THE สุดปัง ไตรมาส 2 กำไร 360 ล้าน โต 1,805%

THE แรงฉุดไม่อยู่ เปิดงบไตรมาส 2 ของปีนี้มีกำไรสุทธิ 360.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 1,805% ดันงบครึ่งปีแรกพลิกมีกำไรสุทธิ 709.73 ล้านบาท จากปีก่อนหน้ามีผลขาดทุนสุทธิ 141.82 ล้านบาท และมีรายได้รวม 7,394 ล้านบาท มั่นใจรายได้ทำได้ตามเป้า

นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะสตีล จำกัด (มหาชน) หรือ THE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 2 ของปี 2564 บริษัทฯ รักษาความสามารถการเติบโตของกำไรต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยมีกำไรสุทธิ 360.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 341.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 1,805.40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 18.90 ล้านบาท

ในงวดไตรมาส 2 ของปี 2564 นี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 4,191.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148.92% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 1,684.05 ล้านบาท เป็นไปตามปริมาณการขายเหล็กเพิ่มขึ้นราว 83.98% เนื่องจากการนำเข้าวัตถุดิบเหล็กจากต่างประเทศลดลง รับผลจากการขนส่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณเหล็กในประเทศขาดแคลน ราคาขายเหล็กเฉลี่ยทั้งไตรมารถเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ราว 38.84% และส่งผลให้ไตรมาสนี้ มีกำไรขั้นต้น 475.50 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้ามีกำไรขั้นต้นเพียง 38.82 ล้านบาท

 เมื่อพิจารณางบ 6 เดือนแรก พบว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 709.73 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 141.82 ล้านบาท  และมีรายได้รวม 7,394 ล้านบาท ทำให้คาดว่ารายได้รวมในปีนี้ น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 13,000 ล้านบาท

ประเทศจะยังคงเผชิญปัญหาวัตถุดิบเหล็กขาดแคลน ภายหลังประเทศปรับลดกำลังการผลิตเหล็กลง และจะทำให้ราคาขายเหล็กม้วนดำ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท ทรงตัวในระดับสูง ต่อไป ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการในปี 2564 นี้ มีโอกาสจะสร้างสถิติสูงสุด(New High)

ช้อปอะไรดี? แลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ กิ๊ฟท์เซ็ท 129 บาท ส่งฟรีถึงบ้าน

แลคตาซอย ชวนผู้บริโภคมาอิ่มอร่อย รับสุขภาพดี Work From Home แบบผ่อนคลาย พร้อมสู้วิกฤติโควิด-19 เพียงซื้อ กิ๊ฟท์เซ็ท นมถั่วเหลืองแลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ ผ่านไลน์ @lactasoy โดยในเซ็ทประกอบด้วย แลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ ขนาด 180 มล. 12 กล่อง คละรสและถุงผ้า Colorful Bag 1 ใบ ในราคา 129 บาทส่งฟรีถึงบ้าน

นอกจากนี้ เพียงเเชร์โพสต์กิจกรรมดังกล่าว เเคปหน้าคำสั่งซื้อ Lactasoy Gold Series Gift Set ที่สมบูรณ์จากไลน์แล้วนำมาคอมเม้นต์ใต้กิจกรรม อธิบายวิธีผ่อนคลายอารมณ์ในช่วงเวลาอยู่บ้าน มีสิทธิ์ลุ้นรับก้านไม้หอมปรับอากาศ Jo malone English Pear & Freesia Scent Surround™ Diffuser 165ml. จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 4,000 บาท สามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค. – 31 ส.ค.64 ตัดสินผู้ได้รับรางวัลจากคนที่ทำตามกติกาพร้อมเหตุผลที่โดนใจที่สุด ประกาศผลวันที่ 5 ก.ย.64 ยืนยันสิทธิ์วันที่ 10 ก.ย.64 รายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติม https://bit.ly/3w0PQ5o

ติดตามกิจกรรมความสนุกของแลคตาซอยได้อีกมากมายทาง Facebook: lactasoyclub หรือสนใจช้อป แลคตาซอย ทาง shopee คลิกที่นี่เลย! หรือ lazada คลิกที่นี่เลย!

IP โชว์ผลงานครึ่งปีแรก 64 กำไรสุทธิพุ่งทะลุ 45 ล้าน

บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา กางผลงานครึ่งแรกปี 2564 ฟอร์มเด่น! กำไรสุทธิพุ่งเกือบ 40% แตะ 45.73 ล้านบาท หลังกวาดรายได้รวมเกือบ 380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% รับเทรนด์ Health Conscious ดันยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและชะลอวัยพุ่งต่อเนื่องทะลุ 150 ล้านบาท ขณะที่ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง-ปศุสัตว์ยังคงเติบโตโดดเด่น พร้อมรับรู้รายได้ “กลุ่มเวชภัณฑ์รักษาโรค” จาก “โมเดิร์น ฟาร์มา” รวม 64.51 ล้านบาท ล่าสุดประกาศปิดดีลซื้อกิจการโรงงานยา TEVA รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 20 ไร่ พร้อมเครื่องจักรเรียบร้อย ดีเดย์ผลิตยา 24 SKU ภายในสิงหาคม บุ๊ครายได้เติมพอร์ตปีนี้ราว 100 ล้านบาท หนุนภาพรวมทั้งปี 2564 โตโดดเด่น ขยับเป้าหมายรายได้ปีนี้โตแตะ 850-900 ล้านบาท

ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนา คิดค้น และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและนวัตกรรมความงามสำหรับคน และผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ว่า บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 45.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.15% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หลังกวาดรายได้รวม 379.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 89% ตามการเติบโตของยอดขายเป็นสำคัญ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและชะลอวัย (Wellness & Anti-Aging Nutraceuticals) ยอดขายยังคงเติบโตโดดเด่นรับกระแสรักสุขภาพ (Health Conscious) เกือบ 73% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 159.47 ล้านบาท จากผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก อาทิ โปรแบค, ผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก (Fit Series), ผลิตภัณฑ์เสริมมวลกระดูก PreBo และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของบริษัท ไวต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง (Companion Animal Healthcare)  เติบโตดีต่อเนื่องเกือบ 47% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 111.64 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์แชมพูรักษาโรคผิวหนังสำหรับสัตว์เลี้ยง, วัคซีนรวมสำหรับป้องกันโรคลำไส้อักเสบ ไข้หัดสุนัข และพิษสุนัขบ้า (Biocan), ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับสุนัขและแมว (Dr.Choice, Pet Select) และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง MARIA เป็นต้น, กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์ (Livestock Animal Healthcare) เติบโต 194% แตะ 34.26 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังรับรู้รายได้จากยอดขายเวชภัณฑ์รักษาโรค ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของของบริษัท โมเดิร์น ฟาร์มา จำกัด (บริษัทย่อย) จำนวน 64.51 ล้านบาท อาทิ ยารักษาโรคเบาหวาน (Metforin), ยาฆ่าเชื้อสำหรับใช้ในสัตว์ (Vichlotep), ยาฆ่าเชื้อรา  (Itrazole), ยาลดกรด (Omezole), ยาละลายเสมหะ (Supenac), และยาคลายกล้ามเนื้อและแก้ปวด (Ingesic) เป็นต้น

สำหรับค่าใช้จ่ายรวมครึ่งแรกของปี 2564 อยู่ที่ 318 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนขายที่ขยับตามการเติบโตของยอดขาย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) อยู่ที่ระดับ 48.88% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NP) อยู่ที่ระดับ 12.06% ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเร่งปรับปรุงคุณภาพด้านต่างๆของผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชภัณฑ์รักษาโรค ควบคู่ไปกับการสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมออกมาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันอัตรากำไรให้เพิ่มสูงขึ้น

ดร.ตฤณวรรธน์ บอกเพิ่มเติมว่า สำหรับความคืบหน้าการซื้อกิจการโรงานยาแผนปัจจุบัน จากบริษัท เทวา ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตยาสามัญและยาเฉพาะทางชั้นนำของโลกนั้น ล่าสุดบริษัทฯได้ดำเนินการเจรจาบรรลุข้อตกลง พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 20 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ2 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, เครื่องจักรและทะเบียนยา 4 ตำรับ จำนวน 12 ทะเบียนเสร็จเรียบร้อย ซึ่งจะเริ่มผลิตยาเชิงพาณิชย์ให้กับทางเทวา อิสราเอล (สัญญารับจ้างผลิต 3-5 ปีแล้วแต่ตัวผลิตภัณฑ์) ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ จำนวน 24 SKU เบื้องต้นคาดรับรู้รายได้ปีนี้ราว 100 ล้านบาท หนุนภาพรวมทั้งปีเติบโตโดดเด่นทะลุเป้าหมายเดิม 750 – 800 ล้านบาท เป็น 850 – 900 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์รักษาโรค (Pharmaceutical Innovation), 2.ผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและชะลอวัย (Wellness & Anti-Aging Nutraceuticals), 3. ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมความงาม (Cosmeceuticals & Aesthetic Innovation), 4.ผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง(Companion Animal Healthcare) และ5.ผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์(Livestock Animal Healthcare)

TWPC สุดสตรอง! 6 เดือนแรก กำไรพุ่ง 190%

TWPC แกร่งท้าโควิด 6 เดือนแรกกำไรกระฉูด 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 190% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร มั่นใจโค้งหลังโตต่อเนื่อง จากดีมานด์แป้งมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น ปัญหาเรื่อง ขาดแคลนตู้ คอนเทนเนอร์คลี่คลาย และราคาส่งออกของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น หนุนรายได้โต  Double Digit ตามแผน

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง วุ้นเส้น และเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/64 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีรายได้รวม 2,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,708 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 12 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่สูง โดยเฉพาะในประเทศที่สำคัญ ปัญหาเรื่องขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลาย ราคาส่งออกเฉลี่ยของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 3,258 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท

ภาพรวมรายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2 และ 3 จะเป็นช่วง low season เนื่องจากการผลิตที่มากขึ้นเมื่อเทียบกันช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ยังมีปริมาณสินค้าซึ่งเป็นสินค้ารอส่งในช่วงต้นของไตรมาสที่ 3 คงเหลืออยู่ นอกจากนี้ปริมาณความต้องการสินค้ายังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเทศส่งออกที่สำคัญ ประกอบกับคาดว่าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวหัวมันในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ จะมีหัวมันออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากราคาดี และสภาพอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ไม่แล้ง ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโต  Double Digit เมื่อเทียบกับปี 2563 อยู่ที่ 7,090 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบ 3 บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน

นาย โฮ เรน ฮวา กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตขึ้น ขณะที่สัดส่วนการส่งออกในธุรกิจอาหารปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากสินค้าทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และจะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565

SWC โชว์ผลงานครึ่งปีแรกฝ่าวิกฤต Covid-19 รายได้เติบโตก้าวกระโดด

บมจ.เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น หรือ SWC หนึ่งในบริษัทในเครือ TOA โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในครึ่งปีแรก สวนกระแสปัจจัยลบ Covid-19 ทำกำไรสุทธิ 63 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 203% รับเครื่องดื่มสมุนไพรซุปเปอร์ไฟต์ ผลิตภัณฑ์เชนไดร้ท์และทีโพล์ โปรเฟสชั่นแนล ทำยอดขายเติบโต พร้อมบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ด้านบอร์ดฯ เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลตอบแทนผู้ถือหุ้นในในอัตรา 0.125 บาทต่อหุ้น  

นายเถกิงพล เหล่าพิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน –  มิถุนายน 2564) แม้มีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจรวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง โดยมีรายได้จากการขาย 486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% และส่งผลให้ในครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน 2564) มีรายได้จากการขาย 795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้กลุ่ม SWC มีอัตราการเติบโตโดดเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเปิดตัวเครื่องดื่มสมุนไพร ซุปเปอร์ไฟต์ ที่ช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้าในกลุ่ม Food และสอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในการดูแลรักษาสุขภาพ จึงได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ Non Food ทำให้สินค้ากลุ่มเคมีเคหะภัณฑ์แบรนด์ เชนไดร้ท์’ และน้ำยาล้างจาน ‘ทีโพล์ กระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงทำกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์ ทีโพล์ โปรเฟสชั่นแนล’ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปและน้ำยาฉีดพ่นฆ่าเชื้อ Covid-19 ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าองค์กร (B2B) เช่นเดียวกับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ 85%   

นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากปริมาณวอลุ่มการผลิตที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ประหยัดต่อขนาดกดต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง ประกอบกับกลุ่มสินค้าเคมีเคหะภัณฑ์ในครัวเรือนทำสัดส่วนกำไรที่ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิของไตรมาส 2/2564 (เมษายน – มิถุนายน 2564 ทำได้ 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200%  และผลักดันให้กำไรสุทธิของครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน 2564) เท่ากับ 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.125 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 40 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 เดือนสิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 เดือนกันยายน 2564  

นายเถกิงพล กล่าวว่า แผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ รุกขยายช่องทางจำหน่ายแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย Facebook ของบริษัทฯ รวมทั้งขายผ่านมาร์เก็ตเพลส อาทิ Shopee Lazada สอดรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์หลังจากภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ต้องปิดให้บริการเร็วขึ้น ตลอดจนดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย และแผนดำเนินงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขยายธุรกิจในกลุ่ม Food อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่เครื่องดื่มซุปเปอร์ไฟต์ที่มีส่วนผสมของกัญชา (CBD) ผลิตภัณฑ์ถั่วแบรนด์ มารูโจ้ และผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีมแบรนด์ ฮอกไกโด’ ช่วยผลักดันผลดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย   

ช่วยเหลือเด็กชายวัย 11 ขวบและครอบครัวในชลบุรีสู้โควิด-19

จากกรณีโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเด็กชายวัย 11 ขวบ ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ขอรับบริจาคอาหารช่วยชีวิตตนเองและครอบครัวจำนวน 8 คน เพราะเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ครอบครัวตกงาน ไม่มีรายได้ รวมถึงมีสมาชิกในครอบครัวพิการทางสายตา โลตัสได้รับทราบข่าวจึงร่วมมือกับจิตอาสาบ้านเอื้ออาทรเนินเนินพลับหวานเข้าไปส่งมอบอาหารผ่าน โครงการข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร โดยตั้งมั่นในการช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนในละแวกทุกวันตลอดระยะเวลาของโครงการ

โครงการข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร นับเป็นโครงการของโลตัสที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบใน 10 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มที่มีโลตัสตั้งอยู่ ในการส่งต่อข้าวกล่อง 100,000 กล่องให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสานำไปแจกจ่ายให้ผู้ขาดแคลนอย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันเองโลตัสยังรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากเกษตรกรในการปรุงอาหาร และว่าจ้างร้านอาหารที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยในศูนย์อาหารให้ผลิตข้าวกล่องเพื่อสร้างรายได้ในช่วงวิกฤติในเดือนสิงหาคม 2564 นี้

มูลินิธิหรือเครือข่ายจิตอาสาท่านใดสนใจรับข้าวกล่องจาก โลตัส เพื่อนำไปกระจายต่อ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านลิงก์ https://bit.ly/3kXOx5h โลตัสจะทำการติดต่อกลับในกรณีที่ได้รับการจัดสรร

“แม็คโคร” โชว์วิสัยทัศน์ครบรอบ 32 ปี เคียงข้างผู้ประกอบการไทยในทุกวิกฤต

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 32 ปี ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย SME และ เกษตรกร ส่งต่อกำลังใจอย่างต่อเนื่อง ย้ำคู่คิดธุรกิจในทุกวิกฤต เน้นออกแบบกิจกรรมการตลาด  ต่อยอดผู้ประกอบรายย่อยพัฒนาและเป็นช่องทางกระจายผลผลิตจากเกษตรกรท้องถิ่น พร้อมเข้มมาตรการป้องกันขั้นสูงสุดในทุกช่องทาง ก้าวผ่านอุปสรรคใหญ่ไปด้วยกัน

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2564 ที่แม็คโคร ครบรอบ 32 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นับว่าเป็นปีแห่งความยากลำบากที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของลูกค้าผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกรายย่อย ร้านอาหาร หรือแม้แต่คู่ค้าที่เป็นเกษตรกร และเอสเอ็มอี แม็คโครจึงตั้งเป้าหมายการดำเนินงานและจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งต่อกำลังใจ ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยเน้นการออกแบบกิจกรรมการตลาดที่ช่วยให้ผู้ประกอบรายเล็กอยู่รอดได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นสรรหาสินค้าคุณภาพในราคาขายส่ง เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน พร้อมเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นและก้าวต่อไปให้ได้

ช่วงปีที่ผ่านมา แม็คโครได้ดำเนินการโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนลูกค้าและชุมชน อาทิ

  • แม็คโคร ส่งมอบสิ่งของจำเป็นแก่การดำรงชีพ ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึง สนับสนุนอุปกรณ์และสินค้าเพื่อการดูแลผู้ป่วย ให้แก่โรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาล ชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศกว่า 250 แห่ง
  •    โครงการแม็คโครมิตรแท้โชห่วย ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14  ซึ่งได้ช่วยพัฒนาร้านค้าปลีกรายย่อยไปแล้วเกือบ 70,000 ร้านค้า ในปีนี้เรายังสร้างโมเดล Smart Shohuay  ภายใต้คอนเซ็ปต์มิตรแท้ชุมชน ชี้แนะเทคนิคการดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายเล็กให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์ ผ่านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และการต่อยอด เพิ่มเติม บริการเสริม ให้ร้านโชห่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น
  • โครงการแม็คโครเคียงข้างเกษตรกรไทย สู้ภัยโควิด รับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรรายย่อยที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายรับซื้อเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า หรือประมาณ 204,000 ตัน ในปี 2564
  • โครงการเปิดพื้นที่ฟรีบริเวณหน้าสาขาให้ผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยมีสถานที่นำอาหารกล่องมาขายและเปิดบริการฟู้ดดิลิเวอรี่ให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป ที่แม็คโคร 83 สาขา โดยสามารถช่วยเหลือร้านอาหารรายย่อยได้กว่า 1,300 ร้านค้า พร้อมชูแม็คโครโฮเรก้า อคาเดมี (MHA) หน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและชี้แนะการบริหารจัดการร้านอาหาร เพื่อเพิ่มรายได้ในยามที่ธุรกิจร้านอาหารประสบปัญหาอย่างหนัก
  • เน้นย้ำการยกระดับมาตรฐานป้องกันการแพร่ระบาด โดยแม็คโครได้รับมาตรฐานสถานประกอบการปลอดภัย ป้องกันโควิด-19 ‘THAI STOP COVID Plus’ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และออกมาตรการเสริมจากแนวปฏิบัติหลักของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
  • ในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม แม็คโครประกาศเจตนารมณ์ตั้งเป้าเป็นองค์กรสีเขียว ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนเป็นองค์กรคาร์บอนสมดุลในปี 2573 ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินการผ่านโครงการต่างๆ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาสาขา, ประกาศหยุดขายภาชนะโฟมบรรจุอาหารแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทุกสาขาทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2564 และโครงการ “เปลี่ยนขวดเปล่าเป็นประโยชน์” เชิญชวนพนักงานและลูกค้าประชาชนเก็บขวดน้ำพลาสติกเปล่า เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการ upcycle และผลิตเป็นเสื้อยูนิฟอร์มของพนักงาน และชุด PPE ส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์

“แม็คโครเชื่อว่า ในการดำเนินธุรกิจ เราจะมองเรื่องการสร้างผลกำไรย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องตอบโจทย์ของสังคมและช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน ตลอด 32 ปี ที่ผ่านมา เรายืนหยัดอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งร้านโชห่วย ร้านอาหาร คู่ค้าที่เป็นธุรกิจ SMEs เกษตรกรรายย่อย ตลอดจนเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารปลอดภัย ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนและสังคมไทยมาตลอด 32 ปี นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึกในการพัฒนาสังคมให้กับพนักงานในทุกระดับ กว่า 20,000 คน เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร สังคมและโลก ให้พร้อมก้าวไปด้วยกัน” นางศิริพร กล่าว

มาก่อนได้สิทธิ์ก่อน! เมื่อลงทะเบียนร่วมงาน Dot Property 48 Hour

มหกรรมลดราคาอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีกลับมาอีกครั้งในปี 2564 พร้อมอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรายการบนทำเล ยอดนิยมและส่วนลดสุดพิเศษที่จัดหนักจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม ขณะนี้งาน Dot Property 48 Hour Mega Sale พร้อมแล้วที่จะให้ทุกท่านลงทะเบียนเพื่อเข้าชมส่วนลดสุดพิเศษก่อนใครในวันที่ 27-28 สิงหาคม 2564 นี้ !

Dot Property 48 Hour Mega Sale มอบส่วนลดสูงสุดถึง 40% สำหรับ คอนโดมิเนียม วิลล่า บ้าน และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย หัวหิน และพัทยารับรองว่างานนี้การันตีส่วนลดสุดพิเศษจัดเต็มแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน นอกจากภายในงานนี้ที่เดียวเท่านั้น

สำหรับการลงทะเบียนล่วงหน้างาน Dot Property 48 Hour Mega Sale นั้นมาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายโดยผู้ที่ทำการลงทะเบียนแล้วจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าชมส่วนลดต่างๆ ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 27และ28 สิงหาคมด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะมีสิทธิ์ในการเข้าชมเวปไซต์และได้รับโปรโมชั่นสุดพิเศษรวมถึงสามารถพูดคุยกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ก่อนใคร เพราะฉะนั้นยิ่งลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ก่อนก็ยิ่งมีโอกาสครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในฝันได้ก่อน

ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน หรือเพื่อการลงทุน ภายในงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale ก็มีทรัพยที่น่าสนใจมากมายให้คุณได้เลือกสรร พร้อมข้อเสนอดีลที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก็หาได้ภายในงานนี้เช่นกัน

มร.เจมส์ คลาสเซน ผู้จัดการทั่วไป ดอท พร๊อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า สืบเนื่องจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาทำให้ผู้ซื้อทั้งจากไทยและต่างประเทศได้เข้าชมและเลือกจับจองเป็นเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำมากมายในงาน อีกทั้งยังสร้างสถิติยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ Dot Property Group สูงสุดภายในวันเดียว โดยสำหรับการจัดงานในปีนี้คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าในปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นการจับมือกันของเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้ง 5 เว็บไซต์ของ Dot Property Group ไม่ว่าจะเป็น Thailand-Property, Dot Property และ Hipflat จึงมั่นใจได้ว่าการจัดงานในปีนี้จะเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงของผู้เข้าชมเว็บไซต์และดึงดูดผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

ทั้งนี้เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเข้าชมหนาแน่นในระหว่างที่มีการจัดงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าร่วมงานก่อนได้ ซึ่งนอกจากจะได้สิทธิ์เข้าสู่งานโดยตรงแล้ว ยังสามารถรับสิทธิ์เข้าชมส่วนลดสุดพิเศษได้ก่อนใครด้วย

หากคุณเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และต้องการเข้าร่วมงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale สามารถติดต่อทีมงานได้ที่  [email protected]

PJW โชว์กำไรครึ่งแรกปี 64 โต 124%

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 124% แตะ 89 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท  รับอานิสงส์ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัวได้ดี ฟาก”วิวรรธน์ เหมมณฑารพ “บิ๊กบอส ระบุ ปรับกลยุทธ์พร้อมรับมือสถานการณ์โควิด-19 มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุน รักษาความสามารถทำกำไร เดินหน้ารุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกการแพทย์ คาดสร้างรายได้เพิ่ม 300 ล้านบาทต่อปี หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนของปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 124% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิเท่ากับ 39.73 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท

สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้บริษัทฯสามารถรักษาการทำกำไรไว้ได้ เนื่องจากยอดขายที่เริ่มฟื้นตัวของกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นทั้งส่วนของประเทศไทยและประเทศจีนและส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งภาพรวมของยอดขาย 6 เดือนของปี 2564 นั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 10.3% เมื่อเทียบกับยอดขายของ 6 เดือนของปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนรถยนต์ในระยะเวลา 6 เดือนแรกค่อนข้างดี ทั้งยอดขายและการควบคุมต้นทุน จากการที่บริษัทฯได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากสถานการณ์โควิดโดยเลวร้ายที่สุดในช่วงไตรมาส 2/2563 ซึ่งบริษัทมีนโยบายลดต้นทุน และบริหารประสิทธิภาพกำลังการผลิตจนสามารถมีผลประกอบการเป็นบวก ขณะที่ในปีนี้ยอดขายเริ่มฟื้นตัว และบริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนต่อเนื่อง  เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากลูกค้า คู่ค้า และโดยเฉพาะจากพนักงานที่มีการติดตามสถานการณ์ และสื่อสารข้อมูลเพื่อให้เกิดต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงบริษัทยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงคุณภาพของสินทรัพย์ โดยเฉพาะลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง จึงทำให้ผลประกอบการในปีนี้ออกมาค่อนข้างน่าพอใจ

นายวิวรรธน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่โดยรวมในส่วนของยอดขายยังคงอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับการ Lock Down ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว โดยเฉพาะตลาดส่งออกเริ่มกลับมาดีขึ้นในส่วนของกลุ่มตลาดน้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นและอุตสาหกรรมรถยนต์

อย่างไรก็ตาม แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่บริษัทฯมีความมั่นใจว่า สถานการณ์ยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมาเป็นปกติในไตรมาส 4/2564 จึงคาดการณ์ว่าผลประกอบการโดยรวมของบริษัทในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของทั้งโลกรวมถึงประเทศไทยอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์ (Medical Plastic Product) โดยได้มีการเซ็น MOU กับบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงด้านการตลาด จัดจำหน่ายและการขาย โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ โดยบริษัทจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งสำหรับ medical plastic product ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทในปีหน้า และมีอัตราการเติบโตของรายได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

AGE โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก ฟันกำไรพุ่ง 136%

บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) ฟอร์มแกร่งครึ่งปีแรก 2564 กวาดยอดขายถ่านหิน 2.8 ล้านตัน ส่งผลรายได้รวมอยู่ที่ 5,807.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% กำไรสุทธิ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.4% พร้อมประกาศครึ่งปีหลัง ขอเดินหน้าลุยธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า แบบเต็มสูบ หวังต่อจิ๊กซอว์ปั้นรายได้เพิ่มในอนาคต คาดผลงานปีนี้เข้าเป้า 11,000 ล้านบาท

นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการโลจิสติกส์ฯ จำนวน 5,807.5  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 5,597.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ฯ ที่ 209.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิแตะระดับที่ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 136.4% ที่มีกำไรสุทธิ 51.3 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการโลจิสติกส์ฯ จำนวน 2,960.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.5 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 2,853.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.9 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ฯ ที่ 106.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.5 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิที่ 0.4 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 นั้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์การขายโดยเจาะตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายตลาดต่างประเทศ  ส่งผลให้ปริมาณการขายถ่านหินเพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 2.85 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 57.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ณ ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อถ่านหินในมือ (Back log) ประมาณ 0.67 ล้านตัน และคาดว่าจะทยอยส่งมอบทั้งหมดภายในครึ่งปีหลัง

ประกอบกับภาพรวมอุตสาหกรรมถ่านหินโลกมีการฟื้นตัวจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลราคาถ่านหินโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 165% เมื่อเทียบราคาปัจจุบัน กับราคาค่าเฉลี่ยของถ่านหินโลกในปีที่ผ่านมา 

ส่วนรายได้จากการให้บริการโลจิสติกส์ฯ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการให้บริการท่าเรือรองรับการขนส่ง จำนวน 6 ท่า เรือลำเลียง 36 ลำ รถบรรทุก 68 คัน และโกดังสินค้า 5 หลัง ส่งผลให้ครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้ จำนวน 946 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากภายในส่วนงาน ที่ 736 ล้านบาท และรายได้จากกลุ่มลูกค้าภายนอกที่ 209.9 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลัง  AGE ยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกในธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร อย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือ เพิ่มอีก 3 ท่า ส่งผลให้มีท่าเรือที่รองรับการให้บริการขนส่งทางน้ำรวมทั้งหมด 6 ท่า บริเวณอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะช่วยหนุนให้ AGE สามารถรองรับปริมาณการขนส่งผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ AGE ยังเดินหน้าลงทุนขยายกองรถบรรทุกเป็นกว่า 100 คัน ในปี 2564 จากที่ปัจจุบันมีรถบรรทุกอยู่ 68 คัน และมีรถบรรทุกเป็นพันธมิตรผู้รับจ้างงานช่วง (Sub-contractor) อีก 400-500 คัน รวมถึงขยายกองเรือโดยการเช่าและการหากองเรือพันธมิตร Sub-contractor เพื่อเพิ่มปริมาณบรรทุกสินค้าเป็น 200,000 ตัน จากที่ปัจจุบัน AGE มีกองเรืออยู่ 36 ลำ ปริมาณการบรรทุกสินค้ารวมกว่า 100,000 ตัน เพื่อรองรับปริมาณการขนส่ง ทั้งถ่านหิน และสินค้าในกลุ่มทรายแก้วเพื่อผลิตขวด, กระดาษ, ไม้สับ, ขี้เลื่อย และกะลาปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ในอนาคตเติบโตเพิ่มขึ้น เพื่อการสู่การขนส่งด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรในประเทศ

อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมการเติบโตรายได้ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยรายได้ดังกล่าวจะมาจากธุรกิจถ่านหิน 90 % จากการตั้งเป้ายอดขายที่ 5.5 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 4.5 ล้านตัน และต่างประเทศ 1 ล้านตัน  และรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ฯ 10 % หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท