นิโคล เทริโอ แนะวิธีคุณแม่รับมือ เข้มแข็ง เติมพลังในหัวใจให้ตัวเอง

“แม่” เป็นคำที่สั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และมีคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือซิงเกิลมัมจำนวนไม่น้อย ที่ต้องทุ่มเทยิ่งกว่า ทั้งแรงกายและสร้างแรงใจให้ตัวเองและครอบครัวในฐานะเสาหลัก และหากพูดถึงซิงเกิลมัมในวงการบันเทิงนั้น มีหลายคนที่เป็นต้นแบบในความสตรองที่เฝ้าเลี้ยงดูลูก ให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ แม้จะอยู่ในสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ตาม หลายคนนอกจากต้องทำหน้าที่ “แม่” แล้วยังต้องเป็น เสาหลักครอบครัวในคราวเดียวกัน อย่าง “นิโคล เทริโอ” เจ้าของฉายาสาวน้อยกะโปโลในยุค 90 ก็เป็นหนึ่งในคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มอบความอบอุ่นความรักอันบริสุทธิ์และความห่วงใยที่มีเต็มเปี่ยมหัวใจของคนเป็นแม่ให้ลูกชายสุดหล่อเพียงคนเดียวอย่าง “ทิกเกอร์” มาอย่างดี

เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ปี 2564 นิโคลได้เปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้มานานในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเจอทั้งคำถาม สายตาจากผู้คน และการจับจ้องในทุกความเคลื่อนไหว ซึ่งเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมานำไปสู่การถูกรังแกบนโลกออนไลน์ หรือ Cyberbullying  โดยนิโคลได้ร่วมพูดคุยผ่านทางแคมเปญของ “เอไอเอส อุ่นใจไซเบอร์” ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองชีวิตของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกรังแกบนโลกออนไลน์ เพื่อให้กำลังใจในการก้าวผ่านอุปสรรค และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับครอบครัว

นิโคล เผยว่า การตัดสินใจที่จะเป็นซิงเกิลมัมต้องคิดเยอะและตัดสินใจยาก เนื่องด้วยตนและคุณพ่อของลูกชายต่างเป็นคนในวงการบันเทิง การตัดสินใจเลิกกันและเปลี่ยนสถานะครอบครัวนั้นหากย้อนไปในอดีตจะเป็นข่าวใหญ่ที่คนให้ความสนใจ แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่การถูกย้อนความทรงจำผ่านทางโซเชียลด้วยข้อความต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่การถูกนำมาพูดถึงในหัวข้อคู่ดาราหย่าร้าง ทำให้มีคนแสดงความคิดเห็นถึงตนเองได้ง่าย

“คำถามจากผู้ที่ไม่ทราบว่าหวังสิ่งใดในคำตอบ ที่ตั้งขึ้นมาถามถึงลูกชายตนว่า “พร้อมจะมีพ่อใหม่หรือยัง” แต่นั่นเหมือนแทงใจให้เกิดบาดเจ็บที่ฝังลึกให้กับนิโคล โดยเธอเผยว่า “คำถามนั้นอาจจะไม่ได้แรง แต่ในความรู้สึกของเด็ก เขามีพ่อคนเดียว เขาจะตอบอย่างไร” ซึ่งการเป็นคนในวงการบันเทิงที่เหมือนชีวิตส่วนตัวต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรจะถูกจับจ้องตลอด ท่ามกลางคำวิจารณ์จากสังคมที่แสดงความคิดเห็นได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว แต่ในบางครั้งอาจจะยากสำหรับผู้อ่านอย่างตน นิโคลจึงเลือกที่

จะอ่านและไม่อ่านบ้าง โดยยึดว่า “จิตใจระหว่างแม่ลูก และครอบครัว มีแค่เราที่รับรู้” ทำให้ก้าวข้ามคำถามจากโซเชียลที่เหมือนเป็นการรังแกกันบนออนไลน์มาได้”

นอกจากนี้ สาวนิโคล ยังยอมรับว่า “การเป็นซิงเกิลมัมนั้นไม่ง่าย จากที่เคยตัดสินใจร่วมกัน 2 คน แต่เมื่อมีเพียงตนคนเดียวหากเจอปัญหาอะไรต้องเอาให้อยู่ยอมรับว่ามีทั้งความรู้สึกกลัวจนเสียน้ำตา มีความนอยด์ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร การที่ตนต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินนำมาเลี้ยงลูกนั้นต้องแลกกับการไม่มีเวลาให้ลูก ตอกย้ำด้วยภาพติดตาและทำให้คนเป็นแม่เจ็บไปทั้งหัวใจเมื่อเห็นลูกนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านที่สัมผัสได้ถึงความเหงา ยิ่งทำให้ตนรู้สึกว่าทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดี”

ทั้งนี้ แม้จะเคยมีภาพฝังใจที่แทบทำให้หัวใจของนิโคลแตกสลาย แต่เมื่อถามถึงการก้าวผ่านสิ่งนั้นมาได้อย่างไร “กี้เลือกนำจุดที่รู้สึกแย่และท้อกลับมาคิดใหม่ โดยมองว่า การที่มีเวลาให้กับลูกนั่นคือเวลาที่มีค่า เมื่อเราเศร้าลูกจะรับสิ่งนั้นได้จากตัวของเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องเติมพลังให้ตัวเอง ทำเวลาที่มีให้มีค่า ให้มีความสุขทั้งแม่และลูก ความเป็นครอบครัวไม่อยู่ที่เรื่องเพศหรือจำนวนสมาชิกในครอบครัว แต่อยู่ที่ใจ ความผูกพันและการใช้ชีวิตด้วยกัน” เพราะสำหรับนิโคลลูกคือทุกอย่างของชีวิต จึงตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกชายหัวแก้ว หัวแหวนคนนี้ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นแม่และลูกคู่นี้สนิทกันมาก

และเนื่องในวันแม่สังคมดิจิทัล ยุคโซเชียลมีเดีย สาวนิโคล ในฐานะซิงเกิลมัม ขอส่งกำลังใจให้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคน ที่เคยโทษตัวเองและรู้สึกผิดเหมือนอย่างตนที่ไม่มีเวลาให้ลูก ให้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับลูก และขอให้สังคมโซเชียลคิดและตระหนักในการคอมเม้นท์ หรือพูดถึงคนอื่นอย่างมีสติ เพื่อที่จะได้ไม่บั่นทอนจิตใจคนในสังคม

เริ่มแล้ว (12 ส.ค.) เปิดลงทะเบียนอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยรับวัคซีนป้องกันโควิด-19

รายงานข่าวแจ้งว่า ศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอเชิญอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดใดมาก่อน สามารถลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนหลัก (AstraZeneca หรือ Sinovac) กับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ที่ >> ตั้งแต่วันนี้ – 15 สิงหาคม 2564

ภายหลังจากลงทะเบียนราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะส่งข้อความไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ท่านได้ลงทะเบียนไว้ เพื่อให้ท่านเข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และเลือกวันนัดหมายเข้ารับวัคซีนต่อไป โดยเข้ารับการฉีดได้ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ CAT Convention Hall ถ.แจ้งวัฒนะ ซอย 7

กทม. ตั้ง 14 จุด เปิดนัดล่วงหน้าตรวจโควิด-19

รายงานข่าวแจ้งว่่า กทม. ตั้ง 14 จุด เปิดนัดล่วงหน้าตรวจยืนยันให้ผู้มีผล ATK เป็นบวก สามารถรับบริการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ได้ที่จุดบริการของ กรุงเทพมหานครโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เพื่อลดความแออัดและความเสี่ยงในการแพร่ระบาด

โดยสามารถโทรศัพท์นัดหมายวันเวลาเข้ารับการตรวจล่วงหน้ากับจุดที่ต้องการไปตรวจ (ไม่รับ walk in) เมื่อได้รับนัดหมายแล้วให้นำใบผลตรวจ Covid-19 Antigen Test Kit หรือรูปถ่าย ATK self test คู่กับบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงไปแสดง เพื่อขอตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR ตามวันเวลาที่ได้รับนัดหมาย ได้ที่จุดตรวจ 14 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร
จุดตรวจ RT-PCR ทั้ง 14 แห่ง ได้แก่
1. ศูนย์สร้างสุขทุกวัย เขตจตุจักร
2. ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ เขตจตุจักร
3. วัดปากบ่อ เขตสวนหลวง
4. วัดสุทธิวราราม เขตสาทร
5. วัดไทร เขตบางคอแหลม
6. ศูนย์สร้างสุขทุกวัยหนองจอก เขตหนองจอก
7. ร้านจงกั๋วเหยียน เขตลาดกระบัง
8. ศูนย์สร้างสุขทุกวัยสะพานสูง เขตสะพานสูง
9. อาคารศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหนองบอน สำนักการระบายน้ำ เขตประเวศ
10. วัดศรีสุดาราม เขตบางกอกน้อย
11. ศูนย์สร้างสุขทุกวัยทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา
12. จุดตรวจใต้สะพานพุทธ (ฝั่งธน) เขตคลองสาน
13. โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 1 เขตบางแค และ
14. ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางขุนเทียน เขตบางขุนเทียน

7UP เปิดงบไตรมาส 2 กำไร 49.13 ล้าน โต 99.07%

7UP เปิดงบไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 49.13 ล้านบาท โตแรง 99.07% ดันงวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 152.73 ล้านบาท โต 160.90% แง่รายได้อาจแผ่วจากโควิดกระทบธุรกิจโทรคมนาคม แต่เชื่อมั่นความสามารถทำกำไรยังคงแกร่ง เหตุพลังงานในฐานะผู้จำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมันยังดี ขณะที่สาธารณูปโภคเริ่มเห็นผล ไตรมาส 4 นี้ จ่อคว้างานบำบัดน้ำฟาร์มกุ้งให้CPF เฟสที่ 4 และจำหน่ายน้ำประปาในภูเก็ต

นายมนต์เทพ มะเปี่ยม รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 7UP เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯสำหรับงวดไตรมาส 2 ของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 49.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 99.07% ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ จำนวน 152.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.19 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 58.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 160.90% โดยภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจจัดจำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมัน มีกำไรขั้นต้นจำนวน 37.42 ล้านบาท ตามด้วยธุรกิจสาธารณูปโภค และกลุ่มธุรกิจพลังงานทางเลือก

สำหรับรายได้ในช่วง 6 เดือนแรก มีจำนวน 407.92 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 34.93% โดยหลักเนื่องจากกลุ่มธุรกิจวิทยุสื่อสารโทรคมนาคมและInternet of Thing(IoT) ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมาตรการล็อกดาวของรัฐบาลทำให้การดำเนินงานโครงการล่าช้ากว่ากำหนด รวมถึงการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างด้วย

“ภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 นี้ ในแง่ของรายได้ อาจได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะไม่ได้รับรู้รายได้ในส่วนของกลุ่มโทรคมนาคมเข้ามา ภายหลังได้ขายเงินลงทุนดังกล่าวออกไป แต่ไม่ได้กระทบต่อความสามารถในการทำกำไร เนื่องจากโดยปกติแล้ว ธุรกิจดังกล่าวมีส่วนในการสร้างผลกำไรให้กลุ่มบริษัทฯในสัดส่วนที่ต่ำ ผลกำไรหลักมาจากธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมัน รวมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคเริ่มมีน้ำหนักในการสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น”

นายมนต์เทพ กล่าวเสริมว่า ในระยะที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นของบริษัทฯ เคลื่อนไหวผันผวนต่างไปจากสภาพปกติ ก่อให้เกิดความกังวลต่อพื้นฐานธุรกิจ และการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทางบริษัทฯได้ดำเนินการขอปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากข้อมูลการถือหุ้นของบริษัทฯ ล่าสุดช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564  ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอันดับการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5  อันดับแรก

“ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการบริหารธุรกิจเพื่อมุ่งหวังสร้างผลประกอบการที่ดี และไม่ทราบเหตุผลของความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองการลงทุนของผู้ถือหุ้น แต่ฝ่ายบริหารไม่ได้เพิกเฉย เมื่อเห็นราคาหุ้นของบริษัทฯเปลี่ยนแปลงผิดไปจากสภาพปกติ ได้ดำเนินการขอปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น และไม่พบการเปลี่ยนแปลงของอันดับการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น แต่ทั้งนี้อยากจะย้ำเตือนผู้ถือหุ้นให้พิจารณาการลงทุนจากพื้นฐานธุรกิจเป็นสำคัญ” นายมนต์เทพ กล่าว

บริษัทฯยังคงดำเนินกิจการไปตามปกติ ยึดนโยบายการมุ่งเข้าสู่ธุรกิจสาธารณูปโภคทางด้านน้ำ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ในส่วนของธุรกิจบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ผ่านบริษัท แซม วอเตอร์ซัพพลาย จำกัด ปัจจุบันรับผลิตน้ำสะอาดให้กับฟาร์มกุ้งของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รวม 3 เฟส กำลังการผลิตรวม 124,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเฟสที่ 4 กำลังการผลิตเพิ่มอีก 100,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้และส่งมอบกลางปี 2565  จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัท 250 ล้านบาทต่อปี

ธุรกิจดังกล่าวมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจาก CPF มีความต้องการน้ำสะอาดสูงถึง 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และยังไม่นับรวมโอกาสการขยายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายน้ำประปา ภายหลังการซื้อหุ้นใน โกลด์ ชอร์ส จำกัด เพิ่มเป็น 81% เป็นผลสำเร็จ ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้านการประปา คาดว่าจะเริ่มขายน้ำประปาในจังหวัดภูเก็ตได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เบื้องต้น 40,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ณ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,733.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 597.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.98% จากสิ้นปี 2563 และผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ ขาดทุนสะสมลดลงจำนวน 152.73 ล้านบาท

ช้อปอะไรดี? เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ M2S Signature คอลเลกชั่น Scandinavian Summer

สัมผัสสไตล์การแต่งตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความมั่นใจ และกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ต้องการ ไปกับแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) ในคอลเลกชั่นเปิดตัวที่มีชื่อว่า ‘สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์’ (Scandinavian Summer) นำเสนอแรงบันดาลใจจากสไตล์การแต่งตัวอันเรียบเท่ของหญิงสาวชาวสแกนดิเนเวีย ที่สอดผสานเข้ากับความโก้หรูในการออกแบบสไตล์เฟมินีน และมาสคิวลีนเอาไว้ได้อย่างลงตัว ถ่ายทอดสู่เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ (Ready-to-wear) ดีไซน์เรียบโก้ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีเหล่าเซเลบริตี้เวิร์กกิ้งวูแมน ได้แก่ อภินรา ศรีกาญจนา, อรชุมา ดุรงค์เดช, ยุวเรต ศรุตานนท์ และพิมดาว พานิชสมัย มาร่วมเผยถึงคุณสมบัติของผู้หญิงเก่งที่สามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดในแบบฉบับของตนเอง ผ่านสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ และการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ในช่วงเวิร์คฟอร์มโฮม

เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่ยึดมั่นในเรื่องการส่งต่อพลังให้ผู้หญิง (Empowerment) และเป็นเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส (Versatility) ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด โมเดิร์น อิลิแกนท์ (Modern Elegant) ถ่ายทอดสู่เสื้อผ้าแฟชั่นที่งดงามเหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ที่ยังคงไว้ซึ่งความทันสมัยจากเอกลักษณ์การดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียด และการคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูง ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์มากฝีมือ ควบคู่ไปกับการตัดเย็บอันปราณีตบรรจงจากทีมช่างมากประสบการณ์ ที่สามารถเสริมสร้างความมั่นใจให้กับหญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับคอลเลกชั่น สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์ (Scandinavian Summer) ทางทีมดีไซน์ได้หยิบยกเรื่องราวการแต่งกายของหญิงสาวชาวสแกนดิเนเวียที่มีความเรียบเท่ มาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบ พร้อมผสมผสานความเฟมินีน ผ่านการเลือกใช้วัสดุที่น่าสนใจ อาทิ ผ้าลูกไม้ ผ้าซาติน และผ้าทวีต ลดทอนความหวานด้วยสไตล์มาสคิวลีน ด้วยการออกแบบซิลลูเอทให้มีความเท่ และการใช้สีในโทนคลาสสิก เรียบโก้ อาทิ สีขาว, สีฟ้า, สีน้ำเงิน และสีเทา ซึ่งเป็นโทนสีที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย โดยนำเสนอผ่านผลงานการออกแบบที่สามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาสที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีติดตู้เสื้อผ้า โดยมีชิ้นเด่นอย่างเสื้อเบลเซอร์สีขาวตัวสั้นคัตติ้งเนี้ยบ ที่นำมาสร้างสรรค์ใหม่ด้วยการตกแต่งลูกไม้บริเวณด้านหลังเสื้อ สวมใส่คู่กับกางเกงเอวสูงเทเลอร์หรือเดรสสายเดี่ยวสไตล์มินิมอล ก็จะได้ลุคเรียบโก้ที่มีความหวานซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นลุคที่สามารถสวมใส่ได้แม้ในวันทำงาน ชิ้นต่อมาคือ ชุดเดรสคอวีดีไซน์เรียบหรู ที่ใช้เทคนิคการตัดเย็บผ้าสองชนิดเข้าด้วยกัน โดยตัวเดรสใช้ผ้าซาตินที่มีคุณสมบัติสวมใส่สบาย และเพิ่มความน่าค้นหาด้วยการใช้ผ้าลูกไม้ตัดเย็บเป็นบริเวณแขนเสื้อ และยังมีกระโปรงซาติน ปลายเฉียง และมีดีเทลจับเดรป

ทางทีมดีไซน์ยังได้หยิบแมททีเรียลสุดคลาสสิกอย่างผ้าทวีต ที่เนื้อผ้ามีความโดดเด่น มอบสไตล์ที่หรูหรา มาใช้ออกแบบในหลากหลายไอเทม อาทิ เสื้อครอป และเดรสสั้นปลายเฉียงผ้าทวีตสีน้ำเงิน ที่มาในซิลลูเอททรงหลวม เหมาะสำหรับวันพักผ่อน และสามารถเพิ่มความโดดเด่นได้ด้วยผ้าผูกเอวที่ผูกเป็นโบว์ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งยังมีคอเสื้อที่สามารถเลือกสวมใส่ได้ถึงสองแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสื้อคอปาดหรือแบบเสื้อคอวี รวมถึงเดรสยาวปลายเฉียงสไตล์เรียบหรู และเดรสสั้นผ้าทวีตสีฟ้า โดยเดรสสั้นถูกตกแต่งด้วยการใช้ผ้าทวีตออกแบบเลเยอร์ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมถึงผ้าลูกไม้สัญลักษณ์แห่งความเฟมินีนที่ถูกนำมาออกแบบด้วยเทคนิคการสร้างเลเยอร์ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ และเดรสผ้าลูกไม้สีขาว และสีฟ้า รวมถึงชิ้นเบสิกอย่างเสื้อเดรสเชิ้ตสียีนส์ทรงโอเวอร์ไซส์ ปักประดับตกแต่งด้วยการเลเยอร์ผ้าลูกไม้บริเวณด้านขวา ที่สามารถปล่อยชายผ้าให้ยาวทิ้งตัวลงมา หรือจับเป็นเดรปก็จะได้ลุคที่มีความคล่องตัวขึ้น เป็นไอเทมที่สามารถผสมผสานความมาสคิวลีน และความเฟมินีนเอาไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เหล่าเซเลบริตี้แฟนคลับแบรนด์ได้มาร่วมเผยถึงคุณสมบัติของผู้หญิงเก่งที่สามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดในแบบฉบับของตนเอง ผ่านสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ และการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ในช่วงเวิร์คฟอร์มโฮม เริ่มจากเวิร์คกิ้งวูแมน อภินรา ศรีกาญจนา เผยว่า “ผู้หญิงทุกคนควรมีความมั่นใจ และรู้จักที่จะรักตัวเองให้เป็น ไม่ว่าเราจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ก็ไม่ควรโทษตัวเอง เราอยากให้ทุกคนค้นหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ และมั่นใจในแบบที่ตัวเองเป็น อย่างเราเองจะเป็นคนที่ตัวเล็กมาก ถ้าวันไหนต้องใส่กระโปรงหรือเดรส ก็จะเลือกชิ้นที่ความยาวคลุมเข่า เพราะถ้าสั้นเกินไปก็จะเห็นได้ชัดว่าขาเล็ก แล้วก็จะแมทช์ด้วยเข็มขัดเพื่อช่วยขับให้สรีระมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะสไตล์การแต่งตัวที่ชอบคือแบบคลาสสิกเลย ทั้งซิลลูเอทและโทนสี แมททีเรียลที่ชอบก็จะเป็นผ้าทวีต เพราะใส่แล้วทำให้คนรูปร่างเล็กดูมีน้ำมีนวลขึ้น รวมถึงชุดสไตล์คลาสสิกที่ใช้ผ้าลูกไม้มาเพิ่มดีเทลด้วย เพราะใส่แล้วจะทำให้ลุคในวันนั้นน่าสนใจขึ้น แต่ถ้าวันไหนต้องการความคล่องตัวในการทำงานก็จะเลือกใส่กางเกง อย่างช่วงนี้ที่เวิร์คฟอร์มโฮมก็จะแต่งตัวสบายขึ้น เป็นเสื้อแขนยาวแมทช์กับกางเกงผ้า หรือไม่ก็เดรสเรียบโก้สักตัว”

ต่อมาที่คุณแม่คนเก่ง อรชุมา ดุรงค์เดช เล่าว่า ผู้หญิงเก่งคือผู้หญิงที่รู้จักตัวเอง ต้องรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน แล้วดึงสิ่งนั้นออกมาให้ได้ แต่ที่สำคัญเลยคือต้องมีความมั่นใจ ฉลาดเลือก และกล้าที่จะใช้ชีวิต ซึ่งหนึ่งสิ่งที่จะสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ได้ ก็คือสไตล์การแต่งตัวที่เป็นตัวเอง อย่างเราจะชอบการแต่งตัวสไตล์มินิมอล ที่ไม่เรียบจนเกินไป อย่างถ้าใส่เสื้อเรียบๆ ก็จะต้องมีแอคเซสเซอรี่มาช่วยให้ดูน่าสนใจขึ้น แต่ก็จะเลือกชิ้นที่ใส่แล้วมั่นใจด้วย อย่างเราเป็นคนแขนเล็กก็จะชอบใส่เสื้อแขนกุดแมทช์กับกระโปรง หรือกางเกง เพราะผู้หญิงทุกคนถ้าได้ใส่ชุดที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ความมั่นใจจากภายในก็จะสร้างได้ไม่ยาก ส่วนการแต่งตัวช่วงเวิร์คฟอร์มโฮมก็ยังคงเป็นสไตล์ที่ชอบอยู่ จะไม่ได้แต่งชิลล์มาก เพราะยังต้องประชุมออนไลน์ ต้องเจอคน แต่จะเลือกชิ้นที่ใส่แล้วคล่องตัวขึ้น ไม่รัดรูปเกินไป เพราะเราต้องทั้งทำงาน และเลี้ยงลูกไปด้วย

ต่อมาที่สาวสังคม ยุวเรต ศรุตานนท์ เผยว่า เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเก่ง ความสามารถ ในแบบของตนเอง แต่ผู้หญิงเก่งสำหรับเราต้องเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี และสามารถส่งต่อพลังบวกให้ผู้อื่นได้ด้วย ส่วนสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ จะเป็นสไตล์เรียบโก้ ผ่านการเลือกชุดที่การตัดเย็บมีดีเทลหน่อย หรือเลือกชุดที่เนื้อผ้ามีเท็กซ์เจอร์ อย่างเดรสผ้าทวีตที่มีการเล่นเลเยอร์ เพราะเราเป็นคนสูงโปร่ง เวลาใส่เดรสก็จะช่วยขับรูปร่างให้ดูชัดขึ้น แต่ถ้าเป็นช่วงเวิร์คฟอร์มโฮมช่วงนี้ ก็จะเลือกชุดที่เรียบโก้ แต่มีความสมาร์ทขึ้น อย่างเสื้อผ้าทวีตแมทช์กับกางเกงผ้าเอวสูง

ปิดท้ายที่เซเลบริตี้สาวมากความสามารถ พิมดาว พานิชสมัย เล่าว่า ผู้หญิงเก่งในความคิดของเราจะต้องเป็นผู้หญิงที่ฉลาดคิด ฉลาดเลือก มีความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นผู้หญิงที่มีแรงบันดาลใจในการลงมือทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และที่สำคัญต้องสามารถส่งต่อแรงบันดาลใจเหล่านั้นให้กับคนรอบตัวได้ สำหรับสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบก็จะเป็นสมาร์ทแคชชวล เพราะส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนหวาน ชิ้นที่ชอบก็จะเป็นกางเกงเอวสูง แมทช์กับเสื้อเชิ้ต เพราะเราเป็นคนตัวเล็กด้วย การใส่กางเกงเอวสูงก็จะช่วยทำให้รูปร่างสูงโปร่งขึ้น หรืออาจจะเป็นเดรสสบายๆ แมทช์กับเข็มขัด แล้วเติมเต็มลุคด้วยเครื่องประดับชิ้นโปรด อย่างต่างหู กำไล นาฬิกา ส่วนการแต่งตัวเวิร์คฟอร์มโฮมช่วงนี้ เราก็แต่งตัวเหมือนวันทำงานปกติเลย เพราะก็ยังต้องประชุมออนไลน์อยู่ตลอด อีกอย่างเสื้อผ้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้ขณะทำงาน

พบกับเสื้อผ้าจากแบรนด์ เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) ในคอลเลกชั่น สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์ (Scandinavian Summer) ได้แล้ววันนี้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดีย Instagram: @M2SSignature หรือ  Line: @M2SSignature หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ M2SSignature Line Shopping คลิกที่นี่เลย!

JR โตสนั่น กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 258.02% ทำนิวไฮ

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) รายงานกำไรไตรมาส 2/64 แตะ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อน ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากรับรู้รายได้จากงานในมือที่ตุนไว้ในมือ ฟากซีอีโอ “จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุ แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง ยังเติบโตต่อเนื่อง เดินหน้ายื่นประมูลงานใหม่ประเภทวางระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม มูลค่า 400 ล้านบาท จากปัจจุบันมีแบ็กล็อคอยู่ที่ 5,320.8 ลบ. ลุ้นเปิดประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท  เน้นกลยุทธ์คุมต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาการทำกำไรได้ดี มั่นใจผลงานปีนี้โตก้าวกระโดด ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 19.43 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 650.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 266.74 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 124.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52 % จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 29.93 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,167.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.50% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 466.03 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯมีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ที่ 5,320.8 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในระยะยาว 3 ปี โดยจะเป็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบ เช่น งานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยี  ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา และธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์

“ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งโครงการต่างๆ ยังคงเดินหน้าแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อมีการปิดแคมป์คนงานในบางโครงการเกิดขึ้น บริษัทฯยังมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนรูปแบบมา เน้นการทำงานในส่วนอื่นๆเพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี และทำธุรกิจด้วยกระแสเงินสด ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตรายได้และกำไรในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าผลงานในปีนี้จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ และฝ่าวิกฤติโควิด-19ในรอบนี้ไปได้แน่นอน “

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ที่จะออกมาทั้งงานวางระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร โดยคาดว่าจะมีการยื่นประมูลประมาณ 400 ล้านบาท ขณะที่การประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6  พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลเกิดขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ก็จะส่งผลให้ปริมาณงานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และสร้างรายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทฯได้มีการขยายงานด้านวิศวกรรมไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น การเข้าไปในกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering โดยมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงในอนาคต

ช้อปอะไรดี? MBK CENTER AT LAZADA จัดหนักตลอดเดือน ส.ค. นี้

ช้อปออนไลน์ได้ไม่มีวันหยุด ส่งความสุขได้ตลอดทั้งเดือนสิงหาคมที่ MBK CENTER AT LAZADA คลิกที่นี่เลย! ซึ่งศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ขนทัพสินค้าจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯขึ้นมาไว้บนเว็บไซต์ลาซาด้าให้ได้ช้อปกันจุใจตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมโปรโมชันจุกๆ  อาทิ โมเดลดาบพิฆาตอสูร “สึยูริ คานาโอะ” เอาใจเหล่านักสะสมในราคาเพียง 1,487 บาท ของเล่นคุณหนู ๆ เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กเพียง 280 บาทเท่านั้น รองเท้าหนังวัวแท้ 100 % สินค้าคุณภาพในราคาเพียง 1,840 บาท กระเป๋าคาดอกหนังแท้ในราคาเพียง 2,482 บาท นาฬิกา Minimal BKK รุ่น Wood series สวมใส่คูลๆ เพียง 390 บาท  ปลั๊กไฟปลั๊กพ่วงสีขาวยาว 2 เมตรให้ชีวิตสะดวกได้ง่ายๆ ในราคาเพียง 399 บาท โลชั่นทาป้องกันยุงขนาด 120 มล.ในราคา 223 บาท ฟินสุดๆ กับ ผลิตภัณฑ์อโรม่า ออยล์ จากร้านรายามณี ในราคา 280 บาท ก้านไม้หอมปรับอากาศ Aroma Diffuser จากร้าน Siwaporn ในราคา 160 บาท Aroma Foot Balm ครีมทาเท้าบำรุงให้เนียนนุ่มในราคา 85 บาท พิเศษสุด ๆ เพียงกดติดตามร้านค้าบน LAZADA รับส่วนลดทันที 30 บาท ถึง 31 สิงหาคม 2564 เท่านั้น สมาชิก MBK Application สามารถนำใบเสร็จการสั่งซื้อมาสะสมคะแนน MBK POINTS ได้อีกด้วย

ห้ามพลาด ช้อปสินค้าคุณภาพในราคาสุดคุ้มได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ MBK CENTER AT LAZADA คลิกที่นี่เลย! และ ช้อปสุดคุ้มกับโปรจุกๆ ไม่ต้องจ่ายเต็ม MBK จ่ายให้ในไลฟ์สดสินค้าที่น่าสนใจมากมายทุกวันพุธที่เพจ MBK LIVE Market พร้อมเตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ที่ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK CENTER) แหล่งรวมความพิเศษเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดร้านค้าเปิดใหม่ กิจกรรมต่างๆ และโปรโมชั่นที่น่าสนใจของศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK CENTER) ได้ที่ www.mbk-center.co.th และ www.facebook.com/mbkcenterth

เอพี ไทยแลนด์ สร้างนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ โชว์ครึ่งปีแรกกำไรกว่า 2,518 ล้าน

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะผันผวนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น แต่บริษัทฯ ก็ยังคงดำเนินธุรกิจและสร้างผลงานได้เกินเป้าหมายที่คาดไว้ โดยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ด้านรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ นับเป็นนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ โดยบริษัทฯ สามารถทำรายได้รวมที่สูงถึง 20,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านๆ มา ด้านกำไรสุทธิมากกว่า 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,832 ล้านบาท ด้านสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.61 เท่า ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการภายในองค์กร ควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้า และการบริหารกระแสเงินสดที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพท่ามกลางสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการสรรหาที่ดินในทำเลใหม่ๆ เพื่อทดแทนโครงการแนวราบที่จะทยอยปิดตัวลงในปีนี้ เนื่องจากจบการขาย โดยทั้งปีบริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้รวมทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วประมาณ 5,200 ล้านบาท และคงเหลืออีกจำนวน 6,800 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จัดสรรซื้อที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้การบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน โดยวันนี้เรามีวงเงินสดพร้อมใช้มากกว่า 14,000 ล้านบาท และการประเมินสถานการณ์รายวันอย่างระมัดระวังสูงสุด

“แผนการดำเนินธุรกิจของเอพี ไทยแลนด์ ยังคงก้าวเดินอย่างต่อเนื่อง ด้วยทีมงานภายในที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ครอบคลุมกว่า 100 ทำเลทั่วประเทศไทย และที่สำคัญการบริหารจัดการกระแสเงินสด โดยบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 33,729 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้เรายังพร้อมเดินหน้าตามแผนขยายการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยไปยังเซกเมนต์ใหม่ ด้วยการเตรียมเปิดตัวบ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 บ้านเดี่ยวหรู หนึ่งเดียวบนทำเลใจกลางเมือง เริ่ม 35-60 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจัดงาน Pre-Sale ในเดือนกันยายนนี้ และการปรับโฉมแบรนด์ ASPIRE (แอสปาย) เพื่อขยายฐานคอนโดในตลาด mass product มากยิ่งขึ้น ซึ่งพร้อมเปิดตัว ASPIRE รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท ในเดือนกันยายนนี้”

สำหรับแผนครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่าโครงการรวม 12,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 64 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม (Net Pre-Sale) ได้มากถึง 20,662 ล้านบาท คิดเป็น 58% จากเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท

ช้อปอะไรดี? สเก็ตเชอร์ส จัดแคมเปญ Mother’s Day ลดสูงสุด 70%

SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชันนำสัญชาติอเมริกัฉลองเทศกาลวันแม่ ส่งแคมเปญ Mother’s Day มอบส่วนลดรองเท้าสูงสุด 70% มอบเป็นของขวัญสุดพิเศษให้กับคุณแม่ โดยรวมรองเท้าสุภาพสตรีและเด็กจากคอลเลคชันสุดฮิต, สนีกเกอร์รุ่นดัง และรองเท้าเพื่อการเคลื่อนไหว เพื่อสอดรับกิจกรรมระหว่างแม่ลูก มาให้ช้อปแบบจุใจ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษกับส่วนลดเพิ่ม 20% เมื่อซื้อสินค้า 2 ชิ้นขึ้นไป ช้อปกันได้ตั้งแต่วันนี้  – 12 สิงหาคม 2564 ทาง https://www.skechers.co.th/collections/mothers-day

สนใขช้อปสินค้า SKECHERS ทาง Shopee คลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!

WHA Group โชว์ไตรมาส 2 กำไร 282 ล้าน โต 54%

บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 1,892.5 ล้านบาท และกำไรปกติ 282.4 ล้านบาท ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจผลการดำเนินงาน 4 กลุ่มธุรกิจแข็งแกร่งท่ามกลางโควิด-19 ระลอกใหม่ โลจิสติกส์ผู้เช่าล้น กลุ่มนิคมเติบโตดี รับอานิสงค์ย้ายฐานการผลิตมาไทยและเวียดนาม เร่งขาย/ ขยายต่อเนื่อง ธุรกิจสาธารณูปโภคโดดเด่น ลูกค้าใช้บริการน้ำ-โซลาร์เพิ่มขึ้น ชูดิจิทัลโซลูชันหนุนองค์กร พร้อมขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ไตรมาส 4

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% และ 93.2% จากไตรมาส 1/2564 โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,892.5 ล้านบาท และ 282.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และ 53.6% จากไตรมาสที่แล้ว สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,278.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 394.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,346.8 ล้านบาท และกำไรปกติ 466.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และ ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจในครึ่งปีแรกว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตตามความต้องการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าคุณภาพสูงของธุรกิจ E-Commerce และผู้ประกอบการในกลุ่ม Consumer ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 279.9 ล้านบาท และ 556.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนกว่า 56,000 ตารางเมตร สูงกว่าเป้าหมายสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่วางไว้ 50,000 ตารางเมตรสำหรับปีนี้ ซึ่งความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 90%

นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 ซึ่งนับเป็นโครงการแห่งที่ 38 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตารางเมตร โดยมีผู้เช่าหลักเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากระบวนการทำงาน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในบริษัทและธุรกิจ Startups กลุ่มโลจิสติกส์หลายราย โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทราบผลของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ ในปี 2564 ล่าสุดผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักครั้งที่ 7 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,549.7 ล้านบาท ทรัพย์สินประกอบด้วยโครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62) โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และ โครงการ WHA E-Commerce Park อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นพื้นที่รวม 184,329 ตารางเมตร โดยสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดและคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึง บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) และสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Asset-backed Token) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ อีกด้วย

นอกจากนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว “WHA Office Solutions” พื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส บน 6 ทำเลที่มีศักยภาพสูงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ รวมพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ได้แก่ โครงการ WHA Tower, โครงการ SJ Infinite I, อาคารสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม TusPark WHA และโครงการ WHA KW S25 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 274 ไร่ (ไทย 241 ไร่/ เวียดนาม 33 ไร่) และยอดเซ็นต์ MOU รวม 83 ไร่ (เวียดนาม) โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกรวม 691.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 154.1 ล้านบาทแล้วรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 ของบริษัทฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 537.7 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและการส่งออกของประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาที่เริ่มกลับมาส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น ยุโรป จีนและไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนอินเดียที่แสดงความสนใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ภายหลังจากประเทศอินเดียต้องประสบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินทั้งสิ้น 33 ไร่ และยอด MOU 83 ไร่ เนื่องจากเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอานของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ที่ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม WHA Northern Industrial Zone และ WHA Smart Technology Industrial Zone ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการพื้นที่แก่นักลงทุนที่สนใจภายในปีหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการกระจายวัคซีนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงผ่านมาบริษัทฯ ก็ยังคงได้รับการติดต่อจากนักลงทุนที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจำนวนมากกว่า 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 2,000 ไร่ทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งหากการดำเนินการด้านวัคซีนของประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาคต่อไป

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ หรือ Smart ECO Industrial Estate ที่มีความทันสมัยทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ขนส่ง สื่อสาร ฯลฯ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Digital Healthcare อย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน/ แรงงาน และผู้อยู่อาศัยทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุน บริษัท เพอเซ็ปทรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสนามในการวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified Control Center, “UOC”) ณ อาคาร WHA Tower สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ พร้อมเปิดดำเนินการแบบเต็มรูปแบบแล้ว โดยศูนย์ UOC ดังกล่าวสามารถนำเสนอข้อมูล และติดตามผลการทำงาน รวมถึงได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบบดังกล่าวจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ UOC รวมถึงแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 รวมเท่ากับ 35.2 ลูกบาศก์เมตร และ 67.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 595.8 และ 1,182.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศมีการเติบโตดีขึ้นสำหรับทุกประเภทผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 29.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 56.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 27.3% และ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมในทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ GC Oxirane ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีและมีปริมาณการใช้น้ำประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือลูกค้าโรงไฟฟ้า อาทิ Gulf SRC ที่ขยายกำลังการผลิตทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 12,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมถึงยังสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย

ทั้งนี้ปริมาณจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนามในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 10.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28.9% และ 25.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัท ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant) หนึ่งในผู้ให้บริการน้ำประปาชั้นนำของเมืองฮานอย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 34% ก็ได้รับอานิสงค์จากการขยายตัวของเขตอุตสาหกรรมทั้งในบริเวณจังหวัดฮานอย และจังหวัดใกล้เคียงอย่าง จังหวัดบั๊กนิญ (Bac Ninh) และจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) ซึ่งบริษัท ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ ได้ขยายท่อประปาไปยังจังหวัดบั๊กนิญ (Bac Ninh) ในปี 2563 และจะขยายไปยังจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) เพื่อให้บริการน้ำประปาแก่ลูกค้าทั้งสามจังหวัด

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และการนำน้ำเสียมาใช้ใหม่ (Wastewater Reclamation) ที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิดของ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของทรัพยากรที่สามารถหมุนเวียนอยู่ในกระบวนการผลิตและบริโภคผ่านการนำมาผลิตใหม่หรือนำมาใช้ซ้ำจนเกิดเป็นนวัตกรรมบนห่วงโซ่คุณค่าที่นอกจากจะช่วยตอบโจทย์ของบริษัทฯ ทั้งด้านการสร้างรายได้จากการให้บริการบำบัดน้ำเสียและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำคุณภาพพรีเมียมแล้ว นวัตกรรมดังกล่าวยังสร้างความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำวัตถุดิบ ช่วยลดการพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายน้ำดิบรายใหญ่ รวมถึงบรรเทาความไม่แน่นอนและผลกระทบทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของแหล่งน้ำต้นทางเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง มลภาวะ การปนเปื้อน ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภค

ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 271.5 ล้านบาท และ 437.1 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่มธุรกิจ IPP ได้รับผลกระทบจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากโรงไฟฟ้า Gheco-One เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนในช่วงไตรมาส 1 จำนวน 37 วัน และมีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผนงานในไตรมาส 2 จำนวน 20 วัน ทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายลดลง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการซ่อมบำรุงแล้วเสร็จและกลับมาดำเนินการตามปกติ ค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงบางส่วนจะได้รับการชดเชยในช่วงครึ่งหลังของปีและทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 โรง ยังมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ เซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมอีก 1 สัญญา จำนวน 1.8 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวนเซ็นสัญญาสะสมทั้งสิ้น 63 เมกะวัตต์ และเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติมอีกราว 2.5 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตโครงการโซลาร์ที่เปิดดำเนินเชิงพาณิชย์แล้วทั้งหมด 46 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์รวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 596 เมกะวัตต์ รวมถึงบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมลงนามสัญญากับผู้ผลิตรายใหญ่ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นสัญญาเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาขนาดประมาณ 20 เมกะวัตต์ และนับเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่บริษัทฯ เคยดำเนินการมา

ทั้งนี้บริษัทฯ เป็นผู้นำการให้บริการครบวงจรในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Private PPA โดยมีผลิตภัณฑ์นำเสนอแก่ผู้ประกอบการครบทุกรูปแบบ อาทิ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งแบบติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) แบบลอยน้ำ (Floating Solar) และบนพื้นดิน (Solar Farm) โดยบริษัทฯ มีแผนการขยายธุรกิจโดยการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจำหน่ายทั้งภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อาคารศูนย์กระจายสินค้า/ คลังสินค้า รวมถึงการใช้พื้นที่ของลูกค้าที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ พร้อมๆ กับการศึกษาโอกาสการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ (Solar Farm) และพลังงานลม (Wind Farm) ในประเทศเวียดนามอีกด้วย

ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริษัทฯ มุ่งให้การสนับสนุนกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนที่ต้องการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาพัฒนาธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยแผนการลงทุน 5G Tower ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเพื่อวางแผนการติดตั้งเครือข่ายเพื่อกระจายสัญญาณ 5G และทดสอบการใช้งานจริงควบคู่ไปกับการเร่งดำเนินการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ภายในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการเข้าถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ และส่งผลทำให้มีผู้ประกอบการและนักลงทุนแสดงความสนใจเข้าลงทุนในศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) ของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจหลายรายโดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายในปีนี้

สืบเนื่องจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัส ในจังหวัดสมุทรปราการมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลทำให้โรงพยาบาลที่ดำเนินการอยู่ทั้ง 2 แห่ง ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ป่วย บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) จึงสนับสนุนพื้นที่ให้ทางจังหวัดสมุทรปราการใช้อาคารคลังสินค้า พื้นที่ใช้สอยประมาณ 10,000 ตารางเมตร ภายในโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร กม. 4 เป็นพื้นที่จัดตั้งโรงพยาบาล (Field Hospital) ขนาด 1,300 เตียง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2564 โดยมีโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 (WHA) เป็นสถานพยาบาลหลักสำหรับการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด