โอสถสภา จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น

บมจ.โอสถสภา (OSP) โชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานไตรมาส 2Q’64 ด้วยยอดขาย 6,913 ล้านบาท และกำไรสุทธิ  820 ล้านบาท เติบโตจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV และเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในประเทศ โดยผลงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,824 ล้านบาท ประกาศอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมสานต่อภารกิจเป็นพลังฮึดสู้เคียงข้างคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านการมอบความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ แก่บุคคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล กลุ่มอาสาสมัคร และชุมชนต่างๆ

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายในไตรมาส 2 ที่ 6,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ผลักดันอัตราการเติบโตในต่างประเทศโดยรวมที่ 76% นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารถเข็นแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นพลังให้คนไทยฮึดสู้ฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19

สำหรับตลาดในประเทศนั้น OSP ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาด 55% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 แบรนด์ลิโพที่มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ สร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปิดตัว ‘ลิโพ-ไฟน์’ แจ้งเกิดเซกเมนท์ใหม่ให้กับ “เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง” และเครื่องดื่มโสมอินซัมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมสมุนไพรซึ่งตอบสนองเทรนด์ของตลาดในขณะนี้ได้อย่างตรงจุด ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่ง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากออกสินค้าใหม่เพื่อตอบรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผลิตภัณฑ์กล่องใหญ่ขนาด 1 ลิตรสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้เป็นประจำ และ ‘ซีวิท พลัส’ เครื่องดื่มวิตามินซีผสมคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากการกระจายสินค้าให้แก่เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ซึ่งเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง

นอกจากนี้ การกลับมาเดินเครื่องจักรของโรงแก้วหลังจากปิดปรับปรุงในไตรมาสก่อน สัดส่วนช่องทางการขายที่ดีขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,824 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,352 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

นางวรรณิภา กล่าวว่า จากสถานการณ์ความท้าทายจากโควิด-19 โอสถสภามุ่งเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพ การสร้างพลังทางด้านการตลาดผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และเริ่มวางรากฐานการนำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าใช้ Big Data มาช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและทรานส์ฟอร์มองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ร่วมเป็นพลังสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด จัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซีวิทยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ลิโพ และเครื่องดื่มผสมสมุนไพร  อาทิ โสมอินซัม สูตรผสมถั่งเช่า และเอ็ม-150 สูตรผสมกระชายดำรวมกว่า 2 ล้านขวด มอบให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล ในเครือข่ายสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้ง 25 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ออกแบบและพัฒนาแคปซูลแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อและลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เมื่อปี 2563 ล่าสุดทีมวิศวกรของโอสถสภาได้ออกแบบและพัฒนารถเข็นความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัวมากขึ้น โดยได้ส่งมอบแคปซูลความดันลบจำนวน 3 คัน และรถเข็นความดันลบจำนวน 18 คัน มูลค่ารวมกว่า 4.8 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาล 16 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี

Nokia ขึ้นชั้นท็อประดับทอง ด้านความยั่งยืนประจำปี 2564 โดย EcoVadis

เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD Global) เจ้าของลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมแบรนด์โนเกียทั่วโลก ได้รับการจัดอันดับจาก EcoVadis ผู้ให้บริการจัดอันดับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ระดับโลก ให้เป็นองค์กรที่มีความยั่งยืน “ระดับทอง” ประจำปี 2564 ทั้งนี้ เอชเอ็มดี โกลบอล นับเป็นบริษัทหนึ่งใน 6% ของธุรกิจระดับท็อปที่ได้รับการตรวจสอบเกี่ยวกับความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในการผลิตอุปกรณ์สื่อสาร

นายภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล เปิดเผยว่า หลังจากที่ เอชเอ็มดี โกลบอล ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนระดับเงิน โดย EcoVadis ในปี 2563 ที่ผ่านมา ล่าสุด เอชเอ็มดี โกลบอล ได้รับการเลื่อนลำดับขึ้นเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืน “ระดับทอง” ประจำปี 2564 จาก EcoVadis ซึ่งนับเป็นสัญญาณแสดงถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เอชเอ็มดี โกลบอล ด้านความยั่งยืนเชิงรุกที่มีโครงสร้างขั้นสูง รวมถึงการมีส่วนร่วม มีนโยบาย และการดำเนินงานที่เป็นที่ประจักษ์เกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ พร้อมข้อมูลรายละเอียดในการดำเนินการ

นอกจากการได้รับจัดอันดับขึ้นสูงระดับทองดังกล่าวแล้ว เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา เอชเอ็มดี โกลบอล ได้ประกาศเข้าร่วมในโครงการ Eco Rating ในยุโรป ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้ทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภคสามารถประเมินความยั่งยืนของโทรศัพท์มือถือที่ต้องการ นับเป็นการทำงานเพื่อความยั่งยืนที่มากขึ้นในอนาคต ซึ่งโทรศัพท์ Nokia ทุกเครื่อง ถูกผลิตเพื่อให้มีความทนทานและใช้งานได้นาน ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ โดยโทรศัพท์ Nokia ทุกรุ่นจะต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดมากกว่า 50 ครั้ง ตั้งแต่การวัดแรงในการใช้งาน จนถึงการทดสอบรอยขีดข่วน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบมาตราฐานผลิตภัณฑ์ในข้อกำหนด ทั้งนี้ Nokia มีทดสอบที่เข้มงวดที่สุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการทดลองและทดสอบเป็นเวลานานหลายปี สำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Nokia ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าโทรศัพท์ของผู้ใช้งานสามารถใช้ได้นานและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยซอฟต์แวร์ล่าสุดที่มอบประสบการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกรักโทรศัพท์ที่ใช้ได้อีกนานหลายปี

อีกด้านของความคืบหน้าเกี่ยวกับความยั่งยืน เมื่อในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เอชเอ็มดี โกลบอล ได้ขยับสู่ก้าวแรกของ e-waste หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์และการส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนในสหภาพยุโรป ด้วย Nokia X-series ใหม่ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจะมีการขยายระยะเวลาการรับประกัน ที่มาพร้อมกับเคสโทรศัพท์ที่ย่อยสลายได้ รวมทั้งการอัปเดตความปลอดภัยรายเดือน และการอัปเกรดระบบปฏิบัติการได้นานถึง 3 ปี

อนึ่ง EcoVadis เป็นผู้ให้บริการจัดอันดับความยั่งยืนทางธุรกิจรายใหญ่ที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก ให้ผลคะแนนการจัดอันดับตามความมุ่งมั่นของแต่ละบริษัท ในด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน จริยธรรม จรรยาบรรณ หลักปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งได้ร่วมงานกับ EcoVadis เพื่อขับเคลื่อนและสร้าง “การแข่งขันสู่ความเป็นเลิศ”  บรรเทาความเสี่ยง และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับบริษัทในทุกอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสร้างสรรค์แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับโลกโดยมีบริษัทในเครือข่ายทั้งหมดกว่า 75,000 บริษัท ใน 200 อุตสาหกรรม จาก 160 ประเทศทั่วโลก

สนใจช้อป NOKIA ทาง Shopee ตลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!

PIMO โชว์งบไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 24.51 ล้าน

PIMO-ไพโม่ โชว์งบไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 24.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.15% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 10.79 ล้านบาท พร้อมปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.018 บาท ด้านหัวเรือใหญ่ “วสันต์ อิทธิโรจนกุล” เผยครึ่งปีหลังผลประกอบการโตต่อเนื่อง ย้ำเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน รับอานิสงส์ออเดอร์ล้นทะลัก ธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น

นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO-ไพโม่ ผู้ประกอบธุรกิจหลักผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor) มอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor)  เครื่องสูบน้ำ ปั๊มหอยโข่ง มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ มอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump,Pool Spa Pump and Home Pump) เปิดเผยว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 มีรายได้อยู่ที่ 244.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.58 ล้านบาท หรือ 49.29% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 163.49 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.72 ล้านบาท หรือ 127.15% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 10.79 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.64) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 468.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.05 ล้านบาท หรือ 34.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 347.80 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 44.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.95 ล้านบาท หรือ 45.72% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 30.51 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายมอเตอร์สระและสปา รวมทั้งมอเตอร์ปั๊มน้ำ (Axial-Flux pool Motor) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าจาก Underwriter’s Laboratories Inc. (UL) โดยเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ทั่วโลกยอมรับ จึงทำให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น

นอกจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายมอเตอร์ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะมอเตอร์ AC มีออเดอร์เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนลูกต่อเดือน จากเดิม 7-8 หมื่นลูกต่อเดือน และมอเตอร์ชนิดพิเศษหรือ BLDC มีออเดอร์อยู่ที่ 100 ลูกต่อวันแล้ว ปัจจุบันยังมีลูกค้าสนใจเข้ามาเจรจา เพื่อให้บริษัทฯ ผลิตมอเตอร์รถจักรยานยนต์จำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับบริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ แบรนด์ GPX ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์อันดับ 3 ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นลูกค้าหลักในตลาดการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub Motor)

นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ คาดว่าการดำเนินธุรกิจจะเติบโตในทิศทางที่ดี เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากยังมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ออกไปใช้สระว่ายน้ำนอกบ้าน ดังนั้นจึงยังคงคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 20% จากปีก่อน

ท็อปส์ ช่วยเกษตรกรไทยฝ่าวิกฤติโควิด รับซื้อตรงมังคุดใต้

สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรชาวสวนมังคุดภาคใต้  ทั้งอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ปัญหาด้านการขนส่ง ทำให้ไม่สามารถส่งผลผลิตออกไปจำหน่ายยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ  ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงฤดูกาลที่มังคุดภาคใต้ออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก และมีผลผลิตมากขึ้นกว่าปีก่อน ทำให้เกิดสภาวะมังคุดใต้ล้นตลาด ราคาตกต่ำ ขาดตลาดรองรับ

เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผู้ปลูกมังคุดภาคใต้อย่างเร่งด่วน ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด  ฮอลล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จึงได้ร่วมคิกออฟแคมเปญ “เกษตรกรแฮปปี้” จับมือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงพาณิชย์  รับซื้อตรงมังคุดใต้คุณภาพดี  ส่งตรงจากสวน จำหน่ายในราคา 4 กิโล 100 บาท  ผ่านช่องทางออฟไลน์ที่ร้านท็อปส์ มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์  24 สาขาในกรุงเทพและปริมณฑล และบริการสั่งซื้อผ่านออนไลน์ที่   www.tops.co.th และ แอปพลิเคชัน Grab เลือก Tops Select โดยจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2564 (สินค้ามีจำนวนจำกัด)

สำหรับมังคุดใต้ในโครงการ “เกษตรกรแฮปปี้” เป็นมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนภาคใต้  ที่เกษตรกรตั้งใจปลูกและดูแล รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากผู้บริโภคจะได้ซื้อมังคุดคุณภาพดี รสชาติอร่อย ในราคาที่เหมาะสมแล้ว สำคัญที่สุดคือการได้ช่วยเหลือ พี่น้องเกษตรกรทางภาคใต้ให้สามารถฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ เพื่อร่วมสร้างรอยยิ้ม และส่งกำลังใจให้ชาวสวนมังคุดใต้ภายใต้แนวคิด “คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทย Happy” โดยตลอดทั้งปี 2564 ท็อปส์ ตั้งเป้ารับซื้อตรงมังคุดจากพี่น้องเกษตรกรภาคใต้รวมกว่า 120 ตัน

สนใจช้อปสินค้า ท็อปส์ คลิกที่นี่เลย! หรือ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th , เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือ แอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand

ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ ประกาศงบไตรมาส2 โชว์กำไรสุทธิเพิ่ม 58%

ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ หรือ SORKON ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ทำรายได้จากการขาย 692 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ผลักดันให้ผลงานครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 64) มีรายได้จากการขาย 1,347 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเดินหน้าบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายลดลง ท่ามกลางการเผชิญต่อสถานการณ์โควิด-19 พัฒนาสินค้าใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า และปรับกลยุทธ์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม และรุกช่องทางออนไลน์มากขึ้น 

นายจรัสภล รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน (RTEQSR) บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของไทย รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 2/2564 ทำได้ 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 690 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ข้าวเหนียวหมูฝอย และหมูยอ ‘ยอบิ๊กไบท์’  

ขณะที่รายได้จากการขาย 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ ทำได้ 1,347 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง ส่งผลกดดันต่อรายได้ธุรกิจอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ อาทิ อาหารพื้นเมืองไทย ขนมขบเคี้ยว และกลุ่มงานร้านอาหาร Quick Service Restaurant (QSR) โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีสาขาในห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ตาม ยอดขายกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังตลาดส่งออกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเปิดให้เช่าพื้นที่ ส. ทาวเวอร์ บางนา ซึ่งได้ใช้พื้นที่ตึกสำนักงานเปิดให้บริษัทภายนอกเข้ามาเช่า โดยได้แต่งตั้งตัวแทนขาย (Sole Agent) ที่มีประสบการณ์และความชำนาญเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารพื้นที่เช่า ทำให้มีต้นทุนการให้เช่าและบริการเพิ่มเข้ามา 

ในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ ทำกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ได้ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31 ล้านบาท แม้ในปัจจุบัน ยังต้องเผชิญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจก็ตาม ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายลดลง ส่งผลให้การทำกำไรสุทธิดีขึ้น  

ขณะที่กำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ งวดครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) จำนวน 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ 65 ล้านบาท เนื่องจากได้ปรับประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายและจำหน่าย และมีกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายของสินทรัพย์ชีวภาพ (ฟาร์มสุกร) จากการปรับขึ้นของราคาจำหน่ายสุกร โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มในกิจการฟาร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควบคุมการเลี้ยงสุกร เพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต 

นายจรัสภล กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า อาทิ กลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน เพิ่มความสะดวกและโอกาสในการรับประทาน รวมทั้งปรับกลยุทธ์เพื่อขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) และช่องทางออนไลน์ผ่านผู้ให้บริการแอปพลิเคชันชั้นนำ เช่น เว็บไซต์ ECommerce (shop.sorkon.co.th) และขายผ่านแพลตฟอร์ม Online Market Place อย่าง Shopee เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าถึงสินค้าและโปรโมทกิจกรรมการตลาดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่สาขาร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่น เน้นช่องทางเดลิเวอรี่ ผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ อาทิ Grab, LINE MAN, Food panda และ Robinhood เพื่อสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบัน และเดินหน้าบริหารจัดการต้นทุนแต่ละสาขาอย่างใกล้ชิด

กองทรัสต์ PROSPECT เซ็นสัญญาผู้เช่าใหม่ ดันอัตราเช่าพื้นที่ไตรมาส 2 เพิ่ม

กองทรัสต์ PROSPECT ชูอัตราเช่าพื้นที่ทรัพย์สินโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ย่านบางนา-ตราด กม.23 ในไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 98% หลังเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่อีก 10 ราย หนุนผลการดำเนินงานโดดเด่น เตรียมจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนในอัตรารวม 0.2870 บาทต่อหน่วย พร้อมศึกษาแผนเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมภายในปีนี้และวางแผนเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ในปีหน้า  รุดประสานงานภาครัฐช่วยเหลือผู้เช่ารับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19

นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT เปิดเผยว่า นับจากจัดตั้งและนำทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวม 110.79 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 73.29 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 107.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 71.73 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการเช่าของกองทรัสต์ฯ สูงขึ้น จากโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ย่านบางนา-ตราด กม.23 ที่มีคุณภาพและความหลากหลาย โดยมีทั้งคลังสินค้าและโรงงานในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Trade Zone) และพื้นที่ทั่วไป (General Zone) รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ดีมีศักยภาพสูง

สำหรับสถานการณ์ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการ BFTZ มีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 98% เทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 96% เนื่องจากได้เซ็นสัญญากับผู้เช่าใหม่ 10 ราย คิดเป็นพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 14,000 ตารางเมตร โดยมีทั้งผู้ประกอบการไทย จีน และสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกสอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่กำลังเติบโต ส่วนผู้เช่าเดิมมีอัตราการต่อสัญญามากกว่า 75% และได้ผู้เช่าใหม่มาแทนผู้เช่าเดิมทั้งหมด

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตรารวม 0.2870 บาท จะปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 8 กันยายน 2564

“ปัจจุบันโครงการ BFTZ มีพื้นที่ให้เช่าคงเหลือใน General Zone อีกประมาณ 4,000 ตารางเมตร ที่ผ่านมามีผู้ติดต่อแสดงความสนใจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังทางโครงการจะสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ให้อยู่ในระดับเดิมหรือใกล้เคียง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง” นางสาวอรอนงค์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเพิ่มทุน ทั้งทรัพย์สินจากพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ที่เป็นบริษัทแม่ และทรัพย์สินของผู้พัฒนาโครงการรายอื่นๆ เนื่องจาก PROSPECT เป็นกองทรัสต์ที่จัดตั้งโดยบริษัทแม่ที่เป็นผู้เสนอขายทรัพย์สิน แต่มีนโยบายการลงทุนได้อย่างอิสระ ส่วนการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 รวมถึงทางบริษัทแม่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ BFTZ 2 และ BFTZ 3 มีพื้นที่รวมประมาณ 120,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีการก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีนี้และปี 2565 ซึ่งหากมีการเสนอขายให้แก่กองทรัสต์ ทาง PROSPECT จะได้รับสิทธิ์พิจารณาก่อน

ผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 โครงการ BFTZ ได้วางแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือผู้เช่า โดยการตรวจคัดกรองผู้ผ่านเข้า-ออกอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งประสานงานกับเทศบาลตำบลบางเสาธง และสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในกรณีที่ได้รับการร้องขอจากผู้เช่า และประสานงานในการปฏิบัติตามมาตรการ Bubble and Seal ในกรณีที่มีผู้เช่าพบพนักงานติดเชื้อ

นอกจากนี้ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทรัสต์ PROSPECT ได้ประสานงานกับศูนย์พักคอยรอการส่งต่อผู้ป่วยในพื้นที่ ภายใต้การดูแลของสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการและเทศบาลตำบลบางเสาธง และร่วมสนับสนุนงบช่วยเหลือ พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการอำนวยความสะดวกจัดส่งผู้ป่วยระดับสีเขียว (ที่ไม่แสดงอาการ) ไปพักรักษาตัวยังศูนย์ฯ ดังกล่าว ระหว่างรอการส่งตัวไปที่โรงพยาบาล ตลอดจนประสานงานการจัดหาวัคซีนทางเลือกและการลงทะเบียนฉีดวัคซีนตามสิทธิ์ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้แก่พนักงานของผู้เช่า โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนขอรับวัคซีนแล้วกว่า 50% ส่วนพนักงานของผู้เช่าที่ฉีดวัคซีนและได้รับแจ้งคิวฉีดวัคซีนแล้ว มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 15%

มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ชวนส่งมอบ เพดดิกรี ให้น้องหมา

มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ร่วมสร้างวัฒธรรมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงถูกทอดทิ้งในระยะยาว ล่าสุดจัดแคมเปญ PEDIGREE อิ่มนี้เพื่อเพื่อน ภายใต้แนวคิด รักคือการให้ เชิญชวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงซื้อเพดดิกรีที่ร่วมรายการ 1 ถุง เลี้ยงน้องหมาไร้บ้านได้ 1 อิ่ม ตั้งเป้าทั้งหมด 200,000 มื้อ ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม – 10 กันยายน 2564 เผยหลังจบกิจกรรมพร้อมส่งมอบเพดดิกรีให้น้องหมาถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์ฯ 6 จังหวัดทั่วประเทศ

นายรัชกร เจนพัฒนพงศ์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและอินโดจีน มาร์สไทยแลนด์อิงค์ เปิดเผยว่า เครือ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด ยังคงเดินหน้าธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยง ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒธรรมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงถูกทอดทิ้งในระยะยาว โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทจะจัดกิจกรรมใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ด้วยแคมเปญ “PEDIGREE Feed a friend. Fill the bowl” เพื่อส่งมอบอาหารสุนัขเพดดิกรีให้กับสุนัขที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายรวมกัน 500,000 มื้อ ตลอดช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ปี 2564

สำหรับในประเทศไทย มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ผู้ดำเนินธุรกิจแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ PEDIGREE®, WHISKAS®, IAMS® ROYAL CANIN®, CESAR®, SHEBA®, TEMPTATIONS® รวมทั้งทรายอนามัยสำหรับแมวแบรนด์ CATSAN®  ได้สานต่อนโยบายบริษัทแม่ด้วยการจัดแคมเปญภายใต้ชื่อ “PEDIGREE อิ่มนี้เพื่อเพื่อน” ภายใต้แนวคิด “รักคือการให้” โดยเปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงและผู้ที่สนใจได้ร่วมกิจกรรมโดยการซื้อผลิตภัณฑ์ Pedigree 1 ถุง (ขนาด 2.7 กก. ขึ้นไป ชนิดใดก็ได้) ผ่านช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ รวมถึงห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายอาหารสัตว์ชั้นนำทั่วไป ก็จะมีส่วนร่วมสมทบทุนเลี้ยงน้องหมาไร้บ้านได้ 1 อิ่ม โดยตั้งเป้าทั้งหมด 200,000 มื้อ

“เพดดิกรี เชื่อว่าน้องหมาทุกตัวควรได้รับความรักจากเจ้าของ และอยู่ในบ้านที่อบอุ่น จึงได้จัดแคมเปญที่เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงและผู้ที่สนใจได้ร่วมบริจาคอาหาร และสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ ด้วยวิธีที่สะดวกมากขึ้น  โดยดำเนินการร่วมกับสถานสงเคราะห์สัตว์เลี้ยง ซึ่งหวังว่าแคมเปญนี้จะมีส่วนสนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อน้องหมาในสถานสงเคราะห์ ซึ่งเขาเหล่านี้ก็ต้องการมีสุขภาพที่ดี เป็นน้องหมาที่สามารถสร้างความสุข เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อเจ้าของได้เช่นกัน” นายรัชกร กล่าว

หลังจากจบกิจกรรมแล้ว ทางมูลนิธิเสียงจากเรา (เดอะวอยซ์) The Voice Foundation จะเป็นตัวกลางในการช่วยส่งต่ออาหารสุนัขเพดดิกรีไปให้กับสถานสงเคราะห์ฯ ใน 6 จังหวัด  ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สระบุรี นครปฐม กาญจนบุรี และ นครราชสีมา ทั้งนี้แคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม – 10 กันยายน 2564 เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง FB: Pedigree Thailand

FSMART โกยกำไรไตรมาส 2 แตะ 113 ล้านบาท โต 8%

บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/64 กำไร 112.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว และ 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน บอร์ดมีมติให้จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.26 บาทต่อหุ้น เปิดแผนธุรกิจนำ Big data จับมือบิ๊กพาร์ทเนอร์ต่อยอดธุรกิจพร้อมออกบริการใหม่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ดันธุรกิจการเงินและสินเชื่อโต 30% ลุยสินเชื่อเพื่อรายย่อยควบคู่ไปกับเพิ่มจุดบริการเคาท์เตอร์กว่า 1,800 จุด และ Mini ATM 10,000 จุด ดึงแชร์ตลาดถอนเงินที่มีปริมาณมากกว่า 180 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งร่วมบริหารคาเฟ่อัตโนมัติเต่าบินผ่านบริษัทร่วมทุนที่บริษัทถือหุ้น 19.34% เป้าสิ้นปี 1,000 จุด และ 3 ปี 20,000 จุด ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 1 ล้านแก้วต่อเดือน

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) ผู้นำเครือข่ายช่องทางบริการอัตโนมัติและการเงินครบวงจร ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ภายใต้ชื่อ “บุญเติม” เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 /2564 ว่า บริษัทยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องแม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 โดยมีรายได้รวม 773.69  ล้านบาท กำไรสุทธิ 112.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.29 % และ 8.71 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.26  บาท จากกำไรสุทธิของงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2564

“จากยอดเติมเงิน E-Wallet เติบโตสูงขึ้น 58.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว และยอดรายการโอนเงินกว่า 1.9 ล้านรายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่าโอนเงิน 3,384 ล้านบาทมูลค่าเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนว่าตู้บุญเติมเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก ใช้งานง่าย บริการตลอด 24 ชั่วโมง และมีบริการหลากหลาย สำหรับคาเฟ่อัตโนมัติ “เต่าบิน” ที่ปัจจุบันมีจุดบริการกว่า 70 จุด และมียอดขายมากกว่า 52,000 บาทต่อจุดต่อเดือน จะเร่งจุดบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งหลัง ปี 2564 บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาบุญเติมให้เป็นธนาคารชุมชนที่สะดวกเข้าถึงง่าย มีบริการครบครัน ฝาก-โอน-ถอน และเปิดบัญชี พร้อมบริการอื่น ๆ ผ่านตู้บุญเติมที่มากกว่า 130,000 ล้านตู้ทั่วประเทศ ตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงโควิด-19  สะท้อนความเป็นผู้นำช่องทางให้บริการอัตโนมัติการเงินครบวงจร โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดใช้บริการรวม 1-5% ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในส่วนธุรกิจการเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ บริษัทเน้นให้บริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการซื้อของออนไลน์ทำให้ดันยอดบริการ E-wallet มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทจะเพิ่มบริการชำระเงินอื่นๆ เช่นกรมธรรม์ พ.ร.บ. และสาธารธูปโภคต่างๆ และจับมือกับพันธมิตรรายใหญ่เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่านเคาท์เตอร์ที่เข้าถึงและสะดวกสบาย รองรับการชำระบิลทั่วประเทศ คาดดันยอดใช้บริการพุ่งพร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่

ขณะที่กลุ่มธุรกิจทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร บุญเติมเป็นตัวแทนธนาคารที่ให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการฝาก โอน ถอน และการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีธนาคารและสินเชื่อ ซึ่งทำให้ตู้บุญเติญเป็นธนาคารชุมชนอย่างแท้จริงที่มีลูกค้าทั้งคนไทยและคนต่างชาติมาใช้บริการ คาดจำนวนธุรกรรมทางการเงินเติบโต 30 % จากการเป็นตัวแทนธนาคารเพิ่มอีก 1 แห่ง ไตรมาสนี้ และบริการถอนเงินสดผ่านตู้ Mini ATM บุญเติม ที่สามารถถอนเงินสดขั้นต่ำ 20 บาท ตั้งเป้าผลักดันให้มีจุดบริการ 200 แห่ง และขยายเป็น 10,000 แห่งทั่วประเทศต่อไป โดยคาดหวังว่าจะสามารถดึงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดนี้ได้ จากภาพรวมของตลาดมีปริมาณการถอนเงินมากกว่า 180 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งนำ Big Data จากฐานข้อมูลลูกค้ามากกว่า 20 ล้านหมายเลข และกว่า 1.4 ล้านรายการต่อวัน และมีจำนวนบริการมากกว่า 80 รายการ ทำให้บริษัทมีข้อมูลเชิงลึก และเข้าใจถึงพฤติกรรม นำมาวิเคราะห์ พัฒนาร่วมกับพันธมิตรใหม่ในการขยายธุรกิจและการให้บริการใหม่ ๆ ในธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งจะเพิ่มฐานลูกค้าใหม่สู่กลุ่มลูกค้าบุญเติมที่มีประวัติดีจากฐานข้อมูล และจะผลักดันสินเชื่อทุกรูปแบบไปยังกลุ่มรายย่อยอื่น ๆ ในอนาคต

สุดท้ายกลุ่มธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและกระจายสินค้า เน้นการขยายการให้บริการของ “ตู้เต่าบิน” คาเฟ่อัตโนมัติ ที่ให้บริการเครื่องดื่มร้อนและเย็นมากกว่า 100 เมนู และให้บริการในจุดที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย โดยตั้งเป้าขยายตู้เต่าบินให้ได้ 20,000 ตู้ภายใน 3 ปี และมียอดขาย 1 ล้านแก้วต่อวัน สร้างยอดขายต่อปีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  โดยจะพัฒนาสูตรเครื่องดื่มใหม่ ๆ อย่างเครื่องดื่มที่ผสมกัญชงหรือเครื่องดื่มน้ำขิงที่เริ่มจำหน่ายแล้ว  ในส่วนของเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charger)  ภายใต้แบรนด์ EV NET ที่มาพร้อมด้วยระบบการจัดการและชำระเงินผ่าน Application “Be-Charger” โดยที่เน้นจุดให้บริการในทำเลแบบพื้นที่ปิดที่จอดรถเป็นเวลานาน ซึ่งบริษัทสามารถตั้งราคาขายเครื่องที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้ เนื่องจากต้นทุนต่ำ พร้อมบริการหลังการขายและระบบจัดการที่แข็งแกร่ง ด้วยข้อได้เปรียบและจุดขายที่โดดเด่น จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างมาก

สุขสันต์วันแม่! กับ ซิงเกิ้ลมัมไรเดอร์ พ่วงตัวน้อยวิ่งงานเสริมทุ่มชีวิตเพื่อลูก

ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งวันแม่ด้วยการหยิบเรื่องราวน่ารักๆ ของ ไลน์แมน ไรเดอร์แม่เลี้ยงเดี่ยวสุดเปรี้ยว แนต-วราพร นะนิ่มนวล ที่ไม่ว่าจะขับรถส่งอาหารที่ไหนก็จะหิ้ว น้องอ๊อฟ ลูกชายวัย 5 ขวบ ไปด้วยทุกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นชุดคู่หูปฏิบัติหน้าที่ส่งอาหารที่ทุกคนต้องหันมอง เรามาลองทำความรู้จักกับแม่-ลูกสุดแกร่งคู่นี้กัน

แนต ซิงเกิ้ลมัมสุดสตรองคนนี้หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายด้วยการเป็นพนักงานจ้างเหมาที่บริษัทฯ แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสามโมง หลังจากเลิกงานจึงมาขับไลน์แมนส่งอาหารซึ่งตลอดทั้งวันน้องอ๊อฟจะติดสอยห้อยตามแม่ไปในทุกที่ สำหรับทั้งคู่แล้ว การขี่จักรยานยนต์ส่งอาหารเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยเพราะมันทำให้ทั้งคู่ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ และได้เที่ยวไปในที่ใหม่ๆ

ถ้าพูดถึงความเป็นตัวเองคงบอกได้จากสีสันสุดจี๊ดสะดุดตาจากการแต่งตัวและหมวกกันน็อคคู่ใจที่ชวนให้คนที่เห็น ถึงกับต้องมองตามกันเป็นแถว แนตเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ต้องการให้คนรอบข้างยิ้มได้ “ถ้ามันอยู่ในจุดที่อยากจะทำ ก็ทำเลย” ทุกการเดินทางไม่ว่าจะไปรับอาหารจากร้านอาหาร หรือส่งอาหารให้กับลูกค้าก็ช่วยสร้างรอยยิ้มทุกครั้ง บางคนถึงกับขอถ่ายรูปด้วยเลยทีเดียว

สำหรับ น้องอ๊อฟ ลูกชายที่คอยซ้อนท้ายแม่ไปทุกที่ และจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ แถมยังเป็นนักชิมตัวจิ๋วเวลาที่ไปถึงร้านขนมอีกด้วย แนตเล่าให้เราฟังว่าด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ช่วงนี้ทำให้ต้องพาน้องอ๊อฟไปทำงานด้วยตลอดจนกว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

แนต เล่าว่า การมาทำอาชีพขับรถส่งอาหารเป็นงานเสริมทำให้มีรายได้ 2 ทาง มีความอิสระในการแบ่งเวลาทำงาน ระหว่างงานประจำกับงานนี้ แล้วยังได้ประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ร่วมกับลูกชายในทุกวัน เช่น เปลี่ยนพื้นที่รับงาน ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ เพราะมีงานให้กดและรับ-ส่งอาหารทุกจุด และการมีระบบที่เอื้ออำนวยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก “บางทีลูกค้าปักหมุดมาไม่ตรง เราก็พิมพ์แชทหรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ถามลูกค้าได้ สะดวกดี”

เมื่อถามว่าแนตคาดหวังอนาคตของน้องอ๊อฟไว้อย่างไร แนตบอกว่าขอให้ลูกชายคนนี้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นคนที่แข็งแกร่ง “อย่างน้อยเราจะได้หมดห่วง ให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไม่ต้องมาเลี้ยงเรา แต่ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง” ส่วนน้องอ๊อฟเองก็เคยพูดกับแม่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเลี้ยงดูแม่ของเขาด้วยตัวเอง รวมถึงคอยมอบกอดให้กำลังใจเสมอทุกวัน นี่คือเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นของคู่หูแม่-ลูกไรเดอร์ที่ทำให้ทุกวันเป็นทั้งวันแม่ และวันลูกสำหรับทั้งสองคนเสมอ

ช้อปอะไรดี? ไลอ้อน แนะนำผลิตภัณฑ์ MAMA KARA สำหรับเด็ก  

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก แบรนด์ มามา คาระ MAMA KARA ที่มีความหมายจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “จากแม่” ภายใต้แนวความคิด “ของขวัญที่ดีที่สุดจากแม่” เพื่อผิวของทารกที่บอบบาง มีแนวโน้มระคายเคืองได้ง่าย ด้วยผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมออร์แกนิค “ORGANOVATION” ที่นำสารสกัดออร์แกนิค (Organic Ingredients) ผ่านการรับรองมาตรฐาน ECOCERT COSMOS มาผสานนวัตกรรม (Innovation) เอกสิทธิ์เฉพาะ มามา คาระ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ปราศจากสารเติมแต่งที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวทารก พร้อมผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคือง (Hypoallergenic Tested) เหมาะสมกับการเป็นของขวัญที่ดีที่สุดจากแม่ให้แก่ลูก

โดยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย 1. แชมพูสบู่เหลวสำหรับผิวแห้ง Mama Kara Head To Toe Wash Daily Nourishingนำสารสกัดออร์แกนิค โจโจบา ออยล์ และสารสกัดออร์แกนิคอาร์แกน ออยล์ ผสานกับนวัตกรรม Triple Nano Drive1 ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนด้วยสารทำความสะอาดจากธรรมชาติ พร้อมคงความชุ่มชื่น ให้ผิวเนียนนุ่มและเส้นผมเงางาม ด้วยค่า pH Balance (pH5.5) ผ่านการทดสอบว่าไม่ระคายเคืองดวงตา (Non Eye Irritation) 2. โลชั่นบำรุงผิวแห้ง  Mama Kara Moisturizing Baby Lotion Daily Nourishing นำสารสกัดออร์แกนิค โจโจบา ออยล์ ผสานกับนวัตกรรม Lamella Liquid Crystal (LLC) Structure ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว3 ให้ชุ่มชื่นยาวนาน 24 ชั่วโมง4 ลดโอกาสผิวกลับมาแห้งซ้ำเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ให้ลูกน้อยไม่มีผิวแห้งคัน อารมณ์ดีตลอดวัน

สนใจช้อป MAMA KARA ทาง Lazada คลิกที่นี่เลย! หรือ Shopee คลิกที่นี่เลย!