STA ทำกำไรดีต่อเนื่องที่ 5,043.7 ล้าน

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA ทำกำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 ดีต่อเนื่องที่ 5,043.7 ล้านบาท เติบโต 361.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวหนุนดีมานด์ยางล้อพุ่ง พร้อมปรับเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติในปีนี้เพิ่มอีก 100,000 ตัน เป็น 1.3 ล้านตัน ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.25 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 สิงหาคมนี้ ชูแอปพลิเคชัน SRI TRANG FRIENDS รับซื้อยางจากชาวสวน รับการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติครบวงจรอันดับ 1 ของโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 สามารถทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 5,043.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 361.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและให้บริการ 29,803.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

การเติบโตในไตรมาส 2 มีปัจจัยมาจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมส่งออกยานยนต์ที่เติบโตอย่างโดดเด่นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีน ส่งผลให้มีดีมานด์เพื่อใช้ในการผลิตยางล้อเป็นจำนวนมาก และผู้ผลิตยางล้อชั้นนำเกือบทุกรายล้วนเป็นลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงอุตสาหกรรมถุงมือยางที่มีความต้องการใช้สินค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในหลายประเทศยังไม่คลี่คลายจากไวรัสกลายพันธุ์ รวมถึงดีมานด์ถุงมือยางทางการแพทย์เพื่อใช้ฉีดวัคซีน

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2564

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2564 มีการเติบโตที่โดดเด่นเช่นเดียวกัน โดยมีกำไรสุทธิ 11,002.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,054.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 464.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและบริการรวม 61,383.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติจากทั่วโลกที่แข็งแกร่ง ส่งผลดีต่อปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นและราคายางแท่ง TSR ณ ตลาด SICOM ในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีราคาเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 172.3 เซนต์ต่อกิโลกรัม

กรรมการบริหาร STA กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานที่ดี บริษัทฯ ได้พิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติในปี 2564 เพิ่มขึ้นอีก 100,000 ตัน เป็น 1.3 ล้านตัน จากเป้าเดิมที่ 1.2 ล้านตัน โดยมองว่าในปัจจุบันอุตสาหกรรมยางธรรมชาติกำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่จากเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและอุตสาหกรรมยานยนต์และถุงมือยางที่มีการเติบโตได้ดีในปัจจุบัน ส่งผลดีต่อดีมานด์และราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ยกระดับการรับซื้อยางจากชาวสวนสู่ Digitalization โดยนำระบบแอปพลิเคชัน SRI TRANG FRIENDS (ศรีตรังเพื่อนชาวสวน) เข้ามาใช้ในการรับซื้อยาง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสอดรับกับยุคดิจิทัล โดยชาวสวนสามารถกรอกข้อมูลราคาและปริมาณยางที่เสนอขายเพื่อรอการอนุมัติจากบริษัทฯ และติดตามสถานการณ์ราคารวมถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ลงทะเบียนแอปพลิเคชันแล้วมากกว่า 7,000 ราย

T-Shaped & M-Shaped Skills ทักษะที่ผู้นำ คนทำงานทุกระดับต้องมี

เคยมีคำถามว่า ถ้าเราในฐานะผู้นำ ลงทุนใน “คน” หรือ “พนักงาน” แต่เขาไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป กับ ถ้าเราไม่ได้ลงทุนอะไรเลยในพนักงานของเรา แล้วเขาอยู่กับเราตลอดไป ตัวเลือกไหนจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากกว่ากัน? จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมต้องเลือกพัฒนาทักษะให้กับทั้งตัวเราและคนทำงานตลอดเวลา เพราะแน่นอนว่าทักษะเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ ผ่านไปนานวันเข้าจะเข้าสู่ระยะหมดอายุ และไม่สามารถใช้งานได้อีก คีย์เวิร์ดสำคัญของเกมส์การอยู่รอดในครั้งนี้คงหนีไม่พ้น การเร่งปรับตัว เพื่อรีสกิล (Reskill) และอัพสกิล (Upskill) อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ ยิ่งสำหรับคนทำงานในยุควันนี้ ที่ต้องเจอกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การใช้ทักษะเพื่อแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ รวมถึงสร้างผลลัพธ์ในบริบทงานที่เปลี่ยนไปทำให้ไม่สามารถใช้ชุดทักษะในสายงานที่มีอยู่เดิมเพียงอย่างเดียว ขับเคลื่อนผลลัพธ์ใหม่ด้วยความรวดเร็วได้ แต่จำเป็นต้องพัฒนาทักษะแวดล้อมให้มีความคล่องตัว และสามารถส่งมอบผลลัพธ์ (Job Outcomes) ด้วยการเติมทักษะรอบด้าน ที่จำเป็นในการทำงานรูปแบบใหม่ของแต่ละกลุ่มงาน (Job-based skills) กล่าวคือคนทำงานต้องมีความรู้และทักษะที่นอกเหนือจากสายงานของตัวเอง เรียกได้ว่า ยิ่งมี ”ทักษะรอบด้าน” มากเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น โดยตระหนักรู้เสมอว่า การพัฒนาตัวเองและเพิ่มทักษะเป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” และต้องทำให้เร็วที่สุด หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

นิภัทรา ตั้งพจน์ทวีผล Director of Product Marketing, YourNextU by SEAC (เอสอีเอซี) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ปัจจุบัน การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “คน” รวมไปถึงธุรกิจในหลากหลายภาคส่วน ล้วนถูกผลกระทบในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจถดถอย ภาวะตกงาน จนทำให้เกิดอัตราการว่างงานเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความท้าทายใหม่ของคนทำงานในทุกๆ ระดับที่มาพร้อมกับความคาดหวังที่เปลี่ยนไป คนเก่งในองค์กร อาจจะกลายเป็นแค่คน(เคย)เก่ง เมื่อไม่สามารถทำวิธีเดิมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดิม บนบริบทธุรกิจที่เปลี่ยนไป องค์กรต่างๆ กำลังต้องการสร้าง Multi-Skills Talent Pool ที่ช่วยให้องค์กรยืดหยุ่น คล่องตัวมากขึ้น และทลาย Silo ให้คนในองค์กรที่แตกต่างกันสามารถต่อยอดและทำงานร่วมกันได้ดีมากขึ้น นิยามความเก่ง เปลี่ยนไป จนหลายๆ คนเกิดการตั้งคำถามที่ว่า ถ้าอยากเป็นคนเก่งยุคนี้ต้องเริ่มจากอะไร?

 “SEAC ในฐานะผู้นำด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต สิ่งหนึ่งที่เน้นย้ำเสมอ คือ เราต้องการกระตุ้นให้คนไทยเกิดการรีสกิล (Reskill) และอัพสกิล (Upskill) อย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้นำ บุคลากรและกลุ่มคนทำงานทุกระดับ ทั้งเรื่องของ Mindset, Hard Skills และ Soft Skills โดยเฉพาะการเรียนรู้เพื่อสร้างคนที่รู้กว้าง (Multi-Skills Profile) ในแบบ T-Shaped และ M-Shaped Skills เพื่อพัฒนาทักษะทั้งแนวลึกและแนวกว้างที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ผนวกกับ Learning Mindset ซึ่งทำให้คนที่รู้กว้าง (Multi-Skills Profile) มีความได้เปรียบ และเป็นที่ต้องการขององค์กรยุคนี้ เพราะนอกจากมีทักษะการเรียนรู้ที่ “รู้รอบ รู้ลึก” แล้ว ยังผนวกองค์ความรู้ต่างๆ และเปิดรับสิ่งใหม่ ทำให้สามารถหมุนตัวเองและทำงานที่หลากหลายอย่างคล่องตัวและเชี่ยวชาญ”

3 ทักษะคนทำงานทุกระดับต้องเร่งพัฒนา ปี 2021 – 2022

การหมั่นพัฒนาทักษะไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือ Mindset ที่พร้อมจะเปลี่ยน หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน คือ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนเดียวกัน และเพื่อนร่วมงานของคุณ มี Growth Mindset มองวิกฤติให้เป็นโอกาส กลับกันที่คุณมี Fixed Mindset ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพื่อนร่วมงานก็จะนำหน้าไปก่อนอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันกับ องค์กรที่บริหารคนมากมาย อุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ไวคือการที่องค์กรไปให้ความสำคัญกับเครื่องมือในการช่วยเหลือมากเกินไป โดยละเลยพื้นฐานสำคัญ อย่าง Mindset จึงทำให้ไม่สามารถเกิดการ Transform อย่างแท้จริง

  • ทักษะการบริหารจัดการตัวเอง (Self-Management Skills) – เริ่มต้นที่ Mindset ว่าทำอย่างไรจะสามารถจัดการกับปัญหาหรือความเครียดที่เกิดขึ้น การมีมุมมองความคิดที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์จะทำให้เราสามารถปรับมุมมอง (Reframe) ต่อสถานการณ์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี พอเห็นโอกาสเกิดขึ้น เราก็จะสามารถกระตุ้นตัวเราไปให้ถึงเป้าหมาย
  • ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Interpersonal Skills)  การทำงานร่วมกับคนที่แตกต่างให้สามารถต่อยอดออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีได้ โดยอาศัย การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) และการรับฟัง (Listening) ในการทำงานร่วมกันระหว่างทีม ความท้าทายใหม่จะเกิดขึ้นระหว่างหัวหน้าและลูกน้องทั้งในและนอกแผนก อีกทั้ง ใครๆ ก็สามารถเป็นผู้นำได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ และตัวบุคคลเองก็สามารถมีทักษะ   ภาวะผู้นำในตนเอง (Self-Leadership) หากเข้าใจถึงภาพใหญ่ว่าทำไมเราต้องเปลี่ยนการกระทำแบบเดิมๆ เพื่อมุ่งพิชิตเป้าหมายองค์กรไปด้วยกัน
  • ทักษะการรู้รอบด้านในแต่ละสายงาน (Job-based skills) – เมื่อความรู้มีวันหมดอายุ ทักษะการรู้รอบด้านในสายงานที่เกี่ยวข้อง คือสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจ ทั้งระดับผู้บริหารหรือคนทำงานต้องรีสกิลหลากหลายทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในโลกทุกวันนี้ เสริมทักษะการทำงานรอบด้าน ผสมผสานทั้ง Hard Skills และ Soft Skills สู่การนำไปสร้างผลงานให้โดดเด่นได้ทันที

สิ่งนี้ คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด YourNextU by SEAC สังคมการเรียนรู้คุณภาพ ที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกมากถึง 30,000 คน เราอยากให้คนไทยได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยแนวคิดที่มุ่งยกระดับการเรียนรู้สู่มิติใหม่ มองการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผสมผสานวิธีการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน   (Blended Learning) จัดสรรให้เข้ากับความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล (Personalized Learning) และเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้กับผู้เรียน โดย YourNextU by SEAC ได้รวบรวมหลักสูตรชั้นนำจากสถาบันการศึกษาชื่อดังระดับโลก อย่าง The Arbinger Institute และ The Ken Blanchard Companies เป็นต้น เพื่อสร้างบริบทใหม่ของการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้เรียนด้วยคอร์สการเรียนรู้ อาทิ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) วิธีคิดเพื่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Outward Mindset)  ทักษะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) กระบวนการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ศาสตร์แห่งการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การพัฒนาบริหารทีม (E3s Leader Series – Engage Empower Execute) และคอร์สทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นต่อโลกทำงานปัจจุบันและในอนาคต ล่าสุด YourNextU by SEAC ออกหลักสูตรคอร์สเรียนออนไลน์และ Virtual Classroom สอนสดผ่านซูม Job-based Skills Pack” ที่มัดรวมกลุ่มทักษะทั้ง Hard Skills และ Soft Skills ที่จำเป็น เหมาะกับบริบทของแต่ละสายงาน ไม่ว่าจะเป็น Digital Marketing, Sales, Data Analyst, Human Resources และสายอาชีพอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของตลาด ตอบสนองต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

นางสาวนิภัทรา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและผันผวนของโลกในปัจจุบัน ทักษะวิธีการที่เคยใช้ได้ดีในวันนี้ วันหน้าอาจจะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เราควรจะทำมากกว่านั้นคือ การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องให้เท่าทันบริบทใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมิติการอัพสกิลมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากการอัพสกิลให้รู้รอบด้านในสายงานปัจจุบัน (Job-based skills) การอัพสกิลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง แต่เป็นการจับเทรนด์โลก (World Trends Captured Skills) ว่าสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปนั้นมีผลกระทบต่อเรามากน้อยแค่ไหน หรือ การอัพสกิลที่สอดคล้องกับแพชชั่นเป็นหลัก เช่น ถ้าวันนี้ไม่ได้ทำอาชีพนี้แล้ว อยากทำอาชีพอะไร เพราะความรู้หมดอายุเร็วมาก ต้องหมั่นเติมเสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง ให้เป็นคนที่สดใหม่ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน”

ค้นพบหลักสูตรแรก Digital Marketing ในหมวด Job-based Skills Pack ที่ YourNextU ได้ทำการสำรวจและ รวมทักษะที่บริษัทชั้นนำมองหาในนักการตลาดดิจิทัล เรียกได้ว่าหากอยากรุ่งในสายงานนี้ ทักษะพวกนี้ต้องมี ถ้ายังไม่มี ต้องรีบแล้ว! มัดรวมกลุ่มทักษะทั้ง Hard Skills และ Soft Skills ที่จำเป็น เลือกเรียน Virtual Class ได้ไม่จำกัด สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานและธุรกิจของคุณได้จริง เรียนรู้ไปด้วยกันกับ YourNextU by SEAC คลิกเลย https://www.yournextu.com/th/Digital-maketing-5skills

AIT ไตรมาส 2/64 ทำรายได้ 2,081 ล้าน โตกว่า 75%

บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี หรือ (AIT) เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ทำรายได้จากงบเฉพาะกิจการรวม 2,081 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 138 ล้านบาท หนุนผลงานครึ่งปีแรก (ม.ค-มิ.ย 64) มีรายได้รวม 3,905 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 261 ล้านบาท พร้อมตุน Backlog ในมือกว่า 5,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้ทั้งปี 6,500 ล้านบาทตามเป้า พร้อมตอกย้ำ AIT เป็นหุ้นเทคโนโลยี-สื่อสารที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.70 บาทเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น 

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด  (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจบริการออกแบบและรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 (เมษายน – มิถุนายน 2564) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 138 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิที่ 52 ล้านบาท และมีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 2,081 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,188 ล้านบาท ซึ่งเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดย AIT เร่งส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ตามกำหนด เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) บริษัทฯมีรายได้รวมจากงบเฉพาะกิจการ จำนวน 3,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,419 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ส่วนใหญ่ในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกประมาณ 680 ล้านบาท และยังคงมุ่งเน้นเข้าร่วมประมูลงานทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของภาครัฐ ซึ่งมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2564 จะทำรายได้แตะ 6,500 ล้านบาทตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังประกอบกับมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องถือเป็นภารกิจสำคัญที่ AIT จะต้องตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจากงบเฉพาะกิจการและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท ซึ่งกำหนดขึ้น เครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่
9 กันยายน 2564

อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 คิดเป็นอัตรา 1.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัทฯ ถ้าเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบัน (ณ วันที่ 5 ส.ค. 64 ราคาหุ้น 23.20 บาท) คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) ถึง 6.38% ในขณะที่ P/E Ratio เท่ากับ 10.64 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจ เป็นทางเลือกที่ดีของการลงทุนในยามที่ภาวะตลาดมีความผันผวนสูง

ลาซาด้า ปรับโฉมโซลูชั่นใหม่ ช่วยแบรนด์บน LazMall เพิ่มยอดขายสู้โควิด-19

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าต่อยอดและพัฒนาฟีเจอร์การตลาดออนไลน์ให้ตอบโจทย์แบรนด์ ถือเป็นเจ้าแรกในแวดวงธุรกิจอีคอมเมิร์ช ที่ได้ยกระดับการโปรโมทสินค้าผ่านดิสเพลย์ (Sponsored Display) เครื่องมือใหม่ล่าสุดจาก Lazada Sponsored Solutions ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้แบรนด์บน LazMall ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ระดับโลกหรือแบรนด์ไทย ก็สามารถเข้าถึงพื้นที่โปรโมทที่สำคัญที่สุดบนแพลตฟอร์มลาซาด้าได้อย่างเท่าเทียม ตามงบประมาณที่กำหนดได้เอง และยังเจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ ใช้งานง่าย โดยเครื่องมือนี้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มยอดขายสำหรับแบรนด์คู่ค้าให้โตขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า จาสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจ โดยหันมาใช้ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ลาซาด้าจึงไม่หยุดยั้งที่จะคิดโซลูชั่นใหม่ๆ ในการสนับสนุนแบรนด์ด้วยฟีเจอร์เครื่องมือโปรโมทสินค้า (Sponsored Solutions) และล่าสุดเรายังได้พัฒนาฟีเจอร์ การโปรโมทสินค้าผ่านดิสเพลย์ (Sponsored Display) ที่แรกของวงการอีคอมเมิร์ซ ที่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ระดับเล็กหรือใหญ่บน LazMall ก็สามารถเข้าถึงพื้นที่โฆษณาหลักบนแพลตฟอร์มลาซาด้า ด้วยจำนวน Eyeball จำนวนมหาศาลต่อวัน ทำให้แบรนด์สามารถเพิ่มการมองเห็นได้มากถึงหลักล้านครั้ง ช่วยทำการตลาดได้อย่างแม่นยำตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพในงบประมาณที่กำหนดได้ ซึ่งในตอนนี้เราเปิดโอกาสให้เฉพาะแบรนด์บน LazMall ใช้ก่อน ในอนาคตเรามีเป้าหมายที่ขยายกลุ่มผู้ใช้งานไปยังผู้ขายรายย่อยอีกด้วย

จุดเด่นของ การโปรโมทสินค้าผ่านดิสเพลย์ (Sponsored Display) ฟีเจอร์โฉมใหม่จาก Lazada Sponsored Solutions ประกอบด้วย

  • การันตีจำนวนการมองเห็น (Impression) โดยแบรนด์จะถูกเรียกเก็บเงินก็ต่อเมื่อมียอดการมองเห็นเท่านั้น และยังสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อโปรโมทสินค้าได้อย่างตรงจุด โดยสามารถเลือกตาม เพศ อายุ หรือหมวดหมู่สินค้าที่กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจ และแบรนด์ยังสามารถติดตามลูกค้าที่เคยเห็นโปรโมชั่นได้อีกด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นของแบรนด์ อีกทั้งลาซาด้ายังเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้เป็นเจ้าแรกของวงการอีคอมเมิร์ซ
  • เพิ่มความสะดวกในการจัดการแคมเปญ โดยเหมาะสำหรับบริษัทที่ต้องการโปรโมทหลายแบรนด์ในแคมเปญเดียวกัน และยังสามารถจัดการแคมเปญในแต่ละร้านค้าได้ด้วยบัญชีเดียว
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการโปรโมท ยอดคลิก และยอดขายมากขึ้นด้วย Smart Creative โดยแบรนด์สามารถอัพโหลดแบนเนอร์มากถึง 5 แบบในเวลาเดียวกัน และระบบจะโปรโมทแบนเนอร์ที่มีโอกาสได้จำนวนคลิกมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือโปรโมทสินค้าอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มยอดเข้าชม ยอดคลิกและยอดขายของแบรนด์ ซึ่งสามารถเลือกใช้ตามความต้องการ อาทิ Sponsored Discovery หรือ การโปรโมทสินค้าผ่านพื้นที่ค้นหาสินค้า และ Sponsored Affiliate หรือ การโปรโมทผ่านพาร์ทเนอร์ ช่วยให้แบรนด์สินค้าหรือผู้ขายสามารถโปรโมทสินค้าผ่านเครือข่ายต่างๆ ของพันธมิตรมากมายในลาซาด้า

ลาซาด้า มุ่งมั่นสนับสนุนแบรนด์และผู้ขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมอบความคุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการของนักช้อปแบบฉลาดเลือกในการซื้อสินค้าจาก LazMall ที่การันตีแบรนด์แท้ราคาดี พร้อมส่งฟรีถึงบ้าน และการรับประกันสินค้า คืนได้ภายใน 15 วัน ที่สุดของความคุ้มค่าและสะดวกสบายยุคดิจิทัล รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโปรโมทสินค้าผ่านดิสเพลย์ คลิกที่นี่เลย Lazada Sponsored Solution Center

TQR โชว์ไตรมาส 2 กำไรกระฉูด 54.58%

บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) สร้างผลงานสุดประทับใจ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 กำไรพุ่งแตะ 57.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.58% จากปีก่อน ผลจากรายได้ธุรกิจนายหน้าประภัยต่อเติบโตได้ต่อเนื่อง  บอร์ดใจป้ำอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลคิดเป็นอัตราร้อยละ 55 ของกำไรสุทธิหรือ 0.165 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายวันที่ 8 ก.ย.64 พร้อมกันนี้ประกาศตั้งบริษัทร่วมทุน “อาร์สแควร์” ถือหุ้น 55% ลุยธุรกิจพัฒนาเทคโนโลยี เรียนรู้ อบรม ผ่านระบบออนไลน์ ฟากซีอีโอ “ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์” เผยมีแผนจับมือบริษัทประกันภัย ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่ พร้อมรุกธุรกิจ “บริการ” ต่อเนื่อง สร้างแรงจูงใจ เพิ่มช่องทางรายได้ มั่นใจสนับสนุนผลงานปี 64 เติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง

นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR ผู้ให้บริการนายหน้าประกันภัยต่อ (Reinsurance Broker) แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 57.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.58% และมีรายได้รวม 93.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.18%

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.93 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 51.20%  ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 136.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.76% ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจนายหน้าประภัยต่อแบบทั่วไป (Traditional Business) มากขึ้น และธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อแบบพัฒนาช่องทางและผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน (Alternative Business)

“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 ยังสามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคในด้านของประกันภัยต่างๆ มียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ทำให้ความต้องการทำประกันภัยยังคงมีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ กับ บริษัทประกันภัย ออกมาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งมั่นใจว่า จะช่วยสนับสนุนผลงานทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ และช่วยผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายชนะพันธุ์กล่าว

นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาประกันภัยในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในธุรกิจบริการใหม่ๆ อาทิ การประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Insurance)ประกันภัยต่อกลุ่มความรับผิดตามกฎหมาย (Liability)และ ประกันภัยพืชผล (Crop Insurance) โดยเฉพาะการประกันภัยกัญชา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทประกันภัย และบริษัทรับประกันภัยต่อให้มากขึ้น  อีกทั้ง เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ และสนับสนุนผลงานให้เติบโตได้ในอนาคต ในอัตราที่โดดเด่นต่อเนื่องต่อไป

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.165 บาท  รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 37,950,000 บาท  โดยการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวเป็นการจ่ายในอัตราร้อยละ 55 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี  และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 กันยายน 2564

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ภายใต้ชื่อ บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด  โดยร่วมทุนกับบริษัท คอร์สสแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญ ด้าน Online Learning Platform ที่มีความต้องการเติบโตต่อเนื่อง  เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ออนไลน์(Online Learning Solutions) และระบบระบุตัวตนผู้ใช้งาน (Face Detection and Face Recognition) โดย TQR จะถือหุ้นในสัดส่วน 55%  ซึ่งคาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้ง และเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในไตรมาส 3/2564

THREL โชว์ผลงานครึ่งปีแรก 64 กำไรสุทธิพุ่งแตะ 65 ล้าน

THREL โชว์ผลงานครึ่งแรกปี 2564 แกร่ง กำไรสุทธิพุ่ง 87% แตะ 65 ล้านบาท กวาดเบี้ยประกันภัยต่อรับเกือบ 1,500 ล้านบาท ตามการเติบโตของประกันสุขภาพ
หลังผู้บริโภคตระหนักรู้ความสำคัญมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนสดใสรับอานิสงค์ตลาดหุ้นฟื้นตัว พร้อมกด Combined Ratio ลงต่อเนื่องเหลือ 96.7%
หลังคุมเข้มความเสี่ยงรับงาน-เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารค่าใช้จ่าย ผู้บริหารส่งซิกครึ่งปีหลังเร่งเครื่อง New S-Curve ผนึกความร่วมมือพันธมิตรพัฒนาโปรดักส์-โซลูชั่น รองรับวิถีชีวิตยุค New-Normal ล่าสุด A.M. Best คงเรตติ้ง A-
สะท้อนฐานะการเงินแกร่ง

นายสุทธิ รจิตรังสรรค์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ว่า บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเบี้ยประกันภัยต่อรับเติบโตกว่า 16% แตะ 1,450 ล้านบาท ตามการเติบโตของประกันสุขภาพ จากกระแสการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของผู้บริโภค ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งงานประกันชีวิตแบบร่วมพัฒนา (Non-Conventional) ที่เพิ่มขึ้น 21% จากการขยายการรับงานสัญญาประกันสุขภาพ และจากสัญญาใหม่ของสัญญาประกันชีวิตแบบกลุ่มและอุบัติเหตุส่วนงานประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Conventional) เพิ่มขึ้น 12%

จากสัญญาใหม่งานประกันสุขภาพ ขณะที่รายได้จากการลงทุนอยู่ที่ 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 76% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการฟื้นตัวของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหุ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยและการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เพียง 9% อยู่ที่ 1,206 ล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการเติบโตของเบี้ยจึงมีการตั้งสำรองค่าสินไหมทดแทน (เคลม) ของสัญญาใหม่ในส่วนของงาน Non-Conventional ส่วนค่าใช้จ่ายงาน Conventional ปรับลดลงจากปีก่อน 33 ล้านบาท ผลจากการยกเลิกสัญญาประกันสุขภาพที่ไม่มีกำไรในช่วงก่อนหน้า ซึ่งภายใต้นโยบายการมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และคุมเข้มความเสี่ยงในการรับงาน เพื่อควบคุมค่าสินไหมทดแทนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้
Combined Ratio (COR) เหลือ 96.7% ปรับลดลงต่อเนื่องจาก 98% ในช่วงเดียวกันปีก่อน

นายสุทธิ บอกเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ยังยากต่อการประเมินผลกระทบที่มีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิต
ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น บริษัทฯจึงยังคงเฝ้าติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
พร้อมเพิ่มความระมัดระวังความเสี่ยงในการรับงานแบบเข้มข้นมากขึ้น โดยช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เตรียมผนึกความร่วมมือพันธมิตรร่วมพัฒนาโปรดักส์ รวมถึงโซลูชั่น และโมเดลใหม่ๆ รองรับวิถีชีวิตยุค New-Normal ภายใต้แผน New S-
Curve

“แม้ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตจะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อมั่นว่าประกันยังมีความจำเป็นอย่างมากต่อทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค เพราะถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” นายสุทธิ กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทฯ ยังคงได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรตติ้ง) ในระดับเดิมที่ A- หรือระดับ “แข็งแกร่ง” จากสถาบันจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล A.M. Best ซึ่งสะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตอกย้ำขีดความสามารถในการขยายงานทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนการเติบโตในอนาคต

TPCH 6 เดือนแรกปี 64 กวาดรายได้ 1,209 ล้าน

บมจ. ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เติบโตต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 64 รายได้รวมแตะ 1,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.24% จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิแตะ 95.85 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 10 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” บิ๊กบอส ระบุ แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดี เตรียมพร้อม COD โครงการโรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ ขนาด 10 เมกะวัตต์  ภายในปีนี้ หนุนกำลังผลิตไฟฟ้าในมือสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 119 เมกะวัตต์ มั่นใจผลักดันผลงานโตตามเป้าหมาย

นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 832.41 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.85 ล้านบาท

ขณะที่งวดไตรมาส 2/2564  บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่  642.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมเท่ากับ 439.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 48.40 ล้านบาท

ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์( COD) ของโครงการ โรงไฟฟ้าชีวมวลครบ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG ,TPCH 5 , TPCH 1 และ TPCH 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีนโยบายการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

“ผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถทำรายได้ตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ขณะที่แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง น่าจะมีทิศทางที่ดีได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถ COD โรงไฟฟ้าเพิ่มได้ภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลงานปี 2564 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นางกนกทิพย์กล่าว

ด้าน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า TPCH อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะในโครงการ สยาม พาวเวอร์ (SP) ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ภายในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของบริษัทฯ ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล เพิ่มขึ้นเป็น 119 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2564 จากปัจจุบันอยู่ที่ 109 เมกะวัตต์ ในส่วนของการยื่นประมูลร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) บริษัทฯได้ผ่านพิจารณาคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคเรียบร้อยแล้ว จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 27 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างรอการประกาศผลคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคาต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการศึกษา และเตรียมพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีกประมาณ 4-6 แห่ง โดยอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาพิจารณาอัตราผลตอบแทนในการลงทุนของแต่ละโครงการ เพื่อสร้างความคุ้มค่าในการลงทุน และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้

“TPCH วางแผนที่จะมีกำลังการผลิตรวมในปีนี้ 119 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมประมูลโครงการของภาครัฐ และเข้าไปศึกษาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ และโรงไฟฟ้าขยะ โดยจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต เพื่อเป้าหมายสู่การมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ภายในปี 2566 แบ่งออกเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ ขนาด 200 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะขนาด 50 เมกะวัตต์ ” นายเชิดศักดิ์กล่าวในที่สุด

ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม รวม 21,038 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 รวม 21,038 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 20,865 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 173 ราย ผู้ป่วยสะสม 788,126 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 22,012 ราย ผู้หายป่วยสะสม 572,726 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 210,042 ราย ผู้เสียชีวิต 207 ราย

แจ้งเลื่อนลงทะเบียนรับจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์ม สำหรับบุคคลธรรมดา รอบ 3 พรุ่งนี้ (11 ส.ค.)

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศ ขอแจ้งเลื่อนเวลาการลงทะเบียนขอรับการจัดสรรวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” สำหรับ “บุคคลธรรมดา” รอบ 3 พุธที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นเวลา 11.11 น. ผ่านทางเว็บไซต์ https://sinopharm.cra.ac.th เท่านั้น

ส่องประวัติ “พอล วาน” นักการเงินมือฉมังแห่งเอเชีย

ส่องประวัติ “พอล วาน” นักการเงินมือฉมังแห่งเอเชีย

ชื่อของ “พอล วาน” (Paul Wan) อาจจะยังไม่คุ้นหูคนไทย แต่สำหรับตลาดทุน และตลาดสกุลเงินดิจิทัลของเอเชียและยุโรปแล้ว  ถ้าบอกว่าเขา คือ ผู้ผลักดันความสำเร็จของเหรียญ Afin หลายๆ คนคงร้องว้าว

พอล วาน เป็นนักวาณิชธนกิจและที่ปรึกษาทางการเงินชาวสิงคโปร์ ที่ประสบความสำเร็จในการนำบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศในยุโรป  การควบรวมกิจการของบริษัทชั้นนำหลายแห่งในสิงคโปร์ จีน ไทย เวียดนาม อินเดีย ซาอุดิอาระเบียและยุโรป รวมทั้งเป็นผู้มีประสบการณ์มากมายด้านการตรวจสอบบัญชี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งของเครือข่ายผู้ตรวจสอบบัญชีระดับโลก Morison Group และเพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานของ Morison Global เมื่อเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา

Morison Global เป็นองค์กรที่รวมเครือข่ายบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ให้บริการบัญชี ตรวจสอบบัญชี การจัดการเกี่ยวกับภาษี ไอที การเงิน และกฎหมายเข้าไว้ด้วยกัน  แน่นอนว่าการจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอลเป็นหนึ่งในนักวาณิชธนกิจระดับเทพจากสิงคโปร์ซึ่งมีคอนเน็กชั่นที่แน่นหนากับบริษัทต่างๆ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย จนเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้าทั่วโลก พอลมักเดินทางไปพบลูกค้าในกว่า 50 ประเทศ 80 เมืองสำคัญด้วยตนเอง

กว่าจะมาเป็นประธานของ Morison Global พอลมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัทมานาน และเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้การก่อตั้งเครือข่ายของ Morison ในเอเชีย โดยได้คัดเลือกและเชิญชวนบริษัทชั้นนำกว่า 30 แห่งเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของ Morison  ปัจจุบัน Morison Global มีเครือข่าย 155 บริษัทอยู่ใน 75 ประเทศ  มีสำนักงานมากถึง 365 แห่ง และพนักงานรวม 11,000 คน

หนึ่งในผลงานที่ทำให้พอล วาน กลายเป็นที่จับตามอง คือ ความสำเร็จจากการเจาะตลาดทุนเกาหลีใต้ โดยเป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ยอมอนุญาตให้บริษัทเกาหลีที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดมาตลอด เป็นผู้ดำเนินการทำไอพีโอให้บริษัทต่างชาติที่เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ได้  ซึ่งใครที่เคยทำงานกับเกาหลีใต้จะทราบดีว่า การจะเจาะกำแพงของกลุ่ม 4 บริษัทยักษ์ในเกาหลีใต้ได้ไม่ว่าใช่ใครก็ทำได้

และเมื่อตลาดการทุนทั่วโลกเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ เทคโนโลยี Blockchain ทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์และการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลายเป็นเรื่องง่าย มีการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อีกมากมาย  นักการเงินที่มีวิสัยทัศน์อย่าง พอล วาน ย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

พอลก่อตั้ง A PLUS Fintech PTE เพื่อบุกเบิกตลาดคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของโลกการเงินยุคใหม่ เริ่มต้นจากการเข้าเทคโอเวอร์ Asian Fintech หรือ Afin บริษัทฟินเทคที่ช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ และเน้นคริปโตเคอเรนซีที่มี uses case จับต้องได้จริง ไม่ใช่มีมโทเคน (meme token) หรือ แฟนโทเคน (fan token)

Asian Fintech หรือ Afin เข้าไปจดทะเบียนกระดานเทรดเหรียญหลัก ๆ ของโลก คือ LATOKEN ตั้งแต่ปี 2561 รวมถึง CREX24 และ P2PB2B   บริการหลักของ Afin มีถึง 6 แพลตฟอร์มคือ Wellness Reservation Platform, Auction Platform, Crypto Mining Management Platform, Finance & Leasing and Insurance Platform, Entertainment & Gaming Platform และ Real Estate & Properties Platform เห็นได้ว่าครอบคลุมภาคธุรกิจหลักๆ เกือบทั้งหมด

ส่วนเหรียญ Afin เป็นหนึ่งในโปรดักสำคัญของบริษัท โดยเป็นสกุลเงินดิจิทัลสำหรับคนทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยอาศัยบริการสนับสนุนของ Asian Fintech โดยเฉพาะแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายออนไลน์ ที่โดดเด่นใน 3 ด้าน คือ ใช้งานง่าย รวดเร็ว และวางใจได้ มีศักยภาพที่จะรองรับลูกค้าจำนวนมากและการทำธุรกรรมในปริมาณสูงพร้อมๆ กันได้ ไม่ล่ม และมีความปลอดภัยสูง

การที่มีเครือข่ายบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 150 บริษัทที่เป็นสมาชิกของ Morison Global รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรและลูกค้าของบริษัทเหล่านั้น รวมกับลูกค้าที่ใช้บริการของ Afin อีกจำนวนมหาศาลอยู่ในมือ ทำให้ชื่อของ “พอล วาน” จะกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งที่เราน่าจะคุ้นหูคุ้นหน้ากันในอนาคต

ยิ่งตอนนี้เขากำลังเดินหน้ามองหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศไทยซึ่งมีชื่อเสียงมากในธุรกิจเวลเนส การท่องเที่ยวและบริการ ฯลฯ เพื่อต่อยอดธุรกิจโดยเฉพาะในภาคบริการไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยว โรงแรม การพักผ่อนและบริการด้านสุขภาพ เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้เจอกับ “พอล วาน” แน่นอน