สุดพีค! Flex 104.5 สร้างยอด Streaming มี Top Fan ทะลุ 3 ล้านคนใน 1 เดือน

บริษัท เฟล็กซ์ สเตชั่น จำกัด ผู้ผลิตรายการวิทยุ Flex 104.5 Ultimate Sound of Bangkok ภายใต้การนำทัพของหัวเรือใหญ่คุณจี๊บ – เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้ก่อตั้ง และบริหารงานโดยคุณอ้อม – พิยดา อัครเศรณี กรรมการผู้จัดการ เผยว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าในปี 64 Flex 104.5 นำเสนอภายใต้แคมเปญ “Stay tuned , Stay safe”  ที่มี 1) Stay tuned กับ 10 เพลงฮิต 45 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง 2) ขานรับกลุ่มผู้ฟังชาวออฟฟิศที่ Work From Home ด้วยการจับมือกับ 7 ร้านอาหารชื่อดังระดับประเทศส่งเมนูอร่อยไปเสิร์ฟประสบการณ์ความฟินระดับพรีเมียมฟรีถึงบ้าน 3) ร่วมกับ Volt Energy Wear สปอร์ตแบรนด์ชั้นดีสัญชาติไทยผลิตหน้ากากผ้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นพร้อมข้อความให้กำลังใจจากผู้บริหารและเหล่าเอฟ.เจ.ของคลื่น Flex 104.5 แจกฟรีให้แฟนๆ ชาวเฟล็กซ์กว่า 3,000 ชุดสร้างปรากฏการณ์หมดภาย 60 วัน

ล่าสุดนำเสนอความแข็งแกร่งจับมือเป็น Strategic Partnership กับ JOOX เปิดตัว Flex 104.5 ใน JOOX Live Radio เพื่อให้เข้าถึงพฤติกรรมการฟังวิทยุที่ไม่ได้หายไปไหน เพียงเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปตามยุคสมัย จากความแข็งแกร่งในการร่วมมือครั้งนี้ จากความเข้าใจพฤติกรรมการฟังเพลง รวมถึงการนำเสนอกิจกรรมที่เข้าใจส่งตรงไปเสิร์ฟคนฟังได้อย่างรู้ใจ ทำให้ Flex 104.5 มียอด Streaming Top Fan จากทุกช่องทางออนไลน์ทะลุ 3,000,000 คนภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ยังสร้างสถิติสุดเจ๋งขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน JOOX ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน จึงเตรียมส่งกิจกรรมแทนคำขอบคุณ ชวนผู้ฟังเล่นเกมส์ลุ้น iPhone13 สามารถติดตามรายละเอียดและกติกาเข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ที่: https://www.flexconnect.net/ หรือ Application: FlexConnect

ศุภาลัย ทุ่มสุดตัวอัดโปรฯแรง “ลด Unlock น็อกทุก Deal”

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาฯ ต้องปรับตัวเดินหน้าต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในส่วนของบริษัทฯ ยังคงแผนธุรกิจตามที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี 2564 ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่และเป้าหมายยอดขาย ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ เติบโต 8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วจำนวน 9 โครงการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก สำหรับครึ่งปีหลังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 22 โครงการทั่วประเทศ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ คาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มจะเริ่มฟื้นตัวมากขึ้นจากเดิม จึงทำให้เร่งผลักดันกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งอัดโปรโมชั่นเด็ดส่งเสริมการขายเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่กำลังสรรหาที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ของศุภาลัย

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4 บริษัทฯ พร้อมทุ่มสุดตัวอัดโปรฯแรง ส่งท้ายปีภายใต้แคมเปญ “ลด Unlock น็อกทุก Deal” รับดีลส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 2,000,000 บาท* เมื่อจองบ้านและคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ในโครงการของศุภาลัย พร้อมรับฟรี! ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง 1ปีแรก ค่ามิเตอร์ไฟ-มิเตอร์น้ำ และอื่นๆ อีกหลายรายการ อีกทั้งพร้อมยื่นข้อเสนอพิเศษ หากกู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับการจองภายในวันที่ 1 ก.ย. – 20 พ.ย. 64 เท่านั้น!

อีกทั้งสามารถเข้าชมโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในรูปแบบออนไลน์ ได้แล้ววันนี้ผ่าน Supalai Private Tour สะดวก ง่าย และเป็นส่วนตัว เพื่อชมโครงการสวยๆ เสมือนมาด้วยตัวเอง หรือ สามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการด้วยตนเองได้ ณ สำนักงานขายทั่วประเทศ พร้อมมาตรการการเข้าเยี่ยมชมในช่วงโควิด – 19 เพื่อสร้างความมั่นใจ และปลอดภัยให้แก่ลูกค้า สามารถตรวจสอบรายชื่อ โครงการบ้านและคอนโดมิเนียม ที่เข้าร่วมรายการ โทร.1720 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Supalai Society

ทรู 5G ย้ำอีกหนึ่งพลังเชื่อมโยงการเรียนรู้และสปิริตสู่เยาวชนไทยทั่วประเทศ

เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาการถูกรังแกในโรงเรียนให้ลดลง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนโดยเฉพาะต่อตัวเด็ก…กลุ่มทรู โดย นายโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร ร่วมกับ บมจ. ซัมซุง ประกันชีวิต (ประเทศไทย) โดย นายซอง บก จาง ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย นายเทอดชาติ ชัยพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มูลนิธิรักษ์ไทย โดย ดร. สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ กรรมการบริหาร และสมาชิกองค์การแคร์นานาชาติ และ นายชเว ย็อง-ซ็อก ฮีโร่ทรู 5G หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย จัดโครงการค่ายเยาวชน เทควันโด “Samsung Life Insurance 1st Online Taekwondo Youth Camp collaborated with True 5G” ในวันที่ 18-19 กันยายนนี้ ซึ่งกลุ่มทรู ในฐานะผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์ครบวงจร ที่มุ่งสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสื่อสารเพื่อผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเป็นเจ้าแห่งตลาดคอนเทนต์ รวมถึง King of Sports พร้อมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมด้านกีฬา และสนับสนุนการเรียนรู้ พัฒนาทักษะกีฬาแก่เยาวชนไทย โดยดึงศักยภาพผู้นำดิจิทัลเทคโนโลยี ของกลุ่มทรู มาร่วมยกระดับการจัดโครงการค่ายเยาวชนเทควันโดดังกล่าว ในรูปแบบ Virtual ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม True VROOM และ แอปพลิเคชัน True ID ทางช่อง ID station บนเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G ที่เร็วกว่า แรงกว่า ทำให้น้องๆ สามารถเข้าถึงการเรียนรู้เสมือนได้เข้าแคมป์ฝึกซ้อมจริงกับโค้ชเช และทีมงานโค้ชมืออาชีพ แบบเรียลไทม์ไม่มีสะดุด สอดรับกับยุคนิว นอร์มัล อย่างแท้จริง อีกทั้งยังตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G ของกลุ่มทรู ที่จะมีความหมายมากขึ้นเมื่อนำมาผสานกับ “ความคิดสร้างสรรค์” เพื่อคุณภาพชีวิต ระบบเศรษฐกิจ สังคม และคนไทยทุกคน

ทั้งนี้ โครงการเยาวชนเทควันโด “Samsung Life Insurance 1st Online Taekwondo Youth Camp collaborated with True 5G” เน้นการส่งเสริมการมีต้นแบบพฤติกรรมทางบวกที่ผสมผสานกันระหว่างทฤษฎีการยุติการรังแกและทักษะด้านกีฬาเทควันโดซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้จากประเทศเกาหลี ไม่เพียงแต่สอนให้เยาวชนสามารถป้องกันตัวจากการถูกรังแกได้ แต่ยังปลูกฝังการมีวินัย ความอดทน ความสามัคคีและการมีน้ำใจนักกีฬาด้วย

ทรู 5G ผนึก ทีพีเอ็น โกลบอล เปิดเวที Miss Universe Thailand 2021

เริ่มแล้ว Miss Universe Thailand 2021…กลุ่มทรู โดย นายโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร จับมือ บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด โดย นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้บริหาร และพันธมิตร ร่วมจัดงานแถลงข่าวออนไลน์เชิญชวนสาวไทยเข้าร่วมประชันความงามบนเวทีระดับประเทศ ที่กลุ่มทรู ในฐานะผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์ครบวงจร จะนำเทคโนโลยีสื่อสารอัจฉริยะสุดล้ำของทรู 5G มาร่วมสร้างปรากฎการณ์การประกวดให้ยิ่งใหญ่อลังการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 พร้อมจุดประกาย Power of Passion ของหญิงไทยทุกคนให้ก้าวสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ ด้วยเล็งเห็นว่าสาวงามยุคทรู 5G ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไปสร้าง Pride of Nation บนเวทีระดับโลก ต้องเพียบพร้อมทั้งความงดงามของรูปร่างหน้าตา และความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้สังคม โดยจะเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอด ส่งต่อ และสะท้อนพลังของผู้หญิง ทั้งผู้เข้าเข้าประกวดและผู้ชมทุกท่าน ผ่านศักยภาพเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ดังนี้

1. ทรู 5G เครือข่ายอัจฉริยะที่เหนือกว่า เร็วแรงกว่า ผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวในไทยที่ให้บริการครบทุกย่านความถี่ เพื่อ 5G ที่ดีที่สุดในไทยครบทั้ง 7 ย่านความถี่ ที่มาเติมศักยภาพในการทำให้การประกวดในครั้งนี้เป็นการประกวดที่เป็น Interactive & online เต็มรูปแบบอย่างแท้จริง
2. True 5G XR Studio สยามสแควร์ซอย 2 สตูดิโอผลิตคอนเทนต์แห่งอนาคตที่แรกในไทย และล้ำสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานที่สำหรับการจัดงานแถลงข่าววันนี้
3. ทรูไอดี แพลตฟอร์มที่ให้ได้รับชมคอนเทนต์สุด Exclusive ทุกเบื้องหน้าเบื้องหลัง ตั้งแต่กิจกรรมการเก็บตัว และการประกวดทุกรอบตั้งแต่รอบชุดว่ายน้ำ รอบ Preliminary และรอบ Final รวม 12 Episode ทางช่อง TrueID MUT Exclusive Reality Live
4. ทรูออนไลน์ ผู้นำด้านอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ในประเทศไทย สนับสนุนการถ่ายทอดสดออนไลน์
5. ทรู ลีสซิ่ง สนับสนุนยานพาหนะการเดินทาง เพื่อทำกิจกรรมของสาวงามและทีมงานกองประกวด
6. ทรู ไอคอน ฮอลล์ สำหรับการจัดประกวดรอบ Preliminary วันที่ 22 ตุลาคม และ รอบ Final วันที่ 24 ตุลาคม 2564
7. ทรู เฮลท์ แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ที่ให้ผู้เข้าประกวดปรึกษาปัญหาสุขภาพ กับคุณหมอ(Tele-Medicine) ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ระยะเวลา 3 เดือน สำหรับผู้เข้าประกวดทั้ง 60 คน
8. ทรูพอยท์ คะแนนแห่งความสุขเพื่อลูกค้าทรู ที่พร้อมเข้ามาสร้างเซอร์ไพรส์ในการประกวด
9. ทรูมูฟ เอช เปิดช่องทางการโหวตให้กำลังใจสาวงาม ผ่าน SMS
10. ทรูมันนี่ วอลเล็ท อีกหนึ่งช่องทางการโหวตให้กำลังใจสาวงาม ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

ทั้งนี้ สาวงามทั่วประเทศสามารถสมัครเข้าร่วมประกวด Miss Universe Thailand 2021 ได้ตั้งแต่วันที่ 7-19 กันยายนนี้ ที่ www.missuniverse.in.th

UBE เคาะราคาขายหุ้น IPO 2.40 บาท เปิดจองซื้อ 21-23 ก.ย. นี้

‘บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจร เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 2.40 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 21-23 ก.ย. 2564 พร้อมเตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนกันยายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “UBE” เตรียมเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต พร้อมวางเป้าหมายการเติบโตในระยะสั้น และระยะกลาง ผ่านการลงทุนทั้ง 3 ธุรกิจ  

บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 7 ราย เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ UBE ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)

นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยจุดเด่นการเป็น Well-Integrated Tapioca Player หรือ ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และเป็นผู้นำนวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมุ่งขยายการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูง (High Value Product หรือ HVP) และสร้างธุรกิจภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินธุรกิจอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศ ประกอบธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจเอทานอล บริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ของประเทศ และเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ด้วยกำลังการผลิต 400,000 ลิตรต่อวัน หรือ 146 ล้านลิตรต่อปี สามารถผลิตเอทานอลได้ทั้งเกรดเชื้อเพลิง (Fuel Grade Alcohol) 99.8% ที่ใช้วัตถุดิบในการผลิตที่หลากหลาย ทั้งมันสด มันเส้น น้ำตาลทรายดิบและกากน้ำตาล รวมทั้งเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม (Industrial Grade  Alcohol) 95% ซึ่งบริษัทฯ ได้รับอนุญาตชั่วคราวจากกรมสรรพสามิต ให้สามารถจำหน่ายเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดมือ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ภายใต้แบรนด์ “UBON BIO” และ “KLAR” ซึ่งมียอดขายสูงสุดบนแพลตฟอร์มออนไลน์

2) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง เกรดอาหารและเกรดอุตสาหกรรม ภายใต้แบรนด์ “อุบลซันฟลาวเวอร์” มีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ แป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก มีปริมาณการส่งออกมากกว่า 20,000 ตันต่อปีและเป็นผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายในโลกที่สามารถผลิตแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าออร์แกนิคสากล ที่ปลอดสารเคมีตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงกระบวนการแปรรูป ปัจจุบันมีการวิจัย และพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ “แป้งฟลาวมันสำปะหลัง” ภายใต้แบรนด์ “Tasuko” และ “Savvy” ที่สามารถใช้ทดแทนแป้งสาลีในอุตสาหกรรมขนม และเบเกอรี่  ได้ในทุกมิติ เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ เส้นพาสต้า เส้นราเมน ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า แป้งชุบทอด เป็นต้น มีคุณสมบัติเด่น คือ Organic Gluten-Free Non GMO High Fiber Low GI  โดยได้ร่วมมือกับสถาบันสวทช. ผลิตผลิตภัณฑ์นำร่องเป็นแป้งฟลาวผสมเสร็จ (Premix Flour) 3 สูตรได้แก่ แพนเค้ก คุกกี้ และ บราวนี่ จำหน่ายในในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และร้านขายส่วนผสมวัตถุดิบสำหรับทำเบเกอรี่ทั่วประเทศ

และ 3) ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ UBE ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบทางการเกษตรประเภทต่างๆ ได้แก่ การผลิตกาแฟออร์แกนิค (Organic Coffee) และข้าวออร์แกนิค (Organic Rice) ที่ได้รับมาตรฐานออร์แกนิคสากล มีการบริหารจัดการครบวงจรตั้งแต่แปลงปลูกจนถึงมือลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีในการตรวจรับรอง และผลิตปัจจัยการเกษตรครบวงจร เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ และสารชีวภัณฑ์ และคาดว่าจะมี R&D เพื่อพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์มูลค่าสูงอื่นๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต

ปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในประเทศราว 7,000 ไร่ และมีเครือข่ายเกษตรกรที่เป็น Contract Farming 100% ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร ภาคประชาสังคม ในกระบวนการที่เรียกว่า “อุบลโมเดล” เป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเกิดความสำเร็จอย่างยั่งยืน

กรรมการผู้จัดการใหญ่ UBE กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตในระยะสั้นและระยะกลาง จากแผนลงทุนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในส่วนของธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและธุรกิจเกษตรอินทรีย์ แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจเอทานอลในระยะสั้น จะมุ่งปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการผลิตเอทานอล เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะอันใกล้ โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตของโรงงานเอทานอลผ่านการทำ De-bottlenecking Capacity โดยยังคงนโยบายลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ขณะที่ในระยะสั้นถึงระยะกลาง บริษัทฯ จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค ซึ่งปัจจุบันมีการผลิต 4 หมื่นตันต่อปี จะเพิ่มเป็น 1 แสนตันต่อปี ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) และจะลดการผลิตแป้งมันสำปะหลังแบบทั่วไป (Cassava Starch) ลงจากปัจจุบันผลิตอยู่ 1.1 แสนตันต่อปี เหลือเพียง 4-5 หมื่นตันต่อปี เนื่องจากอัตรากำไรต่อหน่วยการขายจากธุรกิจผลิตแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคสูงกว่า 3 เท่า รวมถึงการขยายโครงการลงทุนเพื่อเพิ่มสายการผลิตผลิตภัณฑ์สารให้ความหวาน เช่น ไซรัป (Syrup) และมอลโทเดกซ์ทริน (Maltodextrin) ถือเป็นการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพตามเทรนด์การบริโภคอาหารแห่งอนาคต สำหรับธุรกิจเกษตรอินทรีย์ ปัจจุบันมีการผลิตและจำหน่ายสินค้ากาแฟออร์แกนิค และข้าวออร์แกนิคที่ได้รับมาตรฐานออร์แกนิกสากล เพื่อเน้นส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนนำกาแฟ และข้าวออร์แกนิคมาพัฒนาเป็นแบรนด์ของตัวเอง เพื่อต่อยอดไปสู่จุดหมายการเป็นผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์ และพร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยชั้นนำของโลก โดยจะดำเนินการควบคู่กับธุรกิจพลังงาน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว

คุณชุณห์ โภไคศวรรย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบัญชีและการเงิน UBE กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ  มีรายได้มีจากการขายรวม 2,946.11 ล้านบาท เติบโต 40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,104.23 ล้านบาท โดยธุรกิจเอทานอลมีสัดส่วนรายได้ 47% ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 50% และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ 3% ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ถือเป็นตัวเร่งให้กลุ่มผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ใส่ใจในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดสารพิษ หรือที่เรียกว่า Organic Food ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 15,600 ตันในปี 2562 เป็น 22,000 ตันในปี 2563 และเพิ่มเป็น 26,100 ตันในครึ่งปีแรกของปี 2564

ขณะเดียวกันธุรกิจเอทานอล ยังคงมีรายได้จากการจำหน่ายเอทานอลที่เพิ่มต่อเนื่อง โดยมีการกระจายฐานผู้ค้าน้ำมันให้หลากหลายมากขึ้นในการจำหน่ายเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง ประกอบกับบริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมจากการได้รับอนุญาตเป็นการชั่วคราวจากภาครัฐให้สามารถจำหน่ายเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม เพื่อนำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่วนกำไรสุทธิใน 6 เดือนแรกของปี 2564 มีผลกำไร 106.6 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วทั้งปี ซึ่งอยู่ที่ 99.3 ล้านบาท หลังกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น

นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 21-23 กันยายน 2564 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนกันยายนนี้ โดยจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการรระดมทุนครั้งนี้ไปลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดการใช้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

“การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ UBE ที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากศักยภาพการเติบโตและแผนการลงทุนที่ชัดเจน ประกอบกับโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ทำให้ UBE มีความสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว” นางยอดฤดี กล่าว

ปัจจุบัน UBE มีทุนจดทะเบียน 3,914,286,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 3,914,286,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 2,740,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,740,000,000 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,370,000,000 หุ้น ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 1,174,286,000 หุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ไทยออยล์ เอทานอล จำกัด จำนวนไม่เกิน 97,857,000 หุ้น และ (3) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) จำนวนไม่เกิน 97,857,000 หุ้น

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของ UBE ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและฐานะการเงินเพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนต่างๆ จากประสบการณ์ในธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 16 ปี ด้วยการเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศ มีกำลังการผลิต 146 ล้านลิตรต่อปี ผ่านการใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Hybrid สามารถรองรับวัตถุดิบได้หลากหลาย ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้ดี และสามารถเสนอราคาขายที่แข่งขันได้กับผู้ประกอบการรายอื่น นอกจากนี้ UBE ยังเป็นผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคและแป้งฟลาวที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง จากการที่ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐานออร์แกนิคสากล ประกอบกับแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมามุ่งเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ โดย UBE เรียกได้ว่าเป็นผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่มีการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลังและเอทานอล และปัจจุบันได้มีการต่อยอดไปสู่ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ โดย UBE มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบทางการเกษตรประเภทต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรที่เข้มแข็ง ผ่านการส่งเสริมการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ UBE มีจุดเด่นที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน

“ดีป้า” คว้า 2 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564

ดีป้า ร่วมรับมอบรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทนวัตกรรมการบริการ และรางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม จากรองนายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 ที่จัดโดย สำนักงาน ก.พ.ร.

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มีมติมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม

โดยผลการพิจารณารางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 ดีป้า ได้รับ 2 รางวัล ประกอบด้วย

1) รางวัลบริการภาครัฐ รางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นที่พึงพอใจ

โดย ดีป้า ได้รับ รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทนวัตกรรมการบริการ ซึ่งโครงการที่ได้รับรางวัลดังกล่าวคือ โครงการการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) จังหวัดภูเก็ต

2) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม รางวัลที่มอบให้หน่วยงานของรัฐที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการบนพื้นฐานความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

โดย ดีป้า ได้รับ รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม (Effective Change) ซึ่งโครงการที่ได้รับรางวัลดังกล่าวคือ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชน ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง

สำหรับหน่วยงานทั้งหมดที่ได้รับการพิจารณาร่วมพิธีรับมอบรางวัลจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และรับนโยบาย รวมถึงทิศทางการพัฒนาระบบราชการผ่านระบบออนไลน์

ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานทั้งหมดของ ดีป้า ล้วนมุ่งเน้นให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ตามแนวคิด ‘think faster and live better’ พร้อมเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในที่สุด

กรอ. เดินหน้าเฟส 2 ตั้งเป้าเลิกการนำเข้าสาร HCFC ในปี 2573

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับวิกฤติสถานการณ์เดียวกัน แต่สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศโอโซนของโลกก็มีความสำคัญเพราะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ ให้ทุกชีวิตบนโลก ด้วยเหตุนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงยังคงให้ความสำคัญโดยทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรณรงค์โดยเน้นการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความตระหนักและให้ความรู้เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศโอโซน ในงาน วันโอโซนสากล ประจำ 2564” ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 16 กันยายนของทุกปีเป็น วันโอโซนสากล” หรือ  “World Ozone Day” เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่นานาประเทศได้ร่วมกันลงนามเป็นครั้งแรกต่อพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.. 2530  โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล ได้จัดกิจกรรมวันโอโซนสากล” เป็นประจำทุกปี

32 ปีที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินงานให้บรรลุเจตนารมณ์ในการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน ตามพิธีสารมอนทรีออล ด้วยการดำเนินงานขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารทำความเย็นและสารเป่าโฟมที่เป็นมิตรต่อชั้นบรรยากาศโอโซนและสภาพภูมิอากาศโลก ผ่านการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFC) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชั้นบรรยากาศโอโซน โดยประเทศไทยได้มีการดำเนินการมาเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง

นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมาหลังจากประเทศไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะผู้รับผิดชอบยังคงตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนและสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารทำความเย็นเป็นมิตรต่อชั้นบรรยากาศโอโซน โดยดำเนินการเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เพื่อลดการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ธนาคารโลก หน่วยงานภาครัฐ และ ภาคเอกชน ดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สาร HCFC ของประเทศไทย ระยะที่ 1 ตั้งแต่ ปี 2557 – 2561 เรียบร้อยแล้ว ได้กำหนดเป้าหมายให้เริ่มควบคุมปริมาณการใช้ และลดปริมาณการใช้ในปี 2558 ลง 10 %  ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยปริมาณการใช้สาร HCFC ในปี 2552 – 2553 และในปี 2561 ลดลง 15% ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน และประเทศไทยสามารถลดปริมาณการใช้สาร HCFC ในปี 2561 ได้มากถึง 61.9% ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแบบให้เปล่าและด้านเทคนิควิชาการแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ และประชาชน

สำหรับแผนการในอนาคตในฐานะภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนเพื่อให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนนั้น ประเทศไทย โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการลดและเลิกใช้สาร HCFC ระยะที่ ซึ่งดำเนินงานตั้งแต่ปี 2563 – 2566 โดยมีเป้าหมายจะต้องลดปริมาณการใช้สาร HCFC ลงตามลำดับ ในปี 2568 ลดลง 67.5 % ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย และมั่นใจว่าจะสามารถเลิกการนำเข้าสาร HCFC ภายในปี 2573 ได้

นอกจากนั้นโครงการในระยะที่ 2 จะมีการสนับสนุนเครื่องมือตรวจวิเคราะห์ชนิดสารทำความเย็น และเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของศูนย์ฝึกอบรมโดยให้ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศที่ใช้สาร HFC-32 เป็นสารทำความเย็น ในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยมีเป้าหมายในการจัดอบรมให้แก่ช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ จำนวน 5,500 คนอีกด้วย

ทุกโครงการและกิจกรรมภายใต้การดูแลและสนับสนุนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม จัดทำขึ้นเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และปรับเปลี่ยนไปใช้สารทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเรายังคงเดินหน้าทำงานต่อไปไม่หยุด โดยมีทิศทางการทำงานและประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและยกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็จะต้องพัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงานที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกันด้วยเพื่อให้การดำเนินการบรรลุเป้าหมาย นั่นคือสามารถทำให้ภาคอุตสาหกรรมเลิกใช้สาร HCFC โดยสิ้นเชิง รวมทั้งการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของชั้นบรรยากาศโอโซน ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลก และสภาพภูมิอากาศโลก เพื่อโลกของเราให้น่าอยู่ตลอดไป” นายประกอบ กล่าวทิ้งท้าย

PRM โชว์ฝีมือการบริหารจัดการ ตอกย้ำเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมฯ

บมจ.พริมา มารีน หรือ (PRM) โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสุดแข็งแกร่ง หลังรับเรือ Crew Boat จากการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ ใช้เวลาเพียง เดือน ดันอัตราการใช้เรือกว่า 90% ภายใต้สัญญาระยะยาว หลังเจาะกลุ่มฐานลูกค้าต่างประเทศและขยายพื้นที่ให้บริการไปยังน่านน้ำในภูมิภาคอาเซียน หนุนธุรกิจ Offshore ก้าวสู่การเป็นธุรกิจหลักที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง รับกิจกรรมการสำรวจและผลิตน้ำมันกลางทะเลมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง  

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ผนึกความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ โดยรับเรือจาก TM ได้แก่ เรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ เข้ามาเสริมพอร์ตกองเรือ ช่วยสนับสนุนความสามารถด้านการให้บริการของกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore) ให้แก่กลุ่ม PRM และผลักดันให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมฯ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จากเดิมในช่วงแรกที่รับเรือ Crew Boat ทั้ง 13 ลำ มีอัตราการใช้บริการเรืออยู่ที่ 60% แต่ด้วยความแข็งแกร่งในด้าน Marketing Arm ทำให้บริษัทใช้เวลาเพียง เดือน ในการผลักดันอัตราการใช้เรือ Crew Boat ได้กว่า 90ในไตรมาส 3/2564 และคาดว่าจะมีการใช้เรือเต็ม 100% ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป ภายใต้สัญญาระยะยาว ด้วยเรทอัตราค่าบริการที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น หลังประสบความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ให้บริการไปยังภูมิภาคอาเซียน จากเดิมที่ให้บริการมุ่งเน้นในพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งช่วยเสริมสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน โดยบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มเรือดังกล่าวครบทั้ง 13 ลำ ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมและความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น หลังจากกิจกรรมทางทะเลต่อจากนี้จะมีความคึกคักมากขึ้นตามลำดับ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนจัดหาเรือใหม่เพิ่มเติม เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มธุรกิจ Offshore เพื่อสนับสนุนการเติบโตของสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้ให้มากขึ้น ซึ่งเกณฑ์การตัดสินใจลงทุนนั้น PRM จะดูความเหมาะสมและทิศทางของตลาดอีกครั้งหนึ่ง โดยการจัดหาเรือใหม่เข้ามาให้บริการจะเป็นเรือที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมของโลก  

“เราใช้เวลาเพียง เดือนก็สามารถขยายฐานลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการเรือ Crew Boat ได้กว่า 90% ซึ่งช่วยผลักดันให้กลุ่มธุรกิจ Offshore ก้าวขึ้นเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักของ PRM ที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้ สะท้อนศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่สามารถปรับพอร์ตกองเรือให้สอดคล้องกับทิศทางความต้องการของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างทันท่วงที และเก็บเกี่ยวรายได้ที่ดีจากความต้องการใช้บริการเรือที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้ในทุกสถานการณ์” นายวิริทธิ์พล กล่าว

AJA ผนึก CHO ลุยศึกษาผลิตและประกอบ EV Bike

AJA ประกาศความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่กับ CHO ผู้มีประสบการณ์ด้านยานยนต์มายาวนาน เตรียมแจ้งเกิด EV Bike สายพันธุ์ไทย หลังซุ่มทำตลาดแบรนด์ AJ มากว่า 2 ปี คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ก่อนลุยผลิตปูพรมในปี 65 วางเป้าขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย รองรับดีมานด์ผู้บริโภคยุคใหม่ ชูจุดเด่นชาร์จไฟได้สะดวกรวดเร็ว ชาร์จครั้งเดียว ประหยัดกว่าราคาน้ำมัน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

นายพิชัย ปัญจสังข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA เปิดเผยว่าได้ลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ทำการศึกษาโครงสร้างชิ้นส่วนประกอบและราคาของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อความเป็นไปได้ที่จะผลิต ประกอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั้งคันหรือบางส่วน และตัวแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดต้นทุนของการจัดสร้างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ในการจำหน่ายและให้ลูกค้า ได้ใช้บริการหลังการขาย

“AJA ได้เข้าสู่ตลาดรถ EV Bike ตั้งแต่ปี 2562 และเล็งเห็นว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทาง AJA   ในฐานะผู้นำเข้ารถ EV Bike มาจำหน่ายในประเทศ จึงได้มีนโยบายพัฒนาคุณภาพและสมรรถนะของรถให้เหมาะสมกับตลาดในประเทศ ในราคาที่ลูกค้ากลุ่มต่างๆ สามารถเข้าถึงได้”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า  AJA มั่นใจในศักยภาพของ CHO ซึ่งเป็นบริษัทฯที่มีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์มายาวนาน เพื่อเป็นพันธมิตรในการศึกษาและพัฒนาการประกอบและผลิตชิ้นส่วนของรถ EV Bike และตัวแบตเตอรี่ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ก่อนที่จะเปิดตัว EV Bike  สายพันธุ์ไทย ภายในต้นปี 2565 และก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดในอนาคต

ปัจจุบัน มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ พระเอกตัวจริงไปได้ไกล…คู่ใจคุณ นำเข้าจากประเทศจีน แบตเตอรี่อึด และชาร์จไว ทนทาน ดีไซน์เท่ไม่เหมือนใคร ช่วยอนุรักษ์โลกโดยใช้พลังงานไฟฟ้า มีให้เลือกทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ หลากสไตล์ หลายความแรง  มีสินค้า 4 รุ่น ประกอบด้วย มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV BIKE รุ่น Q5 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV BIKE รุ่น C-LIKE มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV BIKE รุ่น C-LION มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV BIKE รุ่น Z3 ราคาเริ่มต้นที่ 39,900-49,900 บาท

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด  (มหาชน) หรือ CHO  กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณที่ AJA ไว้วางใจบริษัทฯ ในการร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตและประกอบ EV Bike  โดยความร่วมมือในครั้งนี้ AJA มีหน้าที่จัดหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าตัวอย่างและแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาให้บริษัทฯ  เพื่อศึกษาโครงสร้างของต้นทุน ก่อนที่จะนำไปสู่ความร่วมมือในการผลิตและประกอบรถจักยานยนต์ทั้งคัน หรือบางส่วน และตัวแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ ให้กับ AJA โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ก่อนเดินหน้าผลิตเพื่อป้อนตลาด EV Bike   ภายในประเทศได้ในช่วงต้นปี 2565

“มั่นใจว่าการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การผลิต EV Bike  เพื่อใช้ในประเทศไทย ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเข้าถึง EV Bike ที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน ในระดับราคาที่เหมาะสม”นายสุรเดช กล่าวในที่สุด

โลตัส ปลื้มโมเดลรับซื้อตรงจากเกษตรกร โนนเขวา รับรางวัลเลิศรัฐ ระดับดีเด่น

โลตัส ปลื้มโมเดลโนนเขวา โมเดลรับซื้อตรงจากเกษตรกรที่ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น ประเภทร่วมใจแก้จน จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ แสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐคือ  สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ภาคเอกชนคือโลตัส และภาคประชาชน ในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ไขปัญหาทางการเกษตร เสริมสร้างความรู้การผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย เพิ่มคุณภาพมาตรฐานสินค้า เพิ่มอำนาจการต่อรองราคา ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร และให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกได้ พร้อมสร้างรายได้ที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบุคคลและความยั่งยืน โลตัส กล่าวว่า “โลตัส มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โมเดลรับซื้อตรงจากเกษตรกรบ้านโนนเขวา ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น ประเภทร่วมใจแก้จน โลตัสทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับภาครัฐ และกลุ่มเกษตรกรทำสวนบ้านโนนเขวา มาตั้งแต่ปี 2561โดยมีการวางแผนการเพาะปลูกร่วมกัน เสริมสร้างความรู้ด้านเทคนิคและคุณภาพสินค้า การดูแลควบคุมคุณภาพ ตลอดจนการเก็บเกี่ยว และขนส่งผลิตผล และได้ขยายผลมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้ปัจจุบันโลตัสรับซื้อผัก  23 ชนิด  จากเกษตรกรบ้านโนนเขวาในปริมาณกว่า  560 – 600 ตันต่อปี และมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการกว่า  418  ราย ทำให้สมาชิกกลุ่มเกษตรกรบ้านโนนเขวามีรายได้ที่เป็นธรรมและมั่นคง นอกจากนั้นยังมีศักยภาพในการขยายตลาดรองรับผลผลิตอื่น ๆ นอกเหนือจากโลตัสอีกด้วย

โลตัส ได้มีการรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรโดยตรงจากเกษตรกรโดยไม่ผ่านคนกลาง (direct sourcing) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 และมีการเพิ่มปริมาณที่รับซื้อขึ้นทุกปี และจะยังคงมุ่งมั่นทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย และภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีความเข้มแข็ง ก้าวหน้า และมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรทั่วประเทศมีรายได้ที่เป็นธรรมและมั่นคงต่อไป”

ปัจจุบัน โลตัส ขยายโครงการซื้อตรงไปสู่เกษตรกรครบจำนวนกว่า 1,500 รายในทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ตามเจตนารมณ์และเป้าหมายของ โลตัส ในการสร้างความเข้มแข็ง และรายได้ที่มั่นคงและเป็นธรรม เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ และส่งมอบผักสดคุณภาพสูง ปลอดภัย ในราคาที่เอื้อมถึง ให้ลูกค้าของเราทุกวัน