ช้อปอะไรดี? YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening

เดอะเฟสช็อป (THE FACE SHOP) เครื่องสำอางอันดับ 1 จากประเทศเกาหลี ขอแนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย เพียว ไบร์ทเทนนิ่ง) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบันทึกความงามและเคล็ดลับความงามของสาวเกาหลีที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมมอบความกระจ่างใสให้กับผิวอย่างล้ำลึก ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ด้วยส่วนผสมหลักของ “โสมขาว” “ไข่มุก” สมุนไพรเกาหลีโบราณ และอัพเกรดเพิ่มเติมด้วยสารสกัดจากดอกไม้ “White Magnolia” (ไวท์แมกโนเลีย) จากเกาะเจจู พร้อมส่วนผสมจาก “ซีรีน &อลันโทอิน” ลิขสิทธิ์เฉพาะของ LG H&H’s โดยในชุดผลิตภัณฑ์ YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening ประกอบไปด้วย

  • YEHWADAM Jeju Magnolia Toner (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย โทนเนอร์) โทนเนอร์เนื้อฟลูอิดใส มอบความรู้สึกสดชื่นสู่ผิว เตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุง
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Serum (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย เซรั่ม) เซรั่มเนื้อซึมไว มอบความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น ปรับให้ผิวกระจ่างใส ฉ่ำวาว ลดเลือนจุดด่างดำให้จางลง ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดสาเหตุของความหมองคล้ำ
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Emulsion (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย อิมัลชั่น) อิมัลชั่นมอบความชุ่มชื้นเข้มข้น เนื้อเนียนนุ่ม เกลี่ยง่าย สร้างชั้นฟิล์มความชุ่มชื้นเคลือบผิว ให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Cream (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย ครีม) ครีมเข้มข้น เนื้อเนียนนุ่ม เกลี่ยง่าย มอบความเปล่งปลั่ง ฉ่ำวาวให้ผิวทันที เติมเต็มชั้นผิวให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ผิวดูกระจ่างใส เปล่งปลั่งขึ้นทันทีที่ใช้

สำหรับผู้ที่สนใจ YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่เดอะเฟสช็อปทุกสาขา และสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.thefaceshopthailand.com  หรือ Line ID: @thefaceshop.th Lazada และ Shopee

รวมพลัง “พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เดินหน้าต่อยอดแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ระดมความร่วมมือหน่วยงานชั้นนำของประเทศจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ มาร่วมกันสร้าง เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย เพื่อก่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ในการ พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย โดยร่วมกันเป็นผู้แทนในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการรับรู้ ความตื่นตัว และความภาคภูมิใจในนวัตกรรมฝีมือคนไทย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความชำนาญระหว่างกัน ล่าสุดมีเครือข่าย 73 องค์กร ที่ตอบรับและพร้อมจะขับเคลื่อนนวัตกรรมประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการก้าวสู่อันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573 และนำประเทศไทยก้าวเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความรู้และความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนากำลังคนที่เหมาะสม การกำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาด้านนวัตกรรมที่ชัดเจน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และยืดหยุ่นในการปฏิบัติ โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติได้ระบุวาระการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของ อว. ในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม ผ่านการบ่มเพาะและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการนวัตกรรม การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการสร้างและแปลงนวัตกรรมสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ในส่วนกลาง แต่ยังขยายโอกาสการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปยังภูมิภาค นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนงานด้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่ครอบคลุมทั้งการสร้างธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคม และการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมเชิงสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

“สำหรับแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ที่ NIA ได้ริเริ่มขึ้นนี้ เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการพลิกฟื้นประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤต และเปรียบเสมือนเครื่องมือในการ สร้างมุมมองใหม่ของประเทศไทยที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งนำนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม และกิจกรรมการสร้าง เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย ในครั้งนี้ ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้การกำหนดนโยบาย การดำเนินงาน และการสื่อสารด้านนวัตกรรมไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น ชาติแห่งนวัตกรรม (Innovation Nation)” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าว

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “จากวิกฤตปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น กับดักรายได้ปานกลาง ต้นทุนการผลิตสูง การแข่งขันทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ห่วงโซ่อุปทานของโลกกำลังเปลี่ยนไป ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งการเข้าถึงบริการของรัฐ การเข้าถึงด้านดิจิทัล ด้านการศึกษา และ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น PM 2.5 ปัญหาน้ำแล้ง น้ำเค็ม น้ำท่วม ฯลฯ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่ง NIA เชื่อว่า “นวัตกรรม” จะเป็นทางออกในการพลิกฟื้นประเทศจากวิกฤต จึงต่อยอดแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ภายใต้แนวคิด พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย โดยมุ่งเน้นให้คนไทยเห็นความสำคัญในการร่วมกัน “พลิกธุรกิจให้รอด” จากการนำนวัตกรรมมาพลิกโมเดลธุรกิจ “พลิกชีวิตให้สุข” จากการนำนวัตกรรมมาพลิกแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ “พลิกสิ่งแวดล้อมให้ดี” จากการนำนวัตกรรมมาพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม”

แพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ชาติแห่งนวัตกรรม” โดยวางกรอบการดำเนินงานใน 4 ด้าน ได้แก่

1) จุดยืนนวัตกรรมประเทศไทย ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยอยู่ใน 30 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก ภายในปี 2573 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศด้านนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

2) ดีเอ็นเอนวัตกรรมประเทศไทย ที่มุ่งสร้างให้เกิดอัตลักษณ์ไทยรังสรรค์คุณค่าใหม่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นใน 7 ด้าน

3) เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย ด้วยการสร้างให้เกิดพันธมิตรนวัตกรรมไทยสู่ตลาดโลกผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานชั้นนำของประเทศทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ

และ 4) แดชบอร์ดนวัตกรรมประเทศไทย โดยมีเป้าหมายให้เกิดข้อมูลนวัตกรรมประเทศไทย ที่มีการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลนวัตกรรมของประเทศที่มีความหลากหลายจากทุกภาคส่วน

การเปิดตัว “เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย” ในวันนี้ มีเป้าหมายในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม และทำให้คนไทยและชาวต่างชาติรับรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่เป็น นวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่ประณีต โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีองค์กร 73 แห่ง ที่ตอบรับเข้าร่วมเป็นเครือข่าย ซึ่งจะร่วมมือกันใน 3 ด้าน ได้แก่

1) เป็นผู้แทนประเทศในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมความร่วมมือกันในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การลงนาม ความร่วมมือ การจัดสัมมนานวัตกรรม การจัดแสดงผลงานนวัตกรรม

2) สร้างการรับรู้และความตื่นตัวด้านนวัตกรรมขึ้นในประเทศไทย ผ่านการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างให้เกิดความตื่นตัวและสนใจนำนวัตกรรมฝีมือคนไทยมาใช้หรือต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

และ 3) แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความชำนาญระหว่างกัน ผ่านความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ด้านนวัตกรรมทั้งแนวกว้างและแนวลึกระหว่างหน่วยงานในเครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย

ผู้สนใจดูนวัตกรรมไทยที่น่าภาคภูมิใจได้ที่ www.innovationthailand.org  หรือ FB : Innovation.THA และสามารถดูข้อมูลความรู้ การให้บริการนวัตกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างและใช้ประโยชน์นวัตกรรมอย่างแพร่หลาย

สานต่อโครงการ Life’s Better with Dogs บริจาควัคซีนและอาหารสุนัข

เนื่องด้วยทุกวันที่ 28 กันยายนของทุกปี ได้กำหนดให้เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day) องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) จึงสานต่อ โครงการ Life’s Better with Dogs เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงความรุนแรงและอันตรายของโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงเห็นความสำคัญของการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไป ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและโรคสัตว์สู่คนจากเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 อีกด้วย

สัตวแพทย์หญิงชนัดดา เครือประดับ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ทำงานในการขับเคลื่อนสังคม นโยบาย และปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ต่างๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบทบาทในการทำงานด้านสัตว์ในชุมชน เช่น สุนัขและแมว โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมและจัดการประชากรสุนัขอย่างมีมนุษยธรรม อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้คนและสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยภายใต้โครงการ Life’s Better with Dogs ซึ่งได้เริ่มการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคพิษสุนัขบ้า การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ การจัดทำคู่มือสำหรับฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากสัตวแพทย์เป็นผู้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับสุนัขและแมวจรจัด เป็นต้น โดยปีนี้เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day) เราได้มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัดให้ปลอดโรคและยังทำให้ชุมชนปลอดภัยจากอันตราย พร้อมมอบอาหารสุนัขให้แก่วัดหัวคู้ จังหวัดสมุทรปราการและชุมชนดินแดง เพื่อช่วยเหลือในช่วงวิกฤษโควิด-19 อีกด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปีนี้จากกรมควบคุมโรค เผยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ารวมทั้งสิ้น 5 รายทั่วประเทศไทย* และด้วยข้อจำกัดในการปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและทำหมันในสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่ลดลง สัตว์ถูกทอดทิ้งมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ คือ เรื่องสวัสดิภาพสัตว์และการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ ตลอดจนปฏิบัติตามแนวทางที่เรียกว่า CNVR ได้แก่ Catch คือ การจับสุนัขและแมว N คือ Neuter การทำหมัน V คือ Vaccinate การฉีดวัคซีน และ R คือ Return การนำกลับไปที่เดิม สิ่งเหล่านี้จะเป็นวิธีควบคุมจำนวนประชากรสุนัขที่ได้ผลและมีมนุษธรรม รวมถึงการสร้างสวัสดิภาพที่ดีให้กับสุนัขด้วยเช่นกัน

สำหรับโครงการ Life’s Better with Dogs ที่มุ่งรณรงค์และให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทั่วไปมีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง ตลอดจนลดปัญหาสุนัขจรจัดในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ในปีนี้องค์กรฯ ได้มอบวัคซีนฯ จำนวน 20,100 โดส ให้แก่กรมปศุสัตว์ อีกทั้งยังส่งมอบอาหารสุนัขและแมวจำนวนกว่าสองตัน ถวายแด่พระปริยัติวงศาจารย์ (ประชุม ปวโร) เจ้าคณะตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ เจ้าอาวาสวัดหัวคู้ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้ผู้ดูแลนำไปเลี้ยงสุนัขจรจัดที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งภายในวัดเป็นจำนวนมากกว่า 400 ตัว ซึ่งส่วนหนึ่งของสุนัขเหล่านี้ถูกนำมาทิ้งเนื่องจากเจ้าของได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้มอบอาหารเพื่อช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัดในพื้นที่ชุมชนดินแดงจำนวนรวมกันทั้งสุนัขและแมวเกือบ 400 ตัวอีกด้วย

OCEAN เผยแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังในงาน Opportunity Day

ธีร ชุติวราภรณ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร , กิตติคุณ พินขาว (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN ได้นำเสนอข้อมูลบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เผยแผนงานในช่วงครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านรามอินทรา มูลค่า 480 ล้านบาท คาดสร้างเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มทยอยโอนต้นปี 2565 พร้อมจับมือพันธมิตรลุยผลิตและจำหน่ายโปรดักส์ “กัญชง-กัญชา” ก้าวสู่การเป็นผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ หนุนผลงานปี 65 โตก้าวกระโดด

GLORY จ่อเทรด mai ปลายปีนี้ ระดมทุนสู่ตลาดโลก

ขียน หนังสือ นิยาย การ์ตูน ออนไลน์ เดินหน้าระดมทุน IPO 70 ล้านหุ้น จ่อเทรด mai ภายในปีนี้ ด้าน CEO “จรัญพัฒณ์ บุญยัง” ระบุ เร่งระดมทุนขยายการลงทุนเพื่อพัฒนา Platform รองรับการ Scale Up ไปยังต่างประเทศ 

นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาทคิดเป็นร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปีนี้

สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมขยายการลงทุนเพื่อพัฒนา Platform รองรับการ Scale Up ไปยังต่างประเทศ รวมถึงเตรียมแปลลิขสิทธิ์วรรณกรรมไทยที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เป็น Prototype ส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดตลาดของวรรณกรรมไทยด้านออนไลน์ ให้มากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการในอนาคต

“เงินระดมทุนที่ได้จากการ IPO ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมไปถึงการซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรมจากต่างประเทศ เพิ่มเติมประมาณ 70% จากที่มีในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้า รองรับแนวทางการขยาย Platform และช่องทางการจัดจำหน่ายวรรณกรรม ให้มีลิขสิทธิ์ครอบคลุมสำหรับตอบสนองลูกค้าได้ในทุกกลุ่มเป้าหมาย”

GLORY เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการเทคสตาร์ทอัพ (Tech Startup) ที่พัฒนาแพลตฟอร์มด้านวรรณกรรม สำหรับ อ่าน-เขียน นิยาย การ์ตูน และ หนังสือ ผ่านช่องทางดิจิทัล โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายหลักผ่านเว็บไซต์ “Kawebook.com” และแอปพลิเคชั่น“Kawebook” โดยมีทั้งในส่วนที่เป็นวรรณกรรมแปลจากภาษาต่างประเทศ นิยายแปล วรรณกรรม จากสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย และจากนักเขียนอิสระ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงการหนังสือให้เข้าสู่โลกออนไลน์ ภายใต้การสนับสนุนนักเขียน นักแปล สำนักพิมพ์ และค่ายการ์ตูน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงหนังสือได้ง่ายขึ้นและสามารถเชื่อมกันทั่วโลก

นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY กล่าวว่า “บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายการส่งออกงานวรรณกรรมไทยไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักมากขึ้น โดยมีภาษาอังกฤษเป็นตัวกลางในการแปลภาษา รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับภาษาต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตลาด Platform อ่าน-เขียน หนังสือออนไลน์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ”

ในขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2561 – 2563 GLORY มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของลิขสิทธิ์วรรณกรรมบน Platform รวมไปถึงการพัฒนา Platform และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และบริการที่หลากหลาย โดยมีรายได้จากการจำหน่ายและบริการ 42.52 ล้านบาท 73.49 ล้านบาท และ 78.42 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 35.81 % ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรก  ปี 2564 มีรายได้จากการจำหน่ายและบริการ 45.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตขึ้น 19.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7.40 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GLORY  กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนา Platform ใหม่เพิ่มเติม โดยเล็งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายนักอ่านเพศหญิงมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทฯ ได้รับการจดจำจากความโดดเด่นในแนววรรณกรรมหมวดมันส์ ซึ่งมีฐานลูกค้าในกลุ่มเพศชายอายุ18 – 40 ปีเป็นหลัก โดย Platform ใหม่จะมีการพัฒนา Feature ที่จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายนักอ่านเพศหญิง และกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานลูกค้านักอ่านในกลุ่มใหม่ๆ รวมถึงพัฒนา Platform ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน (UX) มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ GLORY มีทุนจดทะเบียน 135 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ประกอบด้วย บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 102 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% และหลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.78% นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ถือหุ้นจำนวน 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 45% และหลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 33.44% โดยภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน โดยจะแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 270 ล้านหุ้น

ส่องอุตสาหกรรมก่อสร้างโค้งสุดท้ายปลายปีเติบโตต่อเนื่อง

บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง’ ผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาแบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มองอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยโค้งสุดท้ายปลายปีขยายตัวต่อเนื่อง รับภาครัฐเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง พร้อมโชว์ประสบการณ์การดำเนินงานและหลักบริหารจัดการสมัยใหม่ รับมือปัญหาแรงงานขาดแคลนซึ่งเป็นโจทย์ความท้าท้ายของอุตสาหกรรมหลังโควิด-19 ล่าสุด โชว์ศักยภาพการบริหารโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 สายคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ด้านตะวันตกตอน แล้วเสร็จเร็วกว่าแผน ช่วยการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมด้านโลจิสติกส์และการขนส่งของประเทศไทยให้มีความสมบูรณ์  

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จากการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ของภาครัฐหลายโครงการทั้งระบบราง โครงข่ายถนนทั้งทางยกระดับและทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง  (มอเตอร์เวย์) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเข้มแข็ง หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างเข้ารับงานโครงการของภาครัฐ เพื่อช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมากขึ้น 

ทั้งนี้ ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาแบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ จะนำองค์ความรู้ความชำนาญจากประสบการณ์การบริหารโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มากว่า 50 ปี และข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความชำนาญวิศวกรรมก่อสร้าง มีนวัตกรรมเทคโนโลยีและเครื่องจักรอุปกรณ์ และมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้าง เช่น ชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานโครงสร้างสะพานและรถไฟความเร็วสูง โรงงานแอสฟัลท์ติกคอนกรีต คอนกรีตผสมเสร็จ ท่อระบายน้ำคอนกรีต ราวเหล็กลูกฟูก ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้บรรลุเป้าหมายของทุกฝ่ายที่ตั้งใจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น  

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้นำหลักบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อบริหารโครงการ โดยเน้นความคล่องตัว ยืดหยุ่น สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที เพื่อรับมือความเสี่ยงการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมในโลกหลังยุคโควิด-19 โดย CIVIL จะใช้ความชำนาญในวิศวกรรมโยธาของทีมบุคลากร เพื่อเลือกใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและเครื่องจักรอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้าง ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการให้มีประสิทธิภาพ  

ทั้งนี้ ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพการบริหารงานโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ครอบคลุมประเภทงานทาง งานทางรถไฟทั้งรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง งานท่าอากาศยาน งานเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ด้วยเป้าหมายที่สามารถส่งมอบงานที่มีคุณค่า คุณภาพสูง ปลอดภัย ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อก่อให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่ายด้านคมนาคมของประเทศไทย ช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศที่ดียิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในสังคม  

ล่าสุด บริษัทฯ ประเมินว่าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 ตอน สายคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ด้านตะวันตกในเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซี่งเป็นโครงการที่ CIVIL ได้พัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทยและเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญด้านคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้านโลจิสติกส์และขนส่งของไทยให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปี แม้ที่ผ่านมาการดำเนินงานก่อสร้างต้องหยุดดำเนินงานไป เดือน ภายหลังภาครัฐมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นไตรมาส  ที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ คาดว่าจะบริหารโครงการให้แล้วเสร็จและส่งมอบงานที่มีคุณภาพให้แก่ภาครัฐได้ทันตามกำหนด เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนและภาคขนส่งสินค้ามีความสะดวก รวดเร็ว และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยพัฒนาเติบโตต่อไปในอนาคต    

“อุสาหกรรมก่อสร้างมีขนาดใหญ่คิดเป็น 8-9% ของจีดีพี ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภาครัฐจึงมีนโยบายชัดเจนด้านการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ให้เอกชนมีส่วนร่วมพัฒนาโครงการ ทั้งรูปแบบการเปิดประมูลบริหารโครงการก่อสร้าง หรือเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ซึ่ง CIVIL พร้อมนำศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง เข้าร่วมบริหารโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้มีคุณภาพสูงสุด เชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคม สร้างวิถีชีวิตที่ดีและมั่นคงให้กับคนไทยทุกคน” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว   

UBE ดีเดย์ลงสนามเข้าเทรดใน SET วันแรก 30 ก.ย.นี้

บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังครบวงจร พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 30 กันยายนนี้ ใช้ชื่อย่อ ‘UBE’ ในการซื้อหลักทรัพย์ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดี ปลื้มยอดจองซื้อหุ้น IPO ล้นหลาม ชูพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่นยกระดับเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) เพื่อเติบโตอย่างมั่นคงในระยาว       

นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 กันยายนนี้ บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้ชื่อย่อ ‘UBE’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีกำลังการผลิตและส่งออกมันสำปะหลังเป็นอันดับต้นของโลก ทำให้มีความได้เปรียบที่จะต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคต ผ่านการดำเนินธุรกิจที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้ง 3 ธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาจำนวน 1,370,000,000 หุ้น  ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวน  1,174,286,000 หุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ไทยออยล์ เอทานอล จำกัด จำนวน 97,857,000 หุ้น และ (3) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) จำนวน 97,857,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.40 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าความคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต ทำให้ UBE เป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ UBE มุ่งมั่นเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการขยายธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยาว โดยแผนการลงทุน ประกอบด้วย (1.) การขยายธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง ภายในปี 2565-2566 ผ่านการลงทุนขยายกำลังการผลิตแป้งฟลาวมันสำปะหลัง ให้เป็น 300 ตันต่อวัน หรือเทียบเท่า 90,000 ตันต่อปี ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตแป้งฟลาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 100 ตันต่อวัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และการลงทุนสร้างสายการผลิตสารให้ความหวาน (Sweetener) เช่น ไซรัป (Syrup) และมอลโทเดกซ์ทริน (Maltodextrin) กำลังการผลิต 300 ตันต่อวัน จำนวน 300 ล้านบาท รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยจะลงทุนในเครื่องจักรใหม่ต่างๆ เช่น เครื่องโม่หัวมันสำปะหลัง และเครื่องสลัดแป้ง เป็นต้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท

(2.) การขยายธุรกิจเกษตรอินทรีย์ ภายในปี 2565ผ่านการลงทุนก่อสร้างโรงสีเชอร์รี่กาแฟออร์แกนิค โดยได้เริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟออร์แกนิค ซึ่งเป็นสินค้าทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูงกับเกษตรกรในพื้นที่แขวงสาละวัน สปป.ลาว ซึ่งการลงทุนก่อสร้างโรงสีเชอร์รี่กาแฟ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ยังช่วยควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟออร์แกนิค และช่วยวางแผนการรับซื้อวัตถุดิบและแผนการผลิตได้อย่างคล่องตัวตามแผนการขาย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดกาแฟออร์แกนิคโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) และกลุ่มประเทศแถบยุโรป (EU) ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบเพื่อรับรองมาตรฐานออร์แกนิคสากล คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 65 ล้านบาท สามารถรองรับวัตถุดิบเชอร์รี่กาแฟได้ 200 ตันต่อวัน เทียบเท่า 12,000 ตันต่อปี และการลงทุนก่อสร้างโรงคั่วกาแฟออร์แกนิคในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นช่องทางการจำหน่ายและสถานที่รับรองลูกค้าในการชมกระบวนการผลิตและทดลองชิมกาแฟ ที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟออร์แกนิค ปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบโครงการ เบื้องต้นคาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 35 ล้านบาท

และ (3.) ขยายธุรกิจเอทานอล ภายในปี 2566-2567 ผ่านการลงทุนขยายกำลังผลิตเอทานอลในระยะสั้น โดยการมุ่งปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการผลิตเอทานอล เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะใกล้ โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานเอทานอลผ่านการทำ De-bottlenecking Capacity 40,000 ลิตรต่อวัน เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงนโยบายลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อลดการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมในอนาคต

“จะเห็นได้ว่าภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) UBE จะปรับลดการผลิตแป้งมันสำปะหลังแบบทั่วไป (Native Starch) จากปัจจุบัน 1.1 แสนตันต่อปี เหลือเพียง 4-5 หมื่นตันต่อปี และจะเพิ่มการผลิตแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค (Organic Starch) มาทดแทน ซึ่งมีอัตรากำไรต่อหน่วยที่สูงกว่า รวมถึงขยายกำลังการผลิตแป้งฟลาวมันสำปะหลังให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม โดยวางเป้าหมายในอนาคตหรือปี 2569 คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพิ่มเป็น 80% จากปัจจุบันอยู่ที่ 33% ของรายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลังทั้งหมด เพื่อรองรับอาหารเพื่อสุขภาพแห่งอนาคต ตอบรับกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ และจะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรไทยให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย ถือเป็นหนึ่งในโมเดลของธุรกิจสร้างการเติบโตในภาคธุรกิจและช่วยเหลือชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน” นายเดชพนต์ กล่าว

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE เป็นผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรือ Well-Integrated Tapioca Player และหลังจากนี้ UBE จะขยายเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์ ที่พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างครบวงจร เพื่อส่งเสริมวิถีการเกษตรอินทรีย์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คู่ขนานสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำของโลก โดยจะดำเนินการควบคู่กับธุรกิจพลังงาน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว ภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการเกษตร และพัฒนาชุมชน ให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ร่วมกันกับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน จึงเชื่อว่า UBE จะเป็นหนึ่งในหุ้น IPO น้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน

“นอกจากเป้าหมายสร้างผลการดำเนินงานที่ดีแล้ว ธุรกิจของ UBE ยังมีส่วนช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย เพราะการลงทุนของ UBE จะเข้าไปดูถึงการผลิตของเกษตรกร ช่วยยกระดับสินค้าให้เป็นออร์แกนิค 100% เพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้า สามารถสร้างรายได้ที่มากกว่าปกติ แถมยังช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้เกษตรกร ผ่านโครงการอุบลโมเดล ทำให้การผลิตที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นางรัชดา กล่าว

SCI ชนะประมูลโรงไฟฟ้าชุมชน

SCI ชนะประมูล “โรงไฟฟ้าชุมชน” 4 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 11 MW ฟากผู้บริหาร “เกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล” มั่นใจพร้อมเดินหน้าขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ตามแผน

รายงานข่าว แจ้งว่า วันที่ 23 กันยายน 2564 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) จำนวน 43 บริษัท จากที่ยื่นผ่านการพิจารณาทางด้านเทคนิคจำนวน 169 บริษัท

ทั้งนี้ กำหนดลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 120 วัน นับจากวันประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก หรือภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567

นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) หรือ SCI เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนของ SCI ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 11 เมกะวัตต์ และมั่นใจว่าจะสามารถเดินหน้าโครงการร่วมกับเครือข่ายเกษตรกร และจัดหาวัตถุดิบที่นำมาใช้สำหรับโรงไฟฟ้าชุมชนในแต่ละพื้นที่ ตามแผนงานที่วางไว้

“ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับ SCI ในการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงาน เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต” นายเกรียงไกร กล่าวในที่สุด

OCEAN ลุยอสังหาฯ แนวราบย่านรามอินทรา

OCEAN ประกาศบุกตลาดอสังหาฯแนวราบ เตรียมเปิดโปรเจคใหม่ THE VALOR โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ย่านรามอินทรา มูลค่า 480 ล้านบาท สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด คาดสร้างเสร็จปลายปีนี้และเริ่มทยอยโอนต้นปี 65 หนุนยอดขายเติบโตแข็งแร่ง จากปัจจุบันมี Backlog ในมือกว่า 600  ล้านบาท ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ธีร ชุติวราภรณ์” พยายามที่จะล้างขาดทุนสะสมให้ได้ภายในปี 64 พร้อมปั้น New S Curve จับมือพันธมิตรลุยผลิตและจำหน่ายโปรดักส์ “กัญชง-กัญชา” ก้าวสู่การเป็นผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ หนุนผลงานปี 65 โตก้าวกระโดด

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯเตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านรามอินทรา โครงการ THE VALOR มูลค่า 480 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน เพราะเป็นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อที่เติบโตได้ต่อเนื่อง และมีความต้องการสูง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ความต้องการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและจะเริ่มโอนในต้นปี 2565

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ในงวดครึ่งปีแรกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากจุดเด่นทำเลที่ตั้ง และการนำเสนอบริการด้านต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ทำให้โครงการคอนโดมิเนียม IKON SUKHUMVIT77 มูลค่า 1,170 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มมีการโอนจนถึงปีสิ้นปี 2564 คาดว่าจะมียอดโอนคิดเป็น 78% ส่วนโครงการ IKON UDOMSUK มูลค่า 600 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 85% ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ผลตอบรับดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 600 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ในปี 2565

“มั่นใจว่าปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายรายสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนมาจากธุรกิจอสังหาฯที่ฟื้นตัว และกำลังซื้อเริ่มทยอยกลับมาหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายที่จะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 80 ล้านบาท ให้หมดภายในปีนี้ให้ได้”

เขากล่าวต่อว่าเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและมั่นคง ทีมผู้บริหารของบริษัทฯได้มองโอกาสในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้าง New S Curve โดยล่าสุด ได้ผนึกกำลังร่วมกับ 2 พันธมิตรในตลาดกัญชง-กัญชา บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ในฐานะโรงงานผลิตยา , อาหารเสริม , เครื่องสำอาง , สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินบำรุงร่างกาย รวมทั้งกาแฟ เพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาและอาหารเสริมกับองค์การคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า กว่า 2,000 ผลิตภัณฑ์ และบริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด ผู้ออกแบบและพัฒนาระบบปลูกกัญชง-กัญชาอัจฉริยะ เพื่อป้อนวัตถุดิบให้กับบริษัท ทำให้ก้าวสู่ความเป็นผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ OCEAN ได้นำเข้าเครื่องจักรขนาดกำลังการผลิต 300 กก./เดือน ซึ่งสามารถแยกสาร CBD ได้ 4 รูปแบบ เริ่มตั้งแต่ FULL SPECTRUM , BROAD SPECTRUM , CBD ISOLATE และ WATER SOLUBLE CBD ISOLATE  จุดเด่นสามารถสกัดได้ในระดับ ISOLATE CBD WATER SOLUBLE ซึ่งสามารถผสมเครื่องดื่มได้ทันที ต่างจากคู่แข่งในตลาดที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวอีกว่า หลังบริษัทฯได้รับใบอนุญาตแล้วก็จะสามารถเดินเครื่องผลิต เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าได้ทันที และตามแผนงานของบริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจสกัดสารกัญชงกัญชาในปีนี้ราว 15-20 ล้านบาท ก่อนขยับขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ในปี 2565 มีแผนงานที่จะลงทุน เพื่อนำเข้าเครื่องจักรเพิ่ม เพื่อรองรับดีมานด์ลูกค้า ที่มีเป็นจำนวนมาก เพิ่มโอกาสผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากธุรกิจกัญชง-กัญชา

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดครึ่งแรกของปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 27.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.84% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 16.96 ล้านบาท

คันทรี่ กรุ๊ป แนะลงทุน ASIAN และ KCE

นายวทัญ จิตต์สำนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า จุดสำคัญสัปดาห์นี้ได้แก่การประชุม FED ทราบผลอย่างเป็นทางการเช้าวันที่23 ก.ย. สาเหตุที่ค่อนข้างสำคัญเนื่องจากจะมีการเปิดเผยทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ แนวโน้มดอกเบี้ยและถ้อยแถลงเกี่ยวกับวงเงิน QE รวมถึงมีผลต่อ SET INDEX ผ่านอัตราแลกเปลี่ยนสกุลบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประชุม FED ครั้งนี้ มอง Scenario ดังต่อไปนี้ (1) เป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยคือถ้อยแถลงจาก FED บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังห่างไกลเป้าหมาย , ดอกเบี้ยยังมิสามารถขึ้นได้ , ยังไม่เร่งลดวงเงิน QE ภายในปีนี้ กรณีข้างต้นผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยคือเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าและอาจมีจังหวะ Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าบ้างแต่จะเป็นลบกับกลุ่มส่งออก (2) เป็นลบกับตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยกล่าวคือ FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิมพร้อมประกาศลดวงเงิน QE ทันทีในการประชุมงวดนี้ หากเป็นกรณีข้างต้นเชื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ากดดันบาทอ่อนค่า Fund Flow มีโอกาสออก แต่จะเป็นบวกกับกลุ่มส่งออก (ASIAN HANA KCE TU) แต่ให้น้ำหนักกระทบหุ้นไทยระยะสั้นเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง (3) เป็นกลางต่อหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทย FED ยืนยันยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยพร้อมกับจะ Tapering QE อย่างค่อยเป็นค่อยไป กรณีเช่นนี้คาดไม่มีผลอะไรมากต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยและเชื่อว่าผลการประชุมครั้งนี้จะเป็นดังกรณีที่ 3 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตรรวมถึงอัตราการว่างงานของสหรัฐยังไม่กลับไปเท่ากับก่อน COVID-19 ด้านเงินเฟ้อล่าสุดก็ใกล้เคียงตลาดประเมินไว้ ส่วนการคาดการณ์ของตลาดล่าสุดสะท้อนผ่าน Dollar Index , อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ยังคงอยู่ในทิศทางที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถึงกับร้อนแรงมากจนเกินไป ส่วนปัจจัยอื่นๆจะเป็นการเสนอ ศบค. ต่อการเปิดประเทศในวันที่ 23 ก.ย. ขณะเดียวกันในวันดังกล่าวจะมีการรายงานมูลค่าส่งออกและนำเข้า Bloomberg คาดเติบโต 17%YoY และ 40%YoY ตามลำดับ หากออกมาดีกว่าคาดอาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนบ้าง ดังนั้นสัปดาห์นี้ปัจจัยสำคัญจะอยู่ปลายสัปดาห์ทำให้ช่วงต้นสัปดาห์ SET INDEX จะเป็นลักษณะแกว่งออกข้างมองกรอบทั้งสัปดาห์ที่ 1610 – 1640

กลยุทธ์การลงทุน สำหรับการลงทุนระยะสั้นแนะนำกลุ่มส่งออก (ASIAN HANA KCE TU) ผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ยังแนะสะสม Domestic Play ที่ราคายังไม่กลับไปเท่าก่อน COVID-19 ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) รถไฟฟ้า (BTS BEM) ร้านอาหาร (M) ท่องเที่ยว (AOT)

ASIAN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22 บาท) คาดกำไร 3Q21 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจาก อุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่แข็งที่ดีต่อเนื่อง แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเริ่มเติบโต และคาดมีกำลังการผลิตเพิ่มอีกในช่วง 2H21-1Q22

KCE (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 103 บาท) แนวโน้มอัตรากำไรขยายตัวใน 3Q21 ตามการรับรู้ผลประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาเต็มไตรมาส แนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และการประหยัดค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร