WIIK โชว์ผลงานไตรมาส 2 กำไรสุทธิกว่า 33 ล้าน

บริษัท วิค จำกัด (มหาชน) หรือ WIIK โดย นายวิบูลย์ แสงวิทยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีรายได้รวมจำนวน 375.52 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 33.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 16.55

ในไตรมาสที่ 2/2564 รายได้ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจาก ธุรกิจขายท่อในประเทศที่เพิ่มขึ้นจำนวน 18.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.59 รายได้จากธุรกิจติดตั้งท่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวน 0.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 219.12 และรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 จำนวน 5.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการผลิตน้ำให้โครงการอุตสาหกรรมชุมนุมทรัพย์ จังหวัดปทุมธานีของบริษัทย่อย

จากความเชี่ยวชาญและทักษะการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ล่าสุดบริษัทได้รับงานบริหารจัดการน้ำใหม่ 2 โครงการคือ ที่นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 และที่โครงการจ้างผลิตน้ำประปาจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วเมื่อต้นเดือนสิงหาคม จะเข้ามาสร้างผลการดำเนินงานที่มากขึ้นให้กับกลุ่มบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 3/3564 นี้ไป

ทั้งนี้ บริษัทฯ มี Backlog งานในมืออยู่อีกกว่า 853.73 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อประมาณ 622.58 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการน้ำ (ส่วนที่รับรู้รายได้ภายใน 1 ปี) 231.15 ล้านบาท

สำนักงานประกันสังคม พร้อมแล้ว! ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 2 เริ่ม 16 ส.ค. นี้

พญ.นิธยาพร ลิมปะพันธุ์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม แจ้งผลการเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยคณะทำงานบริหารจัดการและกระจายวัคซีนได้เตรียมจัดศูนย์ฉีดวัคซีน เพื่อให้บริการผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 หลังจากที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกจากประกันสังคมแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 1.3 ล้านคน

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า วัคซีนเข็มที่ 2 จะเริ่มฉีดในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมด โดยแบ่งผู้ประกันตนตามสูตรการฉีด ดังนี้

  • สูตร 1 (AZ+AZ) คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็น AstraZeneca และจะครบกำหนดฉีดเข็ม 2 ภายใน 12-16 สัปดาห์ จะฉีดเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca เหมือนเดิม โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 28 กันยายน 2564
  • สูตร 2 (SV+AZ) แบบฉีดสลับวัคซีน ตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อ Sinovac จะได้รับเข็ม 2 ภายใน 3-4 สัปดาห์ เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมดเช่นกัน โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกลุ่มจังหวัดภาคผลิตสำคัญ 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร และนครปฐม ที่ได้รับวัคซีนตามสูตร 2 (SV+AZ) ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

โดยสำนักงานประกันสังคมได้เตรียมพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนกระจายทั่วพื้นที่ กทม.ทั้ง 12 เขตความรับผิดชอบ รวม 26 จุดฉีด และทั้ง 5 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว จะส่งแจ้งนัดหมายให้ผู้ประกันตนทราบล่วงหน้าผ่าน SMS เข้าโทรศัพท์มือถือให้ผู้ประกันตนทราบโดยเร็วที่สุด

สำหรับผู้ประกันตนที่ฉีดวัคซีนหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างดำเนินการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะอัพเดทในสัปดาห์หน้า

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกท่าน เมื่อทราบกำหนดนัดหมายแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกันกับการฉีดเข็มแรก คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดการออกกำลังกายหนัก สวมเสื้อที่สะดวกในการฉีด เช่น เสื้อแขนสั้น

ที่สำคัญคือ เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) ติดตัวมาด้วยในวันที่ฉีดวัคซีน และมาให้ทันตามกำหนดนัดหมาย เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไปด้วยกัน

หากท่านอยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 ตามกำหนดข้างต้น แต่ไม่ได้รับ SMS นัดหมาย สามารถตรวจสอบวันนัดหมายฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 ได้ที่หน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th อีกช่องทางหนึ่ง หากไม่พบข้อมูล ขอให้รีบแจ้งนายจ้าง หรือฝ่ายบุคคล (human resource: HR) ของบริษัทลูกจ้างด่วน หรือหากมีข้อสงสัย ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เตรียมส่งมอบศูนย์กักตัวชุมชน 3 แห่ง รองรับผู้ป่วยโควิดสีเขียวในพื้นที่ลพบุรี

นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นำคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดลพบุรี ลงพื้นที่ตรวจติดตามความพร้อมในการจัดตั้ง Community Isolation (CI) หรือศูนย์กักตัวในชุมชน เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเขียว ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ตามที่ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้อนุมัติให้หน่วยขึ้นตรงของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จัดเตรียมสถานที่ 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.แหล่งสมาคมหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2.อาคารคงสมพงษ์ กองพลรบพิเศษที่ 1 ค่ายเอราวัณ และ 3.อาคารกองร้อยนักเรียนที่ 1 กองพันนักเรียนโรงเรียนสงครามพิเศษ ค่ายเอราวัณ โดยทั้ง 3 แห่ง มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมกันการจัดหาวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการรองรับผู้ป่วยโควิด -19 ซึ่งเป็นผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวเพื่อใช้สำหรับกักตัวสังเกตอาการ ตามมาตรการสาธารณสุข ที่ ศบค.กำหนด โดยมี คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 3 แห่ง ให้การต้อนรับ และนำชมสถานที่ ทั้ง 3 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วย ชาย-หญิง ได้เกือบ 400 คน ขณะนี้มีคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90 เหลือเพียงการทดสอบระบบการควบคุมการติดต่อสื่อสารด้วยอินเตอร์คอม และกล้อง CCTV โดยสถานที่ทั้ง 3 แห่ง จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่แยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัว และเมื่อมีอาการที่รุนแรงในขณะกักตัวภายในศูนย์ จะมีทีมแพทย์พยาบาล จากโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช และจากหน่วยตรวจโรคศูนย์สงครามพิเศษ เป็นผู้ดูแลและประเมินอาการอีกครั้ง เพื่อจะสามารถส่งต่อยังสถานพยาบาลได้ในทันที โดยคาดว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ และเปิดศูนย์เพื่อให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการ ทั้ง 3 ศูนย์ ได้ในต้นสัปดาห์หน้านี้ เพื่อเตรียมรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ป่วยจากชุมชน และคลัสเตอร์ ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี และผู้ติดเชื้อจากพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ที่ได้ลงทะเบียน ขอกลับมารักษาอาการป่วยตามภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดลพบุรี

ทั้งนี้ การดำเนินการของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ถือเป็นนโยบาย และข้อห่วงใยของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศ ใช้อาคารสโมสร หรืออาคารเอนกประสงค์ในค่ายทหารทั่วประเทศ เป็นโรงพยาบาลสนาม ศูนย์กักตัวชุมชน เพื่อประเมินอาการ และดูแลผู้ป่วยสีเขียวในเบื้องต้น ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และลดปัญหาอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลหลัก ก่อนประสานส่งต่อให้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามระบบของสาธารณสุข ในแต่ละพื้นที่ต่อไป

คาดเปิดลงทะเบียนรับวัคซีนซิโนฟาร์ม สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งถัดไป วันที่ 23-27 ส.ค. นี้

รายงานข่าวจาก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า ขณะนี้มีผู้ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ระยะที่ 2 สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งที่ 2 วันที่ 13 สิงหาคม 2564 เต็มจำนวนแล้ว
สำหรับองค์กร/นิติบุคคลที่ลงทะเบียนได้สำเร็จ ให้รอรับการจัดสรรผ่านทางอีเมลผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ติดตามการขอยื่นความประสงค์รับการจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งถัดไปในวันที่ 23-27 สิงหาคม 2564

เชิญชวนคุณแม่ตั้งครรภ์ ลงทะเบียนรับวัคซีนซิโนฟาร์ม เริ่มวันนี้ (12 ส.ค.)

รายงานข่าว แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564 ทาง ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >>

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

สำหรับเงื่อนไขการเข้ารับสิทธิ์ ดังนี้

  1. คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
  2. เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
  3. ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน

เปิดตัวห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่ อัจฉริยะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์

นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เชื้อแพร่กระจายทางอากาศ การรักษาผู้ป่วยจากไวรัสโควิดจึงมีความจำเป็นต้องแยกจากผู้ป่วยทั่วไป โดยแยกไปรักษาดูแลในห้องความดันลบ แต่จากความรุนแรงของการระบาด ทำให้ห้องความดันลบที่มีอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ มีไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยอาการหนักที่เพิ่มขึ้นได้

วช.จึงได้สนับสนุนทุนวิจัย ผศ.ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในการวิจัยพัฒนาห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่ จนเป็นผลสำเร็จ ทำให้การเพิ่มห้องความดันลบเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สามารถทำได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่สำคัญสามารถป้องกันการแพร่เชื้อกระจายออกไปสู่ภายนอก และช่วยปกป้องแพทย์และพยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลได้เป็นอย่างดี

ผศ.ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันต์ อาจารย์ประจำภาควิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า หลังจากได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ในการพัฒนานวัตกรรมห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่จนเป็นผลสำเร็จ จึงมีการพัฒนาต่อยอดการทำงานของห้องไอซียูความดันลบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สนับสนุนการทำงานของแพทย์และพยาบาลให้เกิดความสะดวก พัฒนาระบบควบคุมภายในให้มีความทันสมัย เป็นระบบอัจฉริยะสามารถทำงานเองได้โดยอัตโนมัติ สามารถปรับเปลี่ยนแรงดันภายในห้องไปตามการใช้งาน ในกรณีทีมีการขนส่งผู้ป่วยเข้ามาในห้อง เมื่อมีการเปิด-ปิดประตู คอมพิวเตอร์จะควบคุมและปรับแรงดันในห้องผู้ป่วยและห้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ สามารถแจ้งเตือนได้เมื่อผู้ใช้งานลืมเปิดประตูทิ้งไว้ โดยระบบควบคุมสามารถเชื่อมต่อและรายงานผลของห้องผ่านมอนิเตอร์หน้าห้อง

สำหรับห้องประสิทธิภาพของไอซียูความดันลบเคลื่อนที่เป็นห้องสำเร็จรูป  ขนาด 3  6.5 เมตร / ยูนิต พื้นที่ภายในแบ่งออกเป็น 2 ห้องคือ ห้องสำหรับผู้ป่วยและห้องสำหรับผู้ดูแล มีระบบคอมพิวเตอร์คอยควบคุม แต่ละห้องมีระบบปรับอากาศ มีระบบควบคุมแรงดันอากาศอัตโนมัติ มีความดันที่เหมาะสมและสัมพันธ์กันตลอดเวลาและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อมั่นใจได้ว่า อากาศภายในห้องที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนจะไม่ไหลออกมาสู่ภายนอก

ปัจจุบันได้มีการผลิตห้องไอซียูและนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง ในกรุงเทพมหานครและปริมลฑล เช่น โรงพยายาบาลสนามบุษราคัม โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลเลิศสิน โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และจะนำติดตั้งที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เร็วๆ นี้

สสว. เปิดลงทะเบียนปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ช่วยกลุ่มท่องเที่ยวและร้านอาหาร

นาย เปิดเผยว่า จัดโครงการสนับสนุน SME รายย่อยวงเงิน 1,200 บาท เพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีกลุ่มท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และสปาใน 10 จังหวัดนำร่องเปิดการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจภัตตาคารและร้านอาคารใน 29 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อยแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยร่วมดำเนินการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อยอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 1 ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี วงเงินกู้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 3 แสนบาท และนิติบุคคลไม่เกิน 5 แสนบาท คุณสมบัติหลักคือเป็นผู้ประกอบการที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นและโครงการฟื้นฟู หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี คาดว่าจะให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 5 พันรายขึ้นไป ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ประมาณ 5 พันล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจยื่นกู้ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ที่จะเริ่มวันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป โดยสแกนคิวอาร์โคดของธนาคารกรอกรายละเอียด ซึ่งแต่ละธนาคารจะมีเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนและติดต่อกลับเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพิจารณาและอนุมัติเงินกู้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Cale Center 1357

ปตท.เปิดหน่วยคัดกรอง รพ.สนามครบวงจร 4 จุดหลัก

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการผนึกกำลังของกลุ่ม ปตท. ในงานพิธีเปิดหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) ของกลุ่ม ปตท. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ปตท.และบริษัทในกลุ่ม มีเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือประชาชน และพร้อมแบ่งเบาภาระของภาครัฐ จึงได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และพันธมิตรทางการแพทย์ จัดตั้งหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกันขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนร่วมมือกับภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แบบครบวงจร หวังที่จะมีส่วนช่วยลดการเสียชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยเร็วที่สุด มุ่งเน้น ตรวจเร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว สร้างความอุ่นใจให้แก่ประชาชน

โดยการดำเนินการประกอบด้วย 4 จุดหลัก ได้แก่ จุดที่ 1 หน่วยคัดกรอง โครงการลมหายใจเดียวกัน ณ อาคาร EnCo Terminal หรือ Enter ของบริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด กลุ่ม ปตท. ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อใช้เป็นจุดคัดกรองสำหรับกลุ่มเสี่ยง โดยร่วมมือกับ สปคม. วางระบบดิจิทัลเพื่อลงทะเบียน และตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Antigen test kit หากพบว่ามีการเสี่ยงติดเชื้อ จะนำส่งตรวจ RT-PCR ต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อประเมินอยู่ในระดับสีเขียว สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นที่บ้านหรือในชุมชน จะได้รับมอบกล่องพลังใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน ที่ ปตท. จัดทำขึ้น ประกอบด้วยชุดอุปกรณ์การทางแพทย์ ยาฟาวิพิราเวียร์ ฯลฯ และมีระบบติดตามอาการด้วย

ส่วนจุดที่ 2 , 3 และ 4 จัดเตรียมเป็น โรงพยาบาลสนามครบวงจร โครงการลมหายใจเดียวกัน เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ทุกระดับความรุนแรง ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลปิยะเวท อีกทั้งโรงพยาบาลสนามครบวงจรแห่งนี้ เป็นการระดมกำลังของกลุ่ม ปตท. ทั้งด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเตียงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยระดับสีเขียว เปิดให้บริการในรูปแบบของ Hospitel กระจายอยู่ในหลายโรงแรมในกรุงเทพฯกว่า 1,000 เตียง รองรับผู้ป่วยที่ส่งต่อมาจากหน่วยคัดกรองอย่างเป็นระบบ / โรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยระดับสีเหลือง เปิดให้บริการ ที่ โรงแรมเดอะบาซาร์ กรุงเทพฯ จำนวน 300 เตียง และ/โรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยระดับสีแดง จัดสร้างโรงพยาบาลสนามระดับวิกฤต ICU บนพื้นที่ 4 ไร่ ซึ่งปรับพื้นที่โล่งของโรงพยาบาล ปิยะเวทเป็นสถานที่ก่อตั้ง รองรับผู้ป่วยจำนวน 120 เตียง

ด้าน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า บริษัทในกลุ่ม ปตท. ยังได้คิดค้นนวัตกรรม ผลิตอุปกรณ์และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ มาสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) สนับสนุนหุ่นยนต์ CARA ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการส่งอาหาร อุปกรณ์แก่ผู้ป่วย และหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคอัตโนมัติด้วยแสง UV / บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สนับสนุนผลิตภัณฑ์นวัตกรรม อาทิ หมวกอัดอากาศความดันบวก PAPR ชุดป้องกันการติดเชื้อ PE Gown ชุดตรวจคัดกรอง Rapid Test / บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งเดินทางดูแลผู้ป่วยและบุคลากร โดยโครงการลมหายใจเดียวกันที่ผ่านมาได้สนับสนุนการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ เครื่องให้ออกซิเจนอัตราไหลสูง กว่า 400 เครื่อง สนับสนุนออกซิเจนเหลว อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นแก่หน่วยงานรัฐ โรงพยาบาลในพื้นที่วิกฤตและมีความจำเป็นเร่งด่วน กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ  พร้อมสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 7 แห่ง ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุกใน 4 พื้นที่เปราะบางและมีความเสี่ยงสูง รวมถึงเดินหน้าโครงการ Restart Thailand ต่อเนื่อง ทำให้มีอัตราการจ้างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25,000 อัตรา ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. ได้สนับสนุนความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวมเป็นงบประมาณกว่า 1,700 ล้านบาท

สปสช. แจงผู้ติดโควิด -19 ไม่ต้องขอใบรับรองแพทย์เพื่อเคลมประกัน

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เริ่มมีการปลดล็อกให้ใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ในการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ทำให้ปริมาณผู้ได้รับการตรวจหาเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดี มีประเด็นผู้ที่ผลตรวจเป็นบวกและต้องการขอใบรับรองแพทย์เพื่อนำไปเคลมสิทธิประโยชน์จากบริษัทประกัน ซึ่งหน่วยบริการสาธารณสุขบางหน่วยก็ออกให้ บางหน่วยไม่ได้ออกให้ โดยเฉพาะในส่วนของการตรวจคัดกรองเชิงรุกที่มีบุคลากรจากหลายหน่วยงานมาให้บริการนอกที่ตั้ง ทำให้มีประชาชนจำนวนมากสอบถามไปยังหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อขอใบรับรองแพทย์ เพราะบางกรณีบริษัทประกันมีเงื่อนไขอีกว่าต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ประทับตราของหน่วยงานนั้นๆ ทำให้ผู้ต้องการใบรับรองแพทย์ต้องเดินทางไปถึงที่ตั้งของหน่วยงานดังกล่าว

กรณีลักษณะนี้ ขอแจ้งให้ทราบว่าประชาชนผู้ทำประกันไม่มีความจำเป็นต้องขอใบรับรองแพทย์แต่อย่างใด เนื่องจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 45/2564 เรื่อง การใช้เอกสารประกอบการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันชีวิต และคำสั่งนายทะเบียนที่ 46/2564 เรื่องการใช้เอกสารประกอบการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าให้บริษัทใช้เอกสารการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งสามารถยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับการตรวจหาเชื้อได้ จากห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยวิธี RT-PCR แทนใบรายงานหรือรับรองจากแพทย์ สำหรับการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 กรณีผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยหรือตรวจพบเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ (แบบเจอ-จ่าย-จบ) อ้างอิงตามประกาศดังกล่าว ทำให้ใบรับรองแพทย์ไม่มีผลในการเอาประกันภัยอีกต่อไป

ขอชี้แจงไปยังประชาชนผู้รับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วย ATK ทราบ ซึ่งโดยหลักการแล้ว เมื่อผลตรวจ ATK พบว่าเป็นบวก ทางเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ซ้ำเพื่อยืนยันผลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสามารถนำผลตรวจ RT-PCR  ไปเคลมประกันได้โดยไม่ต้องขอใบรับรองแพทย์อีก ส่วนผู้ที่ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ตั้งแต่แรกก็ยิ่งไม่มีปัญหา สามารถนำไปเคลมประกันได้เลย

เปิดเงื่อนไข ลูกจ้างติดโควิด-19 เบิกเงินขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง

นางสาวลัดดา แซ่ลี้ โฆษกสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงว่า กรณีที่ผู้ประกันตนเป็นผู้ป่วยโฮมไอโซเลชันคือ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 แล้ว และแพทย์ผู้ดูแลรักษาของสถานพยาบาลพิจารณาอาการเจ็บป่วยแล้ว เห็นควรให้ผู้ประกันตนรายนั้น สามารถแยกกักตัวในที่พักได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยได้รับความยินยอมจากผู้ประกันตนและเจ้าของสถานที่ และรวมถึงกรณีที่ผู้ประกันตนรักษาในสถานพยาบาล และกลับมาแยกกักตัวในที่พักต่อจนครบกำหนดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดนั้น

สำนักงานประกันสังคมจะดูแลค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนที่เจ็บป่วย โดยจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แก่สถานพยาบาลและแพทย์ผู้ดูแลรักษา โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายประเภทผู้ป่วยในตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ เป็นค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่าดูแลการให้บริการผู้ประกันตนที่ป่วย โดยเป็นค่าใช้จ่ายรวมค่าอาหาร 3 มื้อ การติดตามประเมินอาการ และการให้คำปรึกษา เหมาจ่ายในอัตรา 1,000 บาทต่อวัน ไม่เกิน 14 วัน ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น ค่าปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือดและอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น ค่าชุด PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ค่ายาที่ใช้รักษา ค่าพาหนะเพื่อรับหรือส่งต่อผู้ป่วยระหว่างที่พัก โรงพยาบาลสนามและสถานพยาบาล และค่าบริการ X-ray ทรวงอก

นอกจากนี้ เมื่อผู้ประกันตนติดเชื้อโควิด-19 และต้องดูแลรักษาในที่พักระหว่างรอเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือการดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือการดูแลรักษาในชุมชน หรือการดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนามในโรงงานหรือสถานประกอบการ สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลที่รับผิดชอบการรักษาได้ หรือบันทึกภาพหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นใด ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสถานพยาบาลที่รับการรักษา และสำเนาเวชระเบียนที่ได้จากการบันทึกหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นๆ โดยมีรายละเอียดระบุวันที่เริ่มรักษา จนสิ้นสุดการรักษา รวมไปถึงการให้หยุดพักรักษาตัวต่อ เพื่อใช้ประกอบการเบิกเงินค่าทดแทนการขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคม

โฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงเงื่อนไขการเบิกค่าทดแทนการขาดรายได้นั้น ผู้ประกันตนต้องมีการนำส่งเงินสมทบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ประกอบกับการพิจารณาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คือผู้ประกันตนลาป่วย 30 วันแรกจะรับค่าจ้างจากนายจ้าง แต่หากมีความจำเป็นต้องหยุดพักรักษาตัวนานเกินกว่า 30 วัน สามารถเบิกสิทธิประโยชน์กรณีขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคมได้ตั้งแต่วันที่ 31 ของการลาป่วยเป็นต้นไป ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง (จ่ายครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อ 1 ปีปฏิทิน แต่ไม่เกิน 180 วัน) ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถยื่นเบิกเงินขาดรายได้ภายใน 2 ปี เมื่อรักษาหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว ให้ติดต่อขอรับประโยชน์ทดแทนได้ที่สำนักงานประกันสังคมได้ทุกแห่งทั่วประเทศตามที่ท่านสะดวก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง