THG มุ่งให้บริการดูแลรักษาคนไข้ COVID-19 แบบครบวงจร

บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ชูผลงานไตรมาส 2/2564 ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 84 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน และมีรายได้รวม 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการให้บริการตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้น การปรับวอร์ดผู้ป่วยใน รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง รองรับคนไข้ COVID-19 และจัดตั้งฮอสพิเทล ครึ่งปีหลังมุ่งสร้างการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมแสดงเจตนารมณ์จัดหาวัคซีนทางเลือกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ประชาชนต่อไป  

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้นำธุรกิจดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรและบริการที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด ‘ดูแลคุณในทุกช่วงชีวิต’ (Lifetime Health Guardian For Allเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 สามารถฟื้นตัวอย่างโดดเด่นทั้งรายได้และกำไรเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมีรายได้รวม 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลับมาทำกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่) 84 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 

ผลการดำเนินงานไตรมาส ที่ผ่านมาที่ฟื้นตัวได้ดี มาจากบริษัทฯ ปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 โดยเปิดให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้น ดำเนินการปรับหอผู้ป่วยใน (วอร์ดผู้ป่วยใน) ทั้งหมดของโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง รองรับการดูแลรักษาคนไข้ COVID-19 เต็มรูปแบบ จากเดิมที่จับกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางมารักษาโรคเฉพาะทางเป็นหลัก และในขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับโรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์ สุขุมวิท (อโศก) และโรงแรมไอบิส กรุงเทพฯ
อิมแพ็ค จัดตั้งฮอสพิเทล (
Hospitel) หรือหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ เพื่อดูแลรักษาคนไข้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ส่วน โรงพยาบาล Ar Yu International Hospital ในเมียนมา แม้รับรู้ผลขาดทุนเนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลโดยรวมมีทิศทางที่เติบโตได้ดี 

สำหรับการดำเนินในช่วงครึ่งปีหลัง จะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยให้บริการดูแลรักษาคนไข้ COVID-19 เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนโรงพยาบาลในเครือที่ขยายเพิ่มเตียงรับผู้ป่วยรวมเป็นกว่า 200 เตียง และเพิ่มบริการดูแลคนไข้ช่วงพักฟื้นหลัง COVID-19 อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยอาการปานกลางถึงรุนแรง แห่ง ดูแลคนไข้ที่ส่งจากภาครัฐ รวมกว่า 400 เตียง และร่วมมือกับผู้ประกอบการโรงแรม ให้บริการฮอสพิเทลอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 2,000 เตียง รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือ THG ที่เปิดรับจองวัคซีนทางเลือก เพื่อเตรียมฉีดให้แก่ประชาชน

“จากสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประธานกรรมการบริษัทฯ (น.พ.บุญ วนาสิน) ได้ถ่ายทอดเจตนารมณ์และความจริงใจให้ทีมงาน THG ได้ช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งเปิดรับตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง ขยายการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและในฮอสพิเทล ร่วมลงทุนและส่งบุคลากรทางการแพทย์ มุ่งทำ ICU สนามให้กับภาครัฐ และมีส่วนช่วยจัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนรัฐบาลเพื่อกระจายให้ถึงประชาชนหมู่มาก และเรายังจัดหาวัคซีนทางเลือก ซึ่งจะสามารถช่วยเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในครั้งนี้” นายแพทย์ธนาธิป กล่าว  

TVD เตรียมเปิดตัว Xpresso ให้บริการจัดส่งพัสดุชิ้นเล็ก

ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD วางเป้าหมายไตรมาส 4/2564 ผลประกอบการฟื้นตัว เร่งปรับแผนใหญ่ธุรกิจ B2C รุกเพิ่มยอดขายฐานลูกค้าเก่า 6.5 ล้านคน จัดส่งแคตาล็อกนำเสนอสินค้าฮอตฮิตกระตุ้นการตัดสินใจ เพิ่มช่องทางโปรโมตผ่านทีวีดิจิทัล เตรียมเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีกำไรสูง ด้านธุรกิจ B2B เตรียมเปิดตัว Xpresso ให้บริการจัดส่งพัสดุชิ้นเล็กผ่าน แอปพลิเคชัน หลังเสริมทีมงานที่มีประสบการณ์จากกลุ่ม Alpha รองรับดีมานด์ในยุคอีคอมเมิร์ซบูมและเสริมศักยภาพธุรกิจคลังสินค้า Fulfillment พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจนายหน้าประกันภัย  

นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ช่วงครึ่งปีแรกประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 อย่างรุนแรงและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง กำลังซื้อและดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ประกอบกับบริษัทฯ อยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบการขายสินค้าออนไลน์เพื่อก้าวสู่ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซและขยายธุรกิจใหม่ๆ  ส่งผลให้ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวม 741.95 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา และมีผลการดำเนินงานขาดทุน อย่างไรก็ตามคาดว่าไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุดของผลการดำเนินงานในปีนี้ และตั้งเป้าหมายกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4 ของปีนี้ รวมถึงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีหน้า

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของผลประกอบการ จะมาจากการปรับแผนธุรกิจในกลุ่มธุรกิจ B2C และกลุ่มธุรกิจ B2B ครั้งใหญ่เพื่อสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยกลุ่มธุรกิจ B2C ทั้งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโมบาย แอปพลิเคชั่นในช่วงไตรมาส 4 นี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งทุกที่และทุกเวลาได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับจัดทำแคตตาล็อกโดยนำสินค้าไฮไลต์และสินค้ายอดนิยมแต่ละกลุ่ม เพื่อสื่อสารโดยตรงถึงกลุ่มลูกค้าของทีวี ไดเร็ค ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าจำนวน 6.5 ล้านคน ที่มีความแอ็กทีฟในการการซื้อสั่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการเพิ่มจำนวนคอลล์ เซ็นเตอร์ เป็น 500 ที่นั่ง เพื่อดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงฐานลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายจากสินค้าเฮาส์แบรนด์ สินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารเสริม ที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงขยายช่องทางโปรโมตสินค้าผ่านทีวีดิจิทัล

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2B ภายใต้บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ TVD เตรียมเปิดตัวบริการขนส่งพัสดุขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ ‘Xpresso’ ในรูปแบบ Next Day ผ่านทางแอปพลิเคชัน และสามารถระบุเวลาเข้ารับสินค้าได้ถึง 22.00 น. หลังจากบริษัทฯ ได้รับพนักงานที่มีประสบการณ์จากกลุ่มบริษัทอัลฟ่าเพอร์เฟอร์มานซ์ (Alpha) ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ ร่วมเสริมศักยภาพการให้บริการระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Fulfillment) ที่ให้บริการจัดเก็บ แพ็กและจัดส่งแบบครบวงจร รองรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่กำลังเติบโตตามเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเฟสแรกมีพนักงานเข้ามาเสริมทีมจำนวน  60 คน และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 100 – 200 คนในอนาคต

นอกจากนี้ เอบีพีโอ ได้เข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพกลุ่ม Food Tech และ ED Tech พร้อมกับนำความเชี่ยวชาญของคอลล์ เซ็นเตอร์ ให้บริการกับผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง และให้บริการซอฟท์แวร์ด้านการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ส่วนบริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ในเครือ เอบีพีโอ วางแผนรุกขยายธุรกิจนายหน้าขายประกันภัย เพราะมีศักยภาพและแนวโน้มเติบโตที่ดีในอนาคต หลังจากเกิดแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ทำให้ผู้บริโภคเล็งเห็นความสำคัญของการทำประกันภัยในรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้น

การปรับแผนและกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจ B2C และ B2B เพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งรองรับกับการเติบโตในช่วงภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 กลับมาทำกำไร ขณะที่ผลดำเนินงาน 2564 บริษัทฯ ได้ปรับประมาณการรายได้ที่ 2,850 ล้านบาท จากเดิม 4,000 ล้านบาท” นายทรงพล กล่าว

หุ้นกู้ ‘เงินติดล้อ’ สุดฮอต ยอดจองล้น 4.2 เท่า

บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ชูความสำเร็จหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท นักลงทุนตอบรับล้นหลามเกินความคาด หมาย หนุนยอดจองล้น 4.เท่า คิดเป็นมูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท จากแผนเสนอขาย 5,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพทางธุรกิจและโอกาสเติบโตในอนาคต  

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินความคาด ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท รวมหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) วงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนแสดงความจำนงเข้าลงทุน (Bookbuilding) ในหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากกว่า 4.เท่า เมื่อเทียบกับแผนการเสนอขาย หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนมาก ที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 

สำหรับรายละเอียดของหุ้นกู้ที่เสนอขายดังกล่าว มีกำหนดไถ่ถอนภายใน ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ย ปี 0.97% และอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1.17% โดยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้จากทริสเรทติ้ง ในระดับ ‘A’ แนวโน้ม ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’

“จากผลการตอบรับการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันและหนึ่งในผู้นำธุรกิจนายหน้าประกัน ที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจและยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินแก่ผู้คนในสังคมอย่างเท่าเทียม ซึ่งทำให้เงินติดล้อแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ และเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้สามารถขยายกิจการได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้” นายปิยะศักดิ์ กล่าว สำหรับผู้สนใจเยี่ยมชมข้อมูลเงินติดล้อเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tidlor.com   

เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล เปิดแผนเจาะตลาดสินเชื่อรายใหญ่ภาคเหนือ

บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล’ โชว์ศักยภาพผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 20 ปี ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น ด้วยทีมงานผู้บริหาร และพนักงานที่มีความเข้าใจลูกค้า บริการด้วยความจริงใจ เข้าใจ พร้อมทั้งเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง เปิดแผนมุ่งขยายผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และบริการที่หลากหลาย ขยายพอร์ตลูกหนี้สินเชื่ออย่างยั่งยืน โดยขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมทั้งพัฒนา Software และ Mobile Application ต่างๆ สำหรับการให้บริการสินเชื่อ เพื่อรองรับการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยตั้งเป้าปี 2566 พอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาท และสาขาเป็น 830 สาขา มุ่งสู่หนึ่งในผู้นำการให้บริการสินเชื่อที่ครบวงจรในประเทศไทยที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม 

นายวิชัย ศุภสาธิตกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือภายใต้แบรนด์ เฮงลิสซิ่ง ที่เกิดขึ้นจากการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือ กลุ่ม ได้แก่  กลุ่มทวีเฮง กลุ่มพัฒนสิน กลุ่มมิตรเอื้ออารีย์ และกลุ่มสินปราณี ซึ่งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันที่แตกต่างกันมากกว่า 20 ปี โดยการรวมตัวกัน จึงสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในภาคเหนือ ความสามารถ และประสบการณ์ของกลุ่มผู้ถือหุ้นแต่ละกลุ่ม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ นำเสนอผลิตภัณฑ์ตรงใจลูกค้า และเติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งพัฒนาธุรกิจภายใต้แนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาทางการเงินแก่คนท้องถิ่น ด้วยความจริงใจ เข้าใจ ด้วยทีมพนักงานของ เฮงลิสซิ่ง ที่เป็นคนในพื้นที่ มีความเข้าใจภาษาถิ่น วัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิต มีความคุ้นเคย เข้าถึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการสินเชื่อของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น และช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยหลักการให้บริการที่เป็นธรรม โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ทำให้แบรนด์ เฮงลิสซิ่ง ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากลูกค้าตลอดมา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเครือข่ายพันธมิตรผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองและนายหน้ากว่า 5,100 ราย ที่ช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์และส่งต่อลูกค้าให้แก่สาขาในแต่ละพื้นที่ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขากระจายอยู่ใน 51 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันการให้บริการสินเชื่อให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างโอกาสการขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อประเภทอื่น ๆ รวมถึงให้บริการนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ทำให้สินค้าและบริการของ เฮงลิส     ซิ่ง สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

“เรามีทีมผู้บริหาร พนักงานและบุคลากรคนท้องถิ่นที่เข้าใจลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการสินเชื่อเพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพหรือใช้เป็นทุนหมุนเวียน โดยทีมพนักงานจะลงพื้นที่เข้าพูดคุยให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ด้วยความเป็นมิตร จริงใจ โปร่งใส เป็นธรรม เพื่อสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อของ เฮงลิสซิ่ง มาโดยตลอด” นายวิชัย กล่าว

นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ ผู้ให้บริการทางการเงินที่เป็นที่นิยมชมชอบของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจให้บริการสินเชื่ออย่างครบวงจรที่ตอบสนองความต้องการทางการเงินของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยสินเชื่อที่มีหลักประกันประกอบด้วย (1) สินเชื่อเช่าซื้อ (Hire Purchase) สำหรับลูกค้ารายย่อยที่ต้องการซื้อรถมือสอง (2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไปที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถ โดยใช้ใบคู่มือจดทะเบียนรถเป็นหลักประกัน และ (3) สินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน

ส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ประกอบด้วย (1) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน หมายถึง สินเชื่ออเนกประสงค์สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาทั่วไปที่มีรายได้สม่ำเสมอ มีเอกสารรับรองรายได้ เช่น ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท เป็นต้น (2) สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์) สำหรับลูกค้ารายย่อยที่ไม่มีเอกสารรับรองรายได้หรือไม่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน โดยจะต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพที่มีหลักแหล่งแน่นอน มีหลักฐานและสถานที่ประกอบอาชีพ รวมทั้งมีรายได้จากการประกอบอาชีพที่ชัดเจน 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประกอบธุรกิจการให้บริการนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิตผ่านเครือข่ายสาขาให้แก่บริษัทประกันชั้นนำจำนวน 6 บริษัท ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลาย ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยรถจักรยานยนต์ ประกันอุบัติเหตุ ประกันชีวิต เป็นต้น 

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนยกระดับการให้บริการสินเชื่อในทุกมิติ ตั้งแต่ การบริหารจัดการควบคุมความเสี่ยงและบริหารคุณภาพลูกหนี้ให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมกับพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น เพื่อขยายฐานลูกค้ารายใหม่ ๆ ในกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันและสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน พร้อมเพิ่มช่องทางให้บริการแก่ลูกค้าผ่านการเปิดสาขาให้ครบ 830 สาขา ภายในปี 2566 และพัฒนา Software และ Mobile Application ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากการให้บริการของ เฮงลิสซิ่ง’ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

“เราไม่หยุดยั้งพัฒนาบุคลากรสาขาเพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพราะเชื่อว่าพนักงานเป็นหัวใจสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่ต้องเข้าใจพฤติกรรมความต้องการสินเชื่อของลูกค้าและสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างแท้จริง เพื่อผลักดันพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาทภายในปี 2566 ได้ตามแผนที่วางไว้” นางสุธารทิพย์ กล่าว 

JP เตรียมขายหุ้น IPO ในตลาด mai ไม่เกิน 115 ล้านหุ้น

บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) หรือ JP โชว์ศักยภาพทีมวิจัยพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ รับแผนผลักดันการเติบโตด้วยกลยุทธ์นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท หรือ Own Brand เร่งสร้างการรับรู้และขยายช่องทางจำหน่าย Multi-Channel Marketing ในกลุ่มประเทศ CLMV+T ชูฐานการผลิตโรงงานทั้ง แห่ง ที่ได้มาตรฐาน GMP พร้อมขยายฐานลูกค้า OEM รับออเดอร์การผลิตเพิ่มเติม เพื่อก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายยา เวชภัณฑ์และอาหารเสริมของไทย ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. นับ 1 แบบคำขออนุญาตเสนอเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 115 ล้านหุ้น ภายหลังได้รับการอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับ 

ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทยจำกัด (มหาชนหรือ JP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีจุดแข็งทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถนำองค์ความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์มาพัฒนาเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีขึ้นและสนับสนุนกลยุทธ์องค์กรที่มีเป้าหมาย ต้องการผลักดันการเติบโตด้วยผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ (Own Brand) โดยมีแผนงานนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงของบริษัทฯ เช่น ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม รวมถึงใช้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านธุรกิจยาและสมุนไพรมานานกว่า 70 ปี เพื่อรองรับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย จากการเลือกใช้ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทางเลือกในการป้องกันและรักษาโรคมากขึ้น    

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้นำศักยภาพการผลิตของโรงงานทั้ง แห่ง ที่กรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิตสำหรับการผลิตยา (GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.กระทรวงสาธารณสุข สอดคล้องและทัดเทียมกับมาตรฐานของสหภาพยุโรปและมาตรฐาน GMP มาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบและครบวงจรเพื่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง มีความหลากหลายทั้งขนาด ส่วนผสม และรูปแบบ ทำให้ JP สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคเข้าสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพ  ช่วยสนับสนุนแผนขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มรับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้า (OEM) ซึ่งบริษัทฯ ให้การบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาสินค้า การคิดค้นและพัฒนาสูตร การขอทะเบียนตำรับยาหรือการจดแจ้งเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) การออกแบบบรรจุภัณฑ์และควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์สุขภาพในเชิงดูแลป้องกันและรักษาโรค ภายใต้ตราสินค้าบริษัทฯ ประกอบด้วย (1)กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาผู้ป่วย ภายใต้ตราสินค้า COXTM ได้แก่ ยาแก้ไอชนิดน้ำเชื่อม ยาน้ำแก้ไข้และยาคุมกำเนิด (2)ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ ที่ใช้ทั้งภายในและภายนอก ภายใต้ตราสินค้า สุภาพโอสถTM เช่น ยาเม็ดสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ยาแก้ไข้ ยาบำรุงโลหิต ยาขับลม ยาแคปซูลผสมเถาเอ็นอ่อน ยาหม่อง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันสกัดเย็น ชนิด  และสาหร่ายสไปรูริน่า (3)กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้ตราสินค้า EVITONTM  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ผลิตภัณฑ์วิตามินรวม ผลิตภัณฑ์สารสกัดน้ำมันธรรมชาติ (4)กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ภายใต้ตราสินค้า JSPTMที่ระดับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ร้อยละ 70-95 ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รับความต้องการใช้ในครัวเรือนจนถึงกลุ่มอุตสาหกรรม และ (5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นการจัดซื้อเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพื่อจำหน่ายแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน 

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายยา เวชภัณฑ์และอาหารเสริม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่านแนวทางการตลาดมุ่งสร้างตราสินค้าของตัวเองให้เข็มแข็งและขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้มีความหลากหลาย (Multi -Channel Marketing) ทั้งร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง และช่องทางออนไลน์ (Online Channel) ในมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทั่วถึง รวมถึงขยายช่องทางจำหน่ายไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ผ่านรูปแบบแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในแต่ละประเทศ

นางสาวจิรดา แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน JP กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯ สามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 3 ปีย้อนหลัง อยู่ที่  348.88 ล้านบาท 360.69 ล้านบาท และ 455.6ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งตลอดระยะที่ผ่านมาที่บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ Own Brand ทำให้มีสัดส่วนรายได้ปรับตัวดีขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 21-25% และยังช่วยส่งเสริมความสามารถการทำกำไรขั้นต้นที่ดีกว่าการรับจ้างผลิต OEM ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือทำได้ 12.39 ล้านบาทในปี 2561 เพิ่มเป็น 23.57 ล้านบาทในปี 2562 และในปี 2563 เติบโตเพิ่มเป็น 31.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.52 ร้อยละ 6.44 และร้อยละ 6.72 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโควิ-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (มกราคมมีนาคมบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 94.81 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7.48 ล้านบาท  

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทยหรือ JP ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 115 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาด การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงและขยายโรงงานทั้ง แห่ง ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับ แบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา  แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมรุกขยายตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทั้งในเชิงดูแลป้องกันและการรักษา ด้วยกลยุทธ์นำเสนอนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง ในกลุ่มยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของตัวเองพร้อมแผนทำตลาดสร้างการรับรู้ในตราสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายและขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน Online เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ตลอดจนแผนขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงนำความสามารถด้านการผลิตของโรงงานทั้ง แห่งเข้าช่วยผลักดันฐานลูกค้า OEM  เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป  

HENG เตรียมพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล’ เตรียมพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายขีดความสามารถการให้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด ใครๆ ก็กู้ได้ ย้ำจุดแข็งทีมผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์และความเข้าใจลูกค้า พร้อมผนึกเครือข่ายพันธมิตรสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ผ่านแผนนำเสนอผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้าและมุ่งขยายสาขา ควบคู่การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สร้างโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ตั้งเป้าปี 2566 ดันพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 14,800 ล้านบาท ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. นับ แบบไฟลิ่ง เป็นที่เรียบร้อย 

นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือภายใต้แบรนด์ เฮงลิซซิ่ง’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมรุกขยายธุรกิจสินเชื่อภายใต้วิสัยทัศน์ ผู้ให้บริการทางการเงินที่นิยมชมชอบของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งสินเชื่อที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ได้แก่ (1) สินเชื่อเช่าซื้อ (2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (3) สินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน (4) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (5) สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประกอบธุรกิจการให้บริการนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิต ผ่านเครือข่ายสาขาให้แก่บริษัทประกันชั้นนำ 6 บริษัท ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยจักรยานยนต์ ประกันอุบัติเหตุ ประกันชีวิต เป็นต้น 

บริษัทฯ มีจุดแข็งด้านทีมผู้บริหารที่มาจาก กลุ่มผู้ประกอบการสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือ ได้แก่ กลุ่มทวีเฮง กลุ่มพัฒนสิน กลุ่มมิตรเอื้ออารีย์ และกลุ่มสินปราณี ที่เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อมากว่า 20 ปี และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในภาคเหนือ พร้อมทีมพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่นซึ่งมีความเข้าใจลูกค้า สามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้แนวคิด ใคร ๆ ก็กู้ได้’ ด้วยหลักความเข้าใจ เป็นธรรม โปร่งใส รวดเร็ว และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของลูกค้า เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด 

นอกจากนี้ HENG ยังมีเครือข่ายพันธมิตรผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองและนายหน้ากว่า 5,100 ราย ช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์และแนะนำลูกค้าให้แก่สาขาในแต่ละพื้นที่กระจายอยู่ 51 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ที่ถือเป็นแต้มต่อด้านการให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันของบริษัทฯ รวมถึงยังสามารถนำเสนอบริการนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจรอีกด้วย 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HENG กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนงานมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้หลากหลายและขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น ด้วยการขยายสาขาไปยังภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ HENG มีรากฐานธุรกิจที่เข้มแข็งในภาคเหนือ โดยมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 830 สาขา ภายในปี 2566 จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 ที่มีจำนวน 451 สาขา และมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์และโมบาย แอปพลิเคชัน ควบคู่พัฒนามาตรฐานบุคลากร เพื่อยกระดับขีดความสามารถการให้บริการ รองรับแผนขยายพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 14,800 ล้านบาท 

ดร.ธีรวัฒน์ ธวัลรัตน์โภคิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2561-2563 บริษัทฯ ขยายพอร์ตสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง จาก 7,349 ล้านบาท เพิ่มเป็น 7,534 ล้านบาท และ 7,733 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 2.6 ต่อปี มีรายได้จากดอกเบี้ยอยู่ที่ 1,239 ล้านบาท 1,557 ล้านบาทและ 1,450 ล้านบาท โดยตลอดระยะเวลา ปีที่ผ่านมา ดอกเบี้ยหลักมาจากสินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นสัดส่วนสำคัญคือสินเชื่อเช่าซื้อ ทำรายได้อยู่ที่ร้อยละ 64.0 ร้อยละ 76.7 และร้อยละ 65.0 ของรายได้ทั้งหมด สะท้อนถึงเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับความตั้งใจในการบริหารต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2561-2563 อยู่ที่ 151.8 ล้านบาท 188.7 ล้านบาท และ 318.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 44.6 ต่อปี 

ส่วนผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อรวม 7,802 ล้านบาท โดยมีรายได้จากดอกเบี้ย 686.1 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันยังคงเป็นพอร์ตหลัก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.4 ของรายได้รวม และสินเชื่อเช่าซื้อยังคงเป็นรายได้หลักเช่นเดิม คิดเป็นร้อยละ 52.9 ทั้งนี้ได้มีการตั้งสำรองลูกหนี้สินเชื่อส่วนเพิ่ม (Management Overlay) เพื่อรองรับความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากภาวะโควิท-19 อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ยังมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้อยู่ที่ 109.1 ล้านบาท 

ด้าน นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่ บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล หรือ HENG ยื่นแบบแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 800,837,300 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 21 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับ แบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย HENG จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้มาเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงรองรับแผนขยายสาขาและการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มเติม ส่วนที่เหลือจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและชำระเงินกู้แก่สถาบันการเงิน

SAPPE ฉลอง All Coco ครบรอบ 7 ปี พร้อมเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่

‘บมจ.เซ็ปเป้’ หรือ SAPPE ผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมฉลอง All Coco ครบรอบ ปี ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เข้าสู่กลุ่ม Food เปิดตัวเมนูอาหาร “ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอม” เอกลักษณ์จากมะพร้าวน้ำหอม จัดเต็ม 2 รสชาติเอาใจคนรักซุปและ Coconut lover ด้วยเมนู ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอม และ  ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอมผสมเห็ด กลิ่นทรัฟเฟิล พร้อมจัดแคมเปญ “All Coco ครบรอบ 7 ปี ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนไทย ช่วยเหลือและส่งต่อกำลังใจ โดยสามารถสั่งสินค้า All Coco เพื่อบริจาคให้กับโรงพยาบาลรัฐและมูลนิธิ เพื่อร่วมฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริโภคหันมาทำอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดซุปสำเร็จรูปขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกผลิตภัณฑ์ซุปสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป อาทิ ซุปข้นซุปเห็ดซุปข้าวโพดซุปไก่ซุปปลาซุปสำหรับเด็ก และซุปที่ต้องผสมน้ำร้อนก่อนรับประทานซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคด้วยจุดเด่นของรสชาติอาหารไทย จึงเป็นที่นิยมในต่างประเทศ ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง ประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 7 ของโลก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 มีการส่งออกซุปสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปไปตลาดโลกมูลค่าถึง 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ  

ขณะเดียวกัน ตลาดสินค้าน้ำมะพร้าวทั่วโลกปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มคาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าถึง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมะพร้าวน้ำหอมของไทยเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก โดยแต่ละปีมีการส่งออกมากถึง 370 ล้านผล หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และในปีที่ผ่านมา แม้ทั่วโลกจะเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่การส่งออกมะพร้าวน้ำหอมของไทยยังขยายตัวได้ถึง 30% (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ สปษ. ดี.ซี.)  

บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการนำแบรนด์ All Coco ซึ่งมีจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์เมนูอาหารเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสที่ All Coco ครบรอบ ปี ด้วยการเปิดตัว ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอม ที่อร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นเป็นเอกลักษณ์จากมะพร้าวน้ำหอม มี รสชาติ ได้แก่ ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอม ราคา 49 บาท และ ซุปครีมมะพร้าวน้ำหอมผสมเห็ด กลิ่นทรัฟเฟิล ราคา 79 บาท ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงที่ต้องอยู่บ้านจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิ19 โดยจัดจำหน่ายแล้วที่ All Coco Shop ทุกสาขา และช่องทางออนไลน์ Line: @thai.allcoco, Facebook.com/Thai.AllCoco 

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์คือความเป็นซุปครีมมะพร้าวน้ำหอมแช่แข็งพร้อมทาน ซึ่งถ้าพูดถึงซุปครีมหลายๆ คนคงนึกถึงซุปครีมเห็ดหรือข้าวโพด แต่สินค้าใหม่ของเรา เป็นซุปครีมที่ทำจากมะพร้าวน้ำหอมคุณภาพมาตรฐาน All coco จึงได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากมะพร้าวน้ำหอมแท้ๆ ผสมผสานกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งเราคิดค้นผลิตภัณฑ์นี้เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ชื่นชอบในมะพร้าวน้ำหอม(Coconut lover) และชอบทานซุปครีม จัดจำหน่ายแบบแช่แข็งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถเก็บรักษาได้นาน อีกทั้งยังสะดวกสบายพร้อมทาน เพียงอุ่นด้วยไมโครเวฟใช้เวลาเพียง 3-4 นาทีเท่านั้น โดยคาดหวังว่า All Coco จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุขและสุขภาพที่ดีให้กับลูกค้าของเราในสถานการณ์โควิด19” นางสาวปิยจิต กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวว่า ตลอด ปีที่ผ่านมา All Coco ได้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากมะพร้าวน้ำหอมพรีเมี่ยมที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ให้กับลูกค้า มะพร้าวน้ำหอมของ All Coco ปลูกในสวนออร์แกนิกด้วยเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญ ตั้งใจรักษาทั้งรสชาติและคุณประโยชน์ของมะพร้าวน้ำหอมเหมือนได้ทานสดๆ จากผลมะพร้าว ด้วยเทคโนโลยีในการผลิต HPP ซึ่งไม่ผ่านความร้อน ทำให้มะพร้าวน้ำหอมของ All Coco เป็นที่ชื่นชอบและจดจำเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีเมนูมะพร้าวน้ำหอมอื่นๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า อาทิ พุดดิ้งมะพร้าวน้ำหอมมะพร้าวน้ำหอมเกล็ดหิมะ และอื่นๆ อีกมากมาย 

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ All coco ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาตลอด ปี นอกจากการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ด้วยซุปคุณภาพเพื่อลูกค้าของเราแล้ว ยังออกแคมเปญ ‘All Coco ครบรอบ 7 ปี ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนไทยสู้โควิด-19 ที่ All coco อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อกำลังใจและช่วยเหลือคนไทยในภาวะนี้ โดยลูกค้าสามารถสั่งสินค้า All Coco เพื่อบริจาคให้แก่โรงพยาบาลและมูลนิธิ ซึ่งจะจัดส่งฟรี 4 สถานที่ ได้แก่ รพ.รามาธิบดีรพ.จุฬารพ.ศิริราช และมูลนิธิเส้นด้าย ลูกค้าที่สนใจสามารถสั่งผ่านช่องทาง Line: @thai.allcoco และ FB ในราคาพิเศษดังนี้ Set 1: น้ำมะพร้าวน้ำหอม 235 ml. 30 ขวด ราคา 1,150 บาท จากปกติ 1,470 บาท Set 2: พุดดิ้ง 30 ถ้วย ราคา 750 บาท จากปกติ 1,350 บาท Set 3: น้ำมะพร้าวน้ำหอม 235ml. 15 ขวดและพุดดิ้ง 15 ถ้วย ราคา 950 บาท จากปกติ 1,410 บาท โดยมีระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 30 ก.ย. 2564  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/Thai.AllCoco

ZEN Group รับรางวัล Thailand Franchise Award 2021

“เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” หรือ ZEN โชว์รางวัลมาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ คว้ารางวัล Thailand Franchise Award 2021  โดยเขียงได้รับรางวัลสุดยอดแฟรนไชส์ไทยดาวรุ่ง  ส่วนตำมั่ว ควบ 2 รางวัลแฟรนไชส์ไทยอาหารยอดเยี่ยมและแฟรนไชส์ไทยขนาดใหญ่ยอดเยี่ยม จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตอกย้ำแบรนด์แฟรนไชส์ที่มีมาตรฐานระดับสากล หนุนนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศสนใจร่วมธุรกิจ พร้อมเปิดแผนรุกขยายแฟรนไชส์สวนกระแสเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50 สาขาในปีนี้ ล่าสุดเตรียมส่งแฟรนไชส์แบรนด์ญี่ปุ่น ‘อากะ’ ออกสู่ตลาดในไตรมาส 4  

นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) เปิดเผยว่า จากการนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสร้างการเติบโตผ่านการขายแฟรนไชส์ ภายใต้ร้านอาหารไทยอีสานแบรนด์ตำมั่ว,ลาวญวน  และร้านอาหารไทย สตรีทฟู้ดส์แบรนด์เขียงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารไทยที่บริษัทพัฒนาและสร้างสรรค์เมนูอาหารขึ้นมาเองเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ล่าสุดทั้งสองแบรนด์คว้ารางวัล “Thailand Franchise Award 2021” จัดขึ้นโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตอกย้ำถึงการบริหารแฟรนไชส์ของ ZEN Group อย่างเป็นระบบและสร้างคุณภาพการดำเนินธุรกิจที่เป็นมาตรฐานสากล 

ทั้งนี้ ร้านอาหารเขียง คว้ารางวัลสุดยอดแฟรนไชส์ไทยดาวรุ่ง (Franchise Shining Star) ส่วนร้านอาหารตำมั่ว คว้ารางวัลถึง 2 รางวัล ได้แก่แฟรนไชส์ไทยอาหารยอดเยี่ยม (Best Food Franchise) และแฟรนไชส์ไทยขนาดใหญ่ยอดเยี่ยม (Best Large Franchise) โดยผ่านหลักเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ (Total Franchise Quality Management – TQFM) นับว่าบริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์มากว่า 10 ปี โดยรางวัลดังกล่าวช่วยยกระดับแฟรนไชส์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากลยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์ทั้งผู้ประกอบการในประเทศไทยและต่างประเทศที่จะสร้างการเติบโตร่วมกับ ZEN Group

สำหรับแผนการขยายร้านแฟรนไชส์ในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 50 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 212 สาขา แบ่งเป็น แฟรนไชส์เขียง 77 สาขา และตำมั่ว , ลาวญวน บาย ตำมั่ว 130 สาขา และเป็นแฟรนไชส์ออนเดอะเทเบิ้ลกับอากะ ที่พม่าและกัมพูชาจำนวน 5 สาขา โดยแฟรนไชส์เขียง ตำมั่วและลาวญวน เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตสวนกระแสในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีผู้สนใจลงทุนเปิดแฟรนไชส์รวม 21 สาขา และครึ่งปีหลังจะเปิดเพิ่มไม่ต่ำกว่า 30 สาขา และล่าสุดในช่วงไตรมาส 4 เตรียมเปิดตัวแฟรนไชส์ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างและชาบูแบรนด์ AKA เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท บนขนาดพื้นที่ 150-180 ตร.ม. รวมทั้งมุ่งขยายธุรกิจแฟรนไชส์ในตลาดต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้น 

ทั้งนี้ ZEN Group มีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ การให้บริการเดลิเวอรี่ธุรกิจรีเทลหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงอาหาร รวมทั้งการให้บริการนั่งทานภายในร้าน ซึ่งหลังจากรัฐบาลเริ่มปรับมาตรการผ่อนคลายในเดือนกันยายน สามารถเปิดให้บริการนั่งทานภายในร้าน 50-75% คาดว่าลูกค้าจะเริ่มกลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และหลังจากประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคกลับมามีไลฟ์สไตล์การรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นหรือเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งจะผลักดันให้ธุรกิจร้านอาหารฟื้นตัวอย่างโดดเด่น

โรงงานน้ำตาล ต่ออายุรับประกันราคาซื้ออ้อยสดขั้นต่ำตันละ 1,000 บาท อีก 1 ปี 

โรงงานน้ำตาล ประกาศต่ออายุรับประกันราคาซื้ออ้อยสดเข้าหีบขั้นต่ำตันละ 1,000 บาท ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.เพิ่มขึ้นอีก 1 ปี และจะพิจารณาปรับเพิ่มอีกตามสภาวะราคาตลาดโลกเพิ่มขึ้น หวังสร้างความมั่นคงด้านผลผลิตในรอบปีถัดไป (2565/66) ช่วยชาวไร่วางแผนเตรียมพันธุ์อ้อยรับขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อยมีรายได้เพิ่มขึ้น หลังปีนี้ชาวไร่ตอบรับดี พร้อมจัดทำแผนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 รับการเปิดหีบอ้อยในช่วงปลายปีนี้

นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี ประธานคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย หรือ TSMC เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลมีนโยบายมุ่งสร้างความมั่นคงด้านผลผลิตอ้อยให้แก่อุตสาหกรรม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายสนับสนุนและช่วยเหลือชาวไร่ยึดอาชีพการเพาะปลูกอ้อยและมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว จึงได้ประกาศต่ออายุการรับประกันราคารับซื้ออ้อยสดเข้าหีบในฤดูการผลิตปีถัดไป (2565/66) ที่ราคาขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับค่าความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. และหากราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจะพิจารณาปรับราคาอ้อยเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับทิศทางราคา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวไร่ และวางแผนขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มผลผลิตอ้อยมากขึ้น

“การประกาศประกันราคารับซื้อผลผลิตอ้อยในฤดูถัดไปตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้ชาวไร่ได้มีเวลาเตรียมตัววางแผนการเพาะปลูกทั้งการจัดหาพันธุ์อ้อย การขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อให้ได้ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคงด้านผลผลิตอ้อยให้แก่อุตสาหกรรม โดยเราคาดว่า ด้วยมาตรการที่ต่อเนื่องเช่นนี้จะสร้างความมั่นใจให้ชาวไร่เพาะปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อปริมาณอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปีถัดไปเพิ่มเป็น 100 ล้านตัน” นายสิริวุทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ นโยบายการประกันราคารับซื้ออ้อยสดขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อตัน ณ ระดับค่าความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส ซึ่งเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ฤดูการผลิตปีนี้ (2564/2565) ทำให้ชาวไร่ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาอ้อยและทุ่มเทการดูแลพื้นที่เพาะปลูกอ้อยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สด สะอาด จัดส่งให้แก่โรงงาน โดยคาดว่า ปริมาณอ้อยเข้าหีบในปี 2564/65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 87-90 ล้านตันอ้อย เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีปริมาณอ้อยเข้าหีบที่ 67 ล้านตัน อีกทั้ง เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ชาวไร่ตัดอ้อยสดส่งมอบให้แก่โรงงานที่ช่วยลดปัญหาการเผาอ้อยในระยะยาวอีกด้วย

ประธานคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ TSMC กล่าวว่า โรงงานน้ำตาลทุกแห่งได้เตรียมแผนมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 รองรับกับการเปิดหีบอ้อยประจำฤดูการผลิตปี 2564/65 โดยโรงงานได้สนับสนุนให้พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มแรกให้ครบ 100% จากปัจจุบันที่มีฉีดไปแล้วกว่า 50% พร้อมกันนี้ ยังได้ยึดกรอบนโยบายตามมาตรการ Bubble and Seal ของภาครัฐที่มุ่งเน้นการป้องกันการแพร่ระบาดมาเป็นแนวทางปฎิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อเฝ้าระวัง ติดตามและป้องกันการแพร่ระบาด โดยมีมาตรการคัดกรองพนักงานที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในโรงงานทุกวันและผู้ที่มาติดต่อทุกรายเข้าเขตพื้นที่โรงงาน พร้อมจัดหาพื้นที่คัดแยกผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ เพื่อเฝ้าระวังและประสานงานไปยังสาธารณสุขจังหวัดหรืออาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หากพบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าไปรับการรักษาต่อไป

SCGP และมูลนิธิเอสซีจี ผนึก จุฬาฯ ร่วมพัฒนา Respirator “CUre AIR SURE”

SCGP ผนึก จุฬาฯ ร่วมพัฒนานวัตกรรมหน้ากาก CUre AIR SURE ที่ออกแบบจากความใส่ใจสู่ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข พร้อมร่วมกับมูลนิธิเอสซีจี เตรียมส่งมอบให้แก่บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าจำนวน 10,000 ชิ้น เพื่อใช้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ 

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้น ทำให้เทคโนโลยีการกรองอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตวิถีใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสำคัญและต้องการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของคนไทย จึงร่วมกับภาคเอกชนในการออกแบบและพัฒนาหน้ากาก Respirator CUre AIR SURE’ เพื่อเป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่ในการสวมใส่หน้ากากกรองฝุ่นและเชื้อโรค โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจาก SCGP และหน่วยงานอื่น ๆ อีกหลายภาคส่วน อาทิ กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันพลาสติก ร่วมทำงานกับทีมคณาจารย์นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จนสามารถผลิตหน้ากาก Respirator แบบครอบครึ่งหน้าที่มีคุณภาพสูง กรองเชื้อแบคทีเรียและกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ 99ผ่านเกณฑ์หน้ากากอนามัยชั้นที่ 1 ตามมาตรฐานสากล Medical Face Mask ASTM F2100  

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชนหรือ SCGP กล่าวต่อว่า SCGP ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบและผลิตโครงสร้างหน้ากากอนามัยภายใต้นวัตกรรมการออกแบบเพื่อสังคม โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการดีไซน์และผลิตวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์มาต่อยอด เพื่อให้ได้หน้ากากที่รับกับโครงสร้างใบหน้าของคนไทย สวมใส่สบายและมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคและกรองฝุ่นละอองได้ดี โดยออกแบบให้สามารถเปลี่ยนแผ่นกรองได้

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการ มูลนิธิเอสซีจี กล่าวด้วยว่า มูลนิธิเอสซีจี ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา มูลนิธิฯ มีความห่วงใยพี่น้องชาวไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ได้โดยเร็ว โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้มอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือบุคลากรสาธารณสุข ผู้ป่วย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 77 จังหวัด นอกจากนี้ SCGP ยังได้ร่วมสมทบทุนกับมูลนิธิเอสซีจีเพื่อส่งมอบหน้ากากอนามั Cure AIR SURE จำนวน 10,000 ชุด ให้กับบุคลากรสาธารณสุขและโรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวนกว่า 100 แห่ง ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในด่านหน้า ผ่านเครือข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

SCGP ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESGและพร้อมร่วมมือกับองค์กรและเครือข่ายต่าง ๆ ในการพัฒนาและออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยได้ก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน