ชี้โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รุนแรงกว่าที่คิด

ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือที่เรียกว่า    Atopic Dermatitis มากกว่า 230 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งพบได้ในทุกช่วงอายุ ในประเทศไทยพบบ่อยที่สุดในเด็กทารกจนถึง ขวบปีแรก และพบว่ามีเด็กไทยอายุ 6-12 ปี ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ร้อยละ 16.51 และพบน้อยลงในอายุ 13-17 ปี อยู่ที่ร้อยละ 12.79 ซึ่งหากไม่รีบทำการรักษาและดูแลให้ถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นหรือเป็นเรื้อรังจนถึงตอนโตได้ ฉะนั้นการพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการบรรเทาลง กลับมามีความมั่นใจในการใช้ชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้  

นพ. กันย์ พงษ์สามารถ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า “ทุกวันที่ 14 กันยายนของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็น วันผื่นภูมิแพ้ผิวหนังโลก หรือ ‘World Atopic Dermatitis Day’ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เพราะถือเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการว่ามีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังมากกว่า 230 ล้านคนทั่วโลก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ โรคนี้กลับถูกมองข้าม โดยทั่วไปมักมองว่าเป็นแค่ความผิดปกติของผิวหนังภายนอก แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การรณรงค์สร้างการรับรู้ในวงกว้างอย่างต่อเนื่องจึงเสมือนพลังขับเคลื่อนเพื่อให้วงการแพทย์  หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาชนได้เริ่มหันมาใส่ใจและดูแลผู้ป่วยโรคนี้มากยิ่งขึ้น”

โดยในความเป็นจริงแล้ว โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นมากกว่าอาการคันที่ผิวหนัง โรคนี้มีกระบวนการของการดำเนินโรคอย่างเป็นระบบ ซึ่งได้แบ่งชั้นของความรุนแรงของโรคเป็น ส่วนด้วยกัน คือ รุนแรงน้อย รุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก  ซึ่งมีปัจจัยหรือตัวแปรที่เข้ามากระตุ้นความรุนแรงของโรคได้ในหลายมิติ ที่สำคัญโรคนี้ยังส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเองทั้งในด้านสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ นับรวมถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต และคุณภาพชีวิต ไม่เพียงเท่านั้นโรคนี้ยังส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ครอบครัวผู้ป่วยอีกด้วย 

นพ. กันย์ พงษ์สามารถ กล่าวแนะนำให้ผู้ปกครองควรสังเกตลูกว่ามีอาการของผิวหนังอักเสบ ได้แก่ แห้ง แดง คัน โดยอาการคันจะเด่น ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีอาการคันยุบ ๆ ยิบ ๆ จนไม่สามารถนั่งอยู่นิ่ง ๆ ได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บริเวณผิวหน้า แขน ขา ข้อพับ ซอกคอ มือ เท้า รอบใบหู หรือศรีษะ ในรายที่มีอาการรุนแรงก็จะมีผื่นขึ้นได้ทั้งตัว มีน้ำเหลืองเยิ้มตามผิวหนัง และผู้ป่วยบางรายอาจมีโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจร่วมด้วย โดยผู้ปกครองควรพาบุตรหลานมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้นในระยะยาว

ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน อาทิ

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยภายในของผู้ป่วยที่เกิดความผิดปกติของผิวหนังร่วมกับการมีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในกรณีที่บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งมีประวัติเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง บุตรก็มีโอกาสเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สูงกว่าคนปกติ 2-3 เท่า แต่หากบิดาและมารดาเป็นผู้ป่วยโรคนี้ทั้งคู่ บุตรก็มีโอกาสเป็นสูงกว่าคนปกติ ถึง 3-5 เท่า
  • ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการกำเริบ โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกันไป ปัจจัยกระตุ้นที่พบได้บ่อย เช่น ภาวะอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด การติดเชื้อที่ผิวหนัง การแพ้สารเคมีบางชนิด การใส่เสื้อผ้าที่ระคายเคือง หรือสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังให้หายขาดได้ โดยแนวทางการรักษาที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงการรักษาผิวหนังที่อักเสบให้กลับมาเป็นผิวหนังที่ปกติ และป้องกันการกำเริบซ้ำของผื่น โดยแพทย์จะใช้วิธีบรรเทาโรคตามอาการที่เกิดขึ้น อาทิ ใช้ครีมมอยเจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการคัน หรือในกลุ่มที่มีอาการมากขึ้น ก็ต้องใช้ยาทาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง หรือบางรายที่มีบริเวณผื่นคันหลายตำแหน่งเป็นวงกว้างก็อาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันร่วมด้วย ซึ่งในกลุ่มยาทาสเตียรอยด์ และยากดภูมิคุ้มกัน ก็จะมีข้อจำกัดเพราะหากมีการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลข้างเคียง อาจกระทบต่อภาวะการเจริญเติบโตของเด็ก

นพ. กันย์ พงษ์สามารถ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ด้วยเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ อาทิ การใช้ยากลุ่มชีวภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ที่นับว่ามีประสิทธิภาพมาก โดยนวัตกรรมรูปแบบใหม่นี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาโรคในกลุ่มภูมิแพ้ชนิดเดียวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือวิธีนี้สามารถยังช่วยลดการใช้สเตียรอยด์รวมถึงลดการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งที่ควบคุมโรคไม่ได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมามีอาการที่ดีขึ้นและกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติหากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง”

แต่ด้วยทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในเรื่องสิทธิของผู้ป่วยในการเข้าถึงการรักษาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านระบบสาธารณสุขที่ไม่มีความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนสถานพยาบาล รวมถึงยังมีสิทธิการรักษาต่าง ๆ หลายประเภท อาทิ สวัสดิการของรัฐ บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า บัตรประกันสังคม เป็นต้น ซึ่งก็ยังไม่สามารถครอบคลุมการเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างที่ควรจะเป็นทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาบางรายการเกิดภาระค่าใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผ่านมาบัตรสุขภาพในแต่ละประเภทยังมีมาตรฐานการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดปัญหาเวลาที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องเปลี่ยนสิทธิ เช่น หากบุตรมีพ่อหรือแม่รับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจก็จะได้รับสวัสดิการของรัฐไปด้วยจนถึงอายุ 20 ปี แต่หลังจากนั้นจะถือว่าพ้นสิทธิการรักษาของสวัสดิการของรัฐ  ไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายต่อไปได้ โดยตามระบบก็จะถูกเปลี่ยนไปให้ใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็กเหล่านี้สำเร็จการศึกษา หลายๆ คนก็จะถูกเปลี่ยนสิทธิเป็นประกันสังคม และมักจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานพยาบาล และเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาอีกครั้ง เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาไม่เพียงเฉพาะกับผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอักเสบชนิดนี้ แต่ยังเกิดกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ มากมายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากจำต้องยุติการรักษา เนื่องจากภาระค่าใช้จ่าย เป็นต้น ซึ่งในแง่ของสิทธิมนุษยชนในหมวดสุขภาพของสหประชาชาติแล้ว สิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาลของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน ควรจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงและดูแลรักษาด้านสุขภาพในมาตรฐานเดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน ในส่วนนี้ยังถือเป็นความท้าทายของระบบสาธารณสุขของไทยอย่างมาก จึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาในระดับนโยบายด้านสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืนภายใต้มาตรฐานเดียวกัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างถ้วนหน้า

 

บีโอไอ จับมือ 5 สภาธุรกิจไทยใน CLMVI อัพเดทการลงทุนไทยในอาเซียน

กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย บีโอไอ เตรียมจัดสัมมนาออนไลน์ร่วมกับ 5 สภาธุรกิจไทยใน CLMVI เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการเข้าไปลงทุนในกลุ่มเพื่อนบ้านอาเซียน

นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผู้ประกอบการไทย บีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอเตรียมจัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ จับสัญญาณอนาคตการลงทุนใน CLMVI” หนึ่งในกิจกรรมสัมมนาภายในงาน SUBCON Thailand 2021 เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนไทยเกี่ยวกับลู่ทางการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย

พบกับ วิทยากรซึ่งเป็นตัวแทนจากสภาธุรกิจไทยในประเทศ CLMVI อีกทั้งยังเป็นนักลงทุนไทยที่ไปประกอบธุรกิจและประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ประกอบด้วย นางสาวนฤมล รินเรืองสิน กรรมการสภาธุรกิจไทย – กัมพูชา นายฉลองชัย ชยุตระพงศ์ รองประธานสภาธุรกิจไทย – ลาว/รองนายกสมาคมนักธุรกิจไทยใน สปป. ลาว นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย – เมียนมา นายราเกส ซิงห์ กรรมการเลขาธิการสภาธุรกิจไทยเวียดนาม และนายรัชชุ์นภ พจนาวราพันธุ์ ผู้แทนจากสภาธุรกิจไทย – อินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสัมมนาจะได้ทราบข้อมูลสถานการณ์การลงทุน และความรู้ในการไปประกอบธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เป็นปัจจุบัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการออกไปลงทุนอันจะนำไปสู่การขยายธุรกิจ และสร้างเครือข่ายนักลงทุนไทยในการไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ สัมมนาดังกล่าวจะจัดขึ้นวันอังคารที่ 21 กันยายน 2564 เวลา 13.30 – 16.00 น. ผ่านระบบ Zoom Webinar ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://bit.ly/3tl5DLk สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 2553 8111 ต่อ 6797

;

ชวนท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม “ย่านเกาลูนตะวันตก”

เพื่อดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วฮ่องกงได้ลองมาสัมผัสมุมมองใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นแบบเชิงลึกและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board: HKTB) ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวใหญ่ เพื่อแนะนำ “ย่านน่าเที่ยวทั่วฮ่องกง” (Hong Kong Neighbourhoods) ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จึงได้เปิดตัว ย่าน เกาลูนตะวันตก แหล่งมรดกที่เจิดจรัสไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตตามท้องถนนของผู้คนในเหยาหม่าเต่ย (Yau Ma Tei) และจอร์แดน (Jordan) ที่มีชีวิตชีวา รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับโลกแห่งใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ M+ และพิพิธภัณฑ์พระราชวังฮ่องกง ซึ่งตั้งอยู่ใน เขตวัฒนธรรมเกาลูนตะวันตก (West Kowloon Cultural District: WKCD) โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าตามลำดับในฐานะจุดแลนด์มาร์กสำคัญ ที่พร้อมให้คุณเต็มที่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม

มีคำกล่าวว่า ศิลปะคือส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา การส่งเสริมย่านเกาลูนตะวันตกจึงเป็นเหมือนการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างวิถีชีวิตในท้องถิ่นของชุมชนที่จอแจในเหยาหม่าเต่ยกับจอร์แดนเข้าด้วยกัน ทั้งสองพื้นที่ถือเป็นแหล่งรวมงานสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าที่อยู่คู่เมืองมาอย่างยาวนาน และงานฝีมือแบบดั้งเดิม รวมถึงแรงดึงดูดใจทางศิลปะของเกาลูนตะวันตก ซึ่งผ่านการเจียระไนและการฟื้นฟูมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าอัศจรรย์ให้กับทุกคนที่ได้มาเยือน

เส้นทางเดินเที่ยว สู่การค้นพบแหล่งมรดกที่ร่ำรวยวัฒนธรรม

เริ่มต้นจากแนวชายฝั่งที่สวยงามของเขตวัฒนธรรมเกาลูนตะวันตก กิจกรรมส่งเสริมย่าน “เกาลูนตะวันตก” ได้ครอบคลุมไปถึงเหยาหม่าเต่ยและถนนพิตต์ ทอดยาวไปตามถนนนาธานเพื่อมุ่งไปตามเส้นทางรอบถนนออสตินในจอร์แดน

เพื่อสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ การท่องเที่ยวฮ่องกงได้จัดทำทัวร์เดินชมโดยแบ่งเป็น 5 ธีมที่ต่างกัน เน้นเรื่องราวของมรดกและงานฝีมือ ศิลปะวัฒนธรรม และศิลปะการทำอาหาร เส้นทางนี้ครอบคลุมพื้นที่ตามตรอกซอกซอยที่ทั้งผู้มาเยือนและคนในพื้นที่เองอาจมองข้าม เช่น ร้านหนังสือที่ซ่อนอยู่ในวัดทินโหว ร้านอาหารทะเลที่พลิกโฉมเป็นโรงแรมศิลปะ และร้านเครื่องปรุงรสที่จำหน่ายอาหารตะวันตกผสมผสานกับเต้าหู้หมักแบบดั้งเดิม

เส้นทางดังกล่าวมีจุดแวะชมที่น่าสนใจมากกว่า 50 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือร้านอาหาร ที่สามารถเปิดดูได้ผ่านทางแผนที่ออนไลน์ (e-map) แบบอินเตอร์แอคทีฟที่หน้าเว็บไซต์แคมเปญของย่านเกาลูนตะวันตก อีกทั้งยังมีข้อเสนอพิเศษจากร้านค้าและร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียงต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้ที่มาเยือน

มุมถ่ายรูป พร้อมงานศิลปะจัดวางตระการตาสุดโด่งดังจาก “FriendsWithYou”

ศิลปะคือธีมหลักในของการท่องเที่ยวย่านเกาลูนตะวันตก นอกจากพิพิธภัณฑ์ M+ และพิพิธภัณฑ์พระราชวังฮ่องกงแล้ว การท่องเที่ยวฮ่องกงยังผนึกกำลังกับ “FriendsWithYou” คู่หูป๊อปอาร์ต อย่าง ซามูเอล บอร์กสัน (Samuel Borkson) จากฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และอาร์ตูโร แซนโดวัล III (Arturo Sandoval III) จากคิวบา ในการนำผลงานศิลปะจัดวางขนาดมหึมาและคาแรคเตอร์ที่โด่งดังของป๊อปอาร์ตมาเฉิดฉายในย่านน่าเที่ยวของฮ่องกงย่านนี้ โดยงานศิลปะจัดวางนี้จะจัดขึ้นที่ Art Park ในเขตวัฒนธรรมเกาลูนตะวันตก ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ถึง 14 ตุลาคม โดยเปิดให้เข้าชมฟรี พร้อมให้ผู้เยี่ยมชมได้เพลิดเพลินไปกับนิทรรศการศิลปะนานาชาติและสร้างความทรงจำผ่านภาพถ่าย

หลากหลายพื้นที่จะมีการประดับประดาในฐานะส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ สะพานลอยและรถไฟใต้ดินที่วิ่งระหว่างเขตวัฒนธรรมเกาลูนตะวันตกกับจอร์แดนจะแปลงโฉมเป็น “ระเบียงงานศิลปะ” โดยจะมีการตกแต่งรอบๆ สถานี MTR เหยาหม่าเต่ยและจอร์แดน รวมถึงตามเสาไฟฟ้ามุ่งหน้าสู่พิพิธภัณฑ์ด้วยธงสีสันสดใสตามธีมที่มาพร้อมกับรหัส QR ซึ่งจะนำไปที่เว็บไซต์ของกิจกรรมให้ทุกคนได้ติดตาม ส่วนสำหรับผู้ที่ยังเดินทางมาไม่ได้นั้น การท่องเที่ยวฮ่องกงก็ได้จัดทำภาพยนตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับเกียรติจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในย่านนี้ มาพาเราท่องไปตามท้องถนน และเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวฮ่องกงได้แม้อยู่ที่บ้าน

 ส่องไฮไลต์ “ย่านน่าเที่ยวทั่วฮ่องกง – เกาลูนตะวันตก

ไฮไลต์ที่ 1: 10 อันดับ “Art Like” จุดถ่ายรูปยอดนิยมประจำย่าน

ภาพถ่ายเหล่านี้ใช้เพื่อการตลาดและเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น โปรดสวมหน้ากากและปฏิบัติตามระเบียบและแนวปฏิบัติล่าสุดที่ออกโดยรัฐบาลฮ่องกงตลอดเวลาที่เยี่ยมชมสถานที่

 ไฮไลต์ที่ 2: เยือนถิ่นเหยาหม่าเต่ย ดื่มด่ำวิถีแห่งประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์

ร้านค้าอายุกว่าร้อยปี สร้างสรรค์ผลงานอย่างชาญฉลาด

Liu Ma Kee ซึ่งตั้งอยู่ในเหยาหม่าเต่ยมานานกว่าศตวรรษ ยังคงรักษาศิลปะแบบดั้งเดิมของโรงโม่หินเพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองโดยใช้สูตรลับของครอบครัว Liu Ma Kee จำหน่ายเครื่องปรุงรสต่างๆ ที่ใช้กันทุกวันนี้ พร้อมเพิ่มกิมมิกผ่านการคิดค้น เครื่องปรุงเต้าหู้หมักรสกระเทียม ที่สามารถนำไปใช้ปรุงอาหารเมนูพาสต้าแบบตะวันตกและคาโบนาร่าที่ผสมผสานกับรสชาติคลาสสิกของเต้าหู้หมักได้อย่างลงตัว

ร้านอาหารทะเลแบบดั้งเดิม ที่พลิกโฉมเป็นโรงแรมศิลปะ

Tung Nam Lou Art Hotel ถูกขนานนามว่าเป็นโอเอซิสใจกลางเมือง โดยตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเหยาหม่าเต่ย และเปิดให้บริการในปี 2561 ก่อนหน้านี้เคยเป็นร้านอาหารทะเลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแบบดั้งเดิมมาก่อน จนกระทั่งกลายเป็นโรงแรมที่มีหอศิลป์และพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งตกแต่งออกมาให้ชวนหวนนึกถึงอดีต นอกจากนี้โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นสถานที่จัดงานเวิร์คชอปและนิทรรศการตามธีมอีกด้วย

สมบัติที่ซ่อนอยู่ ในวัดทินโหว

มีการประกาศให้วัดทินโหว (Tin Hau Temple) ในเหยาหม่าเต่ย พร้อมด้วยอาคารที่อยู่ติดกันบนถนนเซี่ยงไฮ้ เป็นอนุสรณ์สถานในปี 2020 ห้องใต้หลังคาได้ผ่านการอัปเกรดและแปลงโฉมให้เป็น The School แห่งเหยาหม่าเต่ย ปัจจุบันห้องต่างๆ ได้เปลี่ยนเป็นร้านหนังสือแบบบริการตนเอง ซึ่งมีหนังสือและสินค้าทางวัฒนธรรมที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ห้องต่างๆ แห่งนี้ยังเคยเป็นโรงเรียนเอกชนมาก่อน ก่อนที่จะได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่มีต้นไทรขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง พร้อมจุดถ่ายภาพมากมาย เช่น รถเข็นก๋วยเตี๋ยวเพื่อจำลองบรรยากาศภายนอกวัดที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ

ร้านแห่งประวัติศาสตร์ เจาะตลาดผู้บริโภครุ่นใหม่

โรงงานพัดลม Cheung Shing คือหนึ่งในผู้ผลิตพัดลมไม้จันทน์หอมเพียงไม่กี่รายในฮ่องกงที่ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ อีกทั้งร้านนี้ยังเป็นผู้ผลิตเครื่องหอม โดยนายลอว์และภรรยาทายาทรุ่นที่สองกลับมาที่ฮ่องกงเพื่อรับช่วงต่อธุรกิจ และได้เล็งเห็นว่า ลูกค้าที่ใช้ชีวิตอยู่ในตัวเมืองมีความชื่นชอบในการใช้ธูปหอมกันมากขึ้น จึงได้เริ่มหันมาจำหน่ายธูปไฟฟ้าและกระถางธูปเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น

นิทรรศการชั่วคราว: ศิลปะจัดวางขนาดใหญ่

การท่องเที่ยวฮ่องกงได้จับมือกับดูโอป๊อปอาร์ต “FriendsWithYou” อย่างซามูเอล บอร์กสัน จากฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และอาร์ตูโร แซนโดวัล III จากคิวบาเพื่อนำผลงานศิลปะขนาดมหึมาและตัวละครป๊อปอาร์ตมาสู่ฮ่องกง โดยศิลปะการจัดวางนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23 กันยายนถึง 14 ตุลาคมที่ Art Park ในเขตวัฒนธรรมเกาลูนตะวันตก

ฮ่องกงเที่ยวฮ่องกงปากต่อปากจากระดับท้องถิ่น

นายเดน เฉิง ผู้อำนวยการบริหารการท่องเที่ยวฮ่องกง  กล่าวปิดท้ายว่า “การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม เราจึงตัดสินใจเปิดตัวกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวครั้งนี้ก่อนที่จะมีการเปิดพรมแดนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเราต้องการให้ผู้คนในท้องถิ่นได้ลองสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ ก่อนเป็นกลุ่มแรก พร้อมพาพวกเขาไปค้นพบอัญมณีอันล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ในชุมชนของพวกเขาเอง นอกจากนี้ยังเป็นการบ่มเพาะให้พวกเขารู้สึกภูมิใจและซาบซึ้งไปกับวัฒนธรรมที่มีอยู่ และเนรมิตบรรยากาศสุนทรีย์ของชีวิตและศิลปะที่ผสานกันอย่างแยกไม่ออกให้ย่านน่าเที่ยวแห่งนี้

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวฮ่องกงจะร่วมถ่ายทอดประสบการณ์เช่นนี้กับเพื่อนๆ และครอบครัวที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในฮ่องกง เพื่อเปิดโอกาสให้โลกได้ยลโฉมการท่องเที่ยวทางศิลปะ และปลุกความสนใจนักเดินทาง สร้างแรงผลักดันให้ฮ่องกงเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือน เรายังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการด้านการนำเที่ยว จัดทัวร์ท่องเที่ยวเชิงลึกสำหรับชาวฮ่องกงเพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถวางแผนล่วงหน้า เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทันทีเมื่อมีการผ่อนคลายการจำกัดการเดินทางระหว่างพรมแดน”

 สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “Hong Kong Neighborhoods – West Kowloon” โปรดติดตาม ได้ที่ www.discoverhongkong.com/westkowloon-en

มิตรผล – กฟผ. ร่วมภารกิจสู้โควิด-19

กลุ่มมิตรผล และ กฟผ. ประสานพลังสู้โควิด-19 ต่อเนื่อง ผลิตและส่งมอบเตียงไม้ 500 เตียง ให้โรงพยาบาลสนาม 10 จังหวัด เสริมความพร้อมรองรับผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้น พร้อมนี้กลุ่มมิตรผลร่วมสมทบทุนมูลนิธิเขื่อนยันฮี อีก 1 ล้านบาท สานต่อภารกิจกู้วิกฤตโควิด-19

นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารกลุ่มมิตรผล เปิดเผยว่า กลุ่มมิตรผล และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกันมายาวนาน โดยทั้งสององค์กรมีเป้าหมายเช่นเดียวกันในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบและสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมไทย จึงได้ร่วมกันช่วยเหลือสังคมในหลายโอกาส เช่น โครงการแว่นแก้วเฉลิมพระเกียรติเพื่อมอบความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางสายตาให้กับชุมชนรอบ ๆ โรงงาน จนมาในวิกฤตโควิด-19 กลุ่มมิตรผล ภายใต้การดำเนินงานของกองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ได้สนับสนุนเอทานอล 95% จำนวน 35,000 ลิตร ให้กับ กฟผ. ตั้งแต่การระบาดในระลอกแรกเพื่อใช้ผลิตเจลและสเปรย์แอลกอฮอล์ เพื่อดูแลสุขอนามัยของประชาชนและสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

สำหรับโควิดระลอก 4 นี้ กลุ่มมิตรผลได้มอบเตียงไม้ จำนวน 500 เตียง ซึ่งผลิตโดยบริษัท พาเนล พลัส จำกัด ผู้ผลิตวัสดุทดแทนไม้ในกลุ่มมิตรผล พร้อมมอบเงินสนับสนุน 1 ล้านบาทให้กับมูลนิธิเขื่อนยันฮี เพื่อใช้จัดซื้อสิ่งของจำเป็นสำหรับโรงพยาบาลสนาม เช่น ชุดที่นอนเครื่องใช้ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องผลิตออกซิเจน นับเป็นอีกโครงการหนึ่งที่กลุ่มมิตรผลยินดีที่จะร่วมส่งมอบความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ยังขาดแคลน เพื่อร่วมสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามให้สามารถรองรับผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น โดยในวิกฤตระลอกปัจจุบัน กลุ่มมิตรผลได้ผลิตและส่งมอบเตียงไม้ที่แข็งแรง ทนทาน กันน้ำและความชื้น ทำความสะอาดได้ด้วยแอลกอฮอล์ เป็นมิตรกับผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม มาแล้วกว่า 2,000 เตียง

ด้านนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ขอขอบคุณกลุ่มมิตรผล มูลนิธิเขื่อนยันฮี ที่สนับสนุนและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตลอดมา สำหรับการส่งมอบเตียงไม้ในครั้งนี้ กฟผ. ใช้ศักยภาพทางการขนส่ง ทั้งด้านพาหนะและบุคลากรในการจัดส่งเตียงไม้ไปยังโรงพยาบาลสนามและหน่วยงานต่าง ๆ ครบพื้นที่ 10 จังหวัดแล้ว ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี บุรีรัมย์ สุรินทร์ กาญจนบุรี ชัยภูมิ มหาสารคาม และนครราชสีมา โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้แทนจากกลุ่มมิตรผล มูลนิธิเขื่อนยันฮี และ กฟผ. ได้ส่งมอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้แก่โรงพยาบาลสามเงาและโรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก รวมถึงมูลนิธิกลุ่มเส้นด้าย เพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย

ทั้งนี้ มูลนิธิเขื่อนยันฮี ได้จดทะเบียนตั้งแต่ปี 2552 โดยผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือกิจการสาธารณกุศล สังคมสงเคราะห์ และร่วมมือกับองค์การกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยในช่วงที่ผ่านมา มูลนิธิเขื่อนยันฮี ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทั่วประเทศร่วมสู้ภัยโควิด โดยบริจาคเงินให้กับมูลนิธิฯ ผ่านแพลตฟอร์มเทใจ เพื่อนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ได้แก่ การจัดหาชุดเตียงสนาม จำนวน 1,000 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลสนาม หรือ ศูนย์พักคอยที่ขาดแคลนทั่วประเทศ และการมอบลมหายใจปลอดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการจัดทำหมวกป้องกันเชื้อ PAPR พร้อมชุดกรองจ่ายอากาศบริสุทธิ์ จำนวน 200 ชุด และในอนาคตมูลนิธิเขื่อนยันฮีจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการขยายความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรและประชาชนทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกันและกันในสภาวะที่ยากลำบาก และร่วมสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป

แกะรอยสถิติน่าสนใจแคมเปญ LazMall 9.9 Mega Brands Sale

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดสถิติล่าสุดในเมกะแคมเปญแรกช่วงท้ายปี LazMall 9.9 Mega Brands Sale ลดอลัง ปังทุกแบรนด์ ลดสูงสุด 90% ตลอด 3 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 9 – 11 กันยายนที่ผ่านมา ช่วยคนไทยเซฟเงินในกระเป๋ากว่า 433 ล้านบาท อีกทั้งยังดันยอดขายให้แก่แบรนด์และผู้ขายรายย่อยให้พุ่งติดจรวด โดยมีผู้ขายมากกว่า 130,000 รายที่สร้างรายได้ในช่วงระยะเวลาแคมเปญ โดย 50% ของพวกเขาสามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นสองเท่า ถือเป็นบทพิสูจน์พลังความร่วมมือร่วมใจที่ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤติเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ลาซาด้ายังผนึกกำลังกับ 9 แบรนด์พันธมิตร ร่วมเป็นหนึ่งในองค์กรที่ช่วยผลักดันโครงการเพื่อสังคม LazadaCARES กล่องแห่งความห่วงใย เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ตามเป้าหมายมากถึง 99,999 ราย อีกด้วย

นางสาวมัณฑนา หล่อไกรเลิศ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ลาซาด้ามีความตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะวิกฤตินี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และนอกจากลาซาด้าจะมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกับผู้บริโภคทุกท่านในยุค New Normal ทั้งด้านความคุ้มค่า ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ผ่าน LazMall ห้างสรรพสินค้าเสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แหล่งรวมสินค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศไว้กว่า 9,000 แบรนด์ เรายังพร้อมช่วยเหลือผู้บริโภคแบ่งเบาค่าใช้จ่ายผ่านการแจกคูปองต่างๆ ทั้งคูปองส่งฟรีทั่วไทย และคูปองส่วนลดค่าน้ำค่าไฟที่กำลังพุ่งสูงในช่วง Work From Home นี้ อีกทั้งยังร่วมตอบแทนสังคมไทยผ่าน LazadaCARES ที่จับมือกับ 9 แบรนด์ใน LazMall ร่วมส่งต่อกล่องแห่งความห่วงใยจำนวนกว่า 99,999 กล่องได้ตามเป้า โดยจะนำส่งผ่าน 9 มูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 และไม่ว่าในอนาคตสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ลาซาด้าก็พร้อมยืนหยัดเคียงข้างคนไทย ทั้งนักช้อป แบรนด์และร้านค้ารายย่อย เพื่อมอบความสุขผ่านแคมเปญและกิจกรรมใหม่ๆ ที่เราจะริเริ่มขึ้นต่อไป

สถิติที่น่าสนใจในแคมเปญ LazMall 9.9 Mega Brands Sale มีดังนี้

  • ช่วยนักช้อปประหยัดเงินในกระเป๋า

o ลาซาด้าหนุนนักช้อปออนไลน์ช่วงวิกฤติ ช่วยคนไทยประหยัดเงินในกระเป๋ากว่า 433 ล้านบาท

o นักช้อปแลกส่วนลด Lazada Bonus กว่า 125 ล้านครั้ง

  • ช่วยกว่า 9,000 แบรนด์บน LazMall สร้างสถิติใหม่ในวงการอีคอมเมิร์ซ

o สินค้าแฟชั่นมาแรง มียอดคำสั่งซื้อมากกว่า 1.7 ล้านรายการ

o 3 อันดับประเภทสินค้ายอดฮิต วัดจากยอดคำสั่งซื้อ ได้แก่ แฟชั่นผู้หญิง, อุปกรณ์เสริมมือถือ และแฟชั่นผู้ชาย

o แบรนด์ LazMall ยอดฮิต ในแต่ละหมวดหมู่ วัดจากยอดคำสั่งซื้อ

§ แฟชั่น: Sabina, B’me, Nike

§ อิเล็กทรอนิกส์: Samsung, Deerma, JBL

§ อุปโภคบริโภค: MamyPoko, BabyLove, Nivea

§ สินค้าทั่วไป: 3M, Welcare, LocknLock

  • ช่วยผู้ขายออนไลน์อัพยอดขายแบบติดจรวด

o จำนวนผู้ขายที่สร้างรายได้มากถึง 130,000 ราย

o ผู้ขายมากกว่า 50% ได้ยอดขายเพิ่มสองเท่า

  • ช่วยบรรเทาสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ผ่านโครงการ LazadaCARES กล่องแห่งความห่วงใย

o ชาวไทยร่วมแลก LazCoins เพื่อบริจาคกล่อง LazadaCARES กว่า 99,999 กล่องให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

เชฟชื่อดังสอนผู้พิการทำอาหารเจในโครงการอิ่มท้อง อิ่มบุญ

เทศกาลถือศีลกินเจ ปี 2564 นี้ บริษัท มีท อวตาร จำกัด ผู้นำนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ผลิตภัณฑ์ Plant-based meat ภายใต้แบรนด์ Meat Avatar ร่วมกับ ยิ้มสู้คาเฟ่ (Yimsoo Café) แห่งมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ จัดโครงการ “อิ่มท้อง อิ่มบุญ” คว้าตัวเชฟชื่อดัง 2 ท่าน อย่าง เชฟชานนท์ เรืองศรี ผู้เข้าแข่งขันรายการ MasterChef Thailand Season 3 และ All Star และ
เชฟภูมิพัฒน์ จันทรศรีวงศ์ หรือ เชฟแชน เจ้าของร้าน Secret Wonderland มาร่วมสอนผู้พิการจากยิ้มสู้คาเฟ่ ในการรังสรรค์เมนูอาหารเจด้วยผลิตภัณฑ์ Plant-based meat แบรนด์ Meat Avatar กับเมนูพิเศษสุดคลาสสิคอย่าง ผัดหมี่ฮ่องกงหมูสับจำเเลง สปาเก็ตตี้มีทบอลหมูสับจำเเลง หมูกรอบจำแลงผัดพริกขิง และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อวางจำหน่ายในช่วงเทศกาลกินเจที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยรายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายจะมอบให้แก่มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ เพื่อสนับสนุนโอกาสในการสร้างอาชีพและความเท่าเทียมให้กับผู้พิการในสังคมไทย ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและร่วมทำบุญไปในคราวเดียวกัน

วิภู เลิศสุรพิบูล ผู้บริหารแบรนด์ Meat Avatar กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “ปัจจุบันมีผู้พิการจำนวนไม่น้อยที่มีศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ได้ แต่ยังขาดโอกาสและการสนับสนุน เราจึงเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาผู้พิการให้มีศักยภาพและทักษะที่จำเป็น โดยเฉพาะด้านการทำอาหารที่สามารถนำไปสร้างอาชีพ เพื่อช่วยให้เขาสามารถพึ่งพาตนเอง สร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยโครงการนี้เราได้ร่วมมือกับเชฟชื่อดังอย่างเชฟชานนท์ และเชฟแชน มาช่วยเป็นครูสอนทำอาหารให้กับผู้พิการจากยิ้มสู้คาเฟ่ เพื่อถ่ายทอดความรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้พิการ รวมถึงเพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม ให้คนทั่วไปรับรู้และเข้าใจว่า แม้ผู้พิการจะมีข้อจำกัดบางอย่างจากความบกพร่องทางร่างกาย แต่ไม่ได้เป็นสิ่งขวางกั้นในการทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งโอกาสในการประกอบอาชีพของผู้พิการเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ต่างจากคนทั่วไปนี้ สามารถสร้างขึ้นได้จากความร่วมมือของพวกเราทุกคน”

วรุตม์ จันทร์โพธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Meat Avatar กล่าวว่า “Plant-based meat หรือเนื้อสัตว์ที่ผลิตจากพืช เป็นเทรนด์อาหารใหม่ที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก เพราะนอกจากผู้บริโภคจะยังได้ทานเมนูที่ชอบโดยไม่ต้องทำร้ายสัตว์แล้ว ยังได้ช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนไปในคราวเดียวกันด้วย และในช่วงเทศกาลกินเจนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการถือศีล เพราะผลิตภัณฑ์ของ Meat Avatar อุดมด้วยโปรตีนและสารอาหาร โดยผ่านกรรมวิธีที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบกับเราต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีภายใต้นวัตกรรมอาหารปลอดภัยมาโดยตลอด จึงคิดว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างอาชีพให้ผู้พิการ มอบความอิ่มท้อง อิ่มบุญ และความสุขใจให้กับผู้ที่ได้รับชุดอาหารเจทุกคน”

ด้าน ศาสตราจารย์ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ กล่าวเสริมว่า “ทางมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ได้สนับสนุนและเปิดร้านกาแฟชื่อ ยิ้มสู้คาเฟ่ ที่ทำอาหาร ชงเครื่องดื่มและบริการโดยผู้พิการอยู่แล้ว และการที่ Meat Avatar ได้เข้ามาร่วมสนับสนุน โดยการให้เชฟชื่อดังมาสอนผู้พิการต่อยอดการทำอาหารจากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อนำไปจำหน่ายในช่วงเทศกาลกินเจนี้ นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในผู้พิการสามารถนำไปใช้สร้างรายได้ในอนาคต และทำให้ผู้พิการได้ดึงทักษะที่ตัวเองมีมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น จึงอยากขอขอบคุณทาง Meat Avatar ที่เล็งเห็นความสำคัญในจุดนี้ และมอบโอกาสให้ผู้พิการในมูลนิธิเราได้ร่วมเป็นหนึ่งในโครงการดี ๆ และหวังว่าผู้ที่ได้รับอาหารกล่องจากโครงการนี้จะอิ่มท้องและอิ่มความสุขกันอย่างถ้วนหน้า”

โดยอาหารเจสุดพิเศษจากโครงการอิ่มท้อง อิ่มบุญ นี้ มาในรูปแบบ Plant-based 100% พร้อมรับประทานที่รังสรรค์เมนูโดยเชฟและผู้พิการ มีให้เลือก 2 ชุด ได้แก่ ชุดใหญ่ “อิ่มจุใจ”  30 มื้อ ราคา 2,990 บาท และชุดเล็ก “อิ่มสบาย” 20 มื้อ ราคา 2,400 บาท พร้อมส่งฟรีทั่วประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถพรีออเดอร์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่LINE @MeatAvatar หรือ FB MeatAvatar โทร. 02-862-3331

แนะนำไอเท็มสุดชิลของสาวมีสไตล์ “Loose Dress”

เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ศูนย์รวมเสื้อผ้าแฟชั่นค้าส่ง เอาใจคุณสาวๆ สายชิล ที่ชื่นชอบในแฟชั่น ขอแนะนำร้านเดรสสวยๆ ใส่สบาย แถมมีสไตล์เป็นอกลักษณ์ดูสะดุดตา ด้วย “Loose Dress”ไอเท็มสุดชิล ของสาวมีสไตล์ พบกับชุดกระโปรงเดรสทรงหลวม ใส่สบายได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะใส่อยู่บ้าน ทำงาน ทานบุฟเฟ่ต์ก็แสนจะเหมาะ หรือจะใส่เที่ยวชิลๆ ก็สามารถเลือกใส่ได้ ไม่อึดอัด โดยจะเลือกใส่แบบเป็นชุดเดี่ยวๆ เพียวๆ หรือนำมามิกซ์แอนด์แมทช์กับเข็มขัด กระเป๋า รองเท้า ก็เปลี่ยนลุคได้แบบง่ายๆ ไม่ทิ้งความมีสไตล์ มีให้เลือกหลากสี ไว้ใส่เสริมดวงวันมงคล วันธงชัย สบายใจกันไปเลย เริ่มที่ร้านแรก

I LOVE PAPAR’S พิกัด ชั้น 1 โซน1 ซอย Soho 5 นำเสนอในชุดเดรสธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา ด้วยการเติมลูกเล่นไอเดียเก๋ๆ เข้าไป ทำให้มีกิมมิกลูกเล่น เพื่อให้คุณรู้สึกโดดเด่น  ไม่เบื่อกับความจำเจ เช่น เดรสทรงเชิ๊ตกระดุมหน้าคอจีนแต่งแขนระบาย 3 ชั้น รุ่นใหม่ New!! มี 5 สี เหลือง กรม แดง ส้ม ดำ และ เดรสกระดุมหน้าจีบหลัง ทำจากผ้าเชิ้ตเนื้อดี นอกจากนี้ยังมีเดรสผ้ายืดแต่งระบายชายกระโปรงด้วยผ้าชีฟองลายดอก ฟรีไซส์ ไว้ใส่สบายๆ ในวันเบาๆ ราคาหลักร้อย SnL Shop พิกัด ชั้น B โซน 2 ชวนคุณมาสนุกสนานกับการแต่งตัวด้วยเดรสทรงปล่อย สุดหลากหลาย มีทั้งแบบ เดรสทรงปล่อยแต่งชายระบายสไตล์สาวหวาน หรือจะเดรสกระโปรงบานลายสก๊อตก็เหมาะสำหรับสาวน่ารัก  สายแบ๊ว และเดรสเชิ้ตลายเสือสำหรับสาวเปรี้ยวที่ชอบลุคเซ็กซี่แบบเบาๆ ก็มีให้เลือกหลายขนาด S-M-L-XL

Big Anusara พิกัด ชั้น 3 โซน 2 ซอย Nathan 4 ร้านนี้สำหรับสาวอวบ บิ๊กไซส์ ไม่ต้องกังวลจะหมดสวย ด้วยชุด เดรสทรงปล่อยพรางหุ่น พิมพ์ลายหลากสีสันสดใส มีทั้งแบบอัดพลีทเบาๆทำให้ดูดีมีลูกเล่นบนเนื้อผ้า หรือจะเดรสยาวแบบแม็กซี่ ผ้าเกาหลี พริ้วๆ  อัพลุคให้คุณดูสวยไม่ธรรมดาได้ในวันสบายๆ

ใครจะไปคิดว่า “Loose Dress” ทรงปล่อยๆ ชิลๆแบบนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความมีสไตล์ สอบถามไซส์ ราคา สี ที่ต้องการได้ ที่แอดมินเพจ FB: PlatinumBangkok พร้อมให้บริการ หรือจะเลือกชมเสื้อผ้าแฟชั่นค้าส่งกับแพลทินัม ได้ในช่องทางออนไลน์ ก็มีให้เลือกชมกว่า 200 ร้านค้า www.platinumfashionmall.com

ZEN Group ดันธุรกิจรีเทลเครื่องปรุงรสยอดพุ่ง

เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ ZEN เผยศักยภาพการดำเนินธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง งบไตรมาส 2/64 ทำรายได้รวม 511 ล้านบาท เติบโต 51% แม้มีผลขาดทุนสุทธิ 67 ล้านบาท แต่ขาดทุนลดลง 14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  หลังปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรี่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ ด้านธุรกิจรีเทลยอดขายพุ่งขานรับ Work From Home ผู้บริโภคปรุงอาหารทานเอง ส่วนแฟรนไชส์ตอบรับดีเกินคาด พร้อมทั้งบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนุนผลงานครึ่งปีแรก เติบโต 14 % แม้มีผลขาดทุนสุทธิ 39 ล้านบาท แต่ขาดทุนลดลง 87 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เดินหน้าจัดโปรโมชั่นคุ้มค่าคุ้มราคา มั่นใจไตรมาสสุดท้ายบรรยากาศกลับมาคึกคัก   

นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน – มิถุนายน 2564) แม้มีผลขาดทุนสุทธิ 67 ล้านบาท แต่ขาดทุนลดลง 14 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 511 ล้านบาท เติบโต 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลการดำเนินงานของเซ็นกรุ๊ปที่โดดเด่นเป็นผลจากบริษัทฯ ปรับกลยุทธ์มุ่งให้บริการเดลิเวอรี่ รับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 นับตั้งแต่ภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์ผลักดันให้ผู้ใช้บริการเดลิเวอรี่เติบโตเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจรีเทลในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลาร้าน้ำพริกน้ำยำแจ่วบอง ฯ และอาหารพร้อมทาน ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องทำงานที่บ้าน และหันมาปรุงอาหารภายในครัวเรือนมากขึ้น  รวมทั้งการขายแฟรนไชส์เขียงและตำมั่วรวม 20 สาขา ถือว่าได้รับการตอบที่ดีเกินคาด ประกอบกับบริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพในร้านอาหารที่อยู่ภายในศูนย์การค้า ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน 2564) ทำรายได้รวม 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และแม้มีผลขาดทุนสุทธิ 39 ล้านบาท แต่ขาดทุนลดลง 87 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 3/2564 ผลดำเนินงานคาดการณ์ว่าลดลงถึงจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 โดยภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์ยกระดับคุมเข้มการระบาด ซึ่งร้านอาหารที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้ว่าเริ่มมีผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ร้านอาหารสามารถเปิดให้บริการเดลิเวอรี่ในห้างได้ โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิจร้านอาหารจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/64 หลังจากประชาชนทยอยฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับวัคซีนทางเลือกที่จะเข้ามานั้นจะยิ่งส่งเสริมให้ประเทศเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเช่าพื้นที่คลาวด์คิทเช่นเพื่อเป็นครัวกลางเสิร์ฟอาหารนอกศูนย์การค้า แห่ง รองรับการกับความต้องการสั่งอาหารในรูปแบบเดลิเวอรี่ให้กับร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN  ร้าน On The Table  และร้าน AKA ที่เติบโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ได้จัดแคมเปญโปรโมชั่นที่มอบความคุ้มค่าคุ้มราคาสอดรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภค อาทิ ซื้อ แถม และเมื่อซื้อผ่านแอปพลิชัน‘Zen Group Sookciety’ ยังมีโปรโมชั่นให้เลือกหลากหลายและบริการจัดส่งฟรี ด้วยแผนดำเนินงานที่สอดรับกับสถานการณ์จะผลักดันให้ผลดำเนินไตรมาส กลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมาย 

เจาะกลยุทธ์ความสำเร็จ ‘บัตรติดล้อ’ ดันงบไตรมาส 2 พุ่ง

บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2/2564 ทำกำไรสุทธิแข็งแกร่ง 777 ล้านบาท พุ่งแรง 177% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความสำเร็จ ‘บัตรติดล้อ’ ที่มีผลตอบรับดี ช่วยลูกค้าเพิ่มความสะดวกเข้าถึงแหล่งเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่เติบโตต่อเนื่อง วางเป้าหมายรักษาผู้นำตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มการให้บริการ พร้อมขานรับนโยบาย ธปท. ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประกาศภาครัฐ  

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานไตรมาส 2/2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งรายได้และกำไรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID19 โดยบริษัทฯ มีรายได้ในไตรมาส 2/2564 รวม 2,918 ล้านบาท เติบโต 35% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 777 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดด 177% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

ปัจจัยจากความสำเร็จมาจาก ‘บัตรติดล้อ’ นวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าให้เข้าถึงแหล่งเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถกดเงินสดตามวงเงินสินเชื่อทะเบียนรถที่ได้รับการอนุมัติผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศ ปัจจุบันได้ออกบัตรดังกล่าวแก่ลูกค้าแล้วกว่า 180,000 ราย ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลรวมถึงขยายสาขาตามแผนงานที่วางไว้ โดย ณ สิ้นไตรมาส ที่ผ่านมามีจำนวน 1,200 สาขา เพิ่มขึ้นจากเดิม 124 สาขา เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างประสิทธิภาพจากหลากหลายช่องทาง ทั้งออฟไลน์ ออฟไลน์และโมบายแอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มความสะดวกภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19   

ขณะเดียวกัน ยังได้รับผลดีจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้ 59.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันวินาศภัยจากธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโต 30.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราการเติบโตของตลาดที่โดยปกติมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 34% ต่อปี ทั้งนี้การเติบโตของรายได้ดังกล่าวของบริษัทฯเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่ผ่านเครือข่ายสาขาที่เติบโตขึ้น และการรักษาฐานลูกค้าต่ออายุประกันได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to income) ปรับลดลง อัตรา NPL หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงอยู่ที่ 1.56% อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ Coverage ratio ยังคงอยู่ในระดับสูง 306% ส่งผลให้ช่วง เดือนแรกของปีนี้มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยมีรายได้รวม 5,801 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,561 ล้านบาท เติบโต 15% และ 59% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ผลการดำเนินงานของเราในช่วง เดือนแรกของปีนี้ ยังสามารถรักษาการเติบโตที่ดี โดยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19 ในปัจจุบัน ที่ส่งผลกระทบกับลูกค้าของเงินติดล้อ บริษัทฯ พร้อมมอบโอกาสการเข้าถึงทางการเงินอย่างเท่าเทียมแก่คนในสังคมเพื่อให้ชีวิตหมุนต่อได้  อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ การปิดให้บริการสาขาภายในห้างสรรพสินค้า รวมถึงการออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนจาก COVID19 อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อและนายหน้าประกันวินาศภัยของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งเราประเมินว่าสถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้นในปีหน้า หลังจากที่มีการเปิดประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปรับตัวดีขึ้น” นายปิยะศักดิ์ กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้แม้มีความไม่แน่อน โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในประเทศไทย จากการขยายเครือข่ายสาขาและการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมการให้บริการ พร้อมเดินหน้าทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มธุรกิจนายหน้าประกันภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯ มีสถานะทางธุรกิจและเงินทุนที่เข้มแข็ง สะท้อนจากการที่ทริสเรทติ้งได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรเฉพาะของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ “A” แสดงถึงมุมมองที่ดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่เป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี 

ทั้งนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประการของรัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID19 จึงได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบและสนับสนุนนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการช่วยเหลือผู้ขอสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าที่ยังคงประกอบกิจการแต่มีรายได้ลดลงจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณีตามความเหมาะสม สำหรับผู้สนใจเยี่ยมชมข้อมูลเงินติดล้อได้ที่เว็บไซต์ www.tidlor.com   

SCGP ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซีย

SCGP ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน Intan Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ต่อยอดด้านการผลิต    ซัพพลายเชน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รองรับการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่สิงหาคมนี้  

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จึงวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ หลังจากเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2556 เพื่อต่อยอดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เพิ่มความเข้มแข็งด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระดาษ จากปัจจุบันที่มีฐานการผลิต แห่งในประเทศอินโดนีเซีย 

ล่าสุด ในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 SCGP ได้เข้าถือหุ้น (Merger and Partnership หรือ M&P) ร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นไปตามที่ได้เคยเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยดำเนินการผ่าน TCG Solutions PteLtd. (TCGS) ที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (หรือ “TCG”) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่น ที่สัดส่วนร้อยละ 70:30 ตามลำดับ โดยแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็นงวดแรกจำนวน 822 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1,997 ล้านบาท) และจะชำระค่าหุ้นงวดที่ 2 โดยพิจารณาจากผลประกอบการส่วนเพิ่มของ Intan Group สำหรับงวดปีบัญชี 2565 และ 2566 ซึ่งเมื่อรวมกับเงินที่ชำระในงวดแรกแล้วจะเป็นเงินไม่เกิน 859 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 2,088 ล้านบาท) และจะเริ่มรับรู้ผลประกอบการของ Intan Group ในงบการเงินรวมของ SCGP ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป  

Intan Group เป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ พื้นที่ ได้แก่ Surabaya ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา Semarang ทางตอนกลางของเกาะชวา Bekasi ทางทิศตะวันตกของเกาะชวา และ Minahasa ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี โดยมีลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค 

เมื่อสิ้นสุดปีบัญชี 2563 Intan Group มีรายได้ประมาณ 1,329 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 3,231 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีประมาณ 65 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 158 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์ประมาณ 755 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1,836 ล้านบาท)  

 “การขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียจะเพิ่มศักยภาพจากความร่วมมือแบบบูรณาการทั้งด้านการผลิต การตลาด การวิจัย  รวมถึงนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายร่วมกับการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรเพื่อรองรับการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังเป็นการเน้นย้ำความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งของประเทศอินโดนีเซีย” นายวิชาญ กล่าว