RS Mall ผนึกกำลัง AIS สร้าง Virtual Mall รับเทรนด์ขยายฐานลูกค้า

จากไลฟ์สไตล์พฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บวกกับสถานการณ์ที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากโควิด-19 ทำให้ช่องทางช้อปปิ้งออนไลน์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น RS Mall ธุรกิจในเครืออาร์เอส กรุ๊ป ซึ่งเป็นมัลติแพลตฟอร์มช้อปปิ้งสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมมุ่งมั่นเป็น “Wellbeing Partner” ของทุกคน จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างปรากฏการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งใหม่ ผ่านช่องทาง V-AVENUE by AIS 5G พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน RS Mall เพื่อขยายช่องทางการสั่งซื้อสินค้าให้มีความสะดวกสบาย พร้อมรับส่วนลดมากมาย ให้สอดรับกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งในยุคนิวนอร์มอล โดยตั้งเป้ายอดขายออนไลน์เติบโต 80% ภายในสิ้นปีนี้

นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจคอมเมิร์ซภายใต้การดำเนินงานของ RS Mall เติบโตและสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยโมเดลธุรกิจ Entertainmerce  ที่สำคัญ RS mall ยังเป็น Multi-platform commerce ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้การวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า เพื่อเข้าใจลูกค้ามากขึ้น สร้างประสิทธิภาพการขายของทีมพนักงานเทเลเซลล์ และสร้างการซื้อซ้ำเพื่อเพิ่มยอดขาย นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ ในแง่สูตรสินค้า ขนาด และแพ็คเกจ  ทั้งการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้วยการขยายช่องทางการขายเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง”

ในช่วง 8 เดือนแรกของปี RS Mall มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโตถึง 60% โดยจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้น เป็น 350,000 ครั้ง หรือเติบโต 95% จากการที่มีจำนวนสินค้าเพิ่มมากขึ้น และมีการสร้างคอนเทนท์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อเติบโตถึง 70% นอกจากนี้ RS Mall ยังเน้นการทำ CRM เพื่อมุ่งสู่การเป็น “Wellbeing Partner” เชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้นในทุก Customer Touch points และจัดทำ Loyalty Program ในชื่อ RS Mall Plus สำหรับสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยปัจจุบันมีสมาชิกแล้ว 640,000 ราย หรือเติบโตถึง 92% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 800,000 ราย การรุกออนไลน์ในครั้งนี้เป็นการขยายช่องทางการสั่งซื้อสินค้า เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น และเชื่อว่าสัดส่วนยอดขายออนไลน์จะเพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วง 8 เดือนแรก เป็น 7% ณ สิ้นปีนี้

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จึงได้เพิ่มช่องทางแอปพลิเคชันให้กับลูกค้ากลุ่มที่ใช้สมาร์ทโฟน และยังขยายช่องทางด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มใหญ่มากกว่า 42 ล้านคน ด้วยการเปิด virtual mall กับ AIS 5G ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าในรูปแบบห้างเสมือนจริง จัดเต็มด้วยสินค้าทั้ง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงสินค้าวัตถุมงคล สินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมไม่น้อยกว่า 600 รายการ ผ่านทาง v-avenue.co/TH/RS_MALL/ พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษเพื่อเป็นการฉลองเปิดตัว พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษเพื่อเป็นการฉลองเปิดตัว สำหรับลูกค้า AIS เมื่อซื้อสินค้าผ่าน V-AVENUE by AIS 5G ครบ 2,000 รับส่วนลดทันที 250 – 300 บาท”  นางพรพรรณ กล่าวปิดท้าย

ลูกค้าเข้าชมและสั่งซื้อสินค้าคุณภาพราคาพิเศษผ่าน V-Avenue by AIS 5G ได้แล้ววันนี้ที่ v-avenue.co/TH/RS_MALL/ และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน RS Mall ได้ที่ App store และ Play store โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวรวมถึงโปรโมชั่นต่างๆ ของ RS Mall ได้ที่ www.rsmall.co.th, LINE OA @rsmall

เครือซีพีปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก เตรียมพร้อมลุยต่างประเทศ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศว่า เครือซีพีตั้งเป้าขยายร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของเครือให้ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสาขาของสยามแม็คโคร และศูนย์ค้าปลีกค้าส่งรูปแบบอื่นๆ ในเครือซีพี

ปัจจุบัน เครือซีพีมีธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจค้าส่งอยู่ในประเทศจีน มาเลเซีย อินเดีย กัมพูชา เมียนมา ภายใต้แบรนด์และรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย รวมจำนวนประมาณ 337 ร้านค้า

นายศุภชัย กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก และเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จบนเวทีโลกได้ นี่คือวิสัยทัศน์ร่วมกันของธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่งในเครือซีพี

เพิ่มความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จบนเวทีโลกที่ซับซ้อน เราต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก หากเมื่อมีการปรับโครงสร้างธุรกิจต่างๆ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว จะทำให้สยามแม็คโคร กลายเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

“การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการตัดสินใจต่างๆ และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็คือ จะช่วยทำให้แม็คโคร และโลตัสส์ มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว (Agility) ในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีระดับนานาชาติ” นายศุภชัย กล่าว

เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 31 สิงหาคม คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบที่จะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ที่จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม เพื่อให้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จากปัจจุบัน 2,400 ล้านบาท เป็น 5,586 ล้านบาท โดยการเปิดขายหุ้นใหม่ จำนวน 6,372,323,500 หุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.5 บาท ซึ่งในจำนวนนั้น จะเป็นการเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 1,362,000,000 หุ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเดินหน้าตามแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และแผนธุรกิจอื่นๆ

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร กล่าวว่า เราต้องการเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตที่น่าตื่นเต้นบนเวทีระดับนานาชาติ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแม็คโคร โดยบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทฯ ให้กับประชาชนทั่วไป ถึง 2 เท่า จากเดิมสัดส่วนที่ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 7% จะเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ในขณะที่ จำนวนการถือหุ้นของเครือซีพี ในบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จะลดลงจาก 93% เหลือประมาณ 85%

การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทต่างๆ ครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และบริษัทอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่

“พนักงานทั้งหมด ผู้บริหาร การจัดการและงานประจำวัน ฟอร์แมตธุรกิจ การวางตำแหน่งทางธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และซัพพลายเออร์ จะยังคงอยู่และดำเนินการเช่นเดิม โดยการปรับโครงการธุรกิจครั้งนี้จะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องบุคลากร และจะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมของบริษัทฯ ทั้งนี้การดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ตามแนวทางการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ ยังคงต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น รวมถึงการอนุมัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายศุภชัย กล่าว

แพลตฟอร์มแห่งโอกาส การจัดโครงสร้างใหม่ของธุรกิจค้าปลีกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือซีพีบนเวทีนานาชาติครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ ที่เครือซีพีเพิ่งประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในระบบเศรษฐกิจโลกยุคหลังวิกฤตโควิด ด้วย “การสร้างแพลตฟอร์มให้กับบริษัทอื่นๆ จากประเทศไทย และผลิตภัณฑ์ของคนไทย เพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของพวกเขาให้ได้มากที่สุด

เราต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกของเราทั่วโลกทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มให้กับเกษตรกร ผู้ผลิต และ SME ไทยนับหมื่นๆ ราย ให้สามารถนำผลผลิตและสินค้าไปขายในต่างประเทศ

“การขยายช่องทางค้าปลีกในตลาดโลกให้มากขึ้นสำหรับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลผลิตทางการเกษตร และอาหารสด คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยสานฝันของประเทศไทยในการเป็น ‘ครัวของโลก (Kitchen of the World)’ โดยร้านค้าของเครือซีพีจะทำหน้าที่เสมือนท่อธุรกิจที่ลำเลียงนำธุรกิจขนาดเล็กๆ จากประเทศไทย ให้เข้าสู่ตลาดใหม่ได้ พร้อมกับนำผลผลิตและสินค้าของไทยไปนำเสนอ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของเขาเอง ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ (Resilience) ให้กับธุรกิจของเรา” นายศุภชัย กล่าว

ความท้าทาย หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดสำหรับเกษตรกรและผู้ผลิตของไทยที่ต้องเผชิญในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศคือความยากลำบากในการเข้าสู่ระบบการจัดจำหน่ายของประเทศอื่นๆ ซึ่งระบบเหล่านั้นอาจจะสนใจเฉพาะแบรนด์ ผู้ผลิต หรือซัพพลายเออร์รายเดิมๆ นอกจากนั้น การอาศัยพ่อค้าคนกลางจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วย

เราจะใช้ร้านค้าของเราเองเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศได้สัมผัสกับสินค้าไทยก่อน หลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะต้องพิสูจน์ตนเองด้วยคุณภาพ การกำหนดราคา และการตลาด เพื่อสามารถแข่งขันต่อไปได้

“เราสามารถช่วยเกษตรกร SME และผู้ผลิตจากประเทศไทย ให้เข้าใจกฎระเบียบท้องถิ่นที่ซับซ้อนของแต่ละประเทศมากขึ้น อันจะช่วยกำจัดอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งให้กับแบรนด์และซัพพลายเออร์จากประเทศไทย” นายศุภชัย กล่าว

ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ประเทศไทยได้รับการยอมรับในวงการค้าปลีกระดับสากล จากการที่ธุรกิจค้าปลีกของไทยสามารถคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม จากสมาคมค้าปลีกที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีกระดับแลนด์มาร์คในหลายประเทศ อย่างไรก็ดี อาจจะยังไม่สามารถเทียบกับยักษ์ใหญ่ของวงการค้าปลีกระดับโลกได้

ขนาดของธุรกิจ (scale) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกระดับโลก นั่นคือเหตุผลที่ในโลกปัจจุบัน บริษัทค้าปลีกระดับโลกจะเป็นบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่ ยกตัวอย่างผู้ค้าปลีก 2 รายที่ใหญ่ที่สุดของโลก สามารถสร้างยอดขายของแต่ละรายได้มากกว่าขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศไทย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกของไทยในการไปแข่งขันในระดับโลก

“ผมมั่นใจว่า การร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ตลอดจนมีเงินทุนที่เพียงพอ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ และมีนัยสำคัญได้ในอนาคตอันใกล้นี้” นายศุภชัย กล่าว

 นางสุชาดา กล่าวว่า แม็คโคร ได้สนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการต่างๆ มากมายในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย เช่น ร้านโชห่วย มินิมาร์ท ตลอดจนโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยงอย่างแข็งขัน มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 32 ปี ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เราได้คัดสรรสินค้าที่หลากหลาย ครบครัน มีคุณภาพดี ในราคาขายส่ง เพื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยสามารถลดต้นทุน ประกอบธุรกิจได้อย่างมีกำไร และเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่คู่ค้าทุกคนวางใจ พร้อมสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการของเราให้พัฒนาธุรกิจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเร่งขยายธุรกิจต่างประเทศของเราในอนาคต จะสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้ารายย่อย (เอสเอ็มอี) และเกษตรกร ผู้ผลิตอาหารสด สินค้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดและเติบโตในเวทีโลกต่อไป” นางสุชาดา กล่าว

 

PIN ต่อยอดปั้นโครงการสู่ SMART CITY ขยายฐานกลุ่มอุตฯ สมัยใหม่

บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN โชว์ศักยภาพผู้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด Eco Industrial Town หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้มาตรฐานระดับ ISO14001 และรางวัล  Eco-Excellence ชูประสบการณ์การดำเนินธุรกิจและทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ในจุดยุทธศาสตร์เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง เดินหน้าต่อยอดการพัฒนาโครงการสู่ SMART CITY มุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (S-Curve) ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ รับโอกาสนักลงทุนไทยและต่างชาติเลือกไทยเป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. นับ แบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันของผู้ประกอบการในพื้นที่พาณิชยกรรม ภายใต้การดำเนินงานร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) (นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน) และพัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่าและขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังลงทุนและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF)

บริษัทฯ มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญดำเนินธุรกิจมานานกว่า 25 ปี จากการเริ่มต้นพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรีจำนวน 200 ไร่ จนปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่ที่พัฒนาแล้วกว่า 7,500 ไร่ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยดำเนินการออกแบบผังโครงการพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรมและพื้นที่สีเขียว และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ถนน ระบบระบายน้ำ ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบโทรคมนาคม เป็นไปตามมาตรฐานของ กนอ. โดยภายในโครงการจะมีสำนักงานและเจ้าหน้าที่ของ กนอ. เพื่อให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแบบ one-stop service เช่น การขอใบอนุญาตก่อสร้าง การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานการผลิตในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 

ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทฯ ได้รับการรับรองการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานสากล หรือ ISO14001 และ รางวัล Eco-Excellence โดยได้นำแนวคิดพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) เป็นแกนหลักด้านการออกแบบวางผังโครงการและบริการระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกที่มุ่งเน้นการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่กันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้แก่แรงงานที่อยู่ภายในโครงการและชุมชนโดยรอบให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เช่น การบำบัดน้ำเสียให้กลับมาใช้ใหม่ภายในโครงการ การใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดปัญหามลพิษและประหยัดพลังงาน เป็นต้น 

ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของไทยภายใต้เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และอยู่บนถนนหลักที่เชื่อมต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา โดยมีนิคมอุตสาหกรรมและโครงการ Logistics Park ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 1 (PIN1) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) (PIN2) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 3 (PIN3) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 4 (PIN4) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 5 (PIN5) และโครงการ Logistics Park จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการปิ่นทองแลนด์ (PL) โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีฐานลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งรวมกัน 282 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการจากต่างชาติ ประมาณร้อยละ 89 ของฐานลูกค้าทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการจาก ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของฐานลูกค้าทั้งหมด    

นายพีระ กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องในอนาคต จากประสบการณ์ในสายอุตสาหกรรม และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพัฒนาและบริหารพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และ Logistics Park บริษัทฯ จึงพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมจำนวน แห่ง ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ โครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 (PIN6พื้นที่โครงการประมาณ 1,322 ไร่ ที่จังหวัดระยอง ภายใต้แนวคิด Eco Industrial Town หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดรับนโยบายภาครัฐที่ผลักดันพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รองรับการลงทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (S-curve) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเฟสแรกและคาดว่าจะเริ่มการขายพื้นที่โครงการได้ตั้งแต่ไตรมาส ปี 2564 นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนจะจัดตั้งและพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ โดยพัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าเพื่อให้เช่า บนพื้นที่ของโครงการที่ประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Incomeในรูปแบบค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะมีความชัดเจนของแผนพัฒนาได้ภายในปีนี้  

“เรามุ่งต่อยอดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Eco Industrial Town สู่ SMART CITY หรือเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ รองรับนโยบายภาครัฐผลักดันเขตเศรษฐกิจ EEC เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยบริหารจัดการภายในโครงการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน” นายพีระ กล่าว  

ด้าน นายพิมล เลิศทรัพย์อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน PIN กล่าวว่า บริษัทฯ มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจและข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ดีจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาและบริหารโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมกับ กนอ. และการบริหารโครงการ Logistics Park ทำให้ดึงผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามาลงทุนได้และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจที่ดี โดยรายได้จากการขายและการบริการในช่วง ปีที่ผ่านมา (2561-2563) อยู่ที่ 888.88 ล้านบาท 789.28 ล้านบาท และ 1,062.85 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 216.43 ล้านบาท 223.70 ล้านบาท และ 403.89 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตที่ดีในปีที่ผ่านมานั้น มาจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 เพิ่มขึ้นเป็น 204.37 ไร่ จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ขายที่ดินได้ 170.01 ไร่ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) ซึ่งมาจากรายได้การให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นจากการให้เช่าอาคารโรงงานระยะสั้นระหว่างปี ประกอบกับควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนของรายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต 

นอกจากนี้ แม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาดูที่ดินและดำเนินการทำสัญญาได้ อันกระทบต่อรายได้จากการขายที่ดินของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและปรับให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้าและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินสำหรับงวด เดือนของปี 2564 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากจำนวนที่ดินที่ขายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 

นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนนั้น ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับ แบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย PIN นำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้มาเสริมความแข็งแกร่งการดำเนินงานจากแผนลงทุนโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป อันจะทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้แก่บริษัทฯ ได้อย่างมั่นคงต่อไป 

JKN ต่อยอดสู่โฮมช้อปปิ้ง ปิดดีลซื้อหุ้น 51% HIGH Shopping

บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN เสริมความแข็งแกร่งพอร์ตรายได้กลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ช ส่งบริษัทย่อย JKN Best Life ปิดดีลเข้าถือหุ้น 51% บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งผ่านช่อง High Shopping จากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ภายใต้กรอบการลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ Synergy ผนึกกำลังสร้างพลังด้านสื่อสารการตลาด D2C กระตุ้นยอดขายจากฐานลูกค้าที่มีกว่า 1 ล้านราย คาดสร้างยอดขายภายในสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท ก่อนขยายเป้าเพิ่มเป็น 500 ล้านบาทในปี 2565 

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ของ JKN ที่มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ช  เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Life) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย 100% ของ JKN ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ไฮช็อปปิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทีวีโฮมช้อปปิ้งที่เผยแพร่ผ่านช่อง HIGH Shopping ทาง PSI ช่อง  ช่อง 46/ GMMZ ช่อง 43/ INFOSAT ช่อง 46 / DTV ช่อง 37 / เจริญเคเบิ้ล ช่อง 9 / TOT IPTV ช่อง 38 / AIS Play ช่อง 800 / 3BB TV ช่อง 88 และ LOOX TV Application เพื่อเข้าถือหุ้น  51% ใน ‘ไฮช็อปปิ้ง’ ภายหลังกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทเป็น 533 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท  ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพการดำเนินกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ชของ JKN ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

สำหรับการเข้าทำธุรกรรมในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดกรอบวงเงินลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท แบ่งเป็น การเข้าซื้อหุ้น 51% HIGH Shopping จาก บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด  และจะร่วมมือกับบริษัท ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น ประเทศเกาหลี ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นอันดับ 2 เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด อีกประมาณ 48.73 ล้านบาท โดย JKN Best Life จะใช้เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น หรือประมาณ 24.9 ล้านบาท และจะให้กู้ยืมเงิน 10 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และสนับสนุนทางการเงินโดยให้วงเงินการกู้ยืมอีก 15 ล้านบาท รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ HIGH Shopping เป็นหนึ่งช่องทีวีโฮมช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าในระดับเกรดพรีเมียม มากกว่า 2,500 รายการ ที่ครอบกลุ่มทุกประเภททั้ง แฟชั่น ความงาม สินค้าในครัวเรือน เครื่องออกกำลังกาย เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคให้มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิมๆ ด้วยสินค้าที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์ความชำนาญในธุรกิจและมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง ทั้งระบบ Software ทีม Call Center แบบ Inbound สามารถรองรับคำสั่งซื้อสินค้า และ Outbound ที่โทรไปนำเสนอสินค้าแก่ผู้บริโภค ด้วยฐานลูกค้าในมือมากกว่า 1 ล้านราย และมีการคำสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 20,000-40,000 รายการต่อเดือน และใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายการอยู่ที่ 1,000 บาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN กล่าวว่า บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์ Synergy ผสานจุดแข็งจากกลุ่ม JKN ที่มีความชำนาญในการทำตลาด ตลอดจนการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกมิติ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ (JKN Best Life) โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม สินค้าอุปโภคบริโภค และผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกกว่า 2,500 รายการของ HIGH Shopping  ให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง (D2C) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผนึกกำลังการกระจายและแนะนำสินค้าผ่านช่องทีวีดิจิทัล JKN18 และทีวีช่องทีวีดาวเทียม (PSI) ในช่องที่เป็นทีวีโฮมช้อปปิ้งของ HIGH Shopping เพื่อให้ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินงานและสร้างการเติบโตไปด้วยกัน โดยประเมินว่า การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ส่งผลดีต่อการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ชได้ทันทีภายในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาทในปีถัดไป

CV ชูแผนลงทุนขยายโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเทียบชั้นระดับอาเซียน

‘บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV โชว์ฟอร์มเข้าเทรดวันแรกแกร่ง ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ครบวงจร ต่อยอดประสบการณ์ขยายธุรกิจและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า เดินหน้าขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและต่างประเทศ รุกสร้างธุรกิจเทียบชั้นบริษัทพลังงานในระดับภูมิภาคอาเซียน หนุนกำลังการผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายแตะ 180 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 รองรับการเปลี่ยนแปลงพลังงานของโลก

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ให้บริการด้านงานวิศวกรรมแบบครบวงจร ผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ตามวิสัยทัศน์ เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียน สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อ ‘CV’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทฯ พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำเทียบชั้นบริษัทพลังงานในระดับภูมิภาคอาเซียนที่พร้อมส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์และสังคมโลกอย่างสมดุล และยั่งยืนในอนาคต จึงมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ จะช่วยสนับสนุนให้ CV เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายการลงทุนธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนสอดรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและในประเทศ ที่กำลังเติบโตด้านอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม Valued EPC แบบครบวงจร ในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่    ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ รวมถึงพลังงานสะอาด ได้แก่ แสงอาทิตย์ พลังงานลม และก๊าชธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วและโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างพัฒนารวม 85 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 180 เมกะวัตต์ ในปี 2566 เพื่อต่อยอดประสบการณ์ขยายธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโรงไฟฟ้า เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในปี 2564-2566 สำหรับการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นมีแผนลงทุนขยายโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะ RDF จำนวน 1 โครงการ และโรงไฟฟ้าจำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 47.16 เมกะวัตต์ ดังนี้ (1)โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โรงคัดแยกและแปรรูปขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ดำเนินการภายใต้บริษัท CVR จังหวัดพิจิตร กำลังการผลิตประมาณ 150 ตันต่อวัน มูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกิน 210 ล้านบาท คาดก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปีนี้

(2) โครงการที่อยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก กำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 170 ล้านบาท คาดจะเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ขายได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และ (3) บริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 39.8 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละประมาณ 430 ล้านบาท รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 860 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/2566

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CV กล่าวว่า นอกจากนี้ สำหรับเงินที่ได้จากจากระดมทุนบริษัทฯ จะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินและคืนเงินกู้ยืมกรรมการของกลุ่มบริษัทฯ จำนวน 330 ล้านบาท โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO จะลดลงต่ำกว่า 0.6 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งการระดมทุนจะทำให้ต้นทุนทางการเงินดีขึ้นถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า รวมถึงช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคต ตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากแผนลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ใน 1-3 ปีข้างหน้า

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า CV ถือเป็นบริษัทที่มีจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน ที่ผ่านมา CV ได้มุ่งเน้นขยายการลงทุนและสร้างการเติบโตผ่านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting Business) ซึ่งจะอาศัยความเชี่ยวชาญในการดำเนินการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้า สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านการควบคุมต้นทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย

เปิดตัวแล้ว! โครงการ PROEN håi ชูคอนเซ็ปต์ 3B มอบสิทธิใช้คลาวด์ฟรี!

บมจ.โปรเอ็น คอร์ป หรือ PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร ส่งต่อสิ่งดีๆ สู่สังคมไทย เปิดตัว โครงการ PROEN håi มอบสิทธิพิเศษให้ธุรกิจและองค์กร 3 ประเภท ได้แก่ โรงพยาบาล การแพทย์ การสาธารณสุข, กลุ่มการศึกษา นักศึกษา และบริษัทสตาร์ทอัพได้ใช้คลาวด์ฟรี! หวังเป็นส่วนหนึ่งร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน สามารถโหลดลิงค์ลงทะเบียน PROEN Cloud เพื่อกรอกแบบฟอร์มเข้าร่วมโครงการได้แล้วตั้งแต่วันนี้!!!

นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนไทย บริษัทฯจึงได้มีแนวคิดจัดโครงการ “PROEN håi” ให้สิทธิพิเศษกับธุรกิจและองค์กรใน 3 ประเภท ได้แก่ โรงพยาบาล การแพทย์ การสาธารณสุข, กลุ่มการศึกษา นักศึกษา และบริษัทสตาร์ทอัพ ได้ใช้คลาวด์ฟรี! เพื่อส่งต่อสิ่งดีๆ สู่สังคมไทย เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตไปข้างหน้า

“บริษัทฯได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีมาร่วมสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการทั้ง 3 ประเภท โดยนำศักยภาพที่ตนเองมีมาผสานกับเทคโนโลยี PROEN Cloud เพื่อผลิตผลงานที่ช่วยพัฒนาและแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งต่อสิ่งดีๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3B: Be Protective-Be Accelerated-Be Immersive สู่สังคมไทย”

ทั้งนี้ คอนเซ็ปต์ 3B ประกอบไปด้วย

  • Be Protective: ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
  • Be Accelerated: ปลดล็อกข้อจำกัดทางศักยภาพ และเชื่อมั่นในพลังคนรุ่นใหม่สู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่
  • Be Immersive: เติบโตด้วยกลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เกิดจากสตาร์ทอัพ

“มั่นใจว่า โครงการ “PROEN håi” ที่บริษัทเปิดให้สิทธิพิเศษกับธุรกิจและองค์กรได้ใช้คลาวด์ฟรี จะมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมาประยุกต์ใช้กับการงานในโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการและรับบริการด้านสาธารณสุขอย่างประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยปลดล็อคข้อจำกัด ในหลายๆด้านที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ในช่วงล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด บนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เกิดจากสตาร์ทอัพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน และพร้อมกับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต” นายกิตติพันธ์กล่าวในที่สุด

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ลงทะเบียนสร้างบัญชี PROEN Cloud  2. กรอกแบบฟอร์มเข้าร่วมโครงการตามลิงค์ด้านล่างนี้  3. รออีเมลยืนยันสิทธิ์การใช้งานคลาวด์ฟรี

  1. สามารถใช้งานคลาวด์ฟรีได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดทันที หลังได้รับการตอบรับทางอีเมลของโปรเอ็น

ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิจะต้องระบุเหตุผลที่สนใจร่วมโครงการ “PROEN håi” ในแบบฟอร์มลงทะเบียน หากเป็นเหตุผลที่น่าสนใจจะได้รับการพิจารณามอบสิทธิ์ใช้งานคลาวด์ฟรี

ผ่าแผน OCEAN ลุยผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา ดีเดย์ไตรมาส 4

OCEAN พร้อมนำเข้าเครื่องจักรผลิตสารตั้งต้น “กัญชง-กัญชา” เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริมและยา หลังบอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนบริษัทย่อย “เค ที ดี เอ็ม” รองรับแผนขยายธุรกิจอินเทรนด์ คาดเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64 และเริ่มรับรู้รายได้ทันที ผู้บริหาร “ธีร ชุติวราภรณ์” มั่นใจเป็นปัจจัยช่วยผลักดันผลงานปี 65 เติบโตแบบก้าวกระโดด ประเมินจะถึงจุดคุ้มทุนภายในปีเดียว

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า บริษัทฯได้แตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับกัญชง-กัญชา  โดยการลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด  เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริม และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรพร้อม test run และเริ่มเดินเครื่องผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงไตรมาส 4/64  ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที โดยก่อนหน้าบริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญและมีความสามารถในการผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะร่วมมือกันในเรื่องของ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์สามารถที่จะนำไปใช้ในการผลิตอาหารอาหารเสริม ยา เครื่องดื่ม เป็นต้น

“การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มปี เพราะเป็นธุรกิจที่อินเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ประกอบกับได้ประเมินความต้องการเบื้องต้นพบว่ามีกำลังซื้อสูงมาก และน่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นมาก”

นายธีร กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทฯตัดสินใจเข้ามารุกธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา เพราะเห็นว่าเป็น New Growth ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากตลาดอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม และเวชภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ จากประมาณการเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจดังกล่าวนี้จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทประมาณ 100 ล้านบาท ในปี 2565 และจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี

PROEN โชว์ปี 64 โตเกิน 20% หลังคว้างานระบบรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง

PROEN คว้างาน 2 โปรเจคใหญ่ รับเหมาติดตั้งอุปกรณ์ของระบบรถไฟฟ้าสำหรับ  Station โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง มูลค่า 343.54 ล้านบาท ดัน Backlog เพิ่มเป็น 455.37 ล้านบาท หนุนผลงานปี 64 โตเกิน 20% ตามแผน

นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร  เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายกับบริษัท อัลฟ่า อิเล็คทริค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด “เป็นผู้ซื้อ” และบริษัทฯ เป็นผู้รับจ้างงานเหมาติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ของระบบรถไฟฟ้า (M&E : Mechanical system and Electrical system) สำหรับ Station จำนวน 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู มีมูลค่ารวมโดยประมาณ 192,327,977.80 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)  และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มีมูลค่ารวมโดยประมาณ 151,216,217.18 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยบริษัท อัลฟ่า อิเล็คทริค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงานในทั้ง 2 โครงการดังกล่าว และมีบริษัท ซีชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STEC) เป็นเจ้าของโครงการ

นายกิตติพันธ์ กล่าวอีกว่า หลังได้รับงานในครั้งนี้ ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 455.37 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้งานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างงานโครงการด้านโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และบริษัทฯมีความพร้อมร่วมประมูลงานเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้รวมในปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ตามแผนงานที่วางไว้

ทั้งนี้ PROEN เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านระบบอินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบรายแรก ๆ ในประเทศไทย ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร (Internet Service), บริการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Data Center), บริการไอซีที โซลูชั่น (ICT Solutions) และบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร (Business Telecom) บริการอินเทอร์เน็ต ISP บริการคลาวด์ รวมทั้งรับเหมาก่อสร้างงานโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคพื้นฐาน

เปิดกลยุทธ์ EA สู่ New S-Curve ดันธุรกิจแบตฯ รถบัสไฟฟ้า-เรือไฟฟ้า

EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงาน ลั่นผลงานปี 64 โตเด่น เข้าสู่ New S-Curve โครงการแบตเตอรี่ลิเทียมเฟสแรกเริ่มผลิตตั้งแต่ไตรมาส 3/64 ป้อนรถบัสไฟฟ้าที่ประกอบเสร็จแล้วกว่า 100 คัน เผยโรงงานใน จ.ฉะเชิงเทรา ก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 90% กำลังผลิต 3,000 คัน/ปี ขณะที่เรือโดยสารไฟฟ้า  MINE SMART FERRY คาดส่งมอบครบ 27 ลำตามแผน

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯพร้อมเดินหน้าโครงการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน Amita Technology (Thailand) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตสำหรับระยะที่ 1 ได้ในไตรมาสที่ 3/64 โดยปัจจุบันได้นำเข้าเซลล์แบตเตอรี่ที่ผลิตจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของ Amita Technologies Inc. ไต้หวัน เพื่อนำมาประกอบเป็นแพ็คและโมดูลในสายการผลิตภายในประเทศ เพื่อตอบสนองการใช้ในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ของบริษัทฯ ได้แก่ รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า ในช่วงแรกระหว่างรอโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่เสร็จเรียบร้อย

สำหรับโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า EA Anywhere ได้ร่วมมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการสถานีน้ำมันคาลเท็กซ์ ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ไปแล้ว 9 แห่ง และมีแผนที่จะเปิดให้บริการภายในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์สาขาอื่นๆ เพิ่มเติมอีกให้ครบ 20 แห่งภายในปี 2564

ส่วนโครงการเรือโดยสารไฟฟ้า MINE SMART FERRY  ได้เริ่มเก็บค่าโดยสารในราคาโปรโมชั่น 20 บาทตลอดสาย และเมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ขยายจุดจอดเรือรับ-ส่งที่ต้นทางฝั่งเหนือจากท่าเรือนนทบุรีไปยังท่าเรือพระนั่งเกล้า ถึงท่าเรือสาทร ภายในไตรมาสที่ 3/64 จะมีการส่งมอบเรือโดยสารไฟฟ้าครบจำนวน 27 ลำ ตามแผนที่กำหนดไว้

นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการรถโดยสารไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการประกอบรถโดยสารไฟฟ้าแล้วเสร็จกว่า 100 คัน โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบได้ในช่วงเดือนสิงหาคม สำหรับโรงงานผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ทุกประเภทอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา การก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 90% โดยเมื่อโรงงานเสร็จเรียบร้อยจะมีกำลังการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าอยู่ที่ปีละ 3,000 คันต่อปี

“มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจแบตเตอรี่ รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า ซึ่งถือเป็น  New S-Curve ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนงานที่วางไว้” นายอมร กล่าวในที่สุด

สำหรับผลประกอบการงวด  6 เดือนของปี 2564 มีกำไร 2602.50 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 0.04% จากงวดเดียวกันปี ก่อนมีกำไร 2,601.48 ล้านบาท  รายได้รวมสำหรับงวดหกเดือนเพิ่มขึ้นจำนวน 704.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.89% ในไตรมาส 2/64 มีกำไร 1,190.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.59% จากช่วงเดียวกันปี 63 ที่มีกำไร 1,149.42 ล้านบาท  โดยรายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 2/64 เพิ่มขึ้นจำนวน 759.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้กลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล โต 49.74% ได้รับปัจจัยจากการปรับตัวของราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นเนื่องมาจากการส่งเสริมให้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล (B100) ในสัดส่วน 10% หรือ B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน เป็นการเพิ่มอุปสงค์ของน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะลดลงเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19

เอพี ไทยแลนด์ ร่วม Shopee 9.9 Super Shopping Day ขนทัพทาวน์โฮมอัดโปรแรง

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าผนึก ช้อปปี้ อัดแคมเปญแรงสุดแห่งปี Shopee 9.9 Super Shopping Day ขนทัพครบทุกแบรนด์ทาวน์โฮมเครือเอพี อาทิ บ้านกลางเมือง พลีโน่ และ ISTRICT รวม 50 โครงการพร้อมอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ส่งต่อบ้านที่มีชีวิตใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน เหนือกว่าด้วยขนาดพื้นที่และฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยที่ปรับเปลี่ยนทุกโจทย์การใช้ชีวิต ให้เหล่านักช้อปยุคดิจิตอลเป็นเจ้าของได้ง่าย พร้อมดีลที่ดีที่สุดจำนวนจำกัด จองโค้ดเพียง 99 บาท รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน พิเศษ!! ท็อปอัพช่วง Flash Sale ซื้อโค้ดเพิ่ม 1 บาท รับ Voucher เฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 50,000 บาทวันโอน ความพิเศษนี้เฉพาะลูกค้าที่จองผ่าน APThai Official Shop ปักหมุดดีเดย์วันที่ 9 ก.ย.นี้ เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบนแพลตฟอร์มช้อปปี้เท่านั้น

นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า เอพี ภายใต้พันธกิจ EMPOWER LIVING ที่มุ่งให้ความสำคัญ ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดระยะเวลาวิกฤตการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เคยหยุดพัฒนาและยกระดับประสบการณ์การเยี่ยมชมและจองโครงการ ด้วยมาตรการอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยสูงสุดแก่ลูกค้า ทำให้ที่ผ่านมาเราได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง จากลูกค้าเข้าเยี่ยมชมและจองโครงการเสมือนจริงผ่านแพลตฟอร์มหลัก AP OneClickNewHome และ AP Facebook Shop

และในเดือนกันยายน 2564 นี้ เอพีพร้อมขยายอีกหนึ่งช่องทางใหม่ ผ่านการร่วมมือกับ ‘ช้อปปี้’ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เจาะตลาดเอาใจเหล่านักช้อปยุคดิจิตอลที่กำลังมองหาบ้านหลังใหม่   โดยประเดิมนำร่องแรกกับทัพสินค้าทาวน์โฮมเครือเอพีกว่า 50 โครงการพร้อมอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง พลีโน่ และ DISTRICT จัดโปรดีลที่ดีที่สุดรับการประเดิมเปิด APThai Official Shop เป็นครั้งแรกบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ โดยมั่นใจทั้งชื่อเสียงแบรนด์เอพี คุณภาพความสมบูรณ์ของโครงการทาวน์โฮมพร้อมอยู่ และการนำเสนอดีลราคาพิเศษ พร้อม Flash Sale ที่คุ้มค่าจะกระตุ้นความสนใจและการตัดสินใจของลูกค้าอย่างแน่นอน

สำหรับไฮไลท์สิทธิพิเศษทาวน์โฮมเอพีอัดโปรแรง Shopee 9.9 Super Shopping Day ลดจัดหนัก  แจกจัดเต็ม ได้แก่

  • สุดพิเศษ!! ลูกค้าจะได้พบกับโครงการทาวน์โฮมแบรนด์คุณภาพ บ้านกลางเมือง พลีโน่ และDISTRICTรวม 50 โครงการ ราคาเริ่ม 1.59 – 9 ล้านบาท มอบสิทธิพิเศษ คุ้มค่า คุ้มราคา จองโค้ดเพียง 99 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท
  • วันเดียวเท่านั้น!! 9.9ช่วงเวลาพิเศษFlash Sale กดซื้อโค้ดเพิ่มในราคาเพียง 1 บาท รับสิทธิ์พิเศษไปเลย Voucher เฟอร์นิเจอร์มูลค่า 50,000 บาท เมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ความพิเศษนี้จำนวนจำกัด
  • แจกจัดเต็ม!!เอพีร่วมเฉลิมฉลองประเดิมเปิด APThai Official Shop บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ พร้อมแจก จัดหนักรางวัลใหญ่สุดพิเศษ พรีเมียมทาวน์โฮมหลังแรกที่ดีที่สุด ‘พลีโน่ รังสิตคลอง 4 -วงแหวน’ ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท

ล็อกคิวให้พร้อมแล้วพบกันกับดีลพิเศษ ‘ลดจัดหนัก แจกจัดเต็ม’ กับทาวน์โฮมเครือเอพี บ้านกลางเมือง พลีโน่ และ DISTRICT รวมกว่า 50 โครงการ การันตีราคาพิเศษเริ่ม 1.59 – 9 ล้านบาท ดีลคุ้มที่สุดจำนวนจำกัด  จองโค้ดเพียง 99 บาท ลดเป็นล้าน ท็อปอัพพิเศษช่วง Flash Sale ซื้อโค้ดเพิ่ม 1 บาท รับเพิ่ม Voucher เฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 50,000 บาท วันโอนกรรมสิทธิ์ ดีลพิเศษนี้วันที่ 9 กันยายน 2564 วันเดียวเท่านั้น กดติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นจาก AP Townhome Official Shop บน Shopee Mall ได้ที่นี่ คลิกเลย