ช้อปอะไรดี? เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold3 I Flip3 5G กลุ่มแรกก่อนใคร! คลิกเลย

ทรู 5G ชวนสาวกซัมซุงล้ำก่อนใคร!!! มอบสิทธิพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าทรูมูฟ เอช แบบรายเดือน อายุการใช้งานนาน 1 ปีขึ้นไป สามารถจองและเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold3 I Flip3 5G ได้เป็นกลุ่มแรก สัมผัสสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ นวัตกรรมสุดล้ำจากซัมซุง ผสานสุดยอดประสิทธิภาพการใช้งานบนเครือข่ายอัจฉริยะ ทรู 5G ที่เร็วกว่า แรงกว่า รายแรก รายเดียว ที่ครบสุดทุกย่านความถี่ พบข้อเสนอสุดเร้าใจมากมาย ทั้งส่วนลดสูงสุดถึง 20,000 บาท ราคาที่ดีที่สุดที่เดียวเท่านั้น!

ซื้อ Samsung Galaxy Z Flip3 5G ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท และ Samsung Galaxy Z Fold3 5G ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ 5G Ultra Max Speed Plus 1,399 นาน 24 เดือน โดยไม่ต้องชำระค่าบริการล่วงหน้า พร้อมรับของแถมแบบจัดเต็ม ได้แก่ Case Cover with S-pen มูลค่า 2,790 บาท (เมื่อซื้อ Samsung Galaxy Z Fold3 5G)  หรือ Silicone Case with Ring (สีกรมท่า) มูลค่า 1,190 บาท (เมื่อซื้อ Samsung Galaxy Z Flip3 5G), ดูฟรี! ทรูพรีเมียร์ลีก ตลอดฤดูกาล 2021/22 เมื่อสมัครแพ็กเกจ 1,199 บาท ขึ้นไป, True 5G Cloud Gaming มูลค่า 299 บาท นาน 1 เดือน, บัตรกำนัล Lazada มูลค่า 2,000 บาท, รับเอกสิทธิ์พิเศษ Samsung Care + และบริการผู้ช่วยส่วนตัว Galaxy Butler Gold นาน 1 ปี เปิดจองตั้งแต่วันที่ 13 – 22 สิงหาคมนี้ ที่เว็บไซต์ทรูสโตร์ www.truemoveh.com/onlinestore และ Line @Truestore รับเครื่องได้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เป็นต้นไป

ไดกิ้น ผนึก เอสซีจี สร้างห้องไอซียูสนาม รองรับผู้ป่วยโควิด-19

ในสถานการณ์โควิด-19 ของเมืองไทย ที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ได้สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตขั้นรุนแรง ที่ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีเตียงไม่เพียงพอที่จะรองรับจำนวนผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินอาการหนักในกลุ่มสีแดง ที่ต้องการการรักษาในห้องไอซียูเท่านั้น ทำให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ต่างเร่งขยายขอบเขตการรักษาด้วยการสร้างห้องไอซียูสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงโดยเฉพาะ

โดยล่าสุด ไดกิ้น (Daikin) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการปรับอากาศคุณภาพสูง และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกน้อยที่สุด จนขึ้นแท่นเป็นแบรนด์อันดับ ที่สามารถครองใจเหล่าผู้บริโภคภายในครัวเรือน และผู้ประกอบการชั้นนำมาอย่างยาวนาน ได้ผนึกกำลังกับ เอสซีจี (SCG) หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เข้าร่วมโครงการสำคัญด้วยการร่วมสร้าง ห้องไอซียูสนาม สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีแดง โดย ห้องไอซียูสนาม นี้จะช่วยแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากผู้ป่วยทั่วไป และยังช่วยป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลคนไข้ให้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้สร้างเสร็จสิ้นแล้ว แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสระบุรีโรงพยาบาลราชวิถีโรงพยาบาลบางขุนเทียน และยังมีแผนขยายออกไปอีกกว่า 10 แห่งภายในระยะเวลา เดือน ก่อนสิ้นไตรมาส เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ ห้องไอซียูสนาม ทาง ไดกิ้น (Daikin) ได้รับผิดชอบในเรื่องของการเข้าวางระบบการปรับอากาศ และติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในโรงพยาบาลให้เป็นห้องความดันลบที่ทำให้อากาศภายในบริสุทธิ์ และป้องกันการกระจายเชื้อออกสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งนับเป็นหัวใจหลักของการสร้าง ห้องไอซียูสนาม โดยผลิตภัณฑ์ และระบบที่ทาง ไดกิ้น (Daikin) เลือกใช้คือ VRV (Variable Refrigerant Volume) เครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ซึ่งเป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่สามารถควบคุมสั่งการจากห้องพยาบาลที่แยกออกจากส่วนผู้ป่วย ช่วยให้สะดวกต่อการปฏิบัติการของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยระบบควบคุม iTouch Manager (ITM) ที่สามารถเฝ้าสังเกตการณ์ และควบคุมอุณหภูมิได้จากห้องพยาบาลที่แยกส่วนออกมา พร้อมระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินภายในห้องผู้ป่วย โดยเทคโนโลยี VRV สามารถแปรผันปริมาณการทำความเย็นให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์ ควบคู่กับเทคโนโลยี Fan Filter Unit ที่มาพร้อม HEPA Filter จาก American Air Filter (AAF) ที่เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของ ไดกิ้น (Daikin) เพื่อช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปภายในห้องไอซียู และ ไดกิ้น (Daikin) ยังออกแบบระบบกรองเชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ โดยใช้ HEPA Filter และฆ่าเชื้อด้วยระบบ UV-C จาก AAF ที่มีความปลอดภัยสูงสุด เพื่อเสริมประสิทธิภาพห้องความดันลบให้กับ “ห้องไอซียูสนาม” มีความปลอดภัยต่อบริเวณรอบข้าง

โดยวางระบบการปรับอากาศ ห้องไอซียูสนาม ทาง ไดกิ้น (Daikin) สามารถผลิต ก่อสร้าง และติดตั้งแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา วัน โดยมีทีมงานวิศวกรที่มีความแม่นยำ และชำนาญสูงในเรื่องการวางระบบอากาศอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ก่อนวางแผนการติดตั้ง และเริ่มก่อสร้างไปพร้อมๆ กับทาง เอสซีจี (SCG) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการปรับปรุงไอซียูแบบทั่วไปอาจต้องใช้เวลากว่า เดือน ซึ่ง ห้องไอซียูสนาม นั้นจะมีจำนวน 10 เตียง ในราคาการก่อสร้าง และติดตั้งทุกระบบราว 12 ล้านบาท

อาคิฮิสะ โยโคยามา (Akihisa Yokoyama) ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวถึงแนวคิดหลักในการสร้าง ห้องไอซียูสนาม และการพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องว่า สำหรับโครงการก่อสร้างห้องไอซียูสนามให้แก่โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ไดกิ้นได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และใช้สุดยอดเทคโนโลยีในการวางระบบการปรับอากาศที่ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความแม่นยำสูงในการเข้าวางระบบภายในระยะเวลาที่ถูกจำกัดเพียง วัน เนื่องจากสถานการณ์ที่มีจำหน่วยผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งมือในการก่อสร้างห้องไอซียูสนาม เพราะหากเกิดความผิดพลาดในการวางระบบขึ้น เราจะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว ดังนั้นทีมวิศวกรที่มีความชำนาญสูงจึงเปรียบเสมือนเป็นหัวเรือหลักของโครงการนี้ โดยการวางระบบการปรับอากาศ และติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในห้องไอซียูสนามได้ถูกออกแบบให้เป็นห้องความดันลบที่ทำให้อากาศภายในบริสุทธิ์ และป้องกันการกระจายเชื้อออกสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อมอบความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไดกิ้นได้มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสรรค์สร้าง ผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภคมาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ซึ่งนอกเหนือจากการมอบอากาศที่ดีและบริสุทธิ์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว ไดกิ้นยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างอากาศสะอาดเพื่อที่อยู่อาศัย ที่ชื่อว่าสตรีมเมอร์ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง  99.9% โดยได้ทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสโคโรน่าในประเทศไทยจากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงช่วยขจัดก๊าซอันตรายจากสารเคมีได้อีกด้วย จากการที่เราพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง จึงทำให้เครื่องปรับอากาศ และเครื่องฟอกอากาศของไดกิ้น ได้รับความไว้วางใจ และเชื่อมั่นจากเหล่าผู้บริโภคภายในครัวเรือน รวมถึงผู้ประกอบการชั้นนำระดับประเทศมากมาย

APURE โชว์ไตรมาส 2 กำไรกระฉูด 65.04%

บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) โชว์งบผลการดำเนินงานQ2/64 โกยกำไร 86.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.29% เทียบ QoQ  เหตุยอดออเดอร์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดวอลมาร์ท (Walmart) และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป รวมถึงในเอเซีย ยังมีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะเดียวกันบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผล จำนวน 0.07 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 26 ส.ค.นี้ และจ่ายปันผลในวันที่ 10 ก.ย.64

นายสุเรศพล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE ผู้ส่งออกข้าวโพดหวานแปรรูปคุณภาพสูง แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564  บริษัทฯ มีรายได้รวม 664.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.77% และกำไรสุทธิ 86.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 19.17% และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 38.29% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,222.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.14% และมีกำไรสุทธิ 149.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ทั้งนี้ สาเหตุที่รายได้เพิ่มขึ้นจากบริษัทฯ มียอดขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีสถานการณ์โรคระบาดจากไวรัสโควิค-19 แต่ยังคงมีการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด และยังมุ่งเน้นหาลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯได้เดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสำหรับประเทศที่บริษัทฯมีการจำหน่ายสินค้าไปอยู่แล้ว อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และไต้หวัน รวมถึงการปรับปรุงรูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดออเดอร์ตลาดวอลมาร์ท (Walmart) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ในผู้ประกอบการรายเล็ก แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการรายใหญ่มีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายมีสายเรือเป็นของตัวเอง และบางรายสามารถบริหารจัดการพื้นที่การขนส่งได้เพราะมีปริมาณการขนส่งสินค้าจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นลูกค้าของบริษัทฯ

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำสั่งซื้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยปรับตัวลดลง ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับ 50% เนื่องจากเงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้บริษัทได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง จึงปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำและการเติบโตของของกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/2564 ปรับตัวในทิศทางที่ขึ้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.07 บาทต่อหุ้น สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 ส.ค. 2564 และจะกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 10 ก.ย. 2564

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%  จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 อยู่ที่ 425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

ขณะเดียวกันมีการประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564 ที่ 28.2% และในปี 2565 ที่ 28.5% ตามลำดับ และคาดการณ์ว่ารายได้รวมในปี 2564 อยู่ที่ 2,727 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 3,166 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต อย่างจากการเติบโตในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากอเมริกาและยุโรปคิดเป็น 20% และ 10% ของยอดขายทั้งหมดตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทยังได้เปรียบคู่แข่งทางด้านภาษีในยุโรปอีกด้วย

TRUBB งบไตรมาส 2 โตสนั่น พลิกกำไร 315.52%

บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป หรือ TRUBB ปิดงบไตรมาส 2/64 พลิกมีกำไร 119.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52% เทียบงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุนสุทธิ 55.49 ล้านบาท อานิงส์ยอดขายน้ำยางข้น-ถุงมือยางและ ยางยืด บาทอ่อนหนุน ฟาก “ภัทรพล วงศาสุทธิกุล”มั่นใจผลงานปี 64 โตก้าวกระโดด หลังลุยขยายกำลังการผลิต รองรับออเดอร์ลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

นายภัทรพล วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 2,246.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.74% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 1,308.26 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 119.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 55.49 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนยอดขายน้ำยางข้น และธุรกิจเส้นด้ายยางยืด รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจถุงมือยาง ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญตามดีมานด์ที่สูงขึ้น ท่ามกลางการระบาดไวรัสโควิด-19 และสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังไม่สิ้นสุด

ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากเมื่อเปรียบเทียบราคายางพารา โดยราคายางปรับตัวขึ้น จาก 40.56 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2563 เป็น 58.33 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2564

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,496.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.56% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 2,947.51 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 252.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,243.09% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 18.80 ล้านบาท

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/64 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17.1% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.4% จากแนวโน้มราคายางที่อยู่ในระดับสูง

นายภัทรพล มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ของกลุ่มบริษัทในปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการขยายกำลังการผลิตใหม่ในธุรกิจน้ำยางข้น-น้ำยางแปรรูป และธุรกิจเส้นด้ายยางยืด รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจถุงมือยาง เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสนับธุรกิจธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

BGC โชว์ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 122 ล้าน พุ่งแรง 53%

บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC เติบโตโดดเด่นสวนกระแสไตรมาส 2/2564 ทำกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท พุ่งแรง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับดีมานด์บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน BVP และ BGP ผู้ถือหุ้นเตรียมเฮรับบอร์ดอนุมัติปันผลระหว่างกาล 0.12 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ พร้อมไฟเขียวบริษัทย่อย ‘BGP’ ขยายการลงทุนบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน กำลังการผลิตสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี คาดแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2566 รับแผนเติบโตและยกระดับสู่ Total Packaging Solutions ประเมินดีมานด์บรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศและห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2/2564 มีรายได้จากการขาย 3,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น

ปัจจัยที่บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี มาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการด้านการผลิตภายในโรงงาน โดยประสิทธิภาพในการผลิต (Efficiency Rate) ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 86.5% และในขณะเดียวกันบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ และบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ยกระดับธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มีรายได้จากการขาย 6,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มี Product Mixed ที่หลากหลายยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีเฉพาะบรรจุภัณฑ์แก้ว และยังทำให้บริษัทฯ มีอำนาจต่อรองที่ดีและสามารถเพิ่มยอดขายจากลูกค้าแต่ละราย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนด้านต่าง ๆ โดยคาดว่าในปีนี้ทั้ง 2 บริษัทฯ (BVP และ BGP) จะมียอดขายรวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท” นายศิลปรัตน์ กล่าว

จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 83.33 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 176 ล้านบาท สำหรับ BGP เพื่อเดินหน้าขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) กำลังการผลิตสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าและความหลากหลายด้านบรรจุภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการกลุ่มถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูง ขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำ และรองรับเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต คาดว่าจะเริ่มการลงทุนขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 1/2565 และแล้วเสร็จเริ่มผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 1/2566 ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2025

นายศิลปรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังยังมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามแผนงานที่วางไว้ และผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งปีเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศและห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงวางเป้าหมายสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง แม้มีปัจจัยลบและความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ โดยเชื่อว่าหากกระจายวัคซีนแก่ประชาชนได้มากขึ้นและสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย จะส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ทยอยเปิดกิจการ ทำให้ดีมานด์บรรจุภัณฑ์มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีถือเป็นไฮซีซั่นหรือฤดูการขายสินค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ

ขณะที่กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10% ของรายได้รวม พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ดีมานด์ในตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนปรับระดับสต๊อกสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งการเพิ่มประเภทพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในเตาหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิในเตาหลอมแก้ว ช่วยลดความสูญเสียของพลังงาน อย่างไรก็ตามสำหรับราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแก้วมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่องและเศษแก้วยังคงมีราคาทรงตัว

PRM โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไร 863.33 ล้าน เติบโต 9.7%

บมจ. พริมา มารีน หรือ PRM โชว์ผลงานครึ่งปีแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 863.3 ล้านบาท เติบโต 9.7% แม้มีปัจจัยลบจากโควิด-19 หลังรับรู้รายได้จากการให้บริการเรือ VLCC แก่กลุ่มไทยออยล์ และมีกำไรพิเศษจากแผนการปรับพอร์ตกองเรือให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม ส่วนแผนครึ่งปีหลัง มองธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศและกลุ่มธุรกิจ Offshore ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายปีนี้ให้เติบโตตามแผน

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,879.81 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 863.33 ล้านบาท เติบโต 9.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจ PRM ที่แข็งแกร่งในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ รวมทั้งจุดแข็งด้านโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตกองเรือที่หลากหลายภายใต้หลักการบริหารงานด้วยความยืดหยุ่น โดยสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมทันต่อสถานการณ์และเอื้อให้เกิดประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุด จึงทำให้รับมือกับปัจจัยลบและความไม่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,455.96 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 429.22 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่า COVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง โดยมีปัจจัยมาจากการให้บริการเรือขนส่ง VLCC ขนาด 300,000 DWT แก่กลุ่มไทยออยล์ ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และการรับรู้รายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากการซื้อไทยออยล์ มารีน (ปัจจุบันคือ ทรูธ มาริไทม์) รวมถึงมีกำไรพิเศษจากการจำหน่ายเรือในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทฯ นำมาใช้บริหารพอร์ตกองเรือให้เหมาะสมกับภาวะของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป

“การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกมีความท้าทายเชิงการบริหารจัดการ ซึ่งเรายังทำผลงานเพื่อผลักดันการเติบโตได้ดี โดยเราปรับพอร์ตกองเรือให้สมดุลกับสถานการณ์ตลาดเพื่อบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น PRM ก็พร้อมปรับกลยุทธ์เป็นเชิงรุกได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที” นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่า กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จากแผนมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้าไทยออยล์ รวมถึงกลุ่มธุรกิจเรือ Offshore ที่ปรับตัวดีขึ้นตามธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่มีกิจกรรมทางทะเลเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ความต้องการใช้เรือ Crew Boat เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจดังกล่าวและช่วยผลักดันการดำเนินงานให้เติบโตตามแผน

NOBLE โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไรโต 10%

บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2564 กวาดรายได้รวม 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิโต 10% YoY อยู่ที่ 786 ล้านบาท หลังยอดขายพุ่งแตะ 4,265 ล้านบาท พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2564 นี้ เดินเกมรุกบุกพัฒนาโครงการแนวราบต่อเนื่อง หวังกระจายพอร์ตสินค้า-สร้างการรับรู้ที่เร็วขึ้น ย้ำสภาพคล่องล้นเหลือจากเงินสดในมือและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 6,100 ล้านบาท หนุนแผนลงทุนในและต่างประเทศฉลุย

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิเท่ากับ 786 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% YoY จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นผลจากการโอนยอดขายรอโอน (Backlog) และจากยอดขาย (Pre-sales) โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) เช่น โครงการนิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการโนเบิล บี33 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น

ด้านยอดขาย (Pre-sales) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยกว่า 2,500 ล้านบาทเป็นยอดขายมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาทหลักๆมาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ประกอบบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการออกแคมเปญ LAST PIECE, LAST PRICE สำหรับ 5 โครงการพร้อมอยู่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนถึงเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่แข็งแกร่งของบริษัทฯโดยเฉพาะประเทศจีน เป็นต้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoYจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้

นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเป็นประมาณ  30% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการพร้อมเปิดตัวทั้งแนบราบและคอนโดมิเนียมกว่า 10 โครงการ โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหลากหลายทำเล อาทิ ถนนดอนเมือง, ถนนเอกมัย รามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนศรีนครินทร์  เป็นต้น

บริษัทฯ เห็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าของที่ดินต่างนำที่ดินออกมาขายทอดตลาดในราคาที่เหมาะสมขึ้น ขณะที่ NOBLE มีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่ดี ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 /2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสดในมือรวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับอัตราการเติบโต และการขยายตัวในภาวะปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

ส่วนกรณีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา NOBLE ยังไม่เห็นผลกระทบในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถส่งมอบโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sales) ที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเลื่อนการเปิดโครงการจากสถานการณ์โควิท-19 แต่บริษัทฯยังคงดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการเช่น การขอใบอนุญาติที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่รอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหราชอาณาจักร ล่าสุดบริษัทฯได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยใช้จุดแข็งของ NOBLE ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศรวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทฯยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการในต่างประเทศอีก 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีจากนี้ จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ  250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนตามสัดส่วน 45% ต่อโครงการ) โดยในปีแรกคาดจะใช้งบลงทุน 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตามสัดส่วน 45%) และคาดว่าภายใน 3 ปี NOBLE จะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 15%-20% ของกำไรสุทธิรวม

GPI ผลงานครึ่งปีแรกแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 115.16 ล้าน

บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ GPI ชูผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 115.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ธุรกิจรับจ้างพิมพ์และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.03 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 25 สิงหาคมนี้ คาดรักษาผลการดำเนินงานทั้งปีไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา หลังไตรมาส 3/2564 เตรียมรับรู้รายได้เพิ่มจากธุรกิจรับจ้างพิมพ์ รุกปรับกลยุทธ์ธุรกิจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสู่รูปแบบออนไลน์ และพัฒนาแอปพลิเคชัน Car Buddy by GPI เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ มุ่งควบคุมค่าใช้จ่ายรับมือเศรษฐกิจผันผวน

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้นำสร้างสรรค์การจัดกิจกรรมให้บริการข่าวสาร ข้อมูล สาระ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความบันเทิง ที่น่าประทับใจตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ยานยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถรักษาผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 123.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 748% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 16.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจัยที่บริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ส่วนที่เหลืออีก 4 วัน รายได้จากธุรกิจรับจ้างพิมพ์ที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งเน้นควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อรายได้และผลกำไรที่เป็นไปตามเป้าหมาย

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขายและบริการ 448.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 976% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 115.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% โดยการเติบโตมาจากการรับรู้รายได้จากการจัดงานบางกอก อินเตอร์ มอเตอร์โชว์ 2021 ธุรกิจรับจ้างพิมพ์ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

ดร.ปราจิน กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2564 คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาผลการดำเนินงานไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขายและบริการกว่า 509.4 ล้านบาท แม้สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีความผันผวน และมีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบกระทบต่อการจัดกิจกรรมและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยจะมุ่งเพิ่มรายได้จากธุรกิจเดิมและมองโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจใหม่ รวมถึงมุ่งเน้นการบริหารงานอย่างรัดกุมและควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีงานรับจ้างพิมพ์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท และได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการยานยนต์ มุ่งเน้นการนำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ล่าสุดได้รับงานจากค่ายรถ Mini เป็นผู้จัดทำวิดีโอ พรีเซนเทชั่น เพื่อใช้โปรโมตภายในงานแนะนำรถกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และอยู่ระหว่างเสนองานกับผู้ประกอบการยานยนต์ชั้นนำจากยุโรปอีก 2 แบรนด์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน บริษัท ออโตเมทริกซ์ โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPI และ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านดิจิทัลมีเดียและการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หลังจากได้ร่วมมือกันพัฒนาแอปพลิเคชัน Car Buddy by GPI เพื่อให้บริการค้นหาอู่ซ่อมรถใกล้บ้านและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการบำรุงรักษารถ ล่าสุดได้พัฒนาฟังก์ชันใหม่ให้บริการค้นหาศูนย์บริการทำความสะอาดรถ (Car Care) แก่ลูกค้าที่สนใจ  เพื่อโอกาสสร้างรายได้จากการใช้แอปพลิเคชันโปรโมตศูนย์บริการหรือกิจกรรมโปรโมชั่นต่างๆ ให้แก่ลูกค้า รวมถึงมีแผนนำฐานข้อมูลผู้เข้าชมแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่มีความต้องการซื้อรถรุ่นต่างๆ ในช่วงนี้ เพื่อเป็นคนกลางในการแมตชิ่งกับผู้ประกอบการยานยนต์แบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่จะสร้างรายได้แก่บริษัทฯ ในอนาคต

นอกจากนี้ หลังจากบริษัทฯ เข้าถือหุ้น 25.45% ในบริษัท ทรูเอ็นเนอร์จี จำกัด เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) จังหวัดนครสวรรค์ กำลังการผลิตติดตั้ง 9 เมกะวัตต์ (MW) ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการจากภาครัฐ หากสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจดังกล่าว

ส่งแรงใจเชียร์ “ต้นกล้า-นิปุณ” คว้ามงฯ Mister & Miss Supranational ในวันที่ 22 ส.ค. นี้

วสวัตติ์ วัฒนาศิริสมบัติ ผู้บริหาร Possible Dream Thailand พร้อมด้วย กรณ์ สรธัญธรณ์ ตัวแทนคณะผู้จัดการประกวด Mister & Miss Supranational Thailand 2021-2024 ได้นำ นิปุณ แก้วเรือน หรือ ต้นกล้า Mister Supranational Thailand 2021 เข้าเยี่ยมคารวะ นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศโปแลนด์ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเข้าประกวดเวที Mister
Supranational 2021 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2564

ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้ให้กำลังใจ โดยกล่าวอวยพรให้ นิปุณ แก้วเรือน หรือ ต้นกล้า และ เบญจรัตน์ อัครวณิชศิลป์ เอบิ หรือ ควีนนี่ (ตัวแทนประเทศไทยที่จะเข้าร่วมการประกวด Miss Supranational 2021 ซึ่งอยู่ระหว่างการเก็บตัว) ประสบความสำเร็จในการประกวด พร้อมทั้งมอบเข็มกลัดสัญลักษณ์ธงชาติไทย-โปแลนด์ ในฐานะทูตสันถวไมตรี (Goodwill Ambassador)
ผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่ชาวโลก ให้แก่ผู้เข้าประกวดทั้งสอง โดยมี อลิสา มากสัมพันธ์ ภริยาทูตไทย ประจำกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ และ ต่อพงศ์ สมิติ เลขานุการเอก ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมถ่ายทอดตำนานนกฟีนิกซ์ สัญลักษณ์ของ การสู้ไม่ถอย และ เกิดใหม่ได้เสมอ เปรียบเสมือนกับชนชาติโปแลนด์ ซึ่งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ในอดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากมาแค่ไหน ประชาชนโปแลนด์ก็มีจิตใจที่สู้ไม่ถอย พร้อมสร้างเมืองใหม่ ภายใต้สถาปัตยกรรมที่งดงามและมีเอกลักษณ์ดังเดิมได้เสมอ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็น UNESCO World Heritage Sites โดย

ฯพณฯ เอกอัครราชทูต พร้อมภริยาและเลขานุการเอกจะให้เกียรติเดินทางไปร่วมให้กำลังใจแก่ตัวแทนประเทศไทย ในวันประกวดจริงอีกด้วย ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้เข้าประกวดทั้งสอง ผ่านการโหวตบนแอพพลิเคชั่น Supranational ใน หมวด Fan Vote เพื่อให้เป็นผู้มีคะแนนสูงสุดที่จะได้รับ “ฟาสต์แทร็ก” ในการเข้ารอบ 12
คนสุดท้าย เพื่อนำโครงการ From The Ground Up ที่สร้างสรรค์มุ่งหมายในการพัฒนาสังคมไทยให้ขยายใหญ่ไปเป็นระดับโลก หรือ ส่งคะแนนโหวตใน หมวด Talent Entry และชมคลิปผ่านแฟนเพจ และ ยูทูป ของกองประกวด Mister
Supranational และ Miss Supranational เพื่อส่งต้นกล้าและควีนนี่ให้มีโอกาสไปแสดงความสามารถบนเวทีใหญ่ให้โลกได้ประจักษ์ ได้ทาง  https://youtu.be/2upTlSTXlek และ https://youtu.be/Bt4qh84hS04

พร้อมร่วมส่งแรงเชียร์ให้แก่ ควีนนี่ ผ่านการถ่ายทอดสดบนแฟนเพจ Miss Supranational ในวันที่ 22 สิงหาคม 2564 เวลา 1:00 น. เป็นต้นไป และ ต้นกล้า ผ่านการถ่ายทอดสดบนแฟนเพจ Mister Supranational ในวันที่ 22
สิงหาคม 2564 เวลา 21:00 น. เป็นต้นไป

มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล ไทยแลนด์ 2021 (Miss & Mister Supranational Thailand 2021) อีกหนึ่งเวทีคุณภาพที่จัดขึ้นเพื่อการคัดเลือกหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ บุคลิกภาพและความพร้อมที่จะขับเคลื่อนสังคม และร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ภายใต้แนวคิด
Aspirational & Inspirational โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล ไทยแลนด์ 2021 จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประกวดบนเวทีระดับโลก มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล 2021 (Miss & Mister Supranational 2021) 1 ใน 5 เวทีการประกวดระดับแกรนด์สแลม (Grand Slam) ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของโลก ในวันที่ 21-22 สิงหาคม 2564 ณ ประเทศโปแลนด์

LEO ไตรมาส2 กำไรพุ่ง 42.7 ล้าน ทุบสถิติใหม่ เติบโต 125%

LEO โชว์ผลงานสะท้านวงการโลจิสติกส์! ไตรมาส 2/64 กำไรเดือด 42.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% YoY ส่วน 6 เดือนแรกกำไรสุทธิ 69.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% YoY สร้างสถิติสูงสุดใหม่ กำไรครึ่งปี 2564 มากกว่ากำไรของปี 2563 ทั้งปี รับอานิสงส์ค่าระวางเรือพุ่งกระฉูด ออเดอร์ทะลัก บิ๊กบอส “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์”ฉายภาพครึ่งปีหลังโตเด่น เข้าสู่ช่วง High Season ของการส่งออก แถมยังเริ่มเปิดฉากบุ๊กรายได้ขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ภัณฑ์ ให้กับ China Post Group ในไตรมาส 3 หนุนผลงานปี 64 ออลไทม์ไฮ ตามนัด บอร์ดใจป้ำ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.07 บาท / หุ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/64 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ) มีรายได้รวม 559.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 310.0 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิ 42.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 19.0 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 1,033.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 538.1 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 69.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 28.3 ล้านบาท  และยังทำให้กำไรสุทธิของผลประกอบการครึ่ง ปี 2564 ที่ 69.8 ล้านบาทนี้ มากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2563 ที่ทำได้ 57.8 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 และครึ่งปีแรกที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังทำ New High อีกทั้งปริมาณความต้องการขนส่งทางเรือและอากาศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งระหว่างประเทศทางเรือของบริษัทฯ ในระยะเวลา 6 เดือนของปี 2564  เติบโตเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 และมีรายได้เพิ่มขึ้น 144% เมื่อเทียบกับปีก่อน   และมีแนวโน้มโตต่อเนื่องถึงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ ด้วยการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์และการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้ทางบริษัทฯ สามารถจัดหาพื้นที่และตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งสินค้าได้ตามความต้องการของผู้ส่งออก    จึงทำให้บริษัทฯ มีลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2563 ถึง 40% และปริมาณตู้เพิ่มขึ้นถึง 52% (YoY)

นายเกตติวิทย์ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความเชื่อมั่นของนักลงทุน  ที่มีต่อหุ้นของ LEO และรักษาคำมั่นสัญญาของบริษัทฯ ที่ตั้งใจจะทำให้หุ้น LEO เป็น BLUE CHIP STOCK  ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในไทย ทางคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท และสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้  คาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วง High Season ของการส่งออก อีกทั้งในไตรมาส 3/64 บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากการร่วมเป็นพันธมิตร China Post Group ในการขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ภัณฑ์ โดยเฉพาะ  E-Commerce ระหว่างประเทศ ผลักดันรายได้และกำไร  All Time High ตามแผนงานที่วางไว้ และจะมีการประกาศปรับเป้าหมายในการเติบโตของรายได้ใหม่ในเร็วๆ นี้