ์กรอบเคลื่อนไหวของดัชนี 1,510-1,570 จุด

ส่วนปัจจัยต่างประเทศทางสหรัฐได้เปิดเผยว่าจำนวนติดเชื้อโควิด-19 เฉลี่ยในรอบ 7 วันในสหรัฐ เพิ่มสูงกว่า 100,000 รายต่อวัน เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจพบในกลุ่มประชากรที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ทั้งนั้นยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาทิ การรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนภายในวันที่ 16 สิงหาคมนี้เป็นวันสุดท้าย ด้านสภาพัฒน์ จะมีการแถลงตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/2564  และทางศบค.จะทบทวนมาตรการล็อคดาวน์ 29 จังหวัดสีแดงเข้มรอบใหม่ในวันที่18 ส.ค. ส่วนสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วาระ2-3

ด้านปัจจัยต่างประเทศ อาทิ  ทางอียูจะมีการรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจขั้นต้นเดือนส.ค. และสหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อม อัตราเงินเฟ้อ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. รวมทั้งสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และในช่วงปลายเดือนสิงหาคมทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 ออกมาดี ได้แก่ WICE, AS, BCH, LANNA, SPALI, XO และCKP และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกของไทย ได้แก่ AH, SAT, NER, STA, KCE, HANA, SMTและ ASIAN

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มผันผวน จากความกังวลในการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดในการประชุมเดือน ส.ค.-ก.ย.เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ที่ 1,700-1,760 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน จากความกังวลการปรับลดวงเงิน QE

แม็คโคร ผนึก กรมการค้าภายใน ช่วยชาวสวนมังคุดกว่า 550 ตัน

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) โดย นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร (ที่ 3 จากซ้าย)  ให้การต้อนรับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ที่ 4 จากซ้าย)  และ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดย นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน (ที่ จากซ้าย) ตรวจเยี่ยมการจำหน่ายมังคุดภายในสาขาของแม็คโคร เพื่อรณรงค์ช่วยเหลือชาวสวนมังคุดภาคใต้ที่กำลังประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด เพิ่มช่องทางระบายผลผลิตกระจายขายทุกสาขาทั่วประเทศ โดยรับซื้อไปแล้ว 350 ตัน คาดว่าตลอดฤดูกาลจะรับซื้อได้ประมาณ 550 ตัน ณ แม็คโคร สาขาสามเสน

โลตัส ร่วมโครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 

โลตัส จับมือเครือข่ายพันธมิตร มูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา และองค์กรสื่อกว่า 100 หน่วยงาน ร่วมแจกอาหาร 2,000,000 กล่องให้กับชุมชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้โครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” สนับสนุนโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตั้งจุดแจกข้าวกล่อง 40 จุด ให้เครือข่ายจิตอาสาและมูลนิธิที่เป็นพันธมิตร มารับข้าวกล่องเพื่อกระจายสู่ชุมชนต่อไป โดยอาหาร 1,000,000 กล่อง มาจากร้านอาหารรายย่อยที่ได้รับผลกระทบ ส่วนอีก 1,000,000 กล่องร่วมสมทบโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยปัจจุบันยังคงมีความน่ากังวล และได้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หลายคนต้องทำการแยกกักตัวที่บ้าน และจำนวนมากต้องขาดรายได้ รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยทั้งในและนอกศูนย์การค้า ที่ประสบปัญหาขาดรายได้ ทำให้ โลตัส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เครือข่ายพันธมิตร มูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา และองค์กรสื่อ จับมือกันในโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” มอบอาหาร 2,000,000 กล่องให้กับชุมชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเป็นการสนับสนุนร้านอาหารรายย่อยในการประกอบอาหารไปพร้อม ๆ กัน นอกจากอาหาร 2,000,000 กล่องแล้ว เรายังร่วมบริจาคมังคุด 100,000 แพ็คที่เครือเจริญโภคภัณฑ์รับซื้อจากเกษตรกรในภาคใต้ และหน้ากากอนามัยซีพีอีกด้วย

โลตัส ใช้สาขาของเรา 10 สาขา ได้แก่ สาขาพระราม 4, ศรีนครินทร์, หลักสี่, หนองจอก, พระราม 1, รังสิต, ปทุมธานี, พระราม 2, บางปู, และบางกะปิ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชุมชนต่าง ๆ เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกข้าวกล่อง มังคุด และหน้ากากอนามัย จากทั้งหมด 40 จุดภายใต้โครงการ “ครัวปันอิ่ม” เพื่อให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสา มารับทุกวันก่อนกระจายต่อถึงมือชุมชน

โครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยขับเคลื่อนโครงการ ทั้งเครือข่ายขององค์กรสื่อที่ทำหน้าที่ประสานงานทุกภาคส่วน และความเข้าใจในพื้นที่และความต้องการของประชาชนของมูลนิธิ และกลุ่มจิตอาสา และทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการมอบข้าวกล่องสู่มือผู้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ต้องทำการแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อให้พวกเขาได้มีอาหารที่ดีรับประทาน โลตัสเพร้อมเดิมหน้าสนับสนุนให้พี่น้องชาวไทยสามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน” นายสมพงษ์ กล่าวสรุป

พรินซิเพิล แนะสะสมหุ้นเวียดนาม

บลจ. พรินซิเพิล ประเมินเศรษฐกิจเวียดนามแข็งแกร่ง รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ยกระดับประเทศสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก และก้าวสู่สังคมเมือง หนุนการเติบโตในระยะยาว มองสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ล่าสุด แม้ส่งผลต่อการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเติบโตสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ชี้เป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้น หลังตลาดปรับฐานแล้วในช่วง เดือนที่ผ่านมา และจะกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น ชูกองทุนเปิดพรินซิเพิล  เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2564 (กรกฎาคม) ที่ 42.95% และ 1 ปีย้อนหลังที่ 96.84% สูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นเวียดนามทั้งหมด (Benchmark : 51.18% และ 110.26% Source Bloomberg ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564) โดดเด่นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและน่าสนใจต่อการเข้าลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากภายหลังเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีน ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) จำนวนมากจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต เนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่าประเทศไทยและจีน 2 – 2.5 เท่า และมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีเพื่อสิทธิประโยชน์จากภาษีมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายการบริหารประเทศที่ค่อนข้างนิ่ง มีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้เวียดนามกำลังยกระดับจากประเทศ เกษตรกรรม ไปสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก’ และการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมืองหรือ Urbanization จากรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคนี้

สำหรับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติหรือ FDI ในเวียดนามในปี 2564 คาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของ GDP และเคยพุ่งขึ้นสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าประเทศไทย จีนและค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุน FDI 3 อันดับแรกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต สาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีการลงทุนในเซ็กเตอร์อื่นๆ เช่น ค้าปลีกส่ง, เทคโนโลยีและยานพาหนะ, โลจิสติกส์และการขนส่ง เป็นต้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามกำลังก้าวสู่ประเทศอุตสาหกรรมการผลิตและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดส่งออกจากจีนได้มากพอสมควร โดยมีบริษัทต่างชาติชั้นนำที่ลงทุนในเวียดนาม อาทิ Nidec ผู้ผลิตมอเตอร์จากญี่ปุ่น, LG และ SAMSUNG บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้, Goertek ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในจีน ฯลฯ 

ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์และที่อยู่อาศัย โดยในเซ็กเตอร์นิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีการขยายตัวจากพื้นที่ตอนใต้ สู่ตอนกลางและตอนเหนือของเวียดนาม เนื่องจากความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง เช่น อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี, อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์, Vinfast แบรนด์รถยนต์ของเวียดนาม เป็นต้น ส่งผลให้ราคาที่ดินในเวียดนามภายหลังเกิดเทรดวอร์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รุกขยายธุรกิจจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย สู่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองดีมานด์ รวมถึงเกิดความต้องการด้านโลจิสติกส์และที่อยู่อาศัยโดยรอบนิคมฯ เพื่อรองรับการลงทุน จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาคการนำเข้าส่งออกของเวียดนามในช่วง ปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโตสูงมาก โดยไตรมาส 2 ของปีนี้เติบโตถึง 40%

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. พรินซิเพิล กล่าวต่อว่า หากพิจารณาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของเวียดนามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ย วันย้อนหลังเพิ่มขึ้นเป็น 7,878 คนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 150,000 คน ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามจึงขยายระยะเวลาล็อกดาวน์นครโฮจิมินห์และอีก 18 พื้นที่ต่อไปถึงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ส่วนเมืองดานังและฮานอยอาจถูกขยายระยะเวลาล็อกดาวน์เช่นกัน ขณะที่ผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ แล้วมีสัดส่วน 5.49% และ 0.6% ของประชากรทั้งประเทศ (กว่า 90 ล้านคน) การฉีดวัคซีนจึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนถึง 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ 70% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า พร้อมทั้งได้จัดหาวัคซีนรองรับจำนวน 100 ล้านโดส 

ทั้งนี้ แม้ว่านักวิเคราะห์ทั่วโลกได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้เหลือ 6.55% (ข้อมูล ณ 30 กรกฎาคม 2564) จากเดิม 6.7% (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564) และ 7.3% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) อย่างไรก็ตาม บลจ. พรินซิเพิล มีมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามยังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดย IMF คาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2022 – 2026 (ณ เมษายน 2564) ที่อัตราเฉลี่ย 6.84% ต่อปี ซึ่งจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคเอเซีย ดังนั้นในช่วงไตรมาส นี้ เป็นจังหวะดีในการ ทยอยสะสม’ หุ้นเวียดนามโดยการซื้อเฉลี่ยแบบ DCA หลังจากในช่วง เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับฐานไปแล้ว โดยดัชนี VNINDEX ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดของเดือนที่ 1,243 จุด ณ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากจุดสูงสุดที่ 1,420 จุด ณ กรกฎาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าหากสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้ได้ ตลาดหุ้นเวียดนามพร้อมปรับตัวขึ้นตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ซึ่งเป็นกองทุนแฟลกชิพที่เข้าลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนามและเน้นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต โดยมีผลการดำเนินงานในปี 2564 (YTD – กรกฎาคม 2564) ที่ 42.95% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง ปี ที่ 96.84% (Benchmark : 51.18% และ 110.26% Source Bloomberg ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564) โดดเด่นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย** โดยสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ตั้งแต่วันที่ สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์  และตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686  9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App 

NOSTRA LOGISTICS ชูเทคโนโลยี Cold Chain Logistics ยกระดับภาคการขนส่ง

นอสตร้า โลจิสติกส์ ผู้พัฒนาโซลูชันและแพลทฟอร์มด้านการบริหารจัดการงานขนส่งสำหรับรถบรรทุก และงานขนส่งแบบเดลิเวอรี่ผ่านแอปพลิเคชัน NOSTRA LOGISTICS ePOD ระบบติดตามการขนส่งและโลจิสติกส์อัจฉริยะบนมือถือ เผยการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain Logistics ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง คาดมีมูลค่าตลาดโตสูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาทหรือขยายตัวราว 8% ภายในปี 2565 ด้วยอานิสงส์จากยอดส่งออกสินค้าเกษตร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีความต้องการสูง บวกกับผู้บริโภคอยู่บ้านลดความเสี่ยงสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลธุรกิจบริการขนส่งต้องเร่งปรับตัว เพิ่มการให้บริการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) สนับสนุนการขนส่งและการจัดการงานระบบติดตามตำแหน่งการขนส่งด้วย GPS Tracking ช่วยธุรกิจตรวจสอบและประเมินคุณภาพสินค้าตลอดระยะเวลาการขนส่ง ลดความเสียหายของสินค้าควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง

นางวรินทร สีสุขดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูลสถิติของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าตั้งแต่ปี 2561 ธุรกิจ Cold Chain Logistics  หรือ การขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 5 % ของตลาดธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งหมด และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 8% คิด หรือคิดเป็นมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการส่งออกสินค้าการเกษตร ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม ที่ตลาดมีความต้องการสูงขึ้น บวกกับปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงและมีการสั่งสินค้าประเภทอาหารสดออนไลน์ให้จัดส่งถึงบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจบริการขนส่งต้องปรับตัวหันมาให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain Logistics เพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดด เห็นได้จากตัวเลขของกรมการขนส่งทางบกรายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารด้วยรถบรรทุกแบบควบคุมอุณหภูมิมีจำนวนถึง 1,500 ราย และมีรถบรรทุกแบบควบคุมอุณหภูมิจำนวน 9,800 คันทั่วประเทศ

การบริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain Logistics  มีบทบาทสำคัญอย่างมากกับสินค้าเกษตร  เนื่องด้วยมีเงื่อนไขการขนส่ง ดังนี้ คือ 1. สินค้าต้องถูกขนส่งให้ถึงมือผู้บริโภคภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสียหายจากการขนส่ง  2. หีบห่อที่เหมาะสมในการขนส่ง เนื่องจากมีผลต่อคุณภาพสินค้า ช่วยลดความสูญเสียและการระเหยของน้ำ รวมทั้งลดอัตราการเน่าเสียได้อย่างมาก  3. การบริหารการกระจายสินค้าที่เหมาะสม มีส่วนช่วยให้ความเสียหายของสินค้าลดลง แต่ทว่าที่ผ่านมา กลับพบตัวเลขประมาณการณ์การขนส่งแบบการควบคุมอุณหภูมิอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับการขนส่งแบบปกติในประเทศ เนื่องจากการใช้รถขนส่งแบบการควบคุมอุณหภูมิ หรือ รถห้องเย็นนั้นยังมีจำนวนน้อย เพราะต้นทุนสูงกว่าการขนส่งปกติ ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางที่สูงกว่าจากระบบการควบคุมอุณหภูมิและการซ่อมบำรุง

“แม้ตัวเลขจำนวนการขนส่งแบบการควบคุมอุณหภูมิของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ด้วยวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาทวีความรุนแรงขึ้น รวมไปถึงไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปในพื้นที่ควบคุมสีแดงเข้มที่จำกัดการเดินทางเข้า-ออก ทำให้ธุรกิจขนส่งต้องเผชิญกับปัญหาการขนส่งพัสดุล่าช้า จนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ของผู้ให้บริการ คลังสินค้าและศูนย์กระจายพัสดุมีจำนวนพัสดุตกค้าง ไม่สามารถนำส่งถึงมือลูกค้าได้ ก่อให้เกิดปัญหาในระบบการขนส่งอย่างมาก โดยเฉพาะกับการขนส่งของสด” นางวรินทร กล่าวย้ำ

จากกรณีปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่หลายรายเริ่มปรับตัว โดยเพิ่มการลงทุนในการใช้รถห้องเย็นเพื่อเพิ่มการบริการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สินค้าประเภทอาหารหรือสินค้าเกษตรเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ขนส่งสินค้าประเภทยาและเวชภัณฑ์ได้อีกด้วย โดยการใช้เทคโนโลยีในการจัดการระบบ Cold Chain Logistics เช่น ระบบให้ความเย็นแบบประหยัดพลังงาน การใช้ระบบติดตามการขนส่ง และระบบการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่ต้นทางจนถึงการส่งมอบสินค้า จึงสามารถตรวจ ติดตาม และประเมินคุณภาพสินค้าได้ตลอดระยะเวลาการขนส่ง ช่วยลดความเสียหายของสินค้า ในขณะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งได้เป็นอย่างมาก

NOSTRA LOGISTICS ตระหนักถึงปัญหาระบบการขนส่งในทุกรุปแบบ จึงได้วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีโซลูชันด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง เพื่อสนับสนุนการจัดการ Cold Chain Logistics ด้วยโซลูชันของ NOSTRA LOGISTICS ที่มีเครื่องมือบริหารจัดการงานขนส่งและติดตามตำแหน่งด้วยอุปกรณ์กล่องจีพีเอส (GPS Tracking)  หรือสามารถใช้ระบบติดตามจีพีเอสที่มีบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและติดตั้งแอปพลิเคชัน NOSTRA LOGISTCIS ePOD ระบบติดตามการขนส่งอัจฉริยะบนมือถือ สามารถวางแผนและกำหนดเส้นทางขนส่งสำหรับจุดส่งสินค้าจำนวนมากในแต่ละวันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ติดตามตรวจสอบตำแหน่งที่รถวิ่งหรือจอดอยู่อย่างแม่นยำ  สนับสนุนการเชื่อมต่อเซนเซอร์ที่ใช้ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิภายในห้องเย็น ประตูรถ ฝาน้ำมัน ฯลฯ รวมทั้งยังสามารถติดตั้งระบบตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มเติมได้ด้วยเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ (Telematics) เช่น กล้องวิดีโอในรถยนต์แบบออนไลน์ที่เรียกว่า MDVR (Mobile Digital Video Recorder) สำหรับบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ระหว่างการขับรถขนส่งสินค้าไปยังปลายทาง จึงทำให้ผู้ให้บริการขนส่งสามารถส่งมอบสินค้าควบคุมอุณหภูมิถึงปลายทางได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานที่ผู้ประกอบการกำหนดได้เอง

นางวรินทร กล่าวเพิ่มเติมว่า  จุดเด่นของการบริหารการขนส่งของ NOSTRA LOGISTICS คือ สามารถควบคุมกระบวนการขนส่งได้ทุกขั้นตอน รวมถึงเชื่อมต่อไปยังฐานข้อมูลงานขนส่งของลูกค้าผู้ใช้บริการระบบ ทำให้การขนส่งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บริหารคลังสินค้าและการกระจายสินค้าได้อย่างแม่นยำ ลดความเสียหายและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับสินค้าควบคุมอุณหภูมิ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลการขนส่งแบบออนไลน์ Real-time ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อการตรวจสอบสถานการณ์ขนส่ง วางแผนหรือปรับเปลี่ยนคำสั่งในงานขนส่ง ดูรายงานสรุป รวมถึงมีข้อมูลในการตรวจสอบข้อมูลงานขนส่งย้อนกลับ (Traceability) เพิ่มมาตรฐานให้แก่ธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มความมั่นใจในการส่งมอบงานแก่ลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งสินค้าได้เป็นอย่างดี

SCAP ผนึก ALTITUDE ขยายพอร์ตสินเชื่อ เจาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย

บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด หรือ SCAP (เอสแคป) ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย และเป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) รุกผนึกกำลัง บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ALTITUDE เติมสุขให้คนอยากมีบ้าน ลดข้อจำกัด เพิ่มสภาพคล่องด้านการเงิน ด้านผู้บริหาร วิชิต พยุหนาวีชัย เชื่อความร่วมมือนี้ช่วยเสริมแกร่งในภาคธุรกิจ รับดีมานด์ด้านที่อยู่อาศัยจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจากโควิด-19 เริ่ม 1 สิงหาคมนี้

นายวิชิต พยุหนาวีชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด หรือ เอสแคป เปิดเผยว่าความร่วมมือกันของเอสแคปและ ALTITUDE ครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งในภาคธุรกิจในยุคโควิด-19 ซึ่งจากเดิมที่ทางเอสแคปมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เป็นหลักอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นการขยายตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคด้านที่อยู่อาศัย โดย เอสแคป ยังยึดแนวคิด “เข้าใจ เข้าถึง” ความต้องการของผู้บริโภค ที่ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยได้ปรับเปลี่ยนไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คนส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้าน หรือ  Work From Home ทำให้ความต้องการที่จะมีบ้านเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อลดการเดินทาง ลดความเสี่ยงในการกระจายตัวของเชื้อโรคในปัจจุบัน จากความสำคัญดังกล่าว ทำให้เอสแคปต้องการเพิ่มความสะดวกให้กลุ่มคนที่อยากมีบ้านสามารถมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยได้ง่ายและสบายมากยิ่งขึ้นผ่านความร่วมมือกับโครงการที่อยู่อาศัยของ ALTITUDE โดยลูกค้าของโครงการที่ประสงค์จะมีบ้านเป็นของตนเองสามารถเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์หรือหาเงินก้อนโตมาชำระให้กับโครงการ ทำให้การมีบ้านง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ผู้สนใจสามารถติดต่อโครงการ ALTITUDE ได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป

นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เสริมว่า รู้สึกยินดีที่ได้ผนึกกำลังกับทางเอสแคป ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านสินเชื่อรายย่อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ของโครงการ Altitude ได้มีความคล่องตัวด้านการเงิน ผ่านบริการของทาง ALTITUDE โดยตรง ปัจจุบันลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯได้ อาทิ (1) โฮม ออฟฟิศ โครงการ Altitude Prove เกษตร (2) พรีเมียม ทาวน์โฮม โครงการ Altitude Kraf บางนา และ โครงการ Altitude Forest รัชดา (3) บ้านเดี่ยว โครงการ Altitude Forest อารีย์-โมนูเมนต์ (4) คอนโดมิเนียม โครงการ Altitude Unicorn สาทร-ท่าพระ โครงการ Altitude Symphony เจริญกรุง โครงการ One Altitude โครงการ Altitude Samyan และโครงการ The One Park ศาลายา (5) บ้านเดี่ยวพูลวิลล่า โครงการ Altitude Mastery สุขุมวิท และ (6) บ้านเดี่ยวคฤหาสน์ใจกลางสนามกอล์ฟ โครงการ The One Bellagio ได้ทุกวัน เช่นกัน

“ครั้งนี้เป็นโอกาสในการขยายตัว และขอบข่ายสินเชื่อของเอสแคปสู่กลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย ที่ผู้คนมักจะเป็นกังวล และเคยมีขั้นตอนการดำเนินการยุ่งยากและต้องหาเงินก้อนโตมาเพื่อจองบ้าน เอสแคปจะสนับสนุนและทำเรื่องยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเบาตัวมากขึ้น โดยผู้ซื้อที่ต้องการจองที่อยู่อาศัยสามารถยื่นขอสินเชื่อผ่านทาง ALTITUDE ได้ และในอนาคตเรายังคงมองหาโอกาสความร่วมมือต่างๆ รวมถึงการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างและครอบคลุม ตามเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำด้านบริการสินเชื่อแบบครบวงจรของเอสแคปอีกด้วย” นายวิชิต ทิ้งท้าย

 

JKN มั่นใจปีนี้เติบโตตามแผน 10-15%

บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN มองครี่งปีหลังกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ ฟอร์มยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง พร้อมเริ่มเก็บเกี่ยวรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ช  ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวม 457.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.6 ล้านบาท ลดลงเหตุค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริการเพิ่มขึ้น จากการดำเนินงานช่อง JKN18 ที่อยู่ในช่วงลงทุน และรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปีนี้ ทำได้ 160 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีเติบโตได้ 10-15% ตามแผน

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของปีนี้มั่นใจว่าสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ในครึ่งปีหลังจะเป็นหัวหอกที่ผลักดันการเติบโต ด้วยจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์แบบ Output Deal ทำให้ JKN สามารถนำเสนอคอนเทนต์แบรนด์ดังระดับโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มผู้ชมชาวไทยและในภูมิภาคอาเซียนในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิทัลและออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ด้วยแผนงาน JKN ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ช  หลังเข้าซื้อและบริหารสถานีทีวีดิจิทัลช่อง JKN18 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือด้านการตลาดและสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ในฐานกลุ่มผู้ชม รวมถึงเป็นช่องทางการขายสินค้าโดยตรงให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นที่น่าพอใจ แม้จะเผชิญปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่อาจส่งผลต่อบรรยากาศการจับจ่ายและซื้อสินค้าบ้าง แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาว ธุรกิจคอมเมิร์ชจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ผลักดันการเติบโตได้ดี และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำ JKN ก้าวสู่ Content Commerce Company อย่างเต็มตัวด้วยเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 457.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.6 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ เป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ทำรายได้และกำไรสุทธิให้แก่ผลงานในไตรมาสนี้ เป็นความสำเร็จจากการจำหน่ายคอนเทนต์ให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่ทยอยส่งมอบได้ต่อเนื่อง รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากเดิม 44% อีกด้วย โดย ณ สิ้นสุดไตรมาส 2/2564 JKN ยังมี Backlog รอส่งมอบคอนเทนต์ให้แก่ลูกค้าอีกกว่า 786 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ด้วยแผนยุทธศาสตร์ของ JKN ที่มุ่งขยายธุรกิจคอมเมิร์ช  โดยเข้าไปซื้อและบริหารทีวีดิจิทัล JKN18 ซึ่งอยู่ในช่วงลงทุนเริ่มต้นดำเนินงาน จึงมีค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม ทำได้ 900 ล้านบาท

“เรายังคงเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ 10-15% ตามแผนที่วางไว้  แม้จะมีปัจจัยลบจาก COVID-19 และทำให้มีการล็อกดาวน์ในช่วงนี้  แต่ด้วยลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายของ JKN  จึงยังสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าที่มีความต้องการซื้อคอนเทนต์ เพื่อนำไปออกอากาศอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศซึ่งเป็น Blue Ocean ของ JKN ที่ยังมีโอกาสขยายตลาดใหม่ๆ และมีฐานลูกค้าได้เพิ่มเติมอีกด้วย” นายจักรพงษ์ กล่าว

SFT โชว์ผลงานไตรมาส 2 กำไรโต 114.7%

บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน โชว์ผลงานสุดฮอตเติบโตก้าวกระโดดสวนกระแสปัจจัยลบ ทำกำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 พุ่ง 114.7% รับขีดความสามารถด้านการผลิตดี จากยอดออเดอร์ลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น บวกควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี ดันผลงานครึ่งปีแรกสุดหรู ทำกำไรสุทธิ 65.60 ล้านบาท เติบโต 87.6% ด้านผู้บริหารมองมั่นใจทั้งปีเติบโต 15-20% รับออเดอร์ลูกค้าขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมเล็งพัฒนาสินค้าใหม่ทดลองตลาด

นายซุง ชง ทอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์  (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจรด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) แม้จะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 ที่รุนแรงขึ้น บริษัทฯ ยังสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยกำไรสุทธิ 37.18 ล้านบาท เติบโต 114.7% หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 17.32 ล้านบาท และขยายตัวเพิ่มขึ้น 30.8% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ขณะที่รายได้จากการขายรวมทำได้  219.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.3% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวมที่ 166.03 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 18.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวมาจากขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่ดีของ SFT จากการตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์สีทาบ้าน ที่มีออเดอร์การผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปสูงขึ้น หลังเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ของไลน์การผลิตใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายนนที่ผ่านมา รวมถึงประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อัตราการใช้เครื่องจักรโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้นเป็น 85.2% ของกำลังการผลิตรวม ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง (Economy of Scale) รวมถึงการบริหารจัดการด้านวัตถุดิบที่ดี  เป็นผลให้ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน) SFT ทำกำไรสุทธิสูงถึง 65.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ผลการดำเนินงานครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมของ SFT ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เข้ามาใช้บริการในการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปของเราเพื่อนำไปช่วยสร้างภาพลักษณ์ และมูลค่าเพิ่มแก่แบรนด์สินค้า ตลอดจนการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตได้ส่งเสริมอัตราเติบโตของกำไรได้ดี แม้มีปัจจัยลบ Covid-19 ที่แพร่ระบาดมากขึ้นก็ตาม” นายซุง ชง ทอย กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFT กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการฉลากฟิล์มหดรัดรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถด้านการผลิตให้มีคุณภาพสูงสุด เนื่องจากไลน์การผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป โดยเฉพาะระบบการพิมพ์แบบกราเวียร์ ที่มีการรองรับดีมานต์ความต้องการลูกค้าจากยอดออเดอร์การผลิตฉลากที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโต 15-20% ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ SFT จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจรองรับโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ โดยนำความเชี่ยวชาญด้านการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Digital Flexible Packaging คาดว่าจะเริ่มทดลองตลาดได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้