ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) เปิดพันธกิจ Delight everyone with good food choice

นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยต้องประสบกับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่มีความลำบากมากขึ้นตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาด กระทั่งเข้าสู่มาตราการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมสถานการณ์เช่นเดียวกับทั่วโลก โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในประเทศ

บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์ แจ็คแอนด์จิล (Jack’n Jill) ซึ่งเป็นภาคส่วนหนึ่งของธุรกิจในสังคม มีแนวทางที่ยึดถือและตระหนักถึงความสำคัญของคนทุกคนในสังคม รวมถึงการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ประสบกับภาวะวิกฤต จึงได้ดำเนินการส่งมอบขนมและสิ่งของเพื่อการอุปโภคและบริโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้กับทุกภาคส่วนในสังคม ที่กำลังต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล ชุมชน และประชาชน มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดจนถึงปัจจุบัน เพื่อร่วมฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

โดยนับตั้งแต่เข้าสู่สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) ได้ร่วมช่วยเหลือและบริจาคในปีนี้ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 3,400,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นเงินสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งของจำเป็นพื้นฐาน และผลิตภัณฑ์ในเครือกว่า 478,000 ชิ้น เช่น ฟันโอ, โรลเลอร์ โคสเตอร์, ทิวลี่, ไดนาไมท์, ลัช, และดิวเบอร์รี่ โดยมอบให้กับโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ชุมชน และประชาชน นอกจากนี้ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) ยังได้ส่งมอบกล่องยังชีพให้กับกลุ่มที่ขาดรายได้และกลุ่มที่จำเป็นต้องกักตัวแยกออกจากที่อยู่อาศัยเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วประเทศอีกด้วย ภายในกล่องยังชีพ บรรจุสิ่งของจำเป็นพื้นฐาน เพื่อช่วยในการดำรงชีวิตท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย สเปรย์แอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์ในเครือ เช่น ฟันโอ, โรลเลอร์ โคสเตอร์, ทิวลี่, ไดนาไมท์, ลัช, และดิวเบอร์รี่

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เราให้คุณค่าและความสำคัญกับผู้คนและสังคมเป็นลำดับแรก ดังนั้น เราจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้นผ่านผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของบริษัทที่มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีให้แก่ผู้บริโภคทุกคน หรือ Delight everyone with good food choice อีกทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย พวกเราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความสุขให้กับทุกภาคส่วนของสังคมที่ร่วมต่อสู้กับภาวะวิกฤตนี้ ผ่านขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์ แจ็คแอนด์จิล ของเรา

นอกจากนี้ พนักงานของ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) ยังร่วมบริจาคและมอบเงินให้กับโรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ให้กับกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งนี้ไม่เพียงแต่พนักงานที่จะเป็นผู้ให้ แต่ยังเป็นผู้รับด้วยเช่นกัน โดยพนักงานได้รับ “กล่องห่วงใย” จากบริษัทฯ ที่บรรจุอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และของจำเป็นพื้นฐานให้กับพนักงานทุกคนในองค์กร ทั้งในส่วนของสำนักงานใหญ่และส่วนของโรงงาน เนื่องจากบริษัทฯ เชื่อมั่นในการให้ความสำคัญกับบุคลากรอย่างแท้จริง และจะไม่ทอดทิ้งพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้

“บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) เราให้ความสำคัญแก่บุคลากรเป็นอันดับต้น และมีการจัดการที่ทำงานของเรา ให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย พวกเราเชื่อมั่นในการให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นลำดับแรก เพราะพวกเขาเป็นบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ อีกทั้งเรายังปลูกฝังให้พนักงานเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมที่องค์กรได้วางเอาไว้” นาย แมททิว ดีผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ กวาดยอดจองกว่า 3,500 คัน หลังเปิดตัวเพียง 1 เดือน

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยข้อมูลยอดจอง ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม กวาดยอดจองทั่วประเทศกว่า 3,500 คัน หลังจากการเปิดตัวเพียง 1 เดือน ตอกย้ำความเป็นสปอร์ตพรีเมียมซีดานไอคอนที่ทุกคนรอคอย ที่มาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์คอมแพคท์ซีดานไทยอีกครั้ง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน โดยทุกรุ่นย่อยมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ ที่รองรับพลังงานทางเลือก E85 และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) คาดครองอันดับหนึ่งเซกเมนต์คอมแพคท์ซีดานต่อเนื่องอีกปี

ความสำเร็จข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการถ่ายทอดดีเอ็นเอความสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นในทุกด้านทั้งด้านดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าอีกด้วย

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ยกระดับประสบการณ์ความสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ให้ความแรงทรงพลังเร้าใจเกินใครในทุกรุ่นย่อย ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ พร้อมระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม 17.2 กม./ลิตร และรองรับพลังงานทางเลือก E85 และมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ยกระดับไปอีกขั้นกับระบบใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย และสะดวกสบายแบบเหนือกว่ากับครั้งแรกของระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น RS)

ลูกค้าที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ กับข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 – 30 กันยายน 2564

สัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ หรือสอบถามข้อมูลและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/civic ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถทดสอบสมรรถนะได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

TKN รุกธุรกิจร้านสตรีทฟู้ดเกาหลี เปิดขายแฟรนไชส์ Bomber Dog

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ส่งบริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ปั้นแบรนด์สตรีทฟู้ดเกาหลี เตรียมเปิดขายแฟรนไชส์ ‘บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) อาหารทานเล่นสไตล์เกาหลี ชี้เป็นโอกาสของคนที่อยากมีร้านค้าเป็นของตัวเอง ด้วยงบลงทุนเริ่มต้น 123,000 บาท คืนทุนใน 6-8 เดือน รุกขยายเข้าสู่ปั้มน้ำมัน เน้นเข้าถึงง่ายสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเดินหน้าขยาย 45 สาขาภายในปีนี้ หนุนยอดขายจากธุรกิจร้านอาหารเพิ่ม 100%

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ TKN เตรียมผลักดัน บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด หรือ TKNRF ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ที่ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้า และร้านอาหารประเภท Quick Service Restaurant  ตั้งเป้าเดินหน้าขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งที่ผ่านมา TKNRF ได้มีการศึกษาและทดลองวางกลยุทธ์ รูปแบบร้านอาหารและเมนูต่างๆเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย จึงเป็นที่มาของแฟรนไชส์อาหารสตรีทฟู้ดเกาหลี ซึ่งรูปแบบการทานอาหาร ‘สตรีทฟู้ด (Street Food)’ หรือ ‘ร้านอาหารริมทาง เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการทานอาหารที่สามารถพบเจอได้ในหลายๆประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชีย ถือเป็นจุดเด่นที่ผู้บริโภคท้องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวให้ความนิยมเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดโควิด-19 มีผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ มองหาช่องทางการขายสินค้าสอดรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทฯ ได้มุ่งขยายสาขาที่ตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นจุดจำหน่ายและทำ Cloud Kitchen มุ่งเน้นทำเลพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน (ปั้มน้ำมัน) ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสาตร์ในการขยายธุรกิจนอกห้าง และลดความเสี่ยงจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ  

ทั้งนี้ TKNRF ได้ตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์ บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) ร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในช่วงที่เหลือของปี 2564 จำนวน 45 สาขา หรือเฉลี่ยเปิด 8-10 สาขาต่อเดือน และคาดว่าจะเปิดอีก 100 สาขาในปี 2565 ปัจจุบันมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ปั้มน้ำมัน และ Cloud Kitchen แล้วทั้งสิ้น 18 สาขา และเตรียมเปิดในเดือนกันยายนนี้ อีก 8 สาขา โดยเน้นขยายสาขาในพื้นที่ปั้มน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตจากธุรกิจนี้มากกว่า 100% ภายในปีนี้ขณะเดียวกัน ยังได้เพิ่มช่องทางสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันสั่งอาหารชั้นนำ เช่น LINE MAN, Grab, Food panda เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็วในการสั่งอาหารมารับประทานอีกด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวเพิ่มเติมว่า บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) เป็นร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในรูปแบบเมนูทานเล่น เช่น คอร์นดอกฮอทดอก ต็อกโบกี เฟรนช์ฟรายส์ ไก่ป๊อบ ไก่ทอดเกาหลี ที่ชูจุดเด่นด้านรสชาติที่อร่อยเหมือนต้นตำรับ ถือเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มและตอบโจทย์คนเมืองที่เร่งรีบระหว่างเดินทาง เน้นทานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนแฟรนไชส์ Bomber Dog จะเปิดสิทธิแก่ผู้ที่สนใจลงทุนด้านธุรกิจอาหารโดยไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นมาก่อน เน้นเปิดในพื้นที่ขนาดเล็ก ในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งโมเดลรถเข็น ปั้มน้ำมัน และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น 

ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนในแฟรนไชส์ของบอมเบอร์ด๊อก มี รูปแบบ คือ แบบรถเข็น ซึ่งจะมีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 123,000 บาท และแบบตั้งบนพื้นที่ ซึ่งจะมีขนาดพื้นที่ 2.5×2.5 เมตร มีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 260,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ที่สนใจลงทุนประกอบการธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจเพื่อหารายได้เสริมหรือต้องการขยายธุรกิจใหม่ๆ โดยมีทีมงานมืออาชีพพร้อมให้คำแนะนำในการเริ่มต้นทำธุรกิจ คาดใช้เวลาคืนทุนภายในระยะเวลา 6-8  เดือน และสำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่มีเงินทุน บริษัทฯ ยังจับมือกับสถาบันการเงินชั้นนำ สนับสนุนสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ โดยผู้ที่สนใจลงทุนสามารถติดต่อได้ที่ บริษัทเถ้าแก่น้อย เรสเตอรงท์แอนด์เฟรนไชส์ จำกัด หมายเลข 02-960-1477 ต่อ 302

“TKNRF ได้ทดลองเปิดตัวแบรนด์ดังกล่าวมากว่า ปี เพื่อศึกษาและทดลองทำตลาด ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงได้ต่อยอดการขยายสาขาผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนเปิดร้านสาขา รวมถึงบริษัทฯ จะลงทุนขยายสาขาเอง ที่มุ่งเน้นทำเลสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. และแบรนด์อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าและยังใช้เป็นจุดกระจายสินค้าผ่านแฟลตฟอร์ม Home Delivery อีกด้วย” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว

 

DRT รุกทำโครงการ Diamond Warehouse

บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT’ ส่องแนวโน้มตลาดวัสดุโค้งสุดท้ายปลายปีบรรยากาศการซื้อสินค้าคึกคัก รับภาครัฐคลายล็อกดาวน์ เดินหน้าเศรษฐกิจ หนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค จับตาความเสี่ยงด้านแรงงานก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งสินค้า เดินหน้าโครงการ Diamond Warehouse ดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางขายให้แก่คู่ค้าเพิ่ม และจัดทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องตอกย้ำแบรนด์ ตราเพชร มั่นใจปีนี้เติบโต 5% ตามแผน         

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูปและบริการหลังการขายภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส จะฟื้นตัวได้ดี หลังภาครัฐทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ทั้งการเปิดห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ใน 29 จังหวัดสีแดงเข้มและกิจกรรมการก่อสร้างดำเนินการได้ตามปกติ เป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบรรยากาศการซื้อสินค้ามีความคึกคักมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่กดดันตลาดซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและด้านโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างและร้านค้าจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ต้องวางแผนบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

“ตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน แม้ในต้นไตรมาส 3/2564 จะได้รับผลกระทบไปบ้างจากการล็อกดาวน์และปิดไซต์งานก่อสร้าง แต่เมื่อรัฐเริ่มผ่อนปรนมาตรการ แนวโน้มก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับและทำให้ในปลายปีนี้บรรยากาศการซื้อสินค้าจะคึกคักขึ้น แต่เราก็ไม่ประมาทเพราะยังมีความเสี่ยงที่ต้องจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเอาชนะความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นได้” นายสาธิต กล่าว  

ส่วนแผนงาน DRT ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะนำข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันทั้งแบรนด์สินค้า ตราเพชร’ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง และช่องทางการจำหน่ายทั้ง ช่องทาง ได้แก่ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการและตลาดต่างประเทศ ผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 5% ตามแผนที่วางไว้ โดยประเมินว่ากลุ่มลูกค้าโครงการจะเติบโตโดดเด่น เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลับมาพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม  

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DRT กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ Diamond Warehouse ผลักดันสินค้าสู่ช่องทางการขายและกระตุ้นให้ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย เพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังให้เพียงพอต่อการขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 ซึ่งจะช่วยบริหารความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ จากความไม่แน่นอนของโควิด-19 นอกจากนี้ DRT ยังเดินหน้าตอกย้ำแบรนด์ ตราเพชร’ ภายใต้แนวคิด สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดกิจกรรม ‘DIAMOND Interior Design Contest 2021’ ซึ่งจัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่ โดยเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป แข่งขันออกแบบลายบอร์ดตกแต่งผนังพิมพ์ลาย ภายใต้แนวคิด ‘Digital Printing Board, Create an Inspiring Space’ เพื่อเป็นไอเดียและทางเลือกสำหรับผู้ใช้วัสดุ นักออกแบบตกแต่งภายในและประชาชนทั่วไปที่กำลังมองหาวัสดุตกแต่งห้องต่างๆ ได้แก่ ร้านกาแฟ (Cafe) สำนักงานสาธารณะ (Co-Working Space) บูติคโฮเต็ล (Boutique Hotel) โรงเรียนอนุบาลหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก (Nursery) เพื่อชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต่อยอดงานออกแบบจากการประกวดในปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเป็นร้านกาแฟ Diamond Cafe เพื่อเป็นโชว์เคสที่โรงงานจังหวัดสระบุรีให้แก่ผู้บริโภคที่จะเข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์สินค้า และเป็นไอเดียแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนร้านกาแฟ ซึ่งมีพื้นที่ 5 ขนาด ตั้งแต่ 12 ถึง 63 ตร.ม. โดยใช้งบลงทุน 18,000 บาทต่อ ตร.ม.   

บลูบิค ดีเดย์นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 16 ก.ย.นี้

บมจ.บลูบิค กรุ๊ป พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันที่ 16 กันยายนนี้ ใช้ชื่อย่อ ‘BBIK’ ในการซื้อหลักทรัพย์ หลังนักลงทุนตอบรับจองซื้อหุ้น IPO อย่างล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา ชูความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน พร้อมวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยี ยกระดับซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับการเติบโต รวมถึงเตรียมรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนกับ OR ปลายปีนี้  

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 กันยายนนี้ บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยใช้ชื่อย่อ ‘BBIK’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อเข้าไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจและปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้แก่ลูกค้าองค์กร โดยรับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย จะทำให้บริษัทฯ เป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่นักลงทุนให้ความสนใจ

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 25 ล้านหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ที่ราคาหุ้นละ 18 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดีเกินกว่าความคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นบริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร ได้แก่ 1. การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3. เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4. ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5. ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด และ 6. เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศ โดยผนึกความร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท บริษัทฯ ถือหุ้น 60% และ OR ซึ่งถือหุ้นผ่าน Modulus ที่เป็นบริษัทย่อย ถือหุ้น 40% เพื่อร่วมมือกันดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์โอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ให้กับ OR เพื่อเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีกต่อไป ซึ่งบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จาก ORBIT ปลายปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565

ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.บลูบิค หรือ BBIK เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษา เคยผ่านงานกับบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำระดับโลก และได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าองค์กรที่เป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 รวมถึงบริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าของประเทศหลายราย ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ BBIK ได้วางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มบุคลากรและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการขยายบริการด้านการจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีเพื่อไปปฏิบัติงานยังไซต์งานของลูกค้า รวมถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ OR จะส่งผลดีต่อศักยภาพการเติบโตในอนาคต จึงเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในหุ้น IPO น้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ BBIK ถือเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันของประเทศไทย ที่มีศักยภาพการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของภาพรวมธุรกิจในด้านนี้ เนื่องจากปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ ล้วนมีความต้องการพัฒนาขีดความสามารถและรูปแบบการทำงานให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล จึงมีความต้องการบริษัทที่ปรึกษาเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกำหนดกลยุทธ์และปลดล็อกศักยภาพการเติบโต จึงทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ BBIK เติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสามารถแข่งขันได้กับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก

แกะรอย.. หนังโฆษณา อลิอันซ์ อยุธยา มุ่งให้กำลังใจคนไทย

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ผู้นำผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวแคมเปญหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” มุ่งให้กำลังใจคนไทย เดินหน้าสู้ต่อ เพื่อวันที่จะกลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุข พร้อมชู “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” เหมาจ่ายราคาเบาๆ รับความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาท

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในวันนี้ ที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย มีการคลายล็อคให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้มากขึ้น ถือเป็นสัญญาณดีที่ทำให้เรามองเห็น “วันนั้น” วันที่เราจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อลิอันซ์ อยุธยา จึงเปิดตัวแคมเปญหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” เพื่อมุ่งสร้างความหวัง ให้กำลังใจคนไทย อย่าเพิ่งท้อ ให้เดินหน้าสู้ต่อ และดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ โดยมี อลิอันซ์ อยุธยา พร้อมที่จะอยู่ให้ความคุ้มครอง “เคียงข้างคุณทุกเงื่อนไขชีวิต”

หนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” เล่าเรื่องผ่านภาพบรรยากาศจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยมีเสียงและภาพจูงใจให้ผู้ชมคิดตาม สะท้อนให้เห็นสถานที่ที่เคยเป็นที่รวมตัว หรือ ทำกิจกรรมร่วมกันก็ปิดตัวลง เสียงที่เคยดังกึกก้อง กลับกลายเป็นเงียบสนิท ความสนุกสนานที่เคยมีกลายเป็นความหงอยเหงา แต่เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่อีกไม่นาน และเราจะได้พบกัน ดังนั้น เราจะต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่ออยู่ให้ถึงวันนั้น และหากกำลังมองหาความคุ้มครองสุขภาพ เพื่อช่วยให้สามารถผ่านช่วงสถานการณ์นี้ได้ เรามี “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะคุ้มครองการเจ็บป่วยเมื่อต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ครอบคลุมกรณีติดเชื้อโควิด เหมาจ่ายตามจริงในวงเงิน 1 ล้านบาท โดยเบี้ยราคาไม่ถึงหมื่นบาทต่อปี* หนังโฆษณาชุดนี้มี 2 เวอร์ชั่น สั้นและยาว รวมทั้งเวอร์ชั่นที่ออกอากาศเฉพาะทางโซเชี่ยลมีเดีย ทั้งนี้ เพื่อสามารถตอบโจทย์ทั้งการให้กำลังใจและสอดแทรกการแนะนำผลิตภัณฑ์ “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” จัดทำโดย บริษัท ชูใจ และกัลยาณมิตร

“ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” แบบประกันสุขภาพที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยค่าเบี้ยแบบสบายกระเป๋า จ่ายเริ่มต้นในราคาไม่ถึงหมื่น* รับความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาทต่อรอบปีกรมธรรม์ โดยคุ้มครองค่ารักษากรณีรักษาตัวในรพ. รวมทั้ง ค่าเอกซเรย์ ค่าแล็บ ค่ารักษาพยาบาลในการผ่าตัด ค่าล้างไต ค่าเคมีบำบัด และค่ารังสีรักษาโรคมะเร็ง ค่ารักษาพยาบาลในห้อง ICU และครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุฉุกเฉิน ภายใน 24 ชม. โดยจ่ายให้ตามจริงภายใต้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี ถึง 69 ปี (ต่อสัญญาได้ถึงอายุ 89 ปี คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี)

นอกจากหนังโฆษณา ภายใต้แคมเปญนี้ บริษัทฯ ยังมีการเปิดตัวโครงการ “ตัวแทนเดอร์” บนโลกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจความคุ้มครองสามารถรับคำปรึกษาพูดคุยกับตัวแทน ผ่านการ “แมทช์” กับตัวแทน โดยใช้ไลฟสไตล์ ความสนใจ หรือ ความเชี่ยวชาญของตัวแทนมาเป็นตัวกรองหาตัวแทน “ที่ใช่” เพราะเราเชื่อว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ตัวแทนที่เคยมีประสบการณ์ร่วม หรือมีจุดร่วมใดๆที่เป็นเงื่อนไขชีวิตที่คล้ายกันกับลูกค้า จะเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของลูกค้า จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ นอกจากนั้น เรายังเดินหน้าจัดกิจกรรม Care Day ที่ให้ตัวแทนได้โทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อถามสารทุกข์ มอบกำลังใจ ให้ความช่วยเหลือ พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์จากกรมธรรม์ ซึ่งจากการทำกิจกรรมนี้มาหลายครั้ง พิสูจน์แล้วว่าช่วยสร้างความพึงพอใจและความรู้สึกดีต่อแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

“ในแคมเปญนี้ เราจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาท เพื่อออกอากาศหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” ทั้งช่องทางโทรทัศน์ และออนไลน์  โดยหวังว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนคนไทย เพื่อเป็นกำลังให้ต่อสู้เพื่อรอให้ถึงวันนั้น โดยมีความคุ้มครองที่คุ้มค่าในราคาสบายกระเป๋าจาก อลิอันซ์ อยุธยา คอยดูแลและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณในทุกเงื่อนไขชีวิต” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย

*เบี้ยสำหรับเพศชาย อายุ 35 ปี ซื้อประกันสุขภาพปลดล็อคสบายกระเป๋าแบบมีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาทต่อรอบปีกรมธรรม์

OCEAN แตกไลน์รุกธุรกิจอินเทรนด์กัญชง-กัญชา

OCEAN โชว์ผลงานทะยานฟ้า Q2/64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,386% จากปีก่อน อานิสงส์ยอดขายคอนโดฯ IKON SUKHUMVIT 77 โตสวนกระแสโควิด! เหตุตกแต่งห้องสวย โลเคชั่นเยี่ยม สภาพแวดล้อมดี ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัวในราคาที่จับต้องได้  พร้อมกันนี้สยายปีกรุกสู่ธุรกิจอินเทรนด์ โดยลงทุนผ่านบริษัทย่อย “เค ที ดี เอ็ม” ลุยรอบด้านทั้งจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง-กัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริมและยา คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64  ด้านผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ธีร ชุติวราภรณ์” มั่นใจปี 64 ผลงานดีต่อเนื่องและจะพยายามล้างขาดทุนสะสม ส่วนปี 65 มั่นใจเติบโตแบบก้าวกระโดด

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 19.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.16 ล้านบาท หรือ 1,386.26% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.31 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 120.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 122% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 54.09 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 94.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโครงการ IKON77 ที่เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกของกลุ่มบริษัทได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์พร้อมทั้งรับรู้รายได้มาตั้งแต่ไตรมาส 4/2563

โครงการ IKON77 เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร 442 ยูนิต พร้อมอยู่  ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะช่วยอัพเกรดชีวิตด้วยการใช้พื้นที่ส่วนกลางอย่างคุ้มค่า เปิดบริการตลอด 24 ชม. ตั้งอยู่บนทำเลดี ติดคอมมูนิตี้มอลล์ People Park เดินทางสะดวกเพียง 3 นาที จาก BTS สถานีอ่อนนุช (มีบริการรถรับ-ส่ง) สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัวในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิ 42.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.40 ล้านบาท หรือ 364.82%  เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 9.15 ล้านบาท

“ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่มีความตั้งใจจะทำธุรกิจให้ดีจริงๆ และฟื้นฟูผลประกอบการของ OCEAN ให้ได้  ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ เป็นฐานรายได้หลักในขณะนี้มีการเติบโตที่แข็งแกร่งและเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอสังหาฯคือปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ ขณะเดียวกัน ได้พยายามมองหาธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจและพร้อมจะเข้าลงทุนหากสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคตได้ดีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้บริษัทฯมีช่องทางในการสร้างรายได้อื่นเพิ่มขึ้นและถือเป็นการบริหารความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหลักที่ OCEAN ปักธงไว้คือการเป็นบริษัทจดทะเบียนปัจจัยพื้นฐานดี คือมีฐานทุนและฐานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรง มีธุรกิจที่สร้างกำไรที่ดีต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี”

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติเพิ่มทุน “บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกจำนวน 290,000 หุ้น คิดเป็น 29,000,000 บาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น โดยแหล่งที่มาของเงินที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียน โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริม และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตในช่วงไตรมาส 4/64 และจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันที  โดยก่อนหน้าบริษัทฯได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ด้านการลงทุนการค้าในรูปแบบสัญญาร่วมผลิตสินค้า จัดจำหน่ายและส่งออก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารและยา ด้วยนวัตกรรมจากพืชกัญชาและพืชกัญชง

“มั่นใจว่าการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจกัญชงและกัญชา โดยการเป็นผู้ผลิตสารสกัด จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง และความต้องการของลูกค้ามีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ในปีนี้จะเริ่มมีรายได้เข้ามาบางส่วน และคาดว่าปี 2565 ธุรกิจสารสกัดกัญชงและกัญชา มีโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทกว่า 100 ล้านบาท สนับสนุนผลงานในปี 2565 ให้โตแบบก้าวกระโดดได้”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวต่อในช่วงท้ายว่าปี 2564 นี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัทฯ ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องของผลประกอบการที่ทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ และในปี 2565 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับ OCEAN โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ผ่านการรุกธุรกิจทั้งจากด้านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจกัญชงและกัญชา

SCI ได้เข้าชิงโรงไฟฟ้าชุมชน เพิ่มเป็น 4 โครงการ ดีเดย์ 23 ก.ย.นี้

บริษัทร่วมทุนยื่นอุทธรณ์คุณสมบัติ และคำเสนอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนได้เพิ่มมาอีก โครงการ จากรอบแรก โครงการ รวมเป็น โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 14 MW  บิ๊กบอส “เกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล” มั่นใจมีความพร้อมในทุกด้าน รอลุ้นข่าวดี 23 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ และคำเสนอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) จำนวน 74 บริษัท จากที่ยื่นมา 118 บริษัท 

นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) หรือ SCI เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนของ SCI ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งหมด โครงการ รวมกับที่ผ่านคุณสมบัติและคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค โครงการ ในรอบแรก เป็นทั้งหมด โครงการ ที่สอบผ่านคุณสมบัติทางเทคนิค ซึ่งได้ยื่นซองประกวดราคาไปแล้ว และรอประกาศผล โดยทั้ง 4 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 14 เมกะวัตต์

เรามีความทุกด้านในการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งบริษัทฯ มีจุดเด่นทั้งด้านความพร้อมของฝ่ายบริหารทีมงานที่มีประสบการณ์ และอีกปัจจัยที่สำคัญคือ การมีเครือข่ายเกษตรกร และวัตถุดิบที่นำมาใช้สำหรับโรงไฟฟ้าชุมชนในแต่ละพื้นที่”

ทั้งนี้ กกพ. กำหนดประกาศเปิดซองพิจารณาด้านราคา ในวันที่  20 กันยายน 2564 และพิจารณาต่อในวันที่ 22 กันยายน 2564 ก่อนประกาศรายชื่อผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเป็นทางการ ภายในวันที่ 23 กันยายน 2564 นี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCI กล่าวอีกว่า ถือเป็นอีกหนี่งจุดเริ่มต้นในการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น ช่วยลดความผันผวนของธุรกิจ

ช่วย เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ระบายผลผลิตมากกว่า 2,714 ตัน

ไม่มีใครคาดคิดว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยาวนานและส่งผลกระทบยืดเยื้อจนถึงวันนี้

เช่นเดียวกับ หนึ่งในตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอย่าง “นางจันปภัสร์ ตะถาวรวงศ์เจริญ” ผู้มีเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง หรือลูกฟาร์มกว่า 40 ราย กระจายในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์

“ในช่วงแรกๆ ที่เกิดโควิด-19 ยอมรับว่าได้รับผลกระทบมาก แต่พอโควิด-19 อยู่กับเรานานจนถึงวันนี้ ก็ได้แม็คโคร เป็นช่องทางในการระบายผลผลิตที่สำคัญและมั่นคง ช่วยเกษตรกรได้มาก”

กับดักสำคัญ ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องทุกปีก็คือ ปัญหาราคาตกต่ำ ที่เกิดจากหลายปัจจัยแตกต่างกัน แต่สำหรับปีนี้ ดูเหมือน “โควิด-19” จะสร้างผลกระทบซ้ำเติมหนักหน่วง

“ปัญหาราคาตกต่ำ นับได้ว่าเป็นปัญหาประจำที่พวกเราทุกคนต้องเผชิญอยู่แล้วทุกปี แต่พอมาเจอกับ สถานการณ์โควิด-19 เราต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือ จากเดิมที่มีช่องทางขายผ่านแม่ค้าในตลาดสด ตลาดนัด ช่องทางนี้ก็หายไป เพราะตลาดต้องปิดตัวลงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ก็มีแม็คโคร นี่แหละ ที่เป็นช่องทางสำคัญในตอนนี้ และได้ระบายผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง”

“จันปภัสร์” บอกว่า เธอและลูกฟาร์มในเครือข่าย ส่งกุ้งขาวให้แม็คโครอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และเมื่อมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งปี 2564 ที่แม็คโคร ร่วมกับกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงโควิด-19 ทำให้มีช่องทางระบายผลผลิตที่สำคัญ ช่วยเกษตรกรที่เป็นลูกฟาร์มเครือข่ายให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยส่งตรง กุ้งขาวหลายขนาด ทั้งเล็ก ใหญ่ จัมโบ้ หรือกุ้งขาวในรูปแบบตาข่าย ให้กับแม็คโครสาขาต่างๆ

ปัจจุบันแม็คโคร มีเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อยส่งผลผลิต กุ้งขาว และกุ้งก้ามกราม กุ้งนาง ให้แม็คโครประมาณ 945 ราย จากหลายภูมิภาค ทั้งภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ในจำนวนนี้มีหลายรายที่พัฒนามาจากการเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ประสบปัญหาและเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงกับกรมการค้าภายใน จนกลายเป็นคู่ค้าสำคัญของแม็คโคร สร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งขาว หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้รับผลกระทบประสบปัญหามีช่องทางระบายผลผลิตได้น้อยลง แม็คโคร จึงร่วมกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งปี 2564 สอดคล้องไปกับพันธกิจสำคัญของแม็คโคร นั่นคือ ‘โครงการแม็คโครเคียงข้างเกษตรกรไทย สู้ภัยโควิด’ แม็คโครจึงเร่งเข้ารับซื้อตรงเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ทำให้เกษตรกรในหลายพื้นที่ได้ระบายผลผลิตมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เราช่วยรับซื้อกุ้งจากเกษตรกรไปแล้ว 2,714 ตัน”

“ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 เช่นนี้ ยังมีเกษตรกรอีกมากมายที่กำลังเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในหลายมิติ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย การส่งเสริมการขาย นับเป็นการรวมพลังของภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อนการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง และเกษตรกรในกลุ่มการผลิตอื่นๆ อย่างเร่งด่วนตามยุทธศาสตร์ ตลาดนำการผลิต อย่างแท้จริง” นางศิริพร กล่าว

แม็คโคร เพิ่มแผนพัฒนาโชห่วยกว่า 5 แสนราย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เดินเกมรุก เพิ่มแผนพัฒนาโชห่วยกว่า 5 แสนราย ด้วยสารพัดตัวช่วย เพื่อพัฒนาให้เป็น “โชห่วยยุคใหม่” ทั้งตู้แช่ครัวชุมชน ตู้ขายกาแฟอัตโนมัติ มุมอาหารสัตว์ เพิ่มความถี่ยกทัพสินค้าราคาขายส่ง  เสริมรายได้ ลดต้นทุนเพื่อผู้ประกอบการ ชูจุดแข็งความเชี่ยวชาญจากศูนย์มิตรแท้โชห่วย พัฒนาร้านค้าเล็กๆ  ให้เติบโตอย่างครองใจคนในทุกชุมชน ฝ่าทุกวิกฤตไปด้วยกัน

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลา 32 ปีที่เปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แม็คโคร เดินหน้าเคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย หรือโชห่วยมาตลอด โดยทำหน้าที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจและพี่เลี้ยง ให้ร้านค้าเล็กๆ ในชุมชนได้เกิดความเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปตามยุคสมัย  และอยู่รอดได้ในทุกวิกฤต แม้ในยุคสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19  แม็คโครได้วางแผนเชิงรุกในการพัฒนาโชห่วยที่มีกว่า 5 แสนรายทั่วประเทศ ให้อยู่รอดและเติบโตได้ ซึ่งจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นยิ่งขึ้น

“จุดเด่นของโชห่วย คือเป็นร้านของคนในชุมชน ที่ทุกคนคุ้นเคย เราจึงวางแผนพัฒนาร้านค้าเล็กๆ เหล่านี้ให้ครองความเป็น ‘มิตรแท้ชุมชน’ อย่างยั่งยืน ด้วยตัวช่วยที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และยังเป็นการเสริมเพิ่มรายได้อย่าง ตู้ครัวชุมชนที่ขายอาหารแช่แข็ง ตู้กาแฟอัตโนมัติ ทำหน้าที่คาเฟ่ของชุมชน เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ การพัฒนามุมอาหารสัตว์ มุมสินค้าไอที เสริมบริการร้านเล็กให้ครบวงจร ซึ่งได้รับความสนใจจากโชห่วยมากเลยทีเดียว  เนื่องจากทำให้ยอดขายของร้านเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ที่สำคัญทำให้เรารู้ว่า ร้านเล็กๆ ในชุมชนเขาก็อยากพัฒนาและเติบโต หลายร้านมีความสนใจนำเทคโนโลยีอย่างเครื่อง POS มาใช้จัดการ และสร้างเครือข่ายการขายและรับสั่งสินค้าจากชุมชนผ่านเฟซบุ๊ก กลุ่มไลน์  ขณะนี้ โชห่วย จึงกลายเป็นร้านค้าเล็กๆ ที่ครบเครื่อง เป็นศูนย์กลางและที่พึ่งในการซื้อสินค้าของคนในชุมชนได้”

ไม่เพียงเท่านั้น แม็คโครยังเน้นย้ำนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญด้านราคา การตลาด การจัดกิจกรรมเพื่อโชห่วยตลอดทั้งปี เพื่อให้ร้านค้าเล็กๆ ในชุมชนเข้าถึงสินค้าราคาขายส่ง สินค้าราคาดีทำกำไรได้ ผ่านแม็คโครทุกสาขาและแม็คโครคลิก นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญจาก “ศูนย์มิตรแท้โชห่วย” ช่วยเหลือให้คำปรึกษา เติมเต็มองค์ความรู้ด้านต่างๆ ผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการบริหารจัดการร้านค้า สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์โชห่วย  แนะนำการให้บริการดิลิเวอรี่ และการปรับปรุงร้านให้มีความทันสมัย

“แม็คโคร เล็งเห็นความสำคัญของโชห่วย ร้านค้าเล็กๆ ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน ด้วยการทำงานเคียงข้าง เป็นคู่คิดพัฒนาธุรกิจเล็กๆ เหล่านี้มาตลอด 32 ปี  ปัจจุบันแม้จะมีร้านค้าสมัยใหม่เข้ามามากเพียงใด แต่สัดส่วนยอดขายของร้านโชห่วยในเมืองไทยก็ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดราว 44.1% เปรียบเทียบกับร้านสะดวกซื้อที่ 31.8% และไฮเปอร์มาร์เก็ต 24.1% (ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2562) และยังมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมาก  เราเชื่อว่า ถ้าโชห่วยพัฒนาต่อเนื่องและปรับตัวได้ ร้านเล็กๆ เหล่านี้จะเป็นศูนย์กลางการซื้อสินค้าของคนในชุมชน ที่เข้าถึงและเข้าใจลูกค้าในพื้นที่มากที่สุด” นางศิริพร กล่าว