SONIC โชว์ครึ่งปีแรกของ 64กำไรพุ่ง 312.91%

โซนิค อินเตอร์เฟรทฯ  ปลื้ม 6 เดือนแรก ของปี  64 รายได้เพิ่มขึ้น 114.41 % และกำไรพุ่งกว่า 312.91%  เดินหน้าปรับเป้ารายได้ปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 60% ลั่นสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ไม่กระทบการให้บริการขนส่ง  เหตุมีการเตรียมความพร้อมการบริหารงานจัดการตั้งแต่ระลอกแรก  เดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างเหนียวแน่น

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ต้นปี2564จนถึงปัจจุบัน พบว่า SONIC  มีรายได้รวมเติบโตเกินเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้ปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 60%จากเดิมที่ตั้งเป้าว่าจะเติบโต 20%

โดยผลประกอบการของบริษัทใน 6 เดือนแรก สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2564  บริษัทมีกำไรสุทธิ  82.54 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 312.91% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.99 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 525.60 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 ที่มีกำไรสุทธิ  6.68 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 2.55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่มีกำไรสุทธิ 40.75 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 1,279.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114.41 %  เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 136.19 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 / 64  เท่ากับ 11.59%

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการขนส่งทางเรือ 997.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน  161.55%  โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  189.97 %  และเพิ่มจากไตรมาส 1 ปี 64 เท่ากับ  14.11%   รายได้จากบริการขนส่งทางบก 218.17 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.11% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ  32.78 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 /64  เท่ากับ  3.63%  รายได้จากบริการขนส่งทางอากาศ 57.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 68.03% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  69.07 % และลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 3.83% รายได้จากการให้บริการอื่นๆ 6.32 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.25 % โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 96.06 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 70.09%

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของบริษัท 6 เดือนแรก ของปี 64 เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้  มีเติบโตอย่างก้าวกระโดดและโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้   แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่รุนแรงขึ้น แต่การให้บริการด้านขนส่งของบริษัทไม่ได้มีปัญหา  เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าของลูกค้า  ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ในระลอกแรก  และได้เตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าของลูกค้า  จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าเดิมและจากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้น

“SONIC ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริการขนส่งของเราไม่มีปัญหา  ลูกค้ายังให้ความเชื่อมั่นคุณภาพการให้บริการของ SONIC ลูกค้าเก่ายังเหนียวแน่น ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราลุยขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ” ดร.สันติสุข กล่าว

โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ยังมาจากการให้บริการขนส่งทางทะเล ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง  78 %  การบริการขนส่งทางบก  17 % การบริการทางอากาศ 4.5 % และสัดส่วนรายได้อื่น ๆ อีก 0.5%  นอกจากนี้ในไตรมาส 2/64 บริษัท ยังมีรายได้ดอกเบี้ยจากการให้เช่าซื้อรถหัวลาก 1.52  ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 64 มีรายได้  0.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94.87%

นอกจากนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64  ได้มีมติอนุมัติการลงทุนเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยลงทุนในที่ดินเพิ่มจำนวน  33 ไร่  ซึ่งเป็นที่ดินที่ติดกับแปลงเดิมใน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

SAK ดันพอร์ตสินเชื่อครึ่งปีแรก 2564 ทำได้ 7,649 ล้าน

บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง’ หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย โชว์ผลดำเนินงานไตรมาส 2/2564 พอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 7,649 ล้านบาท เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ จากการขยายสาขาใหม่ได้เร็วกว่าแผน และบริหารควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงวิกฤต Covid- 19   ด้านผู้บริหาร SAK ประกาศยืนเคียงข้างประชาชน ปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการสร้างอาชีพ มั่นใจทั้งปีพอร์ตสินเชื่อแตะ 8,400 ล้านบาท 

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ ศักดิ์สยามลิสซิ่ง เปิดเผยว่า จากปัจจัยการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง และกระทบต่อประชาชนที่ขาดแคลนเงินทุนในการประกอบอาชีพ SAK ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนและเข้าใจในความต้องการของประชาชนที่ต้องการสินเชื่อ เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวันหรือนำไปลงทุนประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว บริษัทฯ ได้ยึดมั่นการปล่อยสินเชื่อที่เป็นธรรม เข้าใจ เข้าถึงประชาชน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนในไตรมาส 2/2564 (เมษายนมิถุนายน) พอร์ตสินเชื่อรวม 7,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม – มิถุนายน) SAK ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนไปแล้วกว่า 1,243.4 ล้านบาท คิดเป็น 91.1% จากเป้าหมายการขยายพอร์ตสินเชื่อทั้งปี 8,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ การดำเนินงานที่เข้มแข็งมาจากขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อ จากแผนขยายสาขาครบ 200 แห่ง ได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ รวมถึงบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ แม้ที่ผ่านมา บริษัทฯ จะมีมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากการแพร่ระบาดโควิด19 ก็ตาม โดยยังคงบริหารควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในระดับ 2-2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 ทำได้ 137.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 18.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.5% เมื่อเทียบไตรมาส 1/2564 ที่ทำกำไรสุทธิ 118.6 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคมมิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 255.7 ล้านบาท 

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ที่ปัจจัยลบ Covid-19 บริษัทฯ มีความห่วงใยและเข้าใจประชาชนที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก โดย SAK พร้อมนำศักยภาพการดำเนินงานในทุกมิติและฐานทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพและหมุนเวียนในด้านต่างๆ ซึ่งการขยายได้เร็วกว่าแผนทำให้มีโอกาสในการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเร็วขึ้น ขณะที่มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการเปิดที่ทำการใหม่แล้วในครึ่งปีแรก ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ที่บริษัทฯ จะนำประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมานานกว่า 25 ปี ที่มีความเชี่ยวชาญการจัดเก็บหนี้ ด้วยหลักปฏิบัติที่เป็นธรรม เป็นมิตรและเข้าใจลูกค้า โดยไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมค่าทวงถามหนี้จากการผิดนัดชำระมาอย่างยาวนาน ดังนั้น การเข้ามากำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่อง การลดค่าติดตามทวงถามจึงไม่ผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัทฯ แต่อย่างใด  

เรามีความเข้าใจในความเดือดร้อนของประชาชนที่รับผลกระทบ Covid -19 และพร้อมยืนเคียงข้างในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อนำไปประกอบอาชีพให้แก่ลูกค้า ด้วยความเป็นธรรม เข้าใจและเข้าถึง โดยที่ผ่านมาเราได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้นานขึ้น การลดค่างวด คิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่เกินร้อยละ 22 ต่อปี เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดโดยให้การช่วยเหลือประมาณ 1.9% ของพอร์ตสินเชื่อ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ต้องการนำไปประกอบอาชีพ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้พอร์ตสินเชื่อของเราจะอยู่ที่ 8,400ล้านบาท”  นายศิวพงศ์ กล่าว 

BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ขาดทุนลดลง 42.7%

BEAUTY เผยผลประกอบการ Q2/64 รายได้รวม 81.74 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% แนวโน้มครึ่งปีหลังยังคงได้รับผลกระทบโควิด-19 เดินหน้าตามแผน ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่พร้อมลุยหลังโควิด-19 คลี่คลาย

นพ.สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม สุขภาพและบำรุงผิวด้วยแนวคิด Live a beautiful life เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวม 81.74 ล้านบาท ลดลง 36.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 128.93 และลดลง 40.5% จากไตรมาส 1/64 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 137.41 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 35.18 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 61.36 ล้านบาทโดยสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศ 21% ตลาดในประเทศ 79%

ทั้งนี้ ผลขาดทุนทางบัญชี 35.18 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 21.51 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) 14.45 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร 5.69 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับฐานกำลังคน 1.37 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ขาดทุนอยู่ที่ 13.67 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากทุกช่องทางการจำหน่ายของบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ระบาดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยตลาดในประเทศ ช่องทางร้านค้าปลีกยอดขายลดลงเนื่อง ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลง จำนวนลูกค้าในห้างน้อยลงอย่างมาก นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าวบริษัทดำเนินการปิดสาขาร้านค้าปลีกที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ลง จำนวน 62 สาขา จากต้นปี 64 มีสาขา 113 สาขาซึ่งทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง เช่น ค่าเช่าร้านค้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายลดลง

สำหรับช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product ) ไม่ว่าจะเป็น โมเดิร์นเทรด เจอร์เนอร์รัลเทรด ได้รับผลกระทบทั้ง supply chain ความคล่องตัวในการติดต่อประสานงาน การเจรจาทางการค้าลดลง ส่งผลให้การกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคล่าช้าอย่างมาก ประกอบกับผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน สำหรับตลาดต่างประเทศทั้ง 11 ประเทศ ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยเฉพาะตลาดจีน กลุ่มลูกค้าในประเทศจีนเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าออนไลน์ที่เป็นสินค้าจีนมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้คนในประเทศใช้สินค้าแบรนด์จีน และเข้มงวดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบการท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ความนิยมในสินค้าในต่างประเทศลดลง ซึ่งทำให้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทต้องกลับมาทำการตลาดใหม่อีกครั้ง

ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 64 บริษัทมีรายได้รวม 219.15 ล้านบาท ลดลง 45.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 399.25 ล้านบาท และมีขาดทุนทางบัญชีสุทธิ  50.31 ล้านบาท ขาดทุนลดลง  50.2 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 101.04 ล้านบาทสำหรับผลขาดทุนที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครึ่งปีแรกมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 164.59 ล้านบาท ลดลง 49.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 325.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย

ภาพรวมของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 31.9% ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 51.3% เนื่องจากมีการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (onetime expense) จำนวน 14.45 ล้านบาท แต่ถ้าหากไม่นับ Stock Provision อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ในระดับปกติที่ 52%  สาเหตุที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง มาจากการชะลอตัวของยอดขายช่วงภาวะโรคระบาดรุนแรงต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมาทำให้สินค้าระบายออกช้าทุกช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศและสินค้าบางส่วนหมดอายุ บริษัทต้องตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพเพื่อเน้นนโยบายที่จะรักษาคุณภาพของสินค้าทุกๆด้าน ให้สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพสูงก่อนที่จะถูกส่งออกไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทุกช่องทาง

นายแพทย์สุวิน กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าระบบการค้าทั้งประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด ดังนั้นบริษัทจะต้องปรับตัวทั้งรูปแบบธุรกิจและกำหนดกลยุทธ์ใน 3 ด้านหลักเพื่อรับมือวิกฤตดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re-structure) 2. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re-model) 3. ขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีการขยายตัวสูง (Re-new) มุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีโอกาสขยายตัว สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะการเปิดสาขาร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในประเทศ และสามารถสร้างตลาดที่ครอบคลุมในระยะยาว ประกอบด้วย

ช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product) กลุ่มสินค้า Fast Moving Consumer Goods ( FMCG ) ผ่านผู้ค้าส่งเครื่องสำอางรายใหญ่ในแต่ละ ภูมิภาค (Local Distributor) โดยมีแผนแต่งตั้ง Distributor รายใหญ่ 8 รายที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันแต่งตั้งเรียบร้อยแล้วจำนวน 5 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 5 เขต 49 จังหวัด โดยตั้งเป้าวางจำหน่าย 16,696 ร้านค้าให้แล้วเสร็จในปีนี้ วางเป้าหมายยอดขาย เป็นสัดส่วน 9.2 % ของรายได้รวม ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วน 4.2% จากเดิมที่  1.1 %

ช่องทางอีคอมเมิร์ซ( E-Commerce) เพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้า โดยสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทและระบบแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ ( Market Place Platform ) ชั้นนำต่างๆ อาทิ Lazada, Shopee, Konvy รวมทั้งพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างระบบอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้วางเป้าหมายผลักดันยอดขายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 12.5 % ของรายได้รวม จากเดิมอยู่ที่ 4.5 % โดยปัจจุบันสร้างสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14.5%

นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มนำกลยุทธ์สร้างพันธมิตร Alliance Strategy มาปรับใช้เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ แม้ในช่วงสถานการณ์โควิดจะได้รับผลกระทบ แต่ก็เป็นช่วงที่บริษัทมีการเตรียมการประกาศหาพันธมิตรสร้างความร่วมมือทางธุรกิจแบบเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป อาทิ แม่ค้าออนไลน์ Influencer blogger you-tuber ห้าง ร้าน บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและช่องทางการจำหน่าย สำหรับสินค้าหมวด Health & Beauty เช่น อาหารเสริม สมุนไพร อาหารเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ กลุ่ม Health & Beauty โดยบริษัทมีนโยบายเปิดรับความคิดใหม่ๆ แบบไม่จำกัดรูปแบบและวิธีการ เพื่อสร้างความร่วมมือทั้งผลิตร่วม จำหน่ายร่วม ตัวแทนจำหน่าย

สำหรับสินค้าใหม่ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2564 บริษัทได้ออกสินค้าใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 14 Items 14 SKUs เพื่อช่วยผลักดันยอดขาย และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องเพิ่มอีก 16 Items 16 SKUs  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าขนาดเล็ก (sachet) เพื่อจำหน่ายในช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product)

แนวโน้มตลาดต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ในประเทศจีนคาดว่าคำสั่งซื้อมีแนวโน้มการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เข้าสู่ช่วงเทศกาลโปรโมชั่น 11 เดือน 11 รวมทั้งยังมีการพัฒนาโมเดลการขายในต่างประเทศใหม่ “Product License” เพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่ และการบริหารจัดการในประเทศจีน โดยมีแผนแต่งตั้งตัวแทน License Product อีก 1 ราย  สำหรับสินค้าทั้งหมด 10 SKUs คาดว่าจะแต่งตั้งแล้วเสร็จภายใน   ไตรมาส 3 อีกทั้งบริษัทมีแผนแต่งตั้ง บริษัท เวิร์คสมาร์ท เพลย์ฮาร์ดเดอร์ จำกัด (WSPD) เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ในรูปเเบบ Shop License แต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา

“ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เพื่อรองรับสถานการณ์และสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และเตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ คาดว่าหากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างธุรกิจใหม่และแผนงานที่เตรียมไว้จะส่งผลดีกับผลประกอบการของบริษัทในอนาคต” นายแพทย์สุวิน กล่าว

THRE โชว์ผลงานครึ่งปีแรก 64 กำไรโต 36% แตะ 118 ล้าน

THRE เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มีกำไรสุทธิ 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากระยะเดียวกันของปีก่อน หลังเคลมลด-ค่าใช้จ่ายโครงการระยะยาวทยอยลดลง พร้อมรับอานิสงค์ธุรกิจประกันรถยนต์-ประกันสุขภาพบูม ผู้บริหารย้ำ ตั้งสำรองเผื่อการเคลมโควิดแล้ว 157 ล้านบาท ไร้กังวลผลกระทบเป้าผลงาน

นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีกำไร 65 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ที่มีกำไร 95 ล้านบาท หลังได้มีการตั้งสำรอง เผื่อการระบาดของเคลมโควิดไว้ จำนวน 157 ล้านบาท เพื่อเป็นการปัองกันการผันผวนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิจํานวน 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนลดลง และค่าใช้จ่ายในส่วนของ โครงการระยะยาวทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการขยายตัวของธุรกิจประกันรถยนต์และประกันภัยสุขภาพที่มีการเติบโตสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากดูรายไตรมาส บริษัทมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาส 1/64 ผลจากการรับประกันภัยต่อ เบี้ยประกันภัยต่อรับและเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพที่มีการเติบโตสูงขึ้น และรายได้จากการลงทุน รายได้จากการให้บริการ ก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายโอฬาร บอกเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 แม้เบื้องต้นจะประเมินว่า การแพร่อระบาดของโรค COVID-19 อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขผลประกอบการในครึ่งปีหลัง แต่จากการที่บริษัทฯได้ตั้งสำรองเผื่อไว้แล้ว และแนวโน้มธุรกิจอื่นที่ปรับตัวดีขึ้น จึงยังมั่นใจภาพรวมทั้งปี 2564 เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้

SKR โชว์ไตรมาส 2 กำไรสุทธิโต 75%

 SKR ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/64 กำไรสุทธิโตแกร่ง 75% แตะ 146.7 ล้านบาท หลังรายได้เติบโตต่อเนื่อง ทั้ง YoY และ QoQ จากกลุ่มคนไข้รักษาโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนด้วยการผ่าตัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำมาร์จิ้นได้ดี และกลุ่มคนไข้ประกันสังคมที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐในการออกตรวจเชิงรุกและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel)”

นายสุริยันต์ โคจรโรจน์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่และบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่น ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในกลุ่ม ESG Emerging List (ทำเนียบกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน) ปี 2564  เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 1,198.2 ล้านบาท เติบโตทั้ง YoY และ QoQ โดยเพิ่มขึ้น 330.9 ล้านบาท หรือเติบโต 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 200.34 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 20% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิ จำนวน 146.7 ล้านบาท เติบโต 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิที่ 83.7 ล้านบาท

สาเหตุการเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรสุทธิมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้รับบริการรักษาโรคเฉพาะทางที่ต้องมีการผ่าตัดและกลุ่มผู้เข้ารับบริการโดยใช้สิทธิ์ประกันสังคม รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐในการออกตรวจเชิงรุกและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel)  โดยโรงพยาบาลศิครินทร์ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคม เปิดตัวโครงการ “Hospitel เพื่อผู้ประกันตน” ที่ โรงแรม เดอะ ทวิน ทาวเวอร์ เป็นสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) จำนวน 500 เตียง เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ประกันตนและเป็นการลดการติดต่อแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และโรงพยาบาลในเครืออีก 2 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลศิครินทร์ สมุทรปราการ และ โรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ออกหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 โดยตรวจวิเคราะห์แบบ RT-PCR สำหรับผู้ประกันตนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสงขลา

ขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินการรวมค่าเสื่อมราคาไตรมาส 2/2564 อยู่ที่จำนวน 997.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% จากจำนวน 781.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2563 เป็นผลมาจากต้นทุนการรักษาพยาบาล จำนวน 797.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.7 ล้านบาท หรือ 31% จากไตรมาสที่ 2/2563 สาเหตุหลักมาจากการออกตรวจเชิงรุกและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) จำนวน 500 เตียง ทั้งนี้ในส่วนการบริหารต้นทุนของการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ยังทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนของต้นทุนกิจการโรงพยาบาลต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาล อยู่ที่ 67.43% ลดลง 4.42% จาก 71.85% ในไตรมาสที่ 2/2563

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลัง 2564 นั้น นายสุริยันต์ มั่นใจว่า ยังคงเติบโตต่อเนื่องจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ 1. กลุ่ม Hospital มุ่งเน้นรายได้จากการรักษาโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนด้วยการผ่าตัด ซึ่งในไตรมาสที่ 3 จะมีการเปิดตัว “สถาบันสุขภาพเฉพาะทางสตรี” ส่วนรายได้จากการดูแลลูกค้าสุขภาพดี ผ่าน BeBetter Center ยังคงสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 เครือโรงพยาบาลศิครินทร์ ร่วมมือกับภาครัฐในการออกตรวจเชิงรุกและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) เพิ่มเป็น 2,500 เตียง ซึ่งถือเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเตียง และช่วยทำให้ประชาชนที่ป่วย Covid-19 เข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้นและมากขึ้น ส่วนที่ 2. กลุ่ม Non-Hospital หลังจากเปิดตัว สินค้าเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1 หมื่นขวดภายในระยะเวลา 1 เดือน โดยจากนี้จะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้ามา เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น

“ในปี 2564 นี้ หลังจาก SKR ติดทำเนียบกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน รวมถึงโรงพยาบาลศิครินทร์ ได้รับรางวัล Pathway to Excellence Program จากสมาคมการพยาบาลแห่งสหรัฐอเมริกา American Nurses Credentialing Center (ANCC) ต่อจากนี้เรามุ่งสร้างการรับรู้ของลูกค้าภายใต้แนวคิด “ศิครินทร์ เคียงข้างคุณ” ผ่าน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่ม Hospital และกลุ่ม Non-Hospital บน Platform รูปแบบใหม่ เพื่อการก้าวสู่ Healthcare Solution ในอนาคต” นายสุริยันต์ กล่าว

แจกฟรี SIMAT-W5 อัตรา 4.07:1 รองรับแผนขยายธุรกิจติดปีก

ผู้ถือหุ้น SIMAT แฮบปี้กันถ้วนหน้า พร้อมใจโหวตหนุนแผนเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น เพื่อรองรับ SIMAT-W5 อัตรา 4.07:1 โดยไม่คิดมูลค่า ราคาใช้สิทธิ 2 บาท/หุ้น เติมฐานทุนแกร่ง รองรับแผนขยายธุรกิจติดปีก กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XW วันที่ 18 ส.ค.นี้

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SIMAT เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 5 (SIMAT-W5) เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 160,000,000 หน่วย (โดยไม่คิดมูลค่า) โดยมีอัตราส่วนการจัดสรร 4.07 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วย ซึ่งกำหนดราคาใช้สิทธิ 2 บาทต่อหุ้น และได้กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (XW) ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564

SIMAT ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ที่อนุมัติการเพิ่มทุนและแจกวอแรนต์ในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคง รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้

นายธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 5 (SIMAT-W5) ถือเป็นการเสริมสร้างฐานะทางการเงินในระยะยาวของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และช่วยรองรับแผนการขยายธุรกิจใหม่ๆที่เป็น New s-curve ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตรอบใหม่ในอนาคต  หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการเข้าลงทุนในบริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (HST)

เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนในครั้งนั้น ทั้งในแง่การรับรู้กำไร และเตรียมที่จะผลักดันให้ฮินซิซึเข้าจดทะเบียนในปี 2565 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

VGI เผยงบไตรมาส1 ปี64/65 ปรับตัวได้ดีท่ามกลางความกดดัน ทำรายได้โต 33.7%

บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ผู้นำการตลาด Offline-to-Online โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ รายงานผลการดำเนินไตรมาส1 ปี 2564/65 ผลักดันธุรกิจฝ่าความท้ายทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 33.7% YoY พร้อมกำไรสุทธิเป็นบวกที่ 10 ล้านบาทได้สำเร็จ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีของบริษัทฯ ทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความท้าทายอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามกลุ่มบริษัทฯ ยังสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถบันทึกรายได้ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% YoY และมีผลกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไตรมาสแรกของปี 2564/65 มีรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านอยู่ที่ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9% YoY จากเดิม 266 ล้านบาท และรายได้ของธุรกิจบริการด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น 21.6% YoY อยู่ที่ 218 ล้านบาท

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ แม้ในปีที่ผ่านมาธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคหรือ Engagement บนทุกแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ทางด้านธุรกิจบริการชำระเงิน ยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการด้านดิจิทัลและออนไลน์ผ่านกลุ่มแรบบิทที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชั่นส์ โดยบริษัท แรบบิท ไลน์ เพย์ จำกัด ได้ร่วมมือกับ KBank เปิดตัวบัตรเครดิต LINE POINTS Credit Card ตอบรับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคยุคใหม่

ในไตรมาสนี้ VGI ได้ต่อยอดระบบนิเวศของธุรกิจด้วยการเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ชผ่านการเข้าลงทุน 51.0% ในบริษัท แฟนส์ลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือ Fanslink ผู้นำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอี-คอมเมิร์ซของจีน โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสองบริษัทในการขยายขีดความสามารถทางธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของ Fanslink เมื่อผนึกรวมกับอีโคซิสเต็มของ VGI จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเราได้ในอนาคต

“แม้ว่าสถานการณ์การกระจายวัคซีนทั่วโลกจะมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 แต่สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก จากการระบาดครั้งล่าสุดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมายังมีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่มาตรการควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตที่มีความผันผวนมากกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 0.7% ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในอาเซียน แม้จะต้องเผชิญกับสภาวะกดดันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ VGI ยังคงมุ่งเน้นการบริหารงานภายใต้กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย และสร้าง Synergy ร่วมกับหน่วยธุรกิจใหม่ รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและการสำรองเงินสด ทำให้เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งภายหลังจากวิกฤตการณ์นี้สิ้นสุดลง” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติม

SCN โชว์ผลงาน Turnaround ชัดเจน กำไรแตะ 300%

บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN โดย ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 15.9 ล้านบาท เติบโต  226.3% พลิกจากไตรมาส 2 ปีก่อนหน้า ทั้งนี้ผลพวงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้าบางรายชำระหนี้เกินกว่ากำหนด บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องบันทึกผลขาดทุนตามมาตรฐานบัญชี TFSR 9 จำนวน 11.4 ล้านบาทในไตรมาสนี้

อย่างไรก็ดี หากลูกค้ามีการชำระเข้ามาจะทำให้บริษัทสามารถบันทึกกลับมาเป็นรายได้ในภายหลัง ซึ่งหากหักผลกระทบดังกล่าวออกไป จะทำให้บริษัทฯ บันทึกกำไรในไตรมาสนี้สูงขึ้นเป็น 27.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 317% โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 411.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 38.9% กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 76.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พลิกสถานการณ์โควิด- 19 ในปัจจุบัน

ในปี 2564 ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเริ่มกลับมามียอดขายโดดเด่น ภายหลังจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกแรก ดันธุรกิจ iCNG กลับมามียอดขายโตขึ้นต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดด โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ทำรายได้ 264.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 64.29% จากยอดขายรวมทั้งไตรมาส เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 24.3% สาเหตุมาจากลูกค้าภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งทำให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่หันมาใช้ iCNG ทำให้ความต้องการในการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น จากการที่เป็นเชื้อเพลิงสะอาดและราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงอื่น

อีกหนึ่งธุรกิจดาวเด่นของ SCN คือโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เมืองมินบู ที่ยังสร้างรายได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่องแม้ว่าจะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิดและการรัฐประหารก็ตาม ทำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนราว 14.2 ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้น 163 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้างเฟสที่ 2 มีกำหนดแล้วเสร็จและ COD ในปี 2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก

ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินการผ่านบริษัทย่อย “บริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ จำกัด” หรือ SAP เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ปัจจุบันบริษัทแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI นอกจากนี้บริษัท COD โครงการเพิ่ม 2 แห่ง และมีสัญญาในมือรวมกว่า 19 เมกะวัตต์ สร้างกำไรให้ SCN เพิ่มอีก 2.4 ล้านบาทในไตรมาสนี้ และคาดว่าจะได้สัญญาเพิ่มอีก 10 เมกะวัตต์ พร้อม COD เพิ่มเติม เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตในครึ่งปีหลังนี้ และคงเป้า 110 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 ตามแผนอีกทั้งบริษัทยังมีรายได้กว่า 34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 236.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 6.26 เมกะวัตต์ ในไทยที่ยังคงสร้างผลงานได้เป็นอย่างดี และยอดขาย Spare parts ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานโซลาร์รูฟท็อปที่ได้รับความสนใจอย่างฉุดไม่อยู่

ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่และซ่อมบำรุงรถโดยสารเชื้อเพลิง NGV จำนวน 489 คัน ทำรายได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนหน้า จากงานซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV จำนวน 489 คันที่ดำเนินงานภายใต้กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO สามารถดำเนินงานตามเป้าหมาย มีการปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายอะไหล่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจยานยนต์จนสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีรายได้ที่ 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 94.6% ทั้งยังมีมูลค่าสัญญาซ่อมบำรุงรถโดยสารคงเหลืออีก 1,800 ล้านบาทที่พร้อมดำเนินการและรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องระยะยาว

ด้านธุรกิจขนส่ง ไม่น้อยหน้า จากที่บริษัทชนะการประมูลงานขนส่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสริมให้งานบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มกำลังเป็น 360 ตัน/วัน ดันรายได้กลุ่มธุรกิจขนส่งให้แตะ New High ที่ 200 ล้านบาทตามที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ หรือเติบโตราว 24% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจขนส่งเป็นอย่างดี มั่นใจในอนาคตจะมีงานใหม่ในมือแน่นอน นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังบริษัทปรับกลยุทธ์ในธุรกิจออกแบบ ผลิต ติดตั้ง รับเหมา และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ (EPC &  Maintenance) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีงานเด่นจากธุรกิจใหม่ปีนี้ “บริษัท สแกน ไอซีที จำกัด” หรือ SCAN ICT ที่เจาะตลาดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถโกยงานได้กว่า 100 ล้านบาท และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสนี้ ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมตัวเข้าประมูลงานกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เสริมที่แข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง ด้านธุรกิจกัญชงแบบครบวงจรน้องใหม่ ที่ดำเนินงานผ่านบริษัทย่อย “บริษัท สแกน เมดิเฮิร์บ จำกัด” ได้ดำเนินการขอใบอนุญาตสำหรับการปลูกแล้ว จ่อยื่นขอใบอนุญาตอื่นเพิ่มเติม คาดเริ่มปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ช่วงปลายปี 2564-ต้นปี 2565 กวาดรายได้กว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี

และเมื่อเร็วๆ นี้ SCN ยังได้มีผลงานชิ้นโบว์แดง ได้จับมือบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น Shizuoka Gas Company Limited (SZG) ร่วมลงทุนในบริษัทในเครืออย่าง บริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) ซึ่งภายหลังโอนทรัพย์สินแล้วจะมีมูลค่า 454 ล้านบาท โดย SZG เข้าซื้อหุ้นจำนวน 49% ด้วยมูลค่าเสนอซื้อทั้งโครงการกว่า 639 ล้านบาท ภายหลังจากการปิดดีล SCN จะได้รับเงินสดกว่า 313.1 ล้านบาท สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตได้ นอกจากนั้นการร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นการสร้างเครือข่ายก๊าซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าผู้ใช้ iCNG และ iLNG เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10 รายต่อปี คาดทำรายได้ให้กับบริษัท TJN สูงถึง 1,500 ล้านบาทต่อปี และปูทาง SCN เติบโตสู่ระดับสากล

ดร.ฤทธี เผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2564 ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทกลับมา Turn around จากจุดต่ำสุด มีปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น เสริมทัพด้วยพันธมิตรรายใหญ่จากญี่ปุ่นที่เข้ามาร่วมทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 639 ล้านบาท เพื่อเพิ่มยอดขายพุ่งสูงถึง 10,000 mmBTU จากปัจจุบันประมาณ 4,000 mmBTU คาดเห็นปริมาณและยอดขาย New High เมื่อเทียบกับช่วงก่อน เพื่อผลักดันธุรกิจก๊าซธรรมชาติให้ขยายสู่ระดับสากล อีกทั้งยังมีบรรดาลูกค้าในไทยหลายรายยังรุมจีบ เตรียมเซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซเพิ่มเติม นอกจากนี้ SCN เน้นสร้างธุรกิจที่มีสัญญาการดำเนินงานที่มั่นคง จนทำให้ครึ่งปีแรกเราสามารถทำรายได้รวม 897.5 ล้านบาทแล้ว มั่นใจว่าเป้าหมายแตะ 2,000 ล้านบาทในปี 2564 ไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยพันธมิตร ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มี และกลยุทธ์ของเราจะทำให้สามารถแข่งขันเพื่อคว้างานใหม่ๆ เพื่อสร้างผลประกอบที่ดีได้ตามเป้าแน่นอน

บี.กริม เพาเวอร์ โชว์กำไรสูงสุดไตรมาส 2 พุ่ง 56.5%

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,022 ล้านบาท หากไม่รวมกำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,011 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 56.5% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นสู่ 3,524 ล้านบาท เติบโต 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยมีปัจจัยสำคัญจากปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 47.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 831 กิกะวัตต์-ชั่วโมง จากหลายกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์, ยางรถยนต์, กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 21.2 เมกะวัตต์ ในช่วงไตรมาส 2/2564 หรือ 31.5 เมกะวัตต์ ในครึ่งปีแรก จากเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 40 เมกะวัตต์ในปีนี้

นอกจากนี้ กำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นผลจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาเมื่อเดือน ธันวาคม 2563 และการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1) และ บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 2  จำกัด (ABPR2) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 รวมถึงประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย ที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับตัวลดลง 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุด บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศ 7 ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมในรูปแบบของ Sustainable Utility Solution Provider ด้วยการผลิตพลังงานที่มีคุณภาพสูงและบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร มีกำหนดการ COD ในเดือนสิงหาคม 2564

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 48 โครงการ โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 เป็นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ด้วยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.15 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 26 สิงหาคม 2564 และวันที่จ่ายปันผล 10 กันยายน 2564

IHL ไตรมาส 2 กำไรพุ่ง 145.05%

บมจ.อินเตอร์ไฮด์ (IHL) รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 18.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 145.05% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อานิสงส์คำสั่งซื้อผลิตเบาะหนังรถยนต์เริ่มฟื้นตัว สอดรับกับอุตสาหกรรมรถยนต์มีสัญญาณที่ดีขึ้น บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท พร้อมจ่าย 9 ก.ย. 64 ฟาก “องอาจ ดำรงสกุลวงษ์” ระบุเดินหน้ารุกขยายธุรกิจใหม่ ทั้งเฟอร์นิเจอร์-ขนมขบเคี้ยวสุนัข เต็มสปีด มั่นใจสนับสนุนผลงานปีนี้โต 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 145.05%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 41.31 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 406.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177.59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 146.49 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 64.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 272.63%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 37.02 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 851.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.99% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 525.69 ล้านบาท

ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตเบาะหนังรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักซึ่งมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสามารถเดินเครื่องได้ตามกำลังการผลิตปกติที่มีอยู่ ซึ่งมีทิศทางที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน  รวมทั้งมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนมากขึ้น

“ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีนี้ แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัทฯ ยังสามารถทำผลงานออกได้ดีต่อเนื่อง เป็นผลจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ทำให้ทิศทางการส่งออกมีการขยายตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ สามารถเดินเครื่องการผลิตได้ตามกำลังการผลิตที่มี รวมทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี จึงทำให้มั่นใจว่า ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย” นายองอาจกล่าว

ด้าน นายวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงเดินเครื่องผลิตเบาะหนังรถยนต์ เพราะยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักได้ตามปกติ ส่วนธุรกิจผลิตหนังเฟอร์นิเจอร์ มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีลูกค้าประมาณ 3-4 ราย ขณะที่ธุรกิจฟอกหนังรองเท้า อยู่ระหว่างการนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ ประมาณ 3 ราย คาดว่า จะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้

สำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่  อาทิ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โปรตีน GROW PLUS เริ่มทยอยรับรู้รายได้ และธุรกิจขนมขบเคี้ยวสุนัข ขณะนี้ได้รับใบรับรองมาตรฐาน GMP เพื่อจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

“หลังจากได้รับใบอนุญาตในการขายขนมขบเคี้ยวสุนัขแล้ว จะทำให้เราสามารถวางจำหน่ายสินค้าในประเทศและส่งออกต่างประเทศได้ ซึ่งธุรกิจขนมขบเคี้ยวสุนัข มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี อีกทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ อยากให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจว่า ทั้งธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากธุรกิจหลัก จะช่วยสนับสนุนผลงานในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่ 20% ได้อย่างแน่นอน” นายวศินกล่าวในที่สุด

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2564 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท  รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 59.28 ล้านบาท  โดยจ่ายจากกำไรสะสม ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 กันยายน 2564