NER รุกธุรกิจสินค้าปลายน้ำ ตั้งเป้าปี 67 ยอดขาย 20%

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER รุกธุรกิจปลายน้ำ ผลิตและจำหน่ายยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ คาดรับรู้รายได้ ปี 65 พร้อมดันสัดส่วนเป็น 20% ของรายได้รวมทั้งหมดจากผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและธุรกิจอื่นๆในปี 67 ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เปิดเผยว่า ในปลายปี 2565 บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าปลายน้ำ  โดยได้สร้างนวัตกรรม ร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ผลิตและจำหน่ายยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักในฟาร์มปศุสัตว์ อาทิ ฟาร์มโคเนื้อ โคนม ฟาร์มเลี้ยงกระบือ แพะ และแกะ เป็นต้น รวมถึงคอกอนุบาลปศุสัตว์แรกเกิด และจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอื่นๆอีกต่อไป

สำหรับการติดตั้งเครื่องจักร บริษัทจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 คาดใช้งบลงทุนราว 240 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 และในปี 2567 จะมียอดขายจากสินค้าปลายน้ำและธุรกิจอื่นๆที่มิใช่ยางพารา คิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด  ในส่วนของการผลิต ทางบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นโรงงานผลิตวัตถุดิบต้นน้ำที่ได้มาตรฐานสากล ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงานและชุมชนที่อยู่ร่วมกัน  พร้อมเตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทยด้านแผ่นปูนอนปศุสัตว์ และพร้อมส่งออกสินค้าไปยังฟาร์มโคนมและฟาร์มปศุสัตว์อื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนผลิตภัณฑ์แผ่นยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ ได้ออกแบบมาให้พื้นผิวสัมผัสมีความนุ่มและสามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ช่วยลดการบาดเจ็บ และ ความตึงเครียดของสัตว์ ทำให้สัตว์กินอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพ เพิ่มความสมบูรณ์ของร่างกายสัตว์ สามารถช่วยลดการเกิดแผลบริเวณเข่า จากการ ลุก นั่ง นอน  อีกทั้งยังลดเชื้อโรคจากกลีบเท้า และช่วยให้ฟาร์มสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

“ปัจจุบันทางบริษัท ได้มีการนำแผ่นยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ ให้กับทางฟาร์มโคนมรายใหญ่ในประเทศไทยได้ทดลองใช้สินค้า ซึ่งต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่า มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก วัวจะใช้เวลานั่งบนแผ่นยางมากกว่า 12 ชั่วโมงตัววัน ซึ่งส่งผลให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณเต้านมได้เพิ่มขึ้นประมาณวันละ  30% อีกทั้งส่งผลให้เจ้าของฟาร์มเพิ่มผลกำไรได้เป็นอย่างดี” นายชูวิทย์ กล่าว

FSMART จับมือ CIMB Thai พร้อมเปิดบริการถอนเงินสด

FSMART จับมือ CIMB Thai ให้บริการฝากเงิน กระตุ้นปริมาณธุรกรรมผ่านตู้บุญเติมโตเพิ่มจากเดิม 2 ล้านรายการต่อเดือน พร้อมเดินหน้าให้บริการแบงกิ้ง เอเยนต์อีก 1 รายภายในปีนี้ และเพิ่มบริการถอนเงินผ่าน
“ตู้บุญเติม” ภายในกันยายน ดันธุรกิจการเงินครบวงจรและสินเชื่อโตไม่ต่ำกว่า 30%

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ผู้นำเครือข่ายช่องทางบริการอัตโนมัติและการเงินครบวงจร ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยผ่าน
“ตู้บุญเติม”
 เปิดเผยว่า ธุรกรรมการฝาก-โอน ผ่านตู้บุญเติมมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีปริมาณการทำธุรกรรมฝาก-โอนกว่า 2 ล้านรายการต่อเดือน เพิ่มขึ้นมากกว่า 16 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  จากการใช้บริการผ่านตู้บุญเติม 130,000 จุดทั่วประเทศ ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และยังสามารถจัดการธุรกรรมทางการเงินได้ โดยไม่ต้องไปธนาคาร ตอบโจทย์การใช้บริการธนาคารในยุค New Normal

ล่าสุดธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) แต่งตั้งบริษัทเป็นแบงกิ้ง เอเยนต์ ให้บริการฝากเงินที่ “ตู้บุญเติม” เป็นธนาคารที่ 7 พร้อมเปิดให้บริการ 15 กันยายนนี้  เพิ่มจาก ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การเพิ่มขึ้นของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทำให้การเป็นแบงกิ้ง เอเย่นต์ของบริษัท มีศักยภาพการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้หลากหลายเพิ่มมากขึ้น รวมถึงช่วยขยายฐานลูกค้าของบริษัทอีกด้วย

“ในการเติบโตบริการแบงกิ้ง เอเย่นต์ของ “ตู้บุญเติม” จากธุรกรรมฝาก-โอนที่มีมากกว่า 2 ล้านรายการต่อเดือนแล้ว ยังให้บริการยืนยันตัวตน ผ่านตู้ EKYC รองรับการเปิดบัญชีธนาคาร และเป็นบริษัทแรกที่เปิดให้บริการถอนเงินสดผ่าน Mini ATM ขั้นต่ำ เพียง 20 บาท ที่พร้อมเปิดให้บริการกันยายน 2564 ทำให้มีธุรกรรมธนาคารครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ผลักดันให้บุญเติมเป็นเสมือนธนาคารชุมชน  ที่พร้อมให้บริการหลากหลาย ทั้งเติมเงิน เติมวอลเล็ท ซื้อแพ็คเกจอินเตอร์เน็ต จ่ายบิล ทำให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินและอื่นๆ ได้อย่างสะดวกสบายภายในจุดเดียว (One Stop Service) นอกจากนี้บริษัทได้ให้บริการสินค้าเงินผ่อนที่ทำให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพียงแค่มีบัตรประชาชนใบเดียว โดยเฟสแรกเริ่มให้บริการกับลูกค้าบุญเติม ก่อนที่จะขยายไปสู่ลูกค้าในวงกว้างต่อไป ซึ่งในภาพรวมนี้จะบริษัทมียอดธุรกรรมทางการเงินเติบโตไม่น้อยกว่า 30 %ในปีนี้” นายณรงค์ศักดิ์กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีตู้บุญเติมให้บริการกว่า 130,000 ตู้ทั่วประเทศ พร้อมบริการที่ครอบคลุมมากกว่า 86 รายการ รวมถึงจุดให้บริการเคาน์เตอร์กว่า 1,800 จุด เร่งขยายบริการการถอนเงินผ่าน Mini ATM ให้ได้ 10,000 ตู้ ภายใน 2 ปี  ตั้งเป้าเป็น
แบงกิ้ง เอเย่นต์เพิ่มอีก 1 ราย และพร้อมดันธุรกิจสินเชื่อทั้งสินเชื่อรายย่อยและสินค้าเงินผ่อน จะทำให้กลุ่มธุรกิจธุรกิจทางการเงิน และสินเชื่อครบวงจรที่บริษัทวางไว้ เติบโตทดแทนธุรกิจดั้งเดิมอย่างชัดเจน

นอกจากการให้บริการครบวงจรที่ “ตู้บุญเติม” แล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการตอบแทนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ โดยการให้แต้มทุกครั้ง และทุกบริการที่ “ตู้บุญเติม” ในรายการ “บุญเติม รีวอร์ด” เพื่อสะสมแต้มแลกรับสิทธิพิเศษและสิทธิลุ้นรางวัลต่างๆมากมาย เช่น ลุ้นรับทองมูลค่า 5,000 บาท จำนวน 10 รางวัลทุกเดือน เมื่อฝาก-โอนทุกธนาคาร รวมทั้งนำแต้มมาแลกสิทธิลุ้น แลกรับฟรีเครดิต หรือเติมเงินได้ตลอดทั้งปี โดยลูกค้าสามารถสะสมแต้ม และใช้แต้มแลกสิทธิดีๆแบบนี้ได้ถึงสิ้นปี 2564

NER บุกตลาดอินเดีย เพิ่มสัดส่วนยอดขาย

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER บุกตลาดอินเดียเซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract)พร้อมบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยางรถยนต์และยางเครื่องบินแบรนด์ดังระดับโลกให้ความสนใจ ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ผ่านการพิจารณารอบเทคนิค มั่นใจผ่านพิจารณาด้านราคา 20 กันยายนนี้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract) กับลูกค้าจากประเทศอินเดียเพิ่ม 1 ราย  โดยเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายนนี้ ประกอบกับมีแผนเจรจาลูกค้าอินเดียเพิ่มอีก 2 ราย ภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์และยางล้อเครื่องบิน    แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Goodyear ซึ่งบริษัทคาดว่ามีโอกาสได้ลูกค้าใหม่อย่างแน่นอน

ด้านสัดส่วนยอดขายต่างประเทศ บริษัทยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ยางธรรมชาติ  คาดการณ์ว่าในปี 2565 สัดส่วนยอดขายของบริษัทจากประเทศอินเดีย จะเติบโตขึ้นอีก 3-5% เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่า ตลาดอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีโอกาสขยายตัวสูง และมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดี หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้บริษัทยังคงรักษาสัดส่วนฐานลูกค้าเดิมเช่น จีน 70%, ญี่ปุ่น 10% และ อื่นๆเช่น สิงค์โปร์ และ บังคลาเทศ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มราคายางยังคงเสถียรภาพและเติบโต โดยบริษัทประเมินว่าจะมีทิศทางขาขึ้น สาเหตุมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยอดขายรถยนต์ที่เติบโตได้ในระดับสูงจากนโยบายรถยนต์ EV ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ทางบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค จำนวน 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการผลิตโรงไฟฟ้าประเภทชีวภาพ จำนวน 3 เมกะวัตต์   ภายใต้ชื่อ บริษัท เอ็น.อี. พาวเวอร์ จำกัด จากประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)  เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา และหลังจากนี้จะมีการพิจารณาคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคา โดยมีกำหนดให้มีการเปิดซองพิจารณาด้านราคาในวันที่ 20 กันยายน 64 โดยจะประกาศรายชื่อภายในวันที่ 23 กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการพิจารณารอบราคา เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับชุมชนได้ทันที  ทั้งนี้ หากบริษัทได้รับการพิจาณารับการคัดเลือก คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท ภายในปี 2565 จากที่ก่อนหน้านี้ที่ใช้งานอยู่ภายในโรงงานเท่านั้น

OCEAN ผนึก JP เจาะตลาดสารสกัดกัญชง-กัญชา

OCEAN ผนึกกำลังพันธมิตรในตลาด “JP-นางฟ้ากัญชา” คุมปัจจัยการผลิตกัญชง-กัญชา ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ครบจบที่เดียว พร้อมเดินเครื่องจักรผลิตสารสกัดป้อนออเดอร์ลูกค้าภายในไตรมาส 4/64 และคาดในปี 2565 จะโกยรายได้จากธุรกิจ สกัดสารกัญชง-กัญชาเพื่อสร้าง New S Curve ให้กับ OCEAN ประกอบกับจะศึกษาเพื่อลงทุนเพิ่ม ในการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่มากขึ้น ฟากผู้บริหาร “ธีร ชุติวราภรณ์” มั่นใจผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” ตามแผน พร้อมกันนี้จ่อล้างขาดทุนสะสมเกลี้ยง

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังร่วมกับ 2 พันธมิตรในตลาดกัญชง-กัญชา  บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ในฐานะโรงงานผลิตยา , อาหารเสริม , เครื่องสำอาง , สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินบำรุงร่างกาย รวมทั้งกาแฟเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาและอาหารเสริมกับองค์การคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า กว่า 2,000  ผลิตภัณฑ์ และบริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด  ผู้ออกแบบและพัฒนาระบบปลูกกัญชง-กัญชาอัจฉริยะ เพื่อป้อนวัตถุดิบให้กับบริษัท ทำให้ก้าวสู่ความเป็นผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

“การจับมือร่วมกันของพันธมิตรทั้ง 3 ในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาสินค้าร่วมกันครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อป้อนให้กับกลุ่มลูกค้าในตลาดที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก และเป็นการการันตีได้ว่า เรามีวัตถุดิบที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ขณะที่โรงงานของ JP มีคุณภาพ และมาตรฐาน ผ่านการรับรองของ อย. สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลาย และลูกค้าไม่จำเป็นต้องทำงานด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่ม และเครื่องจักรที่บริษัทฯ นำเข้ามายังมีจุดเด่นที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป โดยสามารถสกัดได้ในระดับ ISOLATE CBD WATER SOLUBLE ซึ่งสามารถผสมเครื่องดื่มได้ทันที ต่างจากคู่แข่งในตลาดที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้”

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น OCEAN ได้นำเข้าเครื่องจักรขนาดกำลังการผลิต 300 กก./เดือน ซึ่งสามารถแยกสาร CBD ได้ 4 รูปแบบ เริ่มตั้งแต่ FULL SPECTRUM , BROAD SPECTRUM , CBD ISOLATE และ WATER SOLUBLE CBD ISOLATE

“เมื่อบริษัทฯได้รับใบอนุญาตแล้วก็จะสามารถเดินเครื่องผลิต เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าได้ทันที และตามแผนของ OCEAN คาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจสกัดสารกัญชงกัญชาในปีนี้ราว 15-20 ล้านบาท ก่อนขยับขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ในปี 2565 ทั้งนี้ บริษัทฯก็มีแผนงานที่จะลงทุนเพื่อนำเข้าเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้บริษัทฯมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก New S Curve ธุรกิจสกัดสารกัญชง-กัญชา”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวอีกว่า อยากจะบอกให้ลูกค้าได้เข้าใจว่าถ้ามาใช้บริการกับ OCEAN ในฐานะผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ร่วมกับพันธมิตรอย่าง JP ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ผลิตสินค้าได้หลากหลาย และได้นางฟ้ากัญชา เข้ามาเสริมทัพ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร แบบ Total Solution เพียงแค่มาหาเราก็จะได้รับสินค้าที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องไปวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม

สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ OCEAN ในช่วงครึ่งปีแรกมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ทั้ง  IKON SUKHUMVIT 77  มูลค่ารวม 1,170 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มมีการโอนจนถึงปีสิ้นปี 2564 คาดว่าจะมียอดโอนคิดเป็น 78% และโครงการ IKON UDOMSUK มูลค่า 600 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 85% ซึ่งทั้งสองโครงการผลตอบรับดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ในปี 2564-2565 ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านรามอินทรา โครงการ THE VALOR มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน เพราะเป็นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อที่เติบโตได้ต่อเนื่อง และมีความต้องการสูง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ความต้องการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 64 และเริ่มโอนในต้นปี 2565

“มั่นใจว่าปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ของ OCEAN โดยตั้งเป้าหมายรายสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อเริ่มทยอยกลับมาแม้ว่าจะสถานการณ์โควิด-19 ยังกดดันอยู่ก็ตาม แต่ด้วยโครงการที่มีคุณภาพ ทำเลที่ตั้งเหมาะสม มีสภาพแวดล้อมที่ดี และการจัดระบบ Facilities ที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของลูกบ้านทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดหมาย นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมายที่จะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 80 ล้านบาท ให้หมดภายในปีนี้ให้ได้”

ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP กล่าวว่า มั่นใจว่าความร่วมมือกับ OCEAN ในครั้งนี้ จะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้า ผลิตยา, อาหารเสริม, เครื่องสำอาง, สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินบำรุงร่างกาย รวมทั้งกาแฟเพื่อสุขภาพ พร้อมขึ้นทะเบียนอาหารเสริมกับองค์การคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า

โดย JP มีประสบการณ์กว่า 40 ปี ด้านการผลิตยาแผนปัจจุบันและอาหารเสริมได้รับมาตรฐาน  GMP PIC/s และมาตรฐาน ISO 9001:2015 ควบคุมโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ. ซึ่งในปัจจุบันได้มีการให้บริการขึ้นทะเบียนตำรับยาและทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับอย. รวมทั้งผลิตยา, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ยาแผนโบราณและ ผลิตยาสมุนไพร ในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ตอกเม็ด, บรรจุแคปซูล, บรรจุแผงบริสเตอร์, บรรจุขวดตามความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทฯมีโรงงานผลิตที่ถนนพระรามสาม และโรงงานในภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่จังหวัดลำพูน มีผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนมากว่า 2,000  ผลิตภัณฑ์

ขณะที่ นางสาวอุนารินทร์ กิจไพบูลทวี  กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้ออกแบบและพัฒนาระบบปลูกกัญชงและกัญชาอัจฉริยะ Cannabis Smart Farm (CSF) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ทำการติดตั้งระบบในพื้นที่ปลูกของบริษัทที่จัดตั้งเป็น “CBD Agro-Tech Center” บนเนื้อที่กว่า 36 ไร่ ด้วยระบบการควบคุมสภาพแวดล้อมที่ปรับให้เหมาะสมกับทุกสายพันธุ์ เพื่อรองรับการปลูกกัญชง-กัญชาคุณภาพได้มากกว่า 250,000 ต้นต่อปี และมีโครงการขยายพื้นที่การผลิตให้ครอบคลุมกว่า 1,000 ไร่ทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อการลงทุนสูงที่สุด และได้กัญชง-กัญชาคุณภาพป้อนเข้าสู่ภาคธุรกิจในทุกภาคส่วน ทำให้ได้วัตถุดิบกัญชง-กัญชาคุณภาพสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ

ส่อง GROWTH ai สตาร์ทอัพไทยรายเดียวที่เข้าร่วม Facebook Accelerator : Business Solutions Program

Facebook สำนักงานใหญ่ประกาศรายชื่อ 61 สตาร์ทอัพที่ได้รับคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากใบสมัครกว่า 15,000 ใบจากทั่วโลก เพื่อให้เข้าร่วม Facebook Accelerator : Business Solutions Program โดยคัดเลือกจากสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยี CDP, System Integrators, Service Apps, Creative Apps และที่สำคัญคือเทคโนโลยีนั้นต้องซัพพอร์ทธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี

สตาร์ทอัพไทยรายเดียวจากทั่วโลก สตาร์ทอัพที่ได้รับการเลือกมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก อาทิเช่น United Kingdom, Sweden, Denmark, Germany, Italy, South Korea, China, Australia, New Zealand, Taiwan, Japan, Vietnam มีบ.แอนะลิติสต์ เพียงบริษัทเดียวที่มาจากประเทศไทยได้รับเลือกให้เข้าร่วมทดลองเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่างๆของ Facebook

GROWTHai หนึ่งใน 22 CDP จากทั่วโลก โดยในปีนี้ทาง Facebook มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับ CDP ( Customer Data Platform ) เพื่อให้ธุรกิจและแบรนด์ต่างๆสามารถนำข้อมูลทั้งหมดที่มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์มาใช้ร่วมกันได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด  ซึ่ง GROWTHai เป็น CDP จากประเทศไทยที่ได้รับการเลือกให้เข้าร่วมพร้อมกับ CDP จากนานาชาติ

ชลธิชา แสงพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและCEO บริษัท แอนะลิติสต์ จำกัด ผู้สร้างแพลตฟอร์ม GROWTHai เผยถึงความภูมิใจในการได้รับเกียรติครั้งนี้และกล่าวว่า อยากให้แพลตฟอร์ม GROWTHai ซึ่งเกิดจากบริษัทคนไทย 100% นี้เป็นตัวแทนของคนไทยที่จะไปเรียนรู้ แบ่งปัน และในทางกลับกันก็เป็นโอกาสไปรับความรู้จากสตาร์ทอัพ CDP จากทั่วโลก และมุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์เพื่อขยายธุรกิจร่วมกันในอนาคตอีกด้วย

ธุรกิจไทยต้องมีเครื่องมือทางการตลาดที่ชาญฉลาด และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยอย่างแท้จริง สังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันเวลา และที่สำคัญอยู่ในงบประมาณที่คุ้มการลงทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น “GROWTH ai” จึงเป็นการลงทุนทางการตลาดที่คุ้มค่าที่สุดในยุคนี้

GROWTHai คือ CDP ( Customer Data Platform) หรือ Martech เทคโนโลยีเพื่อการตลาดที่ทรงพลังและชาญฉลาด ยกระดับความสามารถการตลาดไทยนำทุกธุรกิจมุ่งสู่ Growth Marketing อย่างแท้จริง หรือ ในเชิงเทคนิค GROWTHai คือ เครื่องมือการตลาดแบบอัตโนมัติ ขับเคลื่อนด้วยผลดาต้าที่มาจากการวิเคราะห์เชิงลึกในแบบเรียลไทม์ (https://www.youtube.com/watch?v=K4bS0vnaNMA)

GROWTHai Predict ด้วยพลังของ Deep Data Science สร้างภาพ 3 มิติ จากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ครบจบในจอเดียว เจาะ consumer insights ค้นพบพฤติกรรมเชิงลึก ความต้องการใหม่ๆ หรือแม้แต่ความ “ไม่ต้องการ” ใหม่ๆ ไปจนถึงการคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมในอนาคต  Visualize Performance ได้แบบ Real-time เพื่อทุกการตัดสินใจของธุรกิจจะลดความผิดพลาด และรวดเร็วกว่าที่เคย  ให้แคมเปญการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด อุดรูรั่ว ลงทุนได้ถูกที่ ถูกช่องทาง

GROWTHai Customer 360 รวมทุกข้อมูลจากทุกช่องทางเข้าด้วยกัน เป็นภาพลูกค้าที่เต็มใบครบ 360 องศา ค้นพบแพทเทรินการซื้อที่เฉพาะบุคคลผ่านช่องทางและสินค้าที่หลากหลาย คาดเดาพฤติกรรมในอนาคตได้แม่นยำ เพื่อให้เข้าใจลูกค้าได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

GROWTHai Segment เพราะลูกค้าทุกคนไม่เหมือนกัน จึงมีความต้องการที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณนำเสนอสินค้าได้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ระบบเราจะจัด Segment มาให้อัตโนมัติ แต่คุณก็สามารถสร้าง segment ได้ตามใจที่ต้องการเลย เลือกจากพฤติกรรม ความชอบ ทั้งในอดีตและอนาคต ยิ่งเข้าใจลูกค้า ยิ่งหาวิธีเอาชนะใจเค้าได้ง่าย

GROWTHai Automation สร้าง Customer Experience และ Customer Journey ที่ดีที่สุด เพื่อดูแลลูกค้าในแต่ละ segment, แต่ละความต้องการ, แต่ละ stage ใน lifecycle ได้ผ่านระบบอัตโนมัติเลย  ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอด, กู้ยอด หรือ ขยายฐานลูกค้า ทุกข้อความที่ส่งออกจาก GROWTHai  เป็นระบบ Hyper-personalized การส่งแบบหนึ่งต่อหนึ่งผ่าน  Line, SMS, Email, Website, App Notification สร้างความประทับใจให้ลูกค้าของคุณได้แนบเนียนจนเกิดยอดขายได้ง่ายๆ ไม่ต้องเปลืองเวลา ให้ AI ทำงานแทน

GROWTHai Protection ใช้ดาต้าไร้กังวลด้วยระบบขอ consent, เก็บ และบริหาร consent อัตโนมัติที่มีมาให้ด้วยในตัว ครบจบในระบบเดียว

เจาะกลยุทธ์แอปพลิเคชัน MBK PLUS ชีวิตมีแต่พลัส 

เอ็ม บี เค เปิดตัวโฉมใหม่แอปพลิเคชัน เอ็ม บี เค พลัส (MBK PLUS) เพิ่มดีกรีสิทธิประโยชน์ให้ชีวิตมีแต่พลัส PLUS พอยท์ PLUS ความคุ้มทุกการใช้จ่าย PLUS ความสะดวกด้วยสิทธิพิเศษมากมาย ช้อปสุดคุ้มพร้อมรับส่วนลดสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำมากมายในทุกศูนย์การค้าและธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ตลอดจนเหล่าพันธมิตรทางธุรกิจ นำโดยสถาบันกวดวิชา OnDemand พร้อมช้อปปั๊บรับคะแนนสะสมเพื่อใช้แลกเป็นส่วนลด บัตรกำนัล หรือคูปองเงินสดจากร้านค้าและบริการเหนือระดับ

นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ พาราไดซ์ พาร์ค เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ กล่าวว่า ลูกค้าคือหัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีก เอ็ม บี เค จึงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาระบบลอยัลตี้ โปรแกรม (Loyalty Program) ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงและครองใจลูกค้าตลอดเวลา ล่าสุดได้เปิดตัวโฉมใหม่ เอ็ม บี เค แอปพลิเคชัน (MBK APPLICATION) เป็น เอ็ม บี เค พลัส (MBK PLUS) ที่มีการเพิ่มดีกรีสิทธิประโยชน์ถึง 3 PLUS ได้แก่ PLUS พอยท์ PLUS ความคุ้มทุกการใช้จ่าย PLUS ความสะดวกด้วยสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้แนวคิด PLUS Everything in life ให้ชีวิตมีแต่พลัส ในทุก ๆ การใช้จ่ายสินค้าในทุกศูนย์การค้าและธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ ๆ ที่จะมาร่วมกันส่งมอบความพลัส เพื่อสร้างความพึงพอใจและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

“แอปพลิเคชัน เอ็ม บี เค พลัส เป็นโปรแกรมการดูแลสมาชิกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าช้อปสุดคุ้มพร้อมรับส่วนลดสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำมากมาย ช้อปปุ๊บรับคะแนนสะสมปั๊บเพื่อใช้เป็นส่วนลดรับบัตรกำนัล หรือคูปองเงินสดจากร้านค้าและบริการเหนือระดับ โดยสมาชิกสามารถสะสมคะแนนผ่านทุกยอดการซื้อสินค้าและบริการจากธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ครอบคลุมธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจกอล์ฟ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการเงินและธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งเราดึงเอาจุดเด่นขององค์กรมาตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด ”

 

  • PLUS พอยท์ ดาวน์โหลดสมาชิก เอ็ม บี เค พลัส (MBK PLUS) รับพอยท์ทันที 150 คะแนน และรับเพิ่มอีก 100 คะแนน เมื่อใส่ข้อมูลสมาชิกครบ รวมทั้ง ช้อปปุ๊บ รับพอยท์ปั๊บ จากทุกร้านค้ากว่า 2,500 ร้านในศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์, พาราไดซ์ พาร์ค, พาราไดซ์ เพลส, เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9, เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ และธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค  ได้แก่ ข้าวมาบุญครอง ศูนย์อาหาร ฟู้ด เลเจ้นด์ส บาย เอ็มบีเค ศูนย์อาหารอิ่มจัง สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ, บางกอก กอล์ฟ คลับ, ล็อก ปาล์ม กอล์ฟ คลับ และ เรด เมาท์เทิน กอล์ฟ คลับ โครงการที่อยู่อาศัยพาร์ค ริเวอร์เดล, เดอะ ริเวอร์เดล เรสซิเดนซ์วาริทซ์ควินน์ สุขุมวิท 101 สินเชื่อรถจักรยานยนต์ ที ลีสซิ่ง ศูนย์ประมูลรถยนต์ แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น รวมถึงพันธมิตรชั้นนำมากมาย
  • PLUS ความคุ้มทุกการใช้จ่าย เพลิดเพลินกับโปรโมชันและส่วนลดพิเศษสูงสุด 60% จากร้านค้าชั้นนำในทุกศูนย์การค้าและธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ตื่นตาตื่นใจกับหลากหลายสิทธิประโยชน์จากการเปลี่ยนคะแนนแลกใช้แทนเงินสด แลกรับสินค้าหรือบริการ แลกรับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการและธุรกิจในเครือเอ็มบีเค อาทิ  บัตรชมภาพยนตร์ บัตรศูนย์อาหาร ผลิตภัณฑ์ข้าวมาบุญครอง ส่วนลดในการใช้บริการสนามกอล์ฟเครือเอ็ม บี เค ส่วนลดโรงแรมเครือเอ็ม บี เค และฟิตเนส ดิ โอลิมปิค คลับ ส่วนลดโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอ็ม บี เค เป็นต้น รวมทั้งยกขบวนสิทธิพิเศษส่งมอบความคุ้มจากเหล่าพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ สถาบันกวดวิชา ออนดีมานด์ (OnDemand) สมาชิกผู้ใช้แอปพลิเคชัน เอ็ม บี เค พลัส สามารถนำคะแนนสะสมแลกรับส่วนลดค่าสมัครคอร์สเรียน สามารถโอนคะแนนระหว่าง My OnDemand Reward และ MBK PLUS เป็นต้น นอกจากนี้แอปพลิเคชัน เอ็ม บี เค พลัส (MBK PLUS)  ยังสร้างสรรค์แคมเปญต่าง ๆ ให้สมาชิกร่วมลุ้นของรางวัลใหญ่ตลอดปี 
  • PLUS ความสะดวกสบาย ขั้นตอนการสมัครสมาชิกรวดเร็ว เพียง ขั้นตอนผ่านแอปพลิเคชัน การสะสมคะแนนง่าย ๆ และหลากหลายช่องทาง สมาชิกเช็คคะแนนสะสมได้แบบ Real time ไม่ต้องรอวันถัดไป สมาชิกเช็คประวัติการใช้คะแนนสะสม หรือการใช้คะแนนล่าสุดได้ผ่านแอปพลิเคชัน MBK PLUS พร้อมสิทธิพิเศษเหนือระดับ อาทิ ที่จอดรถโซนพิเศษ (Reserved Parking) ห้องรับรองพิเศษ (Lounge) สำหรับสมาชิกระดับ Black และ Diamond เป็นต้น

นายสมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า แอปพลิเคชัน เอ็ม บี เค พลัส (MBK PLUS) ยังตอบโจทย์ความต้องการของนักช้อปออนไลน์ด้วยการเชื่อมประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ (Seamless Shopping Experience) ซึ่งสมาชิกสามารถช้อปสนุกผ่านช่องทาง Online อยู่ที่บ้านก็ช้อปได้ ช้อปสะดวกสบาย และนำใบเสร็จมาสะสมคะแนน MBK PLUS ได้ความคุ้มสุดๆ ผ่านเพจ MBK CENTER AT LAZADA หรือ https://bit.ly/LazadaPR09 ซึ่ง เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ขนทัพสินค้าจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯ ขึ้นมาไว้บนเว็บไซต์ลาซาด้าให้ได้ช้อปกันจุใจตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมดีลเด็ดทุกเดือน รวมทั้งชมไลฟ์จำหน่ายสินค้าคุณภาพให้ได้ CF กันในราคาสุดคุ้มทุกวันพุธผ่านเพจ MBK Live Market หรือ https://facebook.com/MBKLiveMarket ตอกย้ำความครบครันของแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของนักช้อปยุคดิจิทัล

ครั้งแรกกับ IKEA Festival ชมบ้านจากทุกมุมโลก 16 ก.ย. นี้ ตลอด 24 ชั่วโมง

พบกับ IKEA Festival ครั้งแรกกับความร่วมมือของอิเกียทั่วโลก จัดงานเทศกาลความบันเทิง เปิดไอเดียใหม่ๆ และเทรนด์การใช้ชีวิตในอนาคต พาเยี่ยมชมบ้านจากทุกมุมโลก จัดเต็มไลน์อัปศิลปิน ดีไซเนอร์ ดีเจ เชฟ และเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดัง อาทิ เวอร์จิล แอบโลห์ (Virgil Abloh) ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้งสตรีทแบรนด์ OFF-WHITE, The Pasta Queen (Nadia Caterina Munno) เชฟคนดังกับเมนูอาหารอิตาลีต้นตำรับ, NIKI ศิลปินสาวเจ้าของผลงานเพลงฮิตติดอันดับชาร์ตเพลงระดับโลก, YONLAPA กลุ่มศิลปินอินดี้จากเชียงใหม่ที่โด่งดังในต่างประเทศ ฯลฯ สัมผัสประสบการณ์รูปแบบใหม่ เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตในบ้านกับ IKEA Festival ในวันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายนนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง งานนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

อิเกีย ประเทศไทย ร่วมแจมสร้างคอนเทนต์สำหรับแฟนอิเกียชาวไทยใน IKEA Festival ดึงผู้เชี่ยวชาญจากอิเกียเผยทิปส์ในการเลือกสินค้าที่ใช่สำหรับบ้านคนไทย โชว์โซลูชั่นต่างๆ ที่แต่งไว้ในห้องตัวอย่างที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงง่ายๆ รวมถึงปรุงเมนูอาหารฟิวชั่นไทย-สวีเดน มาร่วมสรรค์สร้างการใช้ชีวิตในบ้านที่ดียิ่งขึ้นไปกับเราได้ที่นี่

เพราะปัจจุบันการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งกว่าที่เคย อิเกียจึงขอนำเสนอแรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตในบ้านที่ดีกว่าให้กับผู้คนทั่วโลก ผ่านงาน IKEA Festival ซึ่งจะจัดขึ้นทั้งในรูปแบบออนไลน์และในสโตร์อิเกียทั่วโลก ทำงานร่วมกับเหล่าศิลปินนักดนตรี เชฟ นักออกแบบ และนักสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เปลี่ยนห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน และสวนหลังบ้าน ให้กลายเป็นเวทีจัดแสดงผลงานและสร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้ชม ถ่ายทอดการใช้ชีวิตในบ้าน ในสตูดิโอ และย่านต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเมื่อรวมแล้ว IKEA Festival จะเป็นงานที่จัดขึ้นในบ้านกว่า 100 หลัง ในกว่า 50 แห่งทั่วโลก และเปิดให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์กันได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

“IKEA Festival ได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ของอิเกียที่ต้องการสรรค์สร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับคนทั่วไปในทุกๆ วัน” เอริกา อินทิโซ กรรมการผู้จัดการของ IKEA Marketing and Communication AB กล่าวว่า “นี่คือประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่อิเกียต้องการนำเสนอเพื่อให้ผู้คนทั่วโลกได้มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันแนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตที่บ้านของผู้คนในปัจจุบัน รวมถึงเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ทัวร์ชมบ้านทั่วโลกที่จะเปิดประตูไปสู่ประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ ตลอดจนการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตที่บ้านที่มีความยั่งยืนขึ้น ในราคาที่เอื้อมถึง นอกจากนี้ ยังมีความบันเทิงที่เราเตรียมไว้สร้างความสนุกและเซอร์ไพรส์แฟนอิเกียทั่วโลกอีกด้วย”

กิจกรรมรูปแบบใหม่ใน IKEA Festival
IKEA Festival จะเกิดขึ้นบนเว็บไซต์ IKEA.com/festival โดยสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในบ้าน ซึ่งก็คือ การได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ดนตรี และอาหารที่ถูกจัดวางให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสในห้องเหล่านี้ อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับการพูดคุยกันในประเด็นต่างๆ ที่กำลังอยู่ในความสนใจ และการนำเสนอข่าวสารของอิเกียด้วย เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการตกแต่งภายในก็จะได้รับเชิญให้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และรับแรงบันดาลใจในการปรับปรุงบ้าน ดูวิธีที่นักออกแบบ รวมทั้งศิลปินที่ทำงานหรือเคยผลิตผลงานร่วมกับอิเกีย สร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาเอง

นอกจากนี้ ยังจะได้สัมผัสประสบการณ์การสร้างสรรค์เมนูใหม่ ทำครัวตามโจทย์ และเยี่ยมบ้านเชฟชื่อดังที่จะมาร่วมแบ่งปันสูตรอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดีต่อโลก และไม่มีเศษอาหารเหลือทิ้ง จะมีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นสำคัญเรื่องวัสดุหมุนเวียน อากาศ กิจกรรมการเล่น และพื้นที่ต่างๆ ที่ควรมี

เตรียมพบกับการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินอย่างใกล้ชิด ถ่ายทอดจากที่บ้านและที่สตูดิโอ เพลิดเพลินกับงานดนตรีโดยดีเจระดับโลก พลาดไม่ได้สำหรับเกมเมอร์! พบกับผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อคอเกมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังจะได้สัมผัสประสบการณ์เสมือน ท่องไปในโรงงาน Zbąszynek ที่โปแลนด์ ไปจนถึงร้านต้นแบบใน Älmhult ที่สวีเดน รวมถึงเข้าชม IKEA Museum เดินทางย้อนเวลากลับไปในพิพิธภัณฑ์ดิจิทัลของอิเกียเพื่อสำรวจประวัติศาสตร์อันหลากหลายของแบรนด์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

“ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนรูปแบบของการใช้ชีวิตที่บ้านของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง เทคโนโลยีและโลกเสมือนจริงเข้ามามีบทบาท ช่วยให้เราได้เปิดประตูไปสู่สถานที่ต่างๆ ในโลก ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาโซลูชั่นการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น  สำหรับ อิเกีย ประเทศไทย เราได้จัดเตรียมคอนเทนต์ดีๆ จากทีมงานและโซลูชั่นต่างๆ ที่มีอยู่ในสโตร์ของเรา ที่จะเหมาะกับความต้องการและการใช้ชีวิตของลูกค้าชาวไทย เพื่อสร้างโมเมนต์แห่งความสุข และความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในบ้าน” ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวปิดท้ายแฟนอิเกียตัวจริงและคนรักบ้านห้ามพลาด IKEA Festival ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน จะเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. และจัดขึ้นต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ดูรายละเอียดกิจกรรมและโปรแกรมต่างๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/IKEAThailand หรือ IKEA.co.th/festival

เปิดประวัติ ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่แห่งบาฟส์

บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ (BAFS) ประกาศแต่งตั้ง หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ แทนนายประกอบเกียรติ นินนาท ที่เกษียณอายุ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป  โดยเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนที่ 3 ของบริษัท

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล นับเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเชิงกลยุทธ์และมีความรอบรู้ในธุรกิจพลังงานและการคมนาคมขนส่งทางอากาศ อีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำและยึดมั่นในการดำเนินงานบนหลักธรรมาภิบาล ม.ล. ณัฐสิทธิ์ จะนำความรู้และประสบการณ์เข้ามาบริหารและขับเคลื่อนบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นผู้บริการเติมน้ำมันอากาศยานชั้นนำในระดับภูมิภาค

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ เข้ามาร่วมงานกับ BAFS ตั้งแต่ปี 2562 และล่าสุดดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกลยุทธ์เพื่อการเติบโต (Growth Strategy) ของบริษัท เพื่อให้ BAFS เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และในปัจจุบัน ยังดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาดของ BAFS และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินกิจการด้านพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด และกรรมการในอีกหลายบริษัท ได้แก่ บริษัท แม่ระมาด โซล่าร์ จำกัด บริษัท พี.พี. โซล่า (หนองโน) จำกัด บริษัท เอ ที ซี เอ็นไวโร จำกัด บริษัท เอสดีแอลที จำกัด บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด บริษัท บาฟส์ อินโนเวชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด และบริษัท บริการน้ำมันอากาศยาน จำกัด

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ จบการศึกษาปริญญาโทด้านธุรกิจระหว่างประเทศ จาก Australian School of Business มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย และปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  นอกจากนี้ ยังผ่านการศึกษาหลักสูตรสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ หลักสูตรการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 6 สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี  หลักสูตรการพัฒนาผู้นำคลื่นลูกใหม่ในราชการไทย รุ่นที่ 6 สำนักงาน ก.พ. หลักสูตร Leadership and Change, University of Potsdam, Germany หลักสูตรที่จัดโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) อาทิ หลักสูตร Director Certification Program (DCP) รุ่น 275/2019 หลักสูตร Risk Management Program for Corporate Leaders (RCL) รุ่น 19/2020 และหลักสูตร Successful Formulation & Execution of Strategy (SFE) 33/2020 รวมทั้งในอดีต เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด และที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ก่อนมาร่วมงานกับ BAFS

เปิดประสบการณ์เที่ยวทริป..ไฮบริดทัวร์ เที่ยวปลอดภัยยุคโควิด-19

3 จังหวัดกลุ่มภาคกลางตอนล่าง 1 ผสานพลังเปิดเกมรุกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเมืองรองรอบกรุง(เทพฯ) เปิดประสบการณ์ “เที่ยวทริป..ไฮบริดทัวร์” เที่ยวปลอดภัยในยุคโควิด ปลดล็อกนักเดินทางทั้งไทยและเทศไปกับครั้งแรกของการท่องเที่ยวในรูปแบบ “Virtual Trip ท่องเที่ยวเสมือนจริง บนแพลตฟอร์ม Virtual Tour 360๐ ที่ก้าวล้ำ และสมบูรณ์ที่สุด พบไฮไลต์จาก “Hybrid Tour” ที่จะนำนักท่องเที่ยวก้าวข้ามผ่านมิติของแพลตฟอร์ม สัมผัสความงดงาม พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โอทอป (OTOP) ได้โดยตรงจากผู้ขายผ่าน “Digital Eye” ในรูปแบบของ World of VR 360º เสมือนยกแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นใน 3 จังหวัดให้มาอยู่ตรงหน้า เพียงปลายนิ้วสัมผัส

หลังจากที่โลกของการเดินทางต้องหยุดนิ่งมานาน อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ทำให้นักเดินทางต่างโหยหาประสบการณ์จากการออกไปท่องเที่ยว โดยจากการเก็บข้อมูลจากสื่อโซเชียลในช่วงการ ล็อกดาวน์ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า มีการพูดถึงความต้องการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ซึ่งกิจกรรมที่ผู้คน “อยากทำ” และพูดถึงมากที่สุดบนโลกออนไลน์ คือ “อยากไปเที่ยว” โดยมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมสูงถึง กว่า 3.7 ล้านเอ็นเกจเมนต์

นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ท่ามกลางความกังวลใจต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีความกังวลจึงไม่กล้าออกมาท่องเที่ยว ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหยุดชะงักมาเป็นเวลานาน แม้ว่ากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้น แต่ที่ผ่านมายังขาดกิจกรรมที่จะมาช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวกันเพิ่มขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์นี้ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 จึงมีแนวคิดพัฒนาการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย มาสร้างสรรค์และพัฒนาเป็นสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในแบบ Virtual Tour 360๐ หรือ ทัวร์เสมือนจริงอย่างเต็มรูปแบบมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากกลับมาเที่ยวซ้ำ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายขึ้น

ไฮไลต์ของ Virtual Tour 360๐ นี้ เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ VR 360º ทั้งภาคพื้นดิน และบนอากาศ การสร้างสรรค์แมสคอต และของดีประจำจังหวัดมาในแบบโมเดล 3 มิติที่สามารถดูได้รอบทิศ พร้อมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่จะสร้างมิติแห่งการท่องเที่ยวที่ให้มุมมองแบบ 2 แสง คือ กลางวันและกลางคืน ซึ่งจะนำนักท่องเที่ยวก้าวข้ามผ่านมิติของแพลตฟอร์มไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวจริง ได้สัมผัสความงดงาม ตื่นตากับความหลากหลายของสถานที่และวัฒนธรรม บริบทของการใช้ชีวิตของผู้คนในชุมชนในทุกแง่มุม ผ่านดิจิทัลอาย (Digital Eye) ในรูปแบบ World of VR 360º ที่เสมือนยกแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นใน 3 จังหวัดให้มาอยู่ตรงหน้าเพียงปลายนิ้วสัมผัส

นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า นอกจากนักท่องเที่ยวจะประทับใจแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่หลากหลายแล้วในมุมมองรอบทิศทางแล้ว ยังจะเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าโอทอปจากผู้ขายในชุมชนได้โดยตรงผ่านแชต Facebook และ Line ได้ด้วย และเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และเข้าถึงช่องทางการสื่อสารของกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ของ Virtual Tour 360๐ ในรูปแบบของ Hybrid Tour ร่วมด้วยได้ และยังสามารถบันทึกภาพความประทับใจระหว่างการท่องเที่ยวได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพาตนเองไปยังสถานที่นั้น ๆ หรือย้ายสิ่งของจากแหล่งท่องเที่ยวมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อเซลฟี่ ก็สามารถทำได้ในคลิกเดียว

“ด้วยเทคโนโลยี VR 360º ที่ผสานกับ 3D AR จะสร้างมิติมุมมองให้ชวนติดตาม จะทำให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งของ 3 จังหวัดในกลุ่มการท่องเที่ยวภาคกลางตอนล่าง 1 กลับพลิกฟื้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งการท่องเที่ยวในรูปแบบของ Virtual Tour นี้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นและเสริมภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ช่วยกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่การท่องเที่ยวเมืองรอง และกระจายลงสู่พื้นที่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง สอดรับกับการท่องเที่ยวในวิถีใหม่ (New Normal) ได้อย่างลงตัว” นางสาวกิรดา ลำโครัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวสรุป

ยังมีเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายจากหลากหลายพื้นที่ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ซึ่งรอให้นักท่องเที่ยวได้มาค้นพบ ปักหมุดแล้วมาท่องเที่ยวทั้งแบบ Virtual Trip ทั้งบนเว็บไซต์สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดราชบุรี เว็บไซต์สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี เว็บไซต์สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี และ Hybrid Tour บนมือถือได้แล้ววันนี้

Ted Baker เปิดตัว Fusion Collection กับ 3 กลิ่นหอมซิกเนเจอร์ใหม่

เท็ด เบเกอร์ (Ted Baker) แบรนด์ดังจากประเทศอังกฤษ เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ที่จะมาเปลี่ยนวันธรรมดาที่แสนน่าเบื่อ ให้กลายเป็นวันสุดพิเศษ พร้อมสัมผัสประสบการณ์เกินคาดคิด ด้วย เท็ด เบเกอร์ ฟิวชั่น คอลเลกชั่น ลัดฟ้าจากลอนดอนถึงประเทศไทย พร้อมให้สัมผัสแล้ววันนี้ ไม่ว่าจะสไตล์ไหน ก็เฉิดฉายได้ในแบบตัวคุณเองอย่างเต็มที่ ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว บำรุงผิวกาย และน้ำหอม จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กับ 3 กลิ่นหอมซิกเนเจอร์ใหม่ ให้คุณพร้อมออกนอกบ้านใช้ชีวิตตามไลฟ์ไตล์ของคุณได้อย่างมั่นใจ

เท็ด เบเกอร์ ฟิวชั่น คอลเลกชั่น ถูกออกแบบเป็นพิเศษโดยเฉพาะสำหรับ บู๊ทส์ ประเทศไทย (Exclusive at Boots Thailand) โดยใส่ใจทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน คัดสรรกลิ่นและส่วนผสมคุณภาพลงในบรรจุภัณฑ์ระดับพรีเมียม ด้วยความชำนาญในการผสมผสานความหอมอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นและประณีต

Fusion Collection (ฟิวชั่น คอลเลกชั่นประกอบด้วย 3 กลิ่นใหม่สุดหรู มีสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ได้แก่

  • สี Classic Pink กลิ่นหวานอ่อนโยน : ไวโอเล็ต แอนด์ เบอร์กามอต กลิ่นหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลิ่นของหมู่มวลดอกไม้และผลเบอร์รี่ ให้กลิ่นหวานสดชื่น สุดคลาสสิก แต่ก็อ่อนโยนและชวนหลงใหลเกินต้านทาน
  • สี Joyful Red กลิ่นแฮปปี้สดใส : ราสเบอร์รี่ แอนด์ ออเรนจ์ บลอสซัม เป็นการผสมผสานกลิ่นราสเบอร์รี่และกลุ่มพืชตระกูลส้มได้อย่างลงตัว ปลุกประสาทสัมผัสของคุณให้สดชื่น เติมพลังให้
    คุณพร้อมเริ่มวันใหม่ได้อย่างสดใส
  • สี Mysterious Black กลิ่นลึกลับน่าค้นหา : โรส แอนด์ แคสซีส กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากกลิ่นกุหลาบอันหอมหวานที่ผสานกับกลิ่นแคสซีส สุดเย้ายวน เพิ่มความเซ็กซี่ น่าค้นหาทุกครั้งที่ใช้

มาเปลี่ยนวันธรรมดาของคุณให้พิเศษขึ้นกว่าเคยด้วยผลิตภัณฑ์คอลเลกชั่นใหม่ เท็ด เบเกอร์ ฟิวชั่น คอลเลกชั่น ได้แล้วที่ร้านบู๊ทส์ใกล้บ้านคุณหรือพิเศษก่อนใคร ที่ช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Boots Mobile Application Boots Official Store บน Shopee และ Lazada หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ th.boots.com หรือ facebook.com/bootsthailand