สศท. ชวนลุ้น 5 ทีมสุดท้ายกับ SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ ในวันศุกร์นี้ (14 ส.ค.)

สศท. หรือ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือชื่อเดิมคือ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) (ศ.ศ.ป.) ชวนผู้ที่สนใจร่วมลุ้น 5 ทีมสุดท้ายที่ได้ไปต่อในรายการ “SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ” 14 สิงหาคมนี้ ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34

นายพรพล เอกอรรถพร รักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดเผยว่า รายการ SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ เปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะส่งเสริมและให้ความสำคัญต่อการสืบสานงานหัตถกรรมไทย โดยใช้การมีส่วนร่วมของนิสิต นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ เพื่อนำมุมมองใหม่ๆ เข้ามาพัฒนางานศิลปหัตถกรรมไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้การแข่งขันย่อมมีการแพ้ – ชนะ เราจึงอยากชวนคนไทยที่มีใจรักในงานฝีมือ การออกแบบ และชื่นชอบในนวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมลุ้นและให้กำลังใจน้องๆ ที่เข้าแข่งขัน ว่าทีมไหนจะเป็น 5 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบไปนำเสนอผลงานกับเมนเทอร์ทั้ง 3 ท่าน อย่าง หมู ASAVA – พลพัฒน์ อัศวะประภา, นุ้ย – สุจิรา อรุณพิพัฒน์ และกรกต อารมย์ดี

สศท. มุ่งมั่นในการพัฒนาผู้สร้างสรรค์งานหัตถกรรมไทย ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพัฒนาด้านการตลาดอย่างบูรณาการ เพื่อจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในคุณค่าความเป็นไทย ทำให้คนไทยและประชาชนทั่วโลกได้สัมผัสและซาบซึ้งในคุณค่าความเป็นไทยนี้ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ และต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไปถึงจุดที่นานาชาติยอมรับและสร้างตลาดในต่างประเทศได้

ติดตามชมรายการ “SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ” ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 – 17.00 น. ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 หรือติดตามและรับชมย้อนหลังได้ทาง www.sacict.or.th หรือ Facebook: www.facebook.com/sacict และ YouTube: JSLGlobalMedia

WHAUP กำไรไตรมาส2 โต 44% ดันกำไรครึ่งปีแรกแตะ 454 ล้าน

บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 789 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 265 ล้านบาท  ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปี 2564  บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,571 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 454 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภค-ไฟฟ้าทั้งในไทย-เวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง ด้าน CEO “นิพนธ์ บุญเดชานันทน์” แย้มครึ่งปีหลังเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจสาธารณูปโภค-พลังงานทั้งในในไทยและเวียดนามเพิ่มต่อเนื่อง เร่งปูทางสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP  รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่สะท้อนผลการดำเนินงานจำนวน 789 ล้านบาท และ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และ 44% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิจำนวน 246 ล้านบาท ลดลง 23% จากไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 1,571 ล้านบาท และ 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และ 12% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนการเติบโตของปริมาณยอดขายและบริหารจัดการน้ำ และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

ดร.นิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ หรือ WHAUP เปิดเผยถึงการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสาธารณูปโภค โดยบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมกันเท่ากับ 35 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28% จาก    ไตรมาส 2 ปี 2563 และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 1 ปี 2564  สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2564 ปริมาณการจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่ากับ 67 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีการขยายกำลังการผลิต และลูกค้ารายใหม่เริ่มทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ขนาด 2,650 เมกะวัตต์ ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในส่วนของหน่วยผลิตที่ 1 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อีกทั้งในไตรมาสที่ 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ ไม่ได้ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งเหมือนกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากการนำน้ำเสียที่ได้จากกระบวนการบำบัด และใช้ใหม่(Wastewater Reclamation) ไปผลิตเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) ดังกล่าวในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 จำนวน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 139% และ 170% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2563

ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคในต่างประเทศก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจำหน่ายน้ำในโครงการดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) ที่ประเทศเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2564 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564  ในขณะที่ยอดจำหน่ายน้ำ 6 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้านั้น ในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่งที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ก็มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากการที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One ได้กลับมาดำเนินงานหลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นเวลา 37 วันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าของ 6 เดือนแรกของปี 2564 จำนวน 445 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้า Gheco-One แม้ว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่ง มีส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 43% จากยอดจำหน่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนการดำเนินการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) นั้น ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้ 53 ล้านบาท จากโครงการ Solar Rooftop ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์  โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมแล้วทั้งสิ้น 62 เมกะวัตต์ จากเป้าปี 2564 ที่วางไว้ 90 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าในปี 2566 จะขยายธุรกิจ Solar Rooftop ได้ครบ 300 เมกะวัตต์ตามแผนที่วางไว้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP  ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2564 มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ว่าการเสนอขายหุ้นกู้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เป็นอย่างดี แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ชุด อายุ 2-5 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.91-2.75 ต่อปี ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP  ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและไฟฟ้าให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง  และคาดว่าภาพรวมในครึ่งปีหลังจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหนุนจากทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มความต้องการใช้น้ำจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า GSRC เพิ่มเติมในหน่วยผลิตที่ 2 ในไตรมาส 4 ในขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าก็ยังได้รับแรงหนุนจากทั้งธรุกิจ IPP และ SPP ที่คาดว่าจะดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนดังเช่นในครึ่งปีแรก รวมถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จะยังคงมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตไฟฟ้า

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการนำระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) มาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้นรวมทั้งยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A opportunity) ต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต

ดังนั้นจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าว เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภครูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค

“เอ็นไอเอ” เปิดตัว 10 สตาร์ทอัพสายอวกาศ รุกสานต่อโนว์ฮาว – โมเดลธุรกิจ

เทคโนโลยีอวกาศ จากโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนและส่งเสริมให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการทำเทคโนโลยี ระบบ หรือบริการด้านกิจการอวกาศสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจจริง และสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจอวกาศโลกที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยเตรียมผลักดันสตาร์ทอัพทั้ง 10 ราย ผ่านแนวทางการส่งเสริมอย่างหลากหลาย อาทิ การสนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้บริษัทสตาร์ทอัพสามารถนำงานวิจัยไปต่อยอดในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ การเตรียมพร้อมรองรับเศรษฐกิจอวกาศด้วยการพัฒนาให้สตาร์ทอัพสามารถผลิตดาวเทียมได้เองและสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า NIA มีนโยบายในการสนับสนุนและส่งเสริมสตาร์ทอัพที่สนใจทำธุรกิจนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ หรือ Spacetech ผ่านโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับเศรษฐกิจอวกาศซึ่งปัจจุบันมูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ และในอนาคตอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าสูงขึ้นจากปัจจุบันกว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์หรือประมาณ 33 ล้านล้านบาท (ที่มา: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA) โดยโครงการดังกล่าวเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย และพัฒนาบุคลากรของประเทศให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงผลักดันให้เกิดการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศไปพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ NIA ยังเห็นว่าเศรษฐกิจอวกาศจะกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องยนต์ในการกระตุ้น GDP ของไทยให้สูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้เกิดการการส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรม NIA จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ ในการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศผ่านกลไกต่าง ๆ ดังนี้

  • สนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ
  • ส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศ เช่น สถานีภาคพื้นดิน
  • เตรียมพร้อมรองรับการส่งจรวดและดาวเทียมด้วยการพัฒนาให้สตาร์ทอัพสามารถผลิตดาวเทียมได้เองเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ
  • สนับสนุนการใช้งานด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียม และบริการด้านอุตุนิยมวิทยา
  • การสร้างองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอวกาศให้แก่สตาร์ทอัพของไทยที่สนใจเปลี่ยนมาทำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีอวกาศ

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 ได้คัดเลือกสตาร์ทอัพ 10 ทีมซึ่งล้วนแต่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย “Space Composites” ผู้พัฒนาเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ชั้นสูงที่ใช้ออกแบบและผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เพื่อการสำรวจอวกาศ “iEMTEK” สายอากาศและอุปกรณ์เชื่อมต่อสั่งงานสำหรับระบบสื่อสารบนดาวเทียมขนาดเล็ก NBSPACE” ดาวเทียมขนาดเล็กเพื่อการศึกษาสภาพทางอวกาศ “Irissar” เรดาร์ อุปกรณ์ และระบบที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ Halogen” บอลลูนเพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศ Plus IT Solution” ระบบวิเคราะห์พื้นที่จากภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ และการใช้ประโยชน์อื่น ๆ Krypton” นวัตกรรมโปรเจกต์คริปโตไนท์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการดาวเทียมในรูปแบบใหม่ “Spacedox” ระบบวิเคราะห์และแจ้งคุณภาพอากาศโดยใช้บอลลูนลอยสูงผ่านเครือข่าย Lora และข้อมูลการตรวจวัดจากดาวเทียมEmone” เทคโนโลยีควบคุมความเร็วการโคจรวัตถุในอวกาศเพื่อลดปริมาณขยะจากอวกาศ และ “Tripler Adhesive” สูตรกาวและสารยึดเกาะเพื่อใช้สำหรับอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางอวกาศ

สตาร์ทอัพทั้ง 10 ทีมได้รับการอบรมบ่มเพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ เพื่อให้แต่ละทีมสามารถพัฒนาโครงการของตน และตอบโจทย์ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมอวกาศได้อย่างตรงจุด รวมทั้งสามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและต่อยอดได้จริงผ่านการทำงานกับหน่วยงานพันธมิตรที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมอวกาศในรูปแบบ co-creation โดยตั้งเป้าหมายว่าปลายปีนี้จะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดความเข้าใจในธุรกิจด้านเศรษฐกิจอวกาศ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตรงตามความต้องการของตลาด รวมถึงนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าเศรษฐกิจอวกาศของโลกในอนาคต

ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า โครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการร่วมกับ Thai Space Consortium เพื่อผลักดันเศรษฐกิจอวกาศให้เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอวกาศให้มีบทบาทและสามารถเติบโตได้ในอุตสาหกรรมอวกาศ โดยได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ซึ่ง NIA ได้เฟ้นหาบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความสนใจหรืออยู่ในธุรกิจอวกาศของประเทศไทย เพื่อเข้ามาร่วมโครงการบ่มเพาะและพัฒนาในรูปแบบของการร่วมรังสรรค์ (co-creation) เพื่อปูทางไปสู่การสร้างเศรษฐกิจอวกาศให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมอวกาศ จำนวนทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งมีทั้งสตาร์ทอัพที่อยู่ในอุตสาหกรรมอวกาศอยู่แล้ว และที่มีเทคโนโลยีเชิงลึก และพร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมอวกาศ อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ NIA และหน่วยร่วมเห็นว่าบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และที่สำคัญสร้างสรรค์โดยคนไทย โดยบริษัทเหล่านี้มีโอกาสจะเติบโตในอุตสาหกรรมอวกาศได้ชัดเจน และสามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศ รวมถึงการเติบโตและพัฒนาไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต สำหรับผู้ชนะการนำเสนอ (pitching) ได้รับ รางวัล The Best Startup in Space Economy: Lifting Off 2021 (ตัดสินจากคณะกรรมการ) ซึ่งมีถึง 3 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1 คือ ทีม NBSPACE อันดับ 2 คือ ทีม Irissar และอันดับ 3 คือ ทีม Plus IT Solution และ รางวัล The Popular Startup in Space Economy: Lifting Off 2021 (ตัดสินจากผลโหวตของผู้เข้าร่วมงาน) ได้แก่ ทีม Halogen แต่หลังจากนี้ สตาร์ทอัพที่ร่วมโครงการจะยังคงได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่อไปทั้งในรูปแบบของพันธมิตร ลูกค้า รวมถึงการต่อยอดธุรกิจในภาคเศรษฐกิจอวกาศต่อไป

ต้อนรับบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ช้อปออนไลน์ได้ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop

ICONACTIVE (ไอคอนแอคทีฟ) มัลติสปอร์ตแบรนด์บนชั้น 3 ไอคอนสยาม ต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาล 2021/22 ในเดือนนี้ พร้อมเอาใจแฟนบอลชาวไทยสาวกทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล ด้วยเสื้อแข่งใหม่ล่าสุด Nike Liverpool FC Away 2021/22 Jersey (เกรด Player) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อแข่งในสมัยปี 1966 – 1967 สีหินออฟไวท์ (Off-white Stone) ของสถาปัตยกรรมในเมืองลิเวอร์พูล เมืองที่สรรค์สร้างจากความแข็งแกร่งของหิน ประกอบไปด้วยตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ 3 แห่ง ซึ่งเรียกว่า ‘The Three Graces’ อันเป็นเครื่องหมายของความงดงามในแบบท้องถิ่น ความสำคัญของวัฒนธรรม และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูลอีกด้วย โดยไนกี้เลือกนำผ้าสีหินออฟไวท์มาเพิ่มลูกเล่นโดดเด่นด้วยสีเขียวเข้มของแถบเส้นด้านข้างลำตัวและขอบแขนเสื้อ ส่วนปกคอใช้สีเขียวตัดด้วยแถบลายสีขาวสลับส้ม โลโก้ต่างๆ เป็นแบบสกรีน สวมใส่สบายด้วยผ้าโพลีเอสเตอร์ที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dri-Fit ADV ให้ความยืดหยุ่นสูง รองรับการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของนักเตะ มีรูระบายอากาศช่วยลดกลิ่นอับได้ดี

พิเศษ! เฉพาะลูกค้าไอคอนสยาม สั่งซื้อเสื้อฤดูกาลใหม่ของหงส์แดงได้ในราคาสุดพิเศษเพียง 4,200 บาท (จากปกติ 4,600 บาท) ผ่านบริการช้อปออนไลน์ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop และใช้โค้ด ICONSFH40 รับส่วนลด 400 บาท ได้แล้ววันนี้ทาง https://shopping.one-viz.com/search?keyword=NIKE%20LFC ด่วนสินค้ามีจำนวนจำกัด The Kop ตัวจริง ห้ามพลาด!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่LINE Official Acccount @ICONSIAM หรือโทร. 1338

บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KISS โชว์ผลงานไตรมาส 2/64 ทำรายได้จากการขายและบริการ 206.8 ล้านบาท เติบโต 2.3% ชูศักยภาพนวัตกรรมแข็งแกร่งตอบโจทย์ผู้บริโภค ดันยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทำสัดส่วนรายได้ 85% นำโดยแบรนด์หลัก Rojukiss เติบโต 22.8% ส่วนเครื่องสำอาง Sis2Sis เติบโต 25.4% สวนกระแสการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ด้านบอร์ดอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.055  บาทต่อหุ้น มั่นใจไตรมาส 4 ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพค่อยๆ ฟื้นตัว เตรียมความพร้อมผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตตามแผน

นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS ผู้พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss, Best Korea, และ Sis2Sisเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน – มิถุนายน) แม้ว่าตลาดจะต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ด้วยจุดแข็งของ KISS ที่มีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอแข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 206.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากแผนการดำเนินงานที่มุ่งนำเสนอนวัตกรรมที่เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ออกใหม่ ได้แก่ แป้งผสมรองพื้น Sis2Sis Hya Matte Foundation Powder และผลิตภัณฑ์เขียนคิ้ว Sis2Sis Eyebrow Pencil สามารถเติบโตได้ 25.4% ถึงแม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องสวมหน้ากากอนามัยก็ตาม ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้หลักถึง 85% นำโดยแบรนด์หลักอย่าง Rojukiss ยังคงเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดระลอกแรก แสดงให้เห็นฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและนวัตกรรมสินค้าใหม่ที่เพิ่มฐานลูกค้าให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ที่ไม่เฉพาะในประเทศไทย โดยยอดขายของแบรนด์ Rojukiss ในประเทศอินโดนีเซียที่เติบโตมีการสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับแผนบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีกำไรสุทธิ 32.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.055 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 33,000,000 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 31 สิงหาคม  2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 กันยายน 2564 นี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KISS กล่าวว่า แผนดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ได้มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่าน บริษัท โอทู คิส จำกัด (O2 KISS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท โอช้อปปิ้ง จำกัด ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GMM เน้นนำเสนอนวัตกรรมผ่านผลิตภัณฑ์หลากหลายภายใต้แบรนด์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว รุกขยายตลาด Media Commerce อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมขยายในทุกช่องทางการขายทั่วประเทศทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพที่บริษัทฯ คาดการณ์ว่าน่าจะค่อยๆ สดใสขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2564 และ ด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ KISS ที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและการขยายตลาดในต่างประเทศ จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ตามที่ตั้งใจไว้

MACO เปิดงบไตรมาสแรกปี 2564/65 พลิกกำไร 15.5%

MACO รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2564/65 ประสบความสำเร็จจากการเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 603 ล้านบาท เติบโต 17.9% และพลิกกลับมาบันทึกกำไรสุทธิที่ 94 ล้านบาท

นายพุน ฉง กิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO หนึ่งในผู้นำสื่อโฆษณากลางแจ้งที่มีความหลากหลายทั้งสื่อโฆษณาภาพนิ่งและสื่อดิจิทัลที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ภาพรวมผลการดำเนินงานของ MACO ท่ามกลางภาวะกดดันทางเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดโรค COVID-19  ในไตรมาสนี้นับเป็นที่น่าพอใจสามารถสร้างผลงานในการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศให้เป็นไปในทิศทางบวกได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ไตรมาสแรกของปี 2564/65 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเชิงบวกเมื่อเทียบปีต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโฆษณา 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3 % YoY  คิดเป็น 33.3 % ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้ของธุรกิจโฆษณาในประเทศ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.5% YoY ผลมาจากการรับรู้ค่าตอบแทนขั้นต่ำรายไตรมาสจากบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และรายได้ธุรกิจโฆษณาในต่างประเทศ 30 ล้านบาท ลดลง 35.7 % YoY จากวิกฤต COVID-19  ด้านรายได้จากงานด้านระบบครบวงจรเพิ่มขึ้น 9.5% YoY คิดเป็น 66.7% ของรายได้ทั้งหมดหรือ 402 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของการบริหารโครงการ รวมถึงในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีต้นทุนขายลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานสื่อโฆษณาของสนามบินในประเทศมาเลเซีย 437 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% YoY ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% จาก 11.4% YoY และมีรายได้อื่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าสัมปทานสนามบินในมาเลเซียจำนวน 188 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ไม่เกิดขึ้นประจำดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจากับทางการสนามบินมาเลเซียเพื่อขอลดค่าสัมปทานสำหรับปี 2563/64 ได้ประสบความสำเร็จ

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท VGI MACO (Singapore) Private Limited และ Trans.Ad Solution Co., Ltd. สามารถเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จากความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ MACO สามารถเดินตามกลยุทธ์ได้อย่างเต็มกำลัง  ทั้งในส่วนของธุรกิจโฆษณาและงานด้านระบบครบวงจร ผ่านการดำเนินงานโดย VGI Vietnam Joint Stock Company และ Transad Vietnam Joint Stock Company และนอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมโฆษณาของเวียดนามที่นับเป็นเส้นทางสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ในประเทศเวียดนามได้ตามทิศทางที่วางไว้อีกด้วย

แม้ทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่แน่นอนไปทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา อย่างไรก็ตาม MACO ยังคงยืนหยัดในแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังเช่นการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศที่ได้บรรลุผลสำเร็จดังที่กล่าวไปในข้างต้น นอกจากนี้ข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) สำหรับการชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้าทั้งปีนั้น ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นข้อตกลงที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในประเทศของบริษัทฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

สำหรับความมั่นคงทางการเงิน บริษัทฯ ดำเนินงานภายใต้การบริหารต้นทุนและสร้างสภาพคล่องของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ให้พร้อมรับมือกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ยังคงมีความยืดเยื้อ สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากวิกฤตดังกล่าว ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางภาวะหยุดชะงักของการดำเนินงานในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติม

Viu ครองแชมป์ OTT อันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนสูงสุดในอาเซียน

Viu (วิว) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาคจากกลุ่มบริษัท PCCW Media (พีซีซีดับเบิลยู มีเดีย) ประกาศความสำเร็จอีกขั้น รับปี 2021 โดยมียอดจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้น 49.4 ล้านคน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2564) หรือเพิ่มสูงขึ้นถึง 37% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีจำนวนสมาชิกแบบชำระเงินโตขึ้น 62% พุ่งแตะ 7 ล้านคน ส่งผลให้รายได้ของ Viu เติบโตสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกามีการเติบโตสูง แต่ตลาดหลักที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบันเทิงของ Viu ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ คือประเทศไทย และอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ และเติบโตเร็วที่สุดของ Viu ด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Freemium ที่มีจุดแข็งด้านการรับชมฟรี ควบคู่ไปกับการสมัครสมาชิก ซึ่งสามารถกระจายรูปแบบการสร้างรายได้ให้ Viu เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับการผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 80 ราย ในอุตสาหกรรมดิจิทัลระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น บริษัทโทรคมนาคม, ผู้ผลิตอุปกรณ์, ธุรกิจค้าปลีก และอีคอมเมิร์ซ รวมถึงพันธมิตรด้านการกระจายคอนเทนต์ ที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้น และช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยจากรายงานล่าสุดที่จัดทำโดยศูนย์วิจัย AMPD Research ในเครือ Media Partners Asia พบว่า Viu ยังคงครองแชมป์ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง อันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนสูงสุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกัน 7 ไตรมาส* โดยมีจำนวนผู้สมัครสมาชิกแบบชำระเงิน และจำนวนนาทีการเข้าชมสูงเป็นอันดับ 2 ท่ามกลางแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ในภูมิภาค ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021* เห็นได้ว่าจากรายงานดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ Viu ที่ได้รับจากผู้ชม เมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี

นางสาวเจนิส ลี กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท PCCW Media Group และประธานกรรมการบริหาร Viu กล่าวว่า เรายังมุ่งมั่นที่จะนำเสนอคอนเทนต์พรีเมียมระดับเอเชีย และมอบประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุดให้กับผู้ชมของ Viu (วิว) โดยจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกนี้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการคัดสรรคอนเทนต์อันยอดเยี่ยม และการสนับสนุนจากพันธมิตรรอบด้าน ประกอบกับการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชม และความต้องการในตลาดแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง ส่งผลให้ Viu มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภค และความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี

*แหล่งที่มา: รายงานล่าสุดที่จัดทำโดยศูนย์วิจัย AMPD Research ในเครือ Media Partners Asia ที่สำรวจจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ แต่ไม่นับรวม YouTube และ Tiktok โดยสำรวจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

*รายงานไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ครอบคลุมประเทศอินโดนีเซีย, ไทย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ครอบคลุมประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย, สิงค์โปร์ และฟิลิปปินส์

และจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยคอนเทนต์คุณภาพเยี่ยม และพันธมิตรที่แข็งแกร่งนั้น ส่งผลให้ในปีนี้ Viu ได้ประกาศเปิดตัว วิว ออริจินัล (Viu Original) หลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ออริจินัลจากฝั่งเกาหลีอย่าง River Where The Moon Rises และ Doom At Your Service ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และล่าสุด Viu  ได้เปิดตัวซีรีส์เกาหลีที่ทุกคนต่างรอคอย Now, We Are Breaking Up นำแสดงโดย ซองเฮเคียว (Song Hye Kyo) ที่มีผลงานสร้างชื่ออย่าง Descendants of The Sun และ The Encounter ประกบคู่กับนักแสดงหนุ่มมาแรงแห่งปี จางกียง (Jang Ki Yong) ที่โด่งดังจากซีรีส์เรื่อง My Roommate is a Gumiho และ Search:WWW โดยซีรีส์เรื่อง Now, We Are Breaking Up มีกำหนดออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ Viu  ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนา วิว ออริจินัล (Viu Original) ของประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดตัวคอนเทนต์คุณภาพเรื่อง Black ซีซั่น 2 จากประเทศมาเลเซีย, uBettina Wethu จากแอฟฟริกาใต้ และกำลังจะเปิดตัว Assalamualaikum Calon Imam ซีซั่น 2 จากประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนกันยายนนี้

นอกจากนี้ Viu ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งคอนเทนต์เอเชียระดับพรีเมียม (Premium asia content) ยังคงเสริมความแข็งแกร่งด้วยคอนเทนต์คุณภาพเยี่ยมร่วมกับผู้ผลิตเจ้าใหญ่ทั้งจากประเทศจีน และประเทศไทย อีกทั้งยังขยายตลาดคอนเทนต์ไปสู่เนื้อหาการ์ตูนอนิเมะ นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรก Viu ยังขยายขอบเขตโครงการ Viu Pitching Forum ไปยังประเทศมาเลเซีย และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในระดับท้องถิ่น และผลักดันอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

สามารถดาวน์โหลด Viu ฟรีทาง https://bit.ly/3dyyR49 ได้ทั้ง App Store, Google Play และสมาร์ททีวี หรือคลิกเว็บไซต์ www.viu.com ก็พร้อมฟินเต็มอิ่มความบันเทิงเอเชีย ดูไวก่อนใคร ซับไทยเป๊ะ เพลย์ต่อเนื่องกันได้เลย

MTC แกร่ง! ปรับเพิ่มเป้าสินเชื่อปีนี้โต 30-35%

MTC สัญญาณดี ประกาศปรับเพิ่มเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 30-35% จากเดิม 20-25% ผลจากความต้องการสินเชื่อคึกคัก จำนวนเปิดสาขาทำได้ตามเป้า รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ฐานลูกค้าใหม่เติบโตได้เป็นอย่างดี ขณะที่เปิดผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรแตะ 2,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.59% จากงวดเดียวกันปีก่อน ฟากบิ๊กบอส ระบุครึ่งปีหลังแนวโน้มดีต่อเนื่อง เข้าสู่ช่วงฤดูกาลเพาะปลูกมีความต้องการสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ เดินหน้าขยายสาขาตามเป้าหมายสิ้นปีครบ 5,500 สาขา พร้อมคุม NPLไม่เกิน 2 % ดันผลงานปีนี้เติบโตเข้าเป้า มั่นใจฝ่าวิกฤติโควิด-19ได้อย่างแน่นอน

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ผู้นำตลาดสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 7,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.12% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 7,105 ล้านบาท  และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,644 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.59% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,504 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 2/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 3,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 9.07% มีรายได้รวมเท่ากับ 3,572 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 0.24% มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,267 ล้านบาท จากปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดสินเชื่อเติบโตมากขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรกมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 79,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,656 ล้านบาท หรือ 26.37% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ ช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยครึ่งปีแรก มีสาขาใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 400 สาขา ส่งผลให้มีปัจจุบันบริษัทมีสาขารวม 5,284 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ

“ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการสินเชื่อเติบโตได้ดี ทำให้บริษัทฯจึงปรับเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อปีนี้เป็น 30-35% จากเดิมที่อยู่ที่ 20-25% เนื่องจากปัจจุบันความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่สู้ดี ทำให้ลูกค้ามีความจำเป็นต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯได้วางงบลงทุนสำหรับการขยายสาขาไว้ที่ 300 ล้านบาท รองรับแผนเปิดเพิ่มอีก 600 สาขา ซึ่งคาดว่าจะครบ 5,500 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ “

นายชูชาติ กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากความต้องการสินเชื่อของลูกค้ายังคงอยู่ในระดับสูง หลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลหน้าฝนจึงทำให้ลูกค้าในกลุ่มเกษตรกรมีความต้องการเงินทุนไปใช้ในการเพาะปลูกมีจำนวนมากกว่าช่วงปกติ ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่กดดันให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและได้รับผลกระทบกันเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามจากดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้บริษัทฯต้องคัดกรองคุณภาพสินเชื่อของลูกค้าด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งเป้าหมายการคุมระดับเอ็นพีแอลไม่เกิน 2% และบริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้ไปได้ ด้วยกลยุทธ์การบริหารงาน โดยเน้นการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

PROEN โตสวนโควิด โชว์รายได้ธุรกิจ ICT ไตรมาส 2 ขยายตัว 44%

PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร โชว์งบ Q2/64 รายได้ธุรกิจ ICT จากการขาย และให้บริการขยายตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% ในส่วนของธุรกิจก่อสร้างงานโทรคมนาคม และโครงสร้างสาธรณูปโภคพื้นฐานลดลง 84% เนื่องจากรับรู้รายได้ตามความสำเร็จของงานโครงการที่อยู่ในมือใกล้เสร็จแล้ว โดยมีสัดส่วนรายได้ จากธุรกิจ ICT  87% และธุรกิจก่อสร้าง 13% จากรายได้รวม  มีกำไรไตรมาส 2/64 จำนวน 11.2 ล้านบาท และกำไรครึ่งปีแรก 20.22 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  สาเหตุที่รายได้ ICT เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มาจากกระแส New Normal ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการออนไลน์    บิ๊กบอส “กิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม”  มั่นใจรายได้ ปี 64 โตเกิน 20% ได้ตามเป้าหมาย จากการสร้างแพลตฟอร์มบริการใหม่ด้าน Cloud Service และให้บริการเทคโนโลยีใหม่ของบริษัทฯ  คาดว่าครึ่งปีหลังธุรกิจก่อสร้างโทรคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ที่บริษัทได้รับงานจะหนุนรายได้ ปี 64 ให้เติบโตแกร่งขึ้น

นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) กลุ่มบริษัทมีรายได้ไตรมาส 2/64 รวม 249.6 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 20% จากธุรกิจก่อสร้างโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานสาธรณูปโภคเนื่องจากบริษทฯรับรู้รายตามสัดส่วน

ความสำเร็จของงานโครงการซึ่งหลายโครงการที่อยู่ในมือใกล้เสร็จแล้ว  สำหรับธุรกิจ ICT ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 87% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายและบริการ จำนวน 68.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคม และให้บริการด้าน ICT เพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ให้บริการด้าน E-Commerce และ Game Online และบริการ Cloud ใหม่ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000% จากปีก่อน ไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ บริษัทฯมีงานโครงการด้านโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานสาธรณูปโภค และรายได้จากการบริหารงานโครงการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนรายได้ปี 64 ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 452.8 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 22.9 ล้านบาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลบวกกับบริษัฯ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกระแส New Normal โดยคนหันมามาใช้ระบบออนไลน์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน (Work from Home) การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ทำธุรกรรมในรูปแบบ E-Commerce, เกมส์ Online และการชำระเงินผ่านระบบ Online เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีกับธุรกิขของเราในฐานะผู้ให้บริการ Internet Data Center แบบครบวงจร

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตจากงานธุรกิจก่อสร้างงานโครงการด้านโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่บริษัทฯเตรียมเข้าในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 3/64 จะผลักดันให้รายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ตามแผนงานที่วางไว้ โดยบริษัทฯอยู่ในช่วงของการขยายการลงทุน เพิ่มพื้นที่ให้บริการศูนย์จัดเก็บศูนย์ข้อมูล (Internet Data Center) ให้ได้อีกไม่น้อยกว่า 3,000 ตารางเมตร ซึ่งจะสามารถเพิ่มการให้บริการลูกค้าได้อีกไม่น้อยกว่า 1,000 ตู้

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาธุรกิจใหม่แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการบริการ และโซลูชั่นด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ และยังศึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อมาเสริมบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2565

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PROEN กล่าวอีกว่า บริษัทฯมีความสนใจด้านบล็อคเชนและคริปโตฯ ซึ่งค่อนข้างมีความมั่นใจในตลาดคริปโตฯเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้ได้มีการเดินหน้าดำเนินงานไปบางส่วนแล้ว และกำลังศึกษาการทำแพลตฟอร์มของ PROEN  เพื่อให้บริการด้านเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯเป็น ผู้ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา คาดชัดเจนในไตรมาส 3/64

ทั้งนี้ PROEN เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านระบบอินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบรายแรก ๆ ในประเทศไทย ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร (Internet Service), บริการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Data Center), บริการไอซีที โซลูชั่น (ICT Solutions) และบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร (Business Telecom) บริการอินเทอร์เน็ต ISP บริการคลาวด์ รวมทั้งรับเหมาก่อสร้างงานโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคพื้นฐาน

YGG กำไรไตรมาส2 เติบโตกว่า 798 %

อิ๊กดราซิล กรุ๊ป โชว์ฟอร์มกำไรไตรมาส2/64 เติบโตกว่า 798  %  ชี้ธุรกิจเกมมาแรงคิดเป็น 39.3 %ของรายได้รวม  หลังปล่อยเกม Home Sweet Home Survive กระแสตอบรับดีเกินคาดจากผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาด จีน อเมริกา ส่วนธุรกิจโฆษณาและภาพยนตร์ รวมทั้งงานภาพยนตร์แอนิเมชัน ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.155 บาท

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ YGG เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/64  สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 64  บริษัทมีกำไรสุทธิ 31.04  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 798 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 3.45  ล้านบาท  ขณะที่งวดครึ่งปีแรก(ม.ค-มิ.ย 64) บริษัทมีกำไรสุทธิ 46.73  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 16.6 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมไตรมาส2/64  จำนวน  84.3 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 49.3 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็นรายได้มาจากงานโฆษณาและภาพยนตร์จำนวน  26.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 23.4 ล้านบาท รายได้จากงานภาพยนตร์แอนิเมชัน จำนวน 24.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 20.5 ล้านบาท  ส่วนงานเกมและอินโนเวชั่นมีรายได้  33.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7%จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5.4 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 2/64 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานโฆษณาและภาพยนตร์ เท่ากับ 31.3% มีรายได้จากส่วนงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น 29.4 % และมีรายได้จากส่วนงานเกมและอินโนเวชั่น 39.3 %

นายธนัช กล่าวอีกว่า การที่ผลการดำเนินงาน ไตรมาส2/64 มีกำไรสุทธิเติบโตสูง  เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากเกม Home Sweet Home Survive  ซึ่งเพิ่งเปิดตัวให้บริการไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564  และรับรู้รายได้เต็มในไตรมาส 2/64     ส่วนงานโฆษณาและภาพยนตร์รวมทั้งงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น   บริษัทยังได้รับความเชื่อมั่น และรับงานอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ   โดยเฉพาะงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น   ในตลาดโลกตลาดของ streaming ยังเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตตามเป้าหมาย 20%  โดยคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจเกมมีแนวโน้มที่ดีและมีโอกาสเติบโตสูง  จากการเปิดตัว Home Sweet Home Survive เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา  ได้รับความสนใจจากผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่น ในประเทศไทย จีน และอเมริกา  ในขณะที่บริษัทยังคงปรับปรุงพัฒนาเกมอย่างต่อเนื่อง  เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เล่น

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 10 ส.ค64 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา หุ้นละ 0.155 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 27.9 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในเดือนก.ย. 64