DOD เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ลุยกัญชงเต็มสูบ

บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) จ่อเดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ดัน “สยาม เฮอเบิล เทค” ลุยกัญชงเต็มสูบ เตรียมส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชงให้พาร์ทเนอร์ (บริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป – วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลฯ – วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ)ปลูกปลายส.ค.นี้ เพื่อจำหน่ายให้ DOD นำสารสำคัญมาสกัด Hemp Seed Oil – CBD ขณะที่โรงสกัดแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในต.ค.นี้ ตอกย้ำเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดจากกัญชงครบวงจร แบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ  ระบุ DOD เปิด LAB ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์วิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยา“ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทย

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน)หรือ DOD เปิดเผยถึงทิศทางครึ่งปีหลังว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบางทำให้บริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่า ต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่าย เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนต่อเนื่องต่อไป

บริษัทฯจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงสกัดซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ( Core Business) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมาบริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยภายใต้ บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านโรงสกัดสำหรับรองรับการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม (ซึ่งถือพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ) และพืชสมุนไพรอื่นๆ รวมถึงเป็นผู้นำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับเครือข่ายผู้ปลูกกัญชง

จากความคืบหน้าล่าสุด บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค ได้ทำสัญญากับกลุ่มเกษตรกร (Contract Farming) รายใหญ่ และกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชน อาทิ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ ที่ได้รับใบอนุญาตการปลูกกัญชง  จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯคาดว่าจะทยอยส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชง ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์นำเข้าที่ได้ใบอนุญาตจากสำนักงานอย.ให้กลุ่มพันธมิตรดังกล่าวภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อดำเนินการปลูก โดยบริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับ จำนวน 1 แสนเมล็ด ไปปลูกเพื่อนำเมล็ดกัญชง มาจำหน่ายให้กับบริษัทฯ เพื่อนำไปสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil)

ในขณะที่วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับทั้งหมด 2.5 หมื่นเมล็ด ไปปลูกเพื่อเอาช่อดอก เพื่อจำหน่ายให้บริษัทฯนำสารสำคัญไปผลิต CBD หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสกัดสารและผลิตผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าตามออเดอร์ ได้ภายในช่วงไตรมาส 4/2564 หรือ ต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกของประเทศไทย

สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งโรงสกัดนั้น ล่าสุดได้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% พร้อมทั้งได้มีการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งภายในโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นบริษัทฯคาดว่าโรงสกัดดังกล่าวจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน โดยโรงสกัดดังกล่าวถูกก่อสร้างภายใต้การรับรองตามมาตรฐาน PIC/S ซึ่งเป็นมาตรการของโรงงานผลิตยา

หากโรงสกัดแล้วเสร็จและได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชงตามแผนที่วางไว้ จะเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของกลุ่มบริษัท DOD ทั้งด้านการเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดสำคัญจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม รวมถึงพืชสมุนไพรอื่นๆที่ครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ

ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค  กล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทฯได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนห้อง LAB ปฏิบัติการให้กับทางสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันการวิจัยและวิชาการชั้นสูงของประเทศไทยเพื่อใช้สำหรับงานวิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) )เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทยภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยมีเป้าหมายต้องการเห็นประเทศไทยพ้นจากวิกฤติการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งล่าสุดราชวิทยาลัยจุฬาฯได้มีการส่งวัตถุดิบซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ มาให้ทีมวิจัยและพัฒนา(R&D)ของ DOD ช่วยวิเคราะห์เพื่อร่วมหาสารตั้งต้นดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้บริษัทฯมองว่าการที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งวิเคราะห์วิจัย และสนับสนุนห้อง LAB เพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทฯที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศ

สำหรับสาเหตุที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เข้ามาใช้ห้องปฏิบัติการ (LAB)ของ DOD เนื่องจากเล็งเห็นว่า  LAB ของเราได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 : 2017 รวมถึงยังได้การรับรองมาตรฐาน ISO 22000:2018 (ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร) และ ISO 14001 : 2015 (ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม) รวมถึงมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถสนับสนุนงานวิจัยในการคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ได้ตรงตามที่ต้องการ

พร้อมทั้งนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติม แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 แต่ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของบริษัทยังคงมีรายได้จากการขาย 247.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.94 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 73.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 32.63 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่าต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่งในธุรกิจเครือข่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยลูกหนี้และลูกหนี้อื่น ค่าเผื่อการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงิน และค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือจึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจการ ทำให้เกิดผลขาดทุนส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน (57.83) ล้านบาท แต่บริษัทเล็งเห็นว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง

โดยพิจารณาได้จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 406.04 ล้านบาท เป็น 603.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 48.62 และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 118.81 ล้านบาท เป็น 225.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 89.50 และมีกำไรที่ไม่รวมของบริษัทย่อยทั้งสองแห่งที่หยุดดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 83.23 ล้านบาท เป็น 175.92 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 111.37 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

SAPPE เปิดไตรมาส 2 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรโต 53.3%

บมจ. เซ็ปเป้ หรือ SAPPE ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ทำรายได้รวม 960.5 ล้านบาท เติบโต 31.9% และกำไรสุทธิ 125.2 ล้านบาท เติบโต 53.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินหน้าปรับแผนงานเชิงรุก ทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะตลาดรักสุขภาพ สร้างโมเมนตัมในตลาดอาหารและเครื่อมดื่มมากขึ้น พร้อมรับอานิสงส์ตลาดต่างประเทศฟื้นตัว กำลังซื้อเริ่มกลับมา รวมถึงรับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อนค่า มั่นใจรายได้ทั้งปีเติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย 

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 (เมษายนมิถุนายน) ถือเป็นปีที่บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 960.5  ล้านบาท เติบโต 31.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 728.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตแม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตลาดต่างประเทศกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยอัตราการเติบโต 52.0% จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนจากกำลังซื้อของผู้บริโภคหลังจากประชาชนทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยภูมิภาคที่เติบโตโดดเด่นได้แก่ ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อเมริกา ที่ถึงแม้มีอุปสรรค์ด้านค่าระวางการขนส่งสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการเข้าไปบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด 

สำหรับตลาดในประเทศ ไตรมาสนี้ได้มีการลงนาม MOA โครงการส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงกับ บจ.ไทย เฮมพ์ เวลเนส เพื่อเตรียมพร้อมรับเทรนด์กัญชงแล้ว SAPPE ยังได้ปรับแผนเชิงรุกเพื่อขยายตลาดในประเทศโดยเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภค อาทิ เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ กรีน รีแล็กซิ่งคาล์มเครื่องดื่มน้ำสมุนไพร ตะขาบห้าตัว Sappe x Takaab, เครื่องดื่มสมุนไพรแบบช็อตรูบี้ เลดี้, กาแฟเพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ คอลลาเจน ไทพ์ทู, แม็กซ์ทีฟ กาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม และในกลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น ลูกอมครูเพ็ญศรี โดยร่วมมือกับพันธมิตร Sappe x Workpoint ทำให้มีโมเมนตัมในตลาดอาหารและเครื่อมดื่มมากขึ้น   

ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 125.2 ล้านบาท เติบโต 53.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 81.6 ล้านบาท อันเป็นผลมาจาก ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาเพิ่มมากขึ้น 

นางสาวปิยจิต กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2564 คาดว่าจะรักษาการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการขยายตัวของตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากแบรนด์สินค้า ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในหลายๆประเทศ สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทฯ มีแผนทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Functional Drink รวมถึงสร้างสีสันให้กับตลาดอาหารและเครื่องดื่มด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดกลับมาคึกคักไม่แพ้ช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่าผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯ จะสามารถผลักดันรายได้ให้เติบโตได้ 10-15% ตามเป้าหมาย  

ALT ชี้ไตรมาส 2 ธุรกิจสื่อสารข้ามแดนรุ่งดันกำไรขั้นต้นฟื้น

เอแอลที เผยผลงานไตรมาส 2/64 กำไรขั้นต้น 76 ล้านบาท รับอานิสงค์ธุรกิจโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศเติบโตสูง โชว์มีงานรอรับรู้รายได้ 1,466 ล้านบาท ดี/อีเหลือแค่ 0.55 เท่า วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 64 เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน และร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 306.83 ล้านบาทลดลง 24.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 404.11 ล้านบาท แต่หากพิจารณารายได้จากการให้บริการโครงข่ายจะเห็นว่ามีอัตราการเติบโตสูง 53.2% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ 52.88 ล้านบาท เป็น 81.01 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

“แม้รายได้รวมจะลดลง แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 569.8% คือจากขาดทุน 16.18 ล้านบาทใน ไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 76.01 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 โดยผลกำไร ส่วนใหญ่เป็นรายการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศ” นายสมบุญ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 2/64 แม้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 0.57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 42.87 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 แต่หากไม่นับรวมรายการพิเศษในรายได้อื่นที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/63 จะพบว่าผลการดำเนินงานปกติก่อนภาษีดีขึ้น 39.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 110.6% จากขาดทุนก่อนภาษี 35.92 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 เป็นกำไรก่อนภาษี 3.83 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 ขณะที่สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,466 ล้านบาท

ฐานะการเงินของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากการลดลงของหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเจ้าหนี้การค้าจำนวน 293.76 ล้านบาท และ 45.50 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.75 ณ สิ้นปี 2563 เหลือ 0.55 ณ สิ้นไตรมาส 2/64 โดยมีเงินสดในมือ 169.51 ล้านบาท

นายสมบุญ กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 จะเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมทั้งเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์  ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ผู้คนได้ใช้อินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมาร์ สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด มียอดรายได้สูงขึ้น โดยได้ตั้งเป้าที่จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Asian Digital Hub มีโครงการลงทุนก่อสร้างสถานีฐานชายฝั่งเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายเคเบิ้ลใต้ทะเลจากต่างประเทศ เข้ากับโครงข่ายเคเบิ้ลภาคพื้นดินภายในประเทศของบริษัท ซึ่งสามารถพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายภาคพื้นน้ำจากทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

ในส่วนธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ สืบเนื่องจากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องด้านโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายขนาดของโครงการให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง

ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ บริษัทได้มีการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัยโดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสังเกตการณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชน ทั้งในเรื่องมลพิษ และฝุ่นละออง การจราจร รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาธุรกิจด้านแพลตฟอร์ม บริษัทยังได้พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ ใช้สำหรับการเก็บค่าบริการ ในปัจจุบัน ได้มีการนำไปปรับใช้กับการเก็บค่าบริการที่จอดรถ เป็นต้น

ทุนธนชาต (TCAP) คว้ารางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี กลุ่มธุรกิจการเงิน

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 เติบโตจากไตรมาสก่อน(QoQ) และไตรมาสเดียวกันปีก่อน(YoY) ล่าสุดยังสามารถคว้ารางวัล บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี ในกลุ่มธุรกิจการเงิน จากวารสารการเงินธนาคารได้อีกด้วย

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ปี 2564 TCAP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 1,437 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยกำไรสุทธิของบริษัทย่อยที่สำคัญจำนวน 866 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 488 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ มีจำนวน 1,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มธนชาต ในขณะที่ธุรกิจของบริษัทร่วมทั้งธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และ บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 มีจำนวน 2,185 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากในไตรมาส 1 ปีก่อน TCAP มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นอายิโนะโมะโต๊ะ จำนวนประมาณ 3,000 ล้านบาท”

 “จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง TCAP จึงมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง  ด้วยการดำรงเงินสดสภาพคล่องไว้สำหรับการลงทุนในธุรกิจเพิ่มเติมเมื่อมีจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย การจัดตั้งบริษัท ธนชาต พลัส จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน (Asset-Based Financing) ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนี้ TCAP ยังได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ที เอ็ม โบรคเกอร์ จำกัด และ บริษัท เอ็ม ที เซอร์วิส 2016 จำกัด จาก MBK   เพื่อปรับโครงสร้างการลงทุนในหุ้นของทั้ง 3 บริษัท ทำให้ TCAP ถือหุ้น 100% และสามารถบริหารจัดการทั้ง 3 บริษัทได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต อีกทั้งที่ผ่านมา TCAP ยังมีการปรับโครงสร้างทางการเงินเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทลูก ซึ่งบริษัทลูกทุกบริษัทต่างยังมีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดีในครึ่งปีแรกของปีนี้”

นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจจำนวนมาก ซึ่ง TCAP ในฐานะที่เป็นบริษัทประกอบธุรกิจการลงทุนก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยการบริหารงานของทีมบริหารที่เป็นมืออาชีพ มากประสบการณ์ ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของ TCAP ยังคงเดินหน้าไปได้ด้วยดี มีฐานะการเงินที่มั่นคง และยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ TCAP ได้รับการคัดเลือกจากวารสารการเงินธนาคาร ให้เป็น  “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2021” ในกลุ่มธุรกิจการเงิน  อีกด้วย

MFC ส่งกองทุน MTOP1 ลงทุนหุ้นไทยเป้าหมาย 5% ภายใน 5 เดือน

ตั้งแต่เริ่มปี 2564 จวบจนเข้าสู่ครึ่งปีหลัง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC จัดทัพกองทุนคุณภาพ ออกกองทุน IPO อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยในครั้งนี้นำเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MFC Thai Opportunity Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1  ลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ และ/หรือ ตราสารทุน อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน (Efficient portfolio management) จึงมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง เนื่องจากใช้เงินลงทุนในจำนวนที่น้อยกว่า จึงมีกำไร/ขาดทุนสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง ความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 5 กำหนดเป้าหมายมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.53 บาทต่อหน่วย แต่ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทน  MTOP1 เป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดอายุโครงการ และในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น โดยมองภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่

1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย

2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครั

3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย

โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 – 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล ผู้สนใจลงทุนสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนในช่วงเวลา 5 เดือนได้ ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com

DMT โชว์ไตรมาส 2 กำไร 63.15 ล้าน จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.07 บาท

บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง หรือ DMT เปิดแผนครึ่งปีหลัง นำความเชี่ยวชาญและฐานทุนต่อยอดสร้างโอกาสเข้าร่วมเสนองานภาครัฐตามนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุน เดินหน้าศึกษาโครงการ MFlow และโครงการร่วมพัฒนา Rest Area และ พัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังรัฐกดปุ่มเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยโควิด-1โดยมีรายได้จากค่าผ่านทาง 251.44 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 63.15 ล้านบาท ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 24 สิงหาคมนี้

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ผู้บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมโครงการทางยกระดับอุตราภิมุขหรือทางยกระดับดอนเมือง เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานครึ่งปีหลัง DMT จะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เข้าไปขยายงานและสร้างโอกาสทางธุรกิจเพื่อร่วมโครงการภาครัฐ ตามนโยบายให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการเป็นผู้รับสัมปทานดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษและทางพิเศษ โดยคาดว่ารายละเอียดโครงการต่าง ๆ จะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ เช่นเดียวกับโครงการระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นหรือ MFlow ของกรมทางหลวง โดยได้ศึกษาแนวทางการร่วมดำเนินงานในโครงการ MFlow เพื่อนำองค์ความรู้ด้านงานระบบ งานบริหารจัดการ การตรวจสอบการละเมิดและการติดตามทวงถามค่าผ่านทาง เพื่อเข้าไปร่วมรับงานดังกล่าว หลังจาก DMT มีแผนติดตั้ง MFlow Demo Lane Test ที่บริเวณด่านดินแดงเพื่อทดสอบระบบ 

นอกจากนี้ DMT มีแผนจะขยายโอกาสทางธุรกิจในส่วนโครงการอื่น ๆ ที่สนใจโครงการพัฒนาจุดพักรถริมทางหลวงหรือ Rest Area ที่กรมทางหลวงได้เชิญเอกชนผู้สนใจเข้าประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น (Market Sounding) สำหรับโครงการบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข กรุงเทพ-บ้านฉาง ซึ่งกรมทางหลวงมีแผนที่จะประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP จำนวน แห่ง ที่ศรีราชาและบางละมุง ช่วงไตรมาสที่ 4/2564 แผนเปิดบริการในปี 2566 และอีก โครงการ คือ โครงการจุดพักรถริมทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข บางปะอิน-นครราชสีมา และ หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี ที่จะมีการเปิดประมูลในปี 2565 เปิดให้บริการ 2567 โดยกรมทางหลวงมีเป้าหมายต้องการพัฒนาจุดพักรถที่มีความทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนสำหรับผู้เดินทางที่มาใช้บริการมอเตอร์เวย์ให้เป็นจุดพักรถเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง ให้เกิดความสะดวก และปลอดภัย ซึ่ง DMT สามารถนำประสบการณ์การร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเข้ายื่นเสนอเป็นผู้รับสัมปทานร่วมกับพันธมิตร โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย Smart, Modern, Innovative ผนวกกับประสบการณ์การให้บริการทางด่วนกว่า 30 ปี ที่มีการบริหารจัดการต้นทุนดำเนินงานและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมและยังคงให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง การให้บริการผู้ใช้ทางและการสร้างสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าซึ่ง DMT จะนำประสบการณ์ส่วนนี้ ที่มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ใช้ทาง ผ่านระบบ Customer Relationship Management หรือ CRM มาตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังจากเริ่มเปิดให้บริการแก่ประชาชนเมื่อวันที่ สิงหาคมที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าว DMT ได้ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยศึกษาการใช้ระบบ Smart Feeder มาให้บริการ ซึ่งในระหว่างสถานการณ์วิกฤต COVID19 ขณะนี้ DMT มีสภาพคล่องทางการเงินที่เข็มแข็ง เพื่อสนับสนุนการทำงานขับเคลื่อนของ DMT สำหรับให้บริการประชาชน และ สนับสนุนงานคมนาคมของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป 

“หลังจากที่เราเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนพร้อมสร้างโอกาสการขยายธุรกิจใหม่ ๆ โดยจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี เข้าไปร่วมพัฒนาโครงการที่ภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยเราศึกษาและวางแผนประมูลในโครงการที่มีศักยภาพรวมถึงได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย” นายธานินทร์ กล่าว 

ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจและการเงิน DMT กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม  2564  DMTได้ชำระหนี้ตามสัญญาทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 1,683.78 ล้านบาท จากกระแสเงินสดจากการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ภาระหนี้ฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเงินกู้ระยะสั้น ประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 300 ล้านบาท ทำให้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (เท่า) ปรับลดลงจาก 0.40 เป็น 0.11 อัตราส่วนสภาพคล่อง (เท่า) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.27 เป็น 0.84 เมื่อเปรียบเทียบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563  และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวมทั้งมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อสำรองไว้ใช้ในกิจการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 DMT มีวงเงินสินเชื่อซึ่งยังมิได้เบิกใช้เป็นจำนวนเงินรวม 620ล้านบาท (31 ธันวาคม 2563 : 350 ล้านบาท) ซึ่งเป็นวงเงินที่ได้รับเพิ่มเติมและลงนามในสัญญา ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 จำนวน 120 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกกว่า 300350 ล้านบาท จากผลสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ DMT มีระดับของหนี้สินหมุนเวียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญอันส่งผลให้ DMT มีสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564 เพื่อสามารถรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19 ได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน พร้อมขยายกิจการในการเข้าร่วมประมูลงาน ที่ภาครัฐเปิดประมูลเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Public Private Partnership) ในช่วงปลายปี 25642565 หลายโครงการ 

โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) DMT ยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID19 สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ทำให้ภาครัฐเพิ่มระดับความเข้มงวดหลังจากมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประกาศมาตรการ Lockdown และเคอร์ฟิว เพื่อบริหารจัดการควบคุมผู้ติดเชื้อในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีจำนวนมาก ส่งผลต่อปริมาณการจราจรในเส้นทางยกระดับส่วนสัมปทานเดิมไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 27,897 คันต่อวัน หรือลดลง 36.29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 ที่มี 43,758 คันต่อวัน และส่วนต่อขยายทางด้านทิศเหนือชะลอตัวลง 31.28% หรือลดลงเหลือ 20,245 คันต่อวัน เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้านี้ที่มี 29,473 คัน เป็นผลให้รายได้จากค่าผ่านทางในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 251.44 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 63.15 ล้านบาท และจากการที่ DMT มีการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพภายใต้แผน BCP หรือ Business Continuity Plan เพื่อบริหารความเสี่ยงตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคในระลอกที่ เมื่อตอนต้นปี โดยบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องสามารถลดต้นทุนได้ถึง 169 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับปี 2563 รวมถึงภาระหนี้สินตามสัญญาทางการเงินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ DMT สามารถรับมือกับความเสี่ยงจากปัจจัยที่เกิดขึ้นได้เป็นที่น่าพอใจ ส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วง เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 206.24 ล้านบาท 

ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 82,686,296 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 กันยายน 2564 

ทั้งนี้ DMT มองว่านโยบายภาครัฐในการเร่งจัดวัคซีนเพื่อฉีดให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงเกินกว่าร้อยละ 70 ภายในปีนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และลดความรุนแรงของการติดเชื้อ จะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้งภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ปริมาณการจราจรทยอยปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการเดินทางของประชาชนภายหลังผ่านพ้นวิกฤต COVID19 เชื่อว่าจะนิยมใช้รถยนต์ส่วนบุคคลสูงขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบการเดินทางที่ปลอดภัยมีลักษณะแบบ DoortoDoor รวมถึงปัจจัยการขยายตัวของชุมชนทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จะเข้ามาช่วยสร้างโอกาสให้แก่ DMT เพิ่มขึ้น 

ไส้เลื่อนนักกีฬา รู้ระวังรีบรักษาก่อนไม่ฟิต

ไส้เลื่อนเป็นอีกปัญหากวนใจที่พบบ่อยในนักกีฬาหรือผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ โดยไส้เลื่อนนักกีฬาจะมีความคล้ายคลึงกับไส้เลื่อนขาหนีบ แต่มีวิธีการรักษาและอาการบาดเจ็บที่แตกต่างกัน ฉะนั้นแล้วการรู้เท่าทันเพื่อที่จะสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรละเลย

นายแพทย์ชนินทร์ ปั้นดี ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคไส้เลื่อนนักกีฬา (Sports Hernia) หรือไส้เลื่อนฮ็อกกี้ มีอาการคล้ายไส้เลื่อนแต่ไม่มีการเลื่อนของลำไส้ออกนอกช่องท้อง สามารถพบได้มากในกลุ่มนักกีฬาที่มีการวิ่งเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว หรือมีการเคลื่อนไหวบิดหมุนบริเวณข้อต่อสะโพกอย่างรุนแรง เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง กระโดดสูง เบสบอล ฟันดาบ ฮ็อกกี้น้ำแข็ง มวยปล้ำ เป็นต้น ที่จะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อขาหนีบ (Adductor) ช่องท้องส่วนล่างของนักกีฬา พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุของโรคไส้เลื่อนนักกีฬาเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อในช่องท้องส่วนล่างบริเวณขาหนีบและข้อต่อสะโพกที่มีการใช้งานหนัก หรือความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อขาหนีบที่มีแรงตึงมากกว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องด้านล่าง ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและการฉีกขาดของเส้นประสาทบริเวณขาหนีบ 

ลักษณะอาการไส้เลื่อนนักกีฬา จะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีอาการสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวโดยไม่มีการเลื่อนของลำไส้  โดยมีอาการปวดหรือเจ็บแบบเสียดๆท้องน้อยส่วนล่าง ขาหนีบ อัณฑะ ต้นขา อาจมีอาการขณะจามแรง ๆ ออกกำลังกายหรือซิทอัพ ส่วนไส้เลื่อนขาหนีบจะมีอาการปวดจุกขาหนีบที่มีความสัมพันธ์กับก้อนขาหนีบ รู้สึกมีก้อนเข้าออกได้บริเวณขาหนีบ มักมีอาการขณะลุกขึ้นหลังจากนอนหรือนั่ง ขณะไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ อาการจะเป็นๆ หายๆ เนื่องจากอาการที่คล้ายกันและทับซ้อนกับโรคอื่นๆเช่น Osteitis Pubis การบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังส่วนเอว ข้อต่อสะโพก ช่องท้อง และระบบทางเดินปัสสาวะ การตรวจวินิจฉัยจะต้องซักประวัติอาการของผู้ป่วยทางคลินิก การตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจ MRI เพื่อตรวจแยกรอยโรคที่ต่างกัน นอกจากนี้นักกีฬาหลายคนอาจมีกล้ามเนื้อขาหนีบอ่อนแรงหรือเกิดการฉีกขาด อาจส่งผลให้ Sports Hernia พัฒนาเป็นไส้เลื่อนในช่องท้องได้หากกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องอ่อนแอลงอีก

ขั้นตอนการรักษาสามารถรักษาแบบประคับประคองด้วยการพักการใช้งานของกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบหรือหยุดกิจกรรม ประคบเย็น กระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทานยาแก้ปวดลดบวม ฉีดยา กายภาพบำบัด เสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานโดยการบริหารกล้ามเนื้อขาหนีบให้แข็งแรง การฝึก Hip Adduction หรือการนอนในท่าคว่ำโดยให้งอสะโพกด้านที่มีอาการและหมุนออกด้าน หากทำการรักษาแบบประคับประคองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นใน 6 – 8 สัปดาห์ โดยเฉพาะในนักกีฬาอาชีพ การผ่าตัดแบบเปิดหรือการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Herniorharrphy) ด้วยการเสริมความแข็งแรงของผนังช่องท้องโดยการเสริมตาข่าย  Mesh Repair แผ่นสารสังเคราะห์เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง หรืออาจร่วมกับการซ่อมแซมกล้ามเนื้อขาหนีบที่มีปัญหาในกรณีที่มีสาเหตุจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อขาหนีบ หลังผ่าตัดจะมีอาการตึงแผลบริเวณขาหนีบเล็กน้อย ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1 – 2 วัน หลังผ่าตัดต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีแรงดันในช่องท้องสูงในช่วง 4 – 6 สัปดาห์แรก เช่น ห้ามยกของหนักหรือออกกำลังกายหักโหม หลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะ และหลีกเลี่ยงการบิดและหมุนลำตัวอย่างกะทันหัน

โรคไส้เลื่อนนักกีฬาเป็นอาการที่ไม่สามารถชะล่าใจได้ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้อักเสบเรื้อรังจนรุนแรง ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องทันที สอบถามหรือปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ศูนย์ศัลยกรรม รพ.กรุงเทพ โทร. 0 2310 3000 โทร 1719 หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

PR9 โชว์รายได้ไตรมาส2 โต 23% เตรียมบุกตลาดลูกค้าประกันสุขภาพ

บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า โชว์ผลงานไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% และมีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท เติบโต 3.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ OPD – IPD ในกลุ่มที่เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อรับการตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการรักษาอาการจากการติดเชื้อจำนวนหนึ่งอีกด้วย รวมทั้งผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่

นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ  รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกการทำตลาดผู้ป่วยไทย และผู้ป่วยชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) อยู่ที่ 349.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักเกิดจากฐานรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ต่ำกว่าปกติจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกในช่วงปี 2563 รวมถึงการได้รับผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่ ตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) อยู่ที่ 282.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ หากแบ่งรายได้ตามการชำระเงินจะพบว่า สัดส่วนรายได้จากทุกกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มของรายได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในปีที่ผ่านมา ที่เน้นเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มประกันสุขภาพ จากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง ส่วนต้นทุนในการประกอบกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย) ไตรมาส 2/64ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 500 ล้านบาท ปัจจัยหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย  จากการเปิดใช้อาคารศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ รวมถึงต้นทุนค่าเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 130.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.3% ของรายได้รวม เมื่อเทียบกับ 116.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2/63 ซึ่งคิดเป็น 22.4% ของรายได้รวม สัดส่วนดังกล่าวที่ลดลงสะท้อนถึงการจัดการที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนปรับสูงขึ้น อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดอาคารใหม่ แต่บริษัทฯ ก็สามารถบริหารจัดการ ประหยัดค่าใช้จ่ายหลายๆ รายการ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายทางด้านบุคลากรยังคงทำได้ดีขึ้น จากการบริหารชั่วโมงทำงานและกระจายทรัพยากรบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/64 เติบโต 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“สำหรับแนวโน้มในครึ่งหลังปี 2564 คาดอุปสงค์การใช้บริการจะเริ่มดีขึ้น ในไตรมาส 4/64 จากการฉีดวัคซีนที่จะครอบคลุมประชากรมากขึ้น รายได้จากศูนย์เฉพาะทางต่างๆ น่าจะกลับมาเติบโต จากอุปสงค์คงค้าง หรือ Pent Up Demand กอปรกับเข้า High season ของธุรกิจโรงพยาบาลพอดี ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์ในการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง จากการที่กลุ่มตลาดลูกค้าประกันที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น และยังได้เตรียมความพร้อม ในเรื่องการรองรับการรักษากลุ่มข้าราชการที่ได้รับสวัสดิการกับกรมบัญชีกลางอีกด้วย” นพ.เสถียร กล่าว

ADD โชว์งบ 6 เดือนแรก กำไรพุ่ง 62%

บมจ.แอดเทค ฮับ (ADD) เดินหน้าโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โชว์งบ 6 เดือนแรกของปี 64 โตตามเป้า โกยรายได้ 262.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ขับเคลื่อนให้สังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว หนุนรายได้การให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์พุ่งแรงถึง 78.5% จากปีก่อน และการให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโตถึง 20.8% จากปีก่อน พร้อมเสิร์ฟข่าวดีผู้ถือหุ้น หลังบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรก 0.18 บาท/หุ้น จ่อ XD วันที่ 24 สิงหาคม และจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 กันยายนนี้ 

นายชวัล บุญประกอบศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD ดำเนินธุรกิจผู้ให้บริการระบบสนับสนุนบริการดิจิทัลคอนเทนต์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่และให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการรวม เท่ากับ 262.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 76.1 เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 149.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 62.2 เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.5 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการให้บริการ เท่ากับ 128 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.7 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการขยายตัวของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก 1.) การให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านช่องทางโทรคมนาคม มีรายได้รวมเท่ากับ 226 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีการเพิ่มคู่ค้าด้านการตลาดในช่องทางออนไลน์ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 61.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5 เทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง ตามต้นทุนส่วนใหญ่ที่เป็นต้นทุนมาจากส่วนแบ่งรายได้ให้แก่คู่ค้าด้านการตลาดซึ่งจะแปรผันไปตามรายได้ และคู่ค้าด้านการตลาดรายใหม่ในช่องทางออนไลน์มีอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้น

2.) การให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เท่ากับ 36.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 เทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีการให้บริการโครงการใหม่แก่ลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 เทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าบริการคลาวด์เซิร์ฟเวอร์และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงานเพิ่มขึ้นรวม 3.7 ล้านบาท และ 3.) การให้บริการโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ตสำหรับสินค้าและบริการอยู่ที่ 0.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.5 เทียบกับปีก่อน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการใช้จ่ายด้านสื่อโฆษณาลดลงตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 และมีขาดทุนขั้นต้น 1.2 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงานซึ่งเป็นต้นทุนคงที่

“ภาพรวมของตลาดบริการ Digital ในปี 2564 คาดว่าจะมีการเติบโตร้อยละ 13.2 และมีมูลค่าตลาดรวมที่ 231,220 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้สังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลเร็วขึ้น ส่งผลให้การให้บริการออนไลน์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ทุกภาคบริการภายใต้การขยายการให้บริการโครงข่ายการสื่อสาร 4G  ของผู้ประกอบการโทรคมนาคม และอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่เอื้ออำนวยให้เกิดการใช้ดิจิทัลในทุกวงกว้างมากขึ้นเพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วให้กับลูกค้า รวมถึงการลงทุนเครือข่าย 5G ถือเป็นโครงข่ายความเร็วสูงที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดการใช้งานได้จริงในอนาคต  หนุนให้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม Digital Content ใหม่ๆ ออกมารองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้บริการ Digital Content ในรูปแบบการสมัครสมาชิก ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเป็นตัวสนับสนุนให้ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรกเติบโตอย่างโดดเด่น”

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายปันผลงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย. 2564) ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งหมด 28.8 ล้านบาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 25 สิงหาคม 2564 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 24 สิงหาคม 2564 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่9 กันยายน 2564

นายชวัล ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่าภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลัง 2564 ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงได้รับอานิสงส์จากระบบชำระเงินค่าบริการหรือสินค้าผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Carrier Billing) ที่โอเปอเรเตอร์พยายามให้ลูกค้าหันมาจ่ายค่าคอนเทนต์ผ่านซิมมือถือ โดยจะทำให้ได้ส่วนแบ่งจากผู้ผลิตคอนเทนต์มากขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ ที่จะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากโอเปอเรเตอร์เช่นกัน ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

“ละมุนเบบี้” คว้า “ศรีริต้า เจนเซ่น” นั่งแท่น Brand Ambassador เจาะตลาดออร์แกนิค

ละมุนเบบี้ รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก ครึ่งปีแรก 2564 โต รับกระแสสุขภาพ จากสินค้า Highlight ถุงเก็บน้ำนมลดกลิ่นหืนตัวจริง โกยส่วนแบ่งการตลาด สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจยุคโควิด ทุบสถิติมูลค่าการตลาด 230 ล้านบาท ภายในปี 2564 จากการที่ Disney เลือก ละมุนเบบี้ เป็นสินค้าออแกนิคสำหรับแม่และเด็กแบรนด์ไทยรายแรกที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำ Co-Branding ร่วมกัน จนออกมาเป็น Mom Magic Moment  Collection  โดยหยิบความน่ารักของคาแรกเตอร์ แบมบี้ ดัมโบ้ ออกมาทำสินค้าคอลเลคชั่นแรกในรูปแบบลายเส้นพิเศษสุดเอกซ์คลูซีฟสำหรับแม่ละมุนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังได้ ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช คุณแม่ป้ายแดงยุคใหม่ ซึ่งเป็นแม่ละมุนตัวจริง ใช้ละมุนตั้งแต่แรกคลอดจนหลงรัก จนตอบรับการเป็น Brand Ambassador ย้ำภาพความอ่อนโยนแม่ละมุน ที่เป็นคุณแม่ทันสมัย และที่สำคัญคือเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกรักเท่านั้น  ดึงกระแสเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันให้ลูกยุคโควิด

สำหรับปี 2564 ละมุนเบบี้ ตั้งเป้ารายได้การเติบโตไว้ประมาณ 25 % โดยหัวใจหลักจะมาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ามากขึ้น การทำการตลาดที่เข้าถึงคุณแม่ตั้งแต่เตรียมพร้อมการตั้งครรภ์  รวมถึงการออกสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Lamoon Vita ที่เริ่มเปิดตัวสินค้าไปแล้วเมื่อปลายปี 2563

สำหรับสินค้า Lamoon Mom Magic Moment  สามารถหาซื้อได้ทั้งร้านค้าออนไลน์และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ www.lamoonbaby.com Facebook , Instagram และ Line@ Lamoonbaby ,Lazada, Shopee, Central Robinson, Central Food Hall, Tops Market, Tops Superstore, Tops Online, Villa The Mall ร้าน Mother Care , Big C และ Home Pro ที่ร่วมรายการ

สนใจช้อป ละมุนเบบี้ ทาง Shopee คลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!