UBE ตอกย้ำความมั่นใจเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง

บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจร ตอกย้ำความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน พร้อมรุกขยายธุรกิจต่อเนื่อง ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% รุกสู่การเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) พร้อมมองหาโอกาสลงทุนใหม่ทั้ง JV หรือ M&A เพื่อเสริมศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืน  

นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ จะเร่งเดินหน้าตามแผนงาน เพื่อเป้าหมายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) จากเดิมที่บริษัทฯ เริ่มต้นจากการดำเนินธุรกิจเอทานอลและแป้งมันสำปะหลัง โดยปัจจุบัน UBE ได้ปรับกลยุทธ์ด้านพอร์ตสินค้า เน้นสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งการผลิตเอทานอลที่เป็นเกรดอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถนำมาใช้ในสเปรย์และเจลเแอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ UBON BIO และ Klar ซึ่งมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ 70% นำมาใช้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน จะขยายพอร์ตสินค้าแป้งมันออร์แกนิค แป้งฟลาวมันสำปะหลังที่เป็นสินค้าเติบโตสูง ซึ่งเป็น High Value Product ภายใต้แบรนด์ “Tasuko” และ “Savvy” สามารถใช้ทดแทนแป้งสาลีในอุตสาหกรรมขนมและเบเกอรี่ โดยวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนการใช้แป้งสาลีในทุกมิติ เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ เส้นพาสต้า เส้นราเมน ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า แป้งชุบทอด เป็นต้น รวมถึงแป้งทางเลือกเพื่อสุขภาพใหม่ที่ไม่มีกลูเตน ปัจจุบันได้พัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งผสมสำเร็จรูป แพนเค้ก คุกกี้ และบราวนี่ จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ทำให้ UBE ก้าวสู่ธุรกิจปลายน้ำมากขึ้น จากเดิมที่ทำธุรกิจกลางน้ำ และมีมาร์จิ้นที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้มีจากการขายรวม 2,946.11 ล้านบาท เติบโต 40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,104.23 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเอทานอล 47% ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 50% และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ 3% โดยการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นตัวเร่งให้กลุ่มผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 106.6 ล้านบาท สูงกว่าปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิทั้งปี 99.3 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 คาดว่ายังดีอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร และตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 20-30% ซึ่งจะทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้เห็นพัฒนาการของบริษัทฯ อย่างแน่นอน

ขณะที่แผนงานระยะยาวภายใน ปีข้างหน้า จะขยายกลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ (Food Tech) มากขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสามารถต่อยอดเพื่อสร้างการเติบโตได้อีกมากและเป็นสินค้าที่มีอัตรามาร์จิ้นดี ตลอดจนมองโอกาสลงทุนใหม่ๆ ทั้งร่วมลงทุน (JV) และเข้าควบรวมกิจการ (M&A) โดยเฉพาะธุรกิจปลายน้ำ และอาจพิจารณาแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศเพื่อต่อยอดสินค้ากลางน้ำอีกด้วย

เรามีความมั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัทฯ  เนื่องจากเราได้ปรับพอร์ตธุรกิจให้มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ รวมถึงมีทีมผู้บริหารและทีมงานที่แข็งแกร่ง พร้อมมุ่งมั่นบริหารงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ สะท้อนจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่มีรายได้เติบโต 40% โดยเงินที่ได้จาก IPO เราก็จะนำไปลงทุนขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต และขอบคุณนักลงทุน ผู้ถือหุ้น ที่เชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจบริษัทฯ ทีมผู้บริหาร ตลอดจนพนักงานทุกคน โดยบริษัทฯ จะมุ่งมั่นทำผลงานให้ดีและขอให้มั่นใจได้ว่าจะทำงานตามแผนงานต่าง ๆ เพื่อทำให้ UBE เติบโตอย่างยั่งยืน” นายเดชพนต์ กล่าว 

WGE มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังโตแจ่ม

WGE มั่นใจผลงานครึ่งหลังโตแจ่ม หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หนุนโปรเจคก่อสร้างภาครัฐ-เอกชน ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โชว์ไตรมาส 3/64 คว้างานใหม่ 6 โปรเจค ดัน Backlog เพิ่มเป็น 3.7 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีก 2-3 พันล้านบาท ฟากผู้บริหาร “เกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม” ลั่นพร้อมประมูลงานก่อสร้างภาครัฐเต็มเหนี่ยว วางเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ควบคู่ไปกับการบุกตลาดก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม หนุน Backlog แตะ 5 พันล้านบาท ตามแผน

นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE ผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้งานประมูลก่อสร้างของภาครัฐและเอกชน ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯมีแผนเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างถนน งานสะพาน ทั้งนี้ วางเป้าสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 50% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 23%

นอกจากนี้ ยังมีแผนบุกตลาดงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อขยายฐานลูกค้า ลดความเสี่ยงความผันผวนธุรกิจ และมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี Backlog มีโอกาสที่จะไปแตะที่ระดับ 5,000 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ตามแผนงานที่วางไว้

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3/64 บริษัทฯได้งานใหม่ 6 โปรเจค ประกอบด้วย  1. โครงการก่อสร้าง อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (งานโครงสร้าง และงานสถาปัตย์) ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  2. โครงการงานจัดหาและติดตั้งงานระบบภายใน อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  3.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟสายห้วยทราย – ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ของกรมทางหลวง 4.โครงการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาเข้า) 1 ระหว่าง กม.69+700.000 – กม.71+825.000 รวมระยะทาง 2.125 กิโลเมตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  5. โครงการ ก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาออก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 6.งานก่อสร้างเขื่อนดินป้องกันน้ำท่วมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 3,697.28 ล้านบาท

ประธานกรรมการบริหาร WGE กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย และงานประมูลก่อสร้างของภาครัฐและเอกชนที่ทยอยมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่า ปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ของบริษัทฯในปีนี้จะกลับมายืนในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มี Backlog กว่า 5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างประมูลงานมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท

‘ทีวี ธันเดอร์’ ขายคอนเทนต์ต่างชาติ คาดรายได้ปี 64 กว่า 30 ล้าน

ในสถานการณ์ที่ทั่วโลกประสบวิกฤติโควิด-19นั้น ต้องยอมรับว่าในแวดวงบันเทิงล้วนแล้วแต่เจอ ผลกระทบไม่แพ้แวดวงอื่นๆ แต่ถึงอย่างไรนั้นในการทำงานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ดี  นายณฐกฤต วรรณภิญโญ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโต ได้ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2563 แม้ประเทศไทยจะยังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่ดีขึ้นจากปีก่อน

สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาที่เจอกันทุกวงการ อย่างเราอยู่ในวงการบันเทิงแน่นอนได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน เพราะไม่สามารถถ่ายทำทั้งรายการ และซีรี่ส์ได้ แต่ในระหว่างที่ประสบกับวิกฤติระดับ โลกเช่นนี้ เราก็ได้ปรับกลยุทธ์ในการทำงานหลายส่วน ทั้งการบริหารต้นทุนอย่างเหมาะส รวมถึงการสร้างช่องทางการหารายได้ในแบบที่บริษัทไม่เคยทำ และยังไม่ได้ focus มาก่อน อย่างการขายลิขสิทธิ์ คอนเทนต์ไปต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปี ทีวี ธันเดอร์ ตั้งเป้าเรื่องนี้อย่างชัดเจน เราได้มีการเปิดเจรจาตกลง ขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปในประเทศญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ก็อยู่ในขั้นของการเจรจาพูดคุยเรื่องตัวเลข 

โดยในปี 2564 ทีวี ธันเดอร์ ตั้งเป้าขายคอนเทนท์ไว้ที่ 30 ล้านบาท คาดหวังว่าในอนาคตรายได้ในส่วนการขายลิขสิทธิ์จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากความต้อง กา  คอนเทนต์ของไทยในต่างประเทศ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรามีกลยุทธ์ในการขายทั้งคอนเทนท์ที่มีอยู่ในมือ และแผนในการสร้างคอนเทนต์เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ส์ที่มีความหลากหลายของบท เน้นความเป็นสากลมากขึ้น เราไม่เพียงแต่มองที่ความต้องการของคนดูในประเทศไทย แต่เรายังมองไปที่ความต้องการของตลาดต่างปรเทศอีกด้วย รวมถึงรายการวาไรตี้ต่างๆ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องลงทุน หรือเพิ่มเม็ดเงิน ประเมินสัดส่วนรายได้จากการเริ่มต้นขายคอนเทนท์อยู่ที่ประมาณ 8-10% ของรายได้ รวมทั้งหมด วันนี้เรามองข้ามช็อตถึงการผลิตงานปี 65 แล้ว เราเริ่มสะสม backlog ในมือไว้เพื่อเตรียม สร้างการเติบโตเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เชื่อว่าบริษัทจะกลับมามีความสามารถในการทำกำไร ได้ดีกว่าเดิมแน่นอน

ผ่าความสำเร็จ Dr.JiLL ยืนหนึ่งก้าวสู่ปีที่ 8 

ประสบความสำเร็จก้าวสู่ปีที่ 8 สำหรับ Dr.JiLL (ด็อกเตอร์จิล) เซรั่มอันดับ 1 ของไทย การันตีด้วยยอดขายและรางวัลมากมาย ล่าสุด Dr.JiLL เป็นแบรนด์สกินแคร์สัญชาติไทยเพียงเจ้าเดียวที่ถูกจัดอันดับที่เป็น 1 ใน 10 แบรนด์มาแรงจากผลสำรวจของ ควอลิตี้โพล ซึ่งได้สำรวจแบรนด์สกินแคร์มากกว่า 100       แบรนด์กับผู้บริโภคทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เซรั่ม Dr.JiLL G5 Essence Plus (ด็อกเตอร์จิล จีไฟว์ เอสเซ้นส์ พลัส) ยังทุบสถิติยอดขายหลายล้านชิ้น พร้อมคงยอดขายเซรั่มอันดับ 1 มาตลอด 7 ปี และในปี 2021 ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 โดย Dr.JiLL ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ให้เข้มข้นขึ้น พลัส สารไฮยาลูโรนิก ฟิลลิง สเฟียร์ และสารบำรุงนวัตกรรมใหม่ถึง 10 ชนิด ตอกย้ำจุดแข็งของแบรนด์ในเรื่อง “ขวดเดียวตอบโจทย์ปัญหาผิว” และดึงพระเอกซูเปอร์สตาร์ระดับอินเตอร์ฉายา “สามีแห่งชาติ” อย่าง ซงจุงกิ (Song Joong Ki) มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อขยายเข้าสู่ตลาดสากล เช่น จีน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายสักก์พิพัฒน์ ประภาสิทธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีอาร์เจแอล กรุ๊ป จำกัด (DRJL GROUP) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ Dr. JiLL ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ คุณภาพและมาตรฐานของสินค้า เราใส่ใจอย่างมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค เพราะผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบโจทย์ทุกสภาพผิวและปัญหาผิว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถครองใจผู้บริโภคในวงกว้างมาเป็นระยะเวลายาวนาน และได้รับความไว้วางใจจากนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทย รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมาย อาทิเช่น มาริโอ้ เมาเร่อ, คริส หอวัง, แพท    ณปภา ตันตระกูล, สกาย วงศ์รวี นทีธร เป็นต้น

อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่สามารถทำให้ Dr.JiLL เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ คือ ความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ เรามีการทำวิจัยผู้บริโภคในเชิงลึก (Consumer Research) และมีระบบการจัดเก็บข้อมูลและบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าที่ทันสมัย (CRM, Consumer Relationship Management System) ทำให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าเราเป็นอย่างดี สามารถทำสื่อการตลาดที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าของเราได้

ที่ผ่านมายอดขายหลักของเรามาจากช่องทางออนไลน์ ส่งผลให้เรายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และในปีนี้เราได้ขยายช่องทางการจัดหน่ายใหม่เพิ่มผ่านพันธมิตรที่มีศักยภาพหลายหลายช่องทาง อาทิ เช่น วัตสัน (Watson) ลาซาด้า (Lazada) ช้อปปี้ (Shopee) และช่องทางอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนั้น Dr.JiLL ยังคงมุ่งหน้าสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ตลอดจนพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ในปีที่ผ่านมา Dr.JiLL ได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้ชื่อ “โครงการ 1 อิ่ม” โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งมาสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส

นายสักก์พิพัฒน์ กล่าวว่า “ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในปัจจุบัน Dr.JiLL อยากเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจและช่วยเหลือและเด็กที่ได้รับความเดือดร้อนหรือต้องกักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ให้มีอาหารรับประทานตามหลักโภชนาการ ซึ่งนอกเหนือจากการสนับสนุนอาหารมอบให้เด็กแล้วนั้น ยังสนับสนุนเงินให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท เพื่อขยายห้องไอซียูเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยขั้นวิกฤตได้จำนวนมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีอีกหลายๆโครงการที่ทางเรากำลังอยู่ในช่วงดำเนินการจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” 

Dr.JiLL นับเป็นแบบอย่างองค์กรเอกชนประเทศไทยที่เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ยังไม่ลืมตอบแทนคืนสู่สังคม ทั้งนี้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและโปรโมชั่นต่างๆของ Dr.JiLL ได้ที่เว็บไซต์ www.drjill.co.th หรือ Line @Dr.JiLL99 

บอร์ด B52 เคาะแผนปรับโครงสร้างทุน

บอร์ด B52 ไฟเขียวแผนปรับโครงสร้างทุน รวบพาร์-ลดทุน พร้อมล้างขาดทุนสะสมเกือบหมด! ผู้บริหารระบุไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น เหตุเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น มั่นใจส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ที่สำคัญมีโอกาสสูงที่จะได้รับการปลดล็อกเครื่องหมาย C ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันตัวเบาพร้อมลุยธุรกิจเพื่ออนาคตสดใสเต็มสตีม

นางสาวนราวดี วรวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ B52 เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน จำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ตามงบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 888,508,872 บาท ซึ่งภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ แล้ว จะทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมตามงบแสดงฐานะทางการเงินเฉพาะกิจการ เหลือจำนวน 880,210,967 บาท

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ โดยการรวมมูลค่าที่ตราไว้ จากเดิมที่มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งส่งผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทฯ ลดลงจำนวน 2,404,798,095 หุ้น จากเดิม 3,206,397,460 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นจำนวน 801,599,365 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ ดังกล่าวจะเป็นผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ลดลงในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่

พร้อมกันนี้ ให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 1,202,399,047.50 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 1,603,198,730 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 400,799,682.50 บาท และลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วลงจำนวน 974,171,260.50 บาท จากทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 1,310,895,013.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 327,723,753 บาท ตามลำดับโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯ จากเดิมมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (จำนวนหุ้นคงเดิมเท่ากับ 655,447,506 หุ้น) เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ที่คงเหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ที่ปรากฏในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับงวดไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ปรากฏมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นจำนวน 170,989,992 บาท

การลดทุนจดทะเบียนและลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วตามที่กล่าวแล้วข้างต้น จะทำให้เกิดส่วนเกินทุนจากการลดทุน (ทุนสำรองอื่น) จำนวน 974,171,260.50 บาท เพื่อบริษัทสามารถนำส่วนเกินทุนจากการลดทุนดังกล่าวมาชดเชยผลขาดทุนสะสมที่เหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น จำนวน 170,989,992 บาท ได้ตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ได้

“การลดทุนโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การลดทุนดังกล่าวเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเพื่อการชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีเท่านั้น การจดทะเบียนลดทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยการลดพาร์ จาก 2.00 บาท เป็น 0.50 บาท จะเกิดขึ้นภายหลังการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นและจำนวนหุ้นของบริษัท โดยการรวมพาร์ จาก 0.50 บาท เป็น 2.00 บาท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว”

บริษัทฯ ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2564 ในวันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 น. โดยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) โดยจะทำการถ่ายทอดสดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) จากห้องประชุมของบริษัท ชั้น 7 อาคารเพรสิเด้นท์ ทาวเวอร์ เลขที่ 973 ถนนเพลินจิตแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564

“แผนการปรับโครงสร้างทุน ผ่านการ รวบพาร์และลดทุน เพื่อนำเงินส่วนเกินทุนจากการลดทุนมาล้างขาดทุนสะสมในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขกรณีที่หลักทรัพย์ของบริษัทฯถูกขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว เมื่อปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีครั้งนี้เรียบร้อยแล้วมีโอกาสที่ B52 จะได้รับการอนุมัติให้ซื้อขายตามปกติในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความพร้อมอย่างยิ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจ ทั้งที่เติบโตด้วยตนเองและที่ร่วมกับพันธมิตรตามแผนงานที่วางไว้ และมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อมีกำไรสุทธิและกระแสเงินสดที่เพียงพอ ซึ่งตามนโยบายของบริษัทฯ กำหนดจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ”นางสาวนราวดี กล่าวในที่สุด

EA ตั้งเป้าขายรถโดยสารไฟฟ้า 500 คัน ภายในสิ้นปีนี้

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มั่นใจ ปลายปีนี้ ยอดขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทะลุเป้า 500 คัน ตอกย้ำศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ที่ขับเคลื่อน ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมเชื่อว่าหากมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV ออกมาในไตรมาส 4 นี้ จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำได้เร็วขึ้น

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ส่งมอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้กับลูกค้าไปแล้ว 77 คัน และกำลังทยอยส่งมอบเพิ่มเติมในเดือนตุลาคม รวมเป็น 116 คัน โดยมีเป้าการขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ภายในสิ้นปีนี้รวม 500 คัน นอกจากนี้บริษัทฯ มีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าไว้รองรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเทคโนยี Ultra Fast Charge ที่ทันสมัยที่สุด ที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาที”

โดยกลุ่ม EA มุ่งดำเนินธุรกิจที่เป็น Green Product ไม่ก่อมลพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Electric Vehicle) ทั้งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย และลดมลพิษอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society)

“หากภาครัฐออกนโยบายมาสนับสนุนการใช้รถ EV มากขึ้น จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ร้อยละ 20-25 หรือจำนวน 111-139 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 และจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ในอาเซียน อีกทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ของคนไทยให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย

EA คว้า 4 รางวัลด้านพลังงาน

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานของไทย คว้า 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จากงาน ASEAN Energy Awards 2021 จัดขึ้นโดย ASEAN Centre for Energy จากโครงการโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันไบโอดีเซล จังหวัดปราจีนบุรี ที่มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ภายใต้เป้าหมายในการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันในประเทศ โดยบริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทำการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล 800,000 ลิตรต่อวัน หรือสามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้มากกว่า 188  ล้านลิตรต่อปี เทียบเท่าการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 120,708,369.56 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนี้ยังคว้าอีก 3 รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทนและด้านอนุรักษ์พลังงาน จากงาน Thailand Energy Awards 2021 ซึ่งจัดโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ได้แก่ รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการที่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (On-Grid) จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบหมุนตามดวงอาทิตย์ จังหวัดพิษณุโลก รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จากโครงการโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันไบโอดีเซล จังหวัดปราจีนบุรี และรางวัลดีเด่นด้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทขนส่ง จากเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า MINE SMART FERRY

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับ 4 รางวัล จาก 2 เวทีด้านพลังงาน ทั้ง ASEAN Energy Awards และ Thailand Energy Awards โดยบริษัทฯ มีความตระหนักถึงความสำคัญด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงาน มุ่งสร้างเสถียรภาพพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต

JR คว้างานสร้างโรงไฟฟ้า BGRIM มูลค่า 165.85 ล้าน

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) คว้างานใหม่สร้างโรงไฟฟ้าของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด มูลค่ารวม 165.85 ลบ. ในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115kV และ22kV ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ระยะเวลาก่อสร้าง 15 เดือน  ฟากซีอีโอ”จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุโครงการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้มูลค่า Backlog เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.5 พันล้านบาท ทำให้มีรายได้รอรับรู้ระยะยาวกว่า 3 ปี เดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อีกเพียบ เน้นงานมาร์จิ้นสูง มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่าบริษัทฯได้ลงนามในสัญญาการจ้างงานในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115 kVและ 22k V มูลค่าโครงการรวม 165.85 ล้านบาท (รวมvat) ซึ่งเป็นโครงการของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้าง 15 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2564 – วันที่ 19 ธันวาคม  2565) ซึ่งเป็นประเภทงานวิศวกรรม ก่อสร้าง และงานจัดซื้อของโครงการ

“การได้งานในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้( Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนที่จะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 4/256 ยังมีที่คาดว่าจะประมูลอีกราว 200 ล้านบาท โดยเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 180 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 19 ล้านบาท ส่วนในช่วงปี 2565 คาดว่าจะยังมีงานที่จะเข้าประมูลอีกราว 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 6,700 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 480 ล้านบาท ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่า JR ยังคงมีผลงานที่เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว”นายจรัญกล่าว

เขากล่าวอีกว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีงานในมือรอรับรู้รายได้ไว้แล้ว   ขณะที่มีการประมูลงานโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติมต่อเนื่อง   เน้นงานโครงการที่มีมาร์จิ้นสูง รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนงานขายอุปกรณ์มากขึ้นในระหว่างที่รอการเปิดให้ประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่า กว่า 6,000 ล้านบาท รวมทั้งปัจจุบันประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าผลงานในปี 2564 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนี้ บริษัทฯยังใช้ความเป็น Engineering Base และ IT Solution Base ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการขยายงานไปยังประเภท Oil&Gas มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มลูกค้าและรายได้เริ่มทยอยเข้ามาแล้ว โดยจากที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเจาะในกลุ่มฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง

PRAPAT โชว์แผนพร้อมรับเปิดประเทศ-ท่องเที่ยวระยะ2

PRAPAT เดินหน้าโชว์แผนพร้อมรับเปิดประเทศ-ท่องเที่ยวระยะ2 ชูโมเดลธุรกิจของภูเก็ตแซนด์บอกซ์ เพิ่มลูกค้าใหม่ พร้อมดันยอดขายไตรมาส4 ปรับขึ้นอยู่ในระดับ 75-80%  จากยอดขายปกติก่อนสถานการณ์โควิด-19

นายสุกานต์ อินทรสูต ผู้จัดการอาวุโส (ช่องทางจัดจำหน่าย) บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT เปิดเผยถึงแผนธุรกิจเพื่อรองรับการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวระยะ 2  ว่า บริษัทฯ จะนำโมเดลธุรกิจที่ทำในจังหวัดภูเก็ต หรือจากการเปิดประเทศระยะแรก (ภูเก็ตแซนด์บอกซ์) เมื่อเดือนกรกฎาคม  2564  มาปรับใช้กับศูนย์ธุรกิจและหน่วยธุรกิจในจังหวัดที่มีการเปิดประเทศระยะ 2 เช่น เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี  และชลบุรี

ส่วนแผนการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศและท่องเที่ยวในระยะ 2  ของบริษัทฯ จะประกอบไปด้วย  การเข้าไปสนับสนุนมอบผลิตภัณฑ์กลุ่มฆ่าเชื้อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเปิดเมือง, การเดินหน้าทำแคมเปญ “100X100 ฝ่าวิกฤตโควิด-19” บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้กับลูกค้าโรงแรม พร้อมทั้งนำเสนอแพ็กเกจสินค้ากลุ่มฆ่าเชื้อและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อ เช่น ฟ็อกกี้ฉีดพ่น, ชุด PPE  และเครื่องโอโซน ในราคาพิเศษ เป็นต้น รวมถึงการเตรียมทีมงานบริการเข้าไปดูแลลูกค้าที่กำลังจะทำการปรับปรุงโรงแรม หรือเตรียมตัวก่อนที่จะเปิดกิจการอีกครั้ง

“โมเดลธุรกิจของภูเก็ต ที่ทำในช่วงของการเปิดประเทศในระยะแรก เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการเปิดเมือง, การทำแคมเปญ “100X100 ฝ่าวิกฤตโควิด-19” และคัดเลือกลูกค้าหลัก ฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้ฟรี เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าในช่วงที่เริ่มกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง พบว่าลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้มีลูกค้าใหม่กลุ่มร้านอาหาร, สปา ฯลฯ เพิ่มขึ้น 10-15 รายต่อเดือน และมียอดขายปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับ 60% แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าโมเดลดังกล่าวจะช่วยต่อยอดให้กับศูนย์ธุรกิจในจังหวัดที่มีการเปิดประเทศระยะ 2  มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น” นายสุกานต์ กล่าว

นายสุกานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมของการเติบโตธุรกิจบริษัทฯในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 แม้ว่ายอดขายจะปรับตัวลดลงบ้าง จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตลาดลูกค้าหลักของบริษัทฯ อย่าง กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทไม่สามารถเปิดให้บริการได้  แต่ผลิตภัณฑ์ที่ยังขายดี  คือ สินค้ากลุ่มป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  เช่น ฟ็อกกี้ฉีดพ่น, ชุด PPE  และเครื่องโอโซน เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มซักรีดปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทฯ เข้าไปนำเสนองานซักรีด  รวมถึงสินค้าในกลุ่มซักรีดในฮอสพิเทล (Hospitel) มากขึ้น

ทั้งนี้เพื่อทำให้ยอดขายบริษัทฯ เติบโตมากขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติ บริษัทฯได้มีการปรับแผนการทำธุรกิจใหม่ ด้วยการมุ่งเน้นเข้าไปทำตลาดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ร้านสปา, ร้านซักรีดในชุมชน, หน่วยงานราชการ เป็นต้น ซึ่งในส่วนของหน่วยงานราชการ ล่าสุด หลังจากที่บริษัทฯได้เข้าไปนำเสนอสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์, กลุ่มฆ่าเชื้อ,และสระว่ายน้ำ ให้กับทางหน่วยงานราชการ  ในงบประมาณใหม่ พบว่าได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้วและพร้อมมีคำสั่งซื้อเข้ามาในเดือนตุลาคมนี้

“สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราต้องปรับตัวหาตลาดใหม่มากขึ้น หลังจากลูกค้าหลักโรงแรมและรีสอร์ทปิดตัว ซึ่งการขยายตลาดรวมถึงการเพิ่มช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ทำให้บริษัทฯ มีลูกค้าใหม่โดยรวมเพิ่มมากขึ้นต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 40-50 ราย จากเดิมในสถานการณ์ปกติ จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มต่อเดือนเพียง 10 รายต่อเดือน ขณะที่การเปิดประเทศระยะ2 และการคลายล็อกดาวน์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมยอดขายบริษัทฯในจังหวัดที่มีศูนย์ธุรกิจ  ภายในสิ้นปีนี้กลับมาอยู่ในระดับ  75-80% จากยอดขายปกติก่อนสถานการณ์โควิด-19     แต่หากสถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น   มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมา   เชื่อว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น” นายสุกานต์ กล่าวปิดท้าย

5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอด ดูแลสุขภาพในภาวะวิกฤติ COVID-19 

ในช่วงการระบาดของเชื้อ COVID-19 ทำให้หลายคนเป็นกังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือไม่ หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว ก็อาจจะกังวลใจว่าอาการของตนเองนั้นอยู่ในระดับใด จะแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างหรือไม่ จนเกิดภาวะเครียดและส่งผลต่ออาการป่วยได้ รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว อาจมีความเครียดเกิดขึ้นจากความเป็นห่วงคนในครอบครัว เป็นห่วงงานที่ต้องรับผิดชอบจนลืมดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเอง การสังเกตอาการทางกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสุขภาพจิตที่ดีจะส่งผลถึงสุขภาพกายที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน

พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในขณะนี้หลายคนมีความกังวลเรื่องของการติดเชื้อและเริ่มตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพจิตใจสำหรับสถานการณ์ COVID-19 ที่การดำเนินชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ระหว่างรอเตียงในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม ที่จะเกิดความวิตกกังวลในส่วนของอาการป่วยรวมถึงเป็นห่วงครอบครัว งาน ว่าจะเป็นการผลักภาระให้กับคนรอบข้าง จนเกิดอาการเครียดและรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้สุขภาพจิตใจแย่ลง รวมทั้งสุขภาพกายที่อาจทำให้ปอดทำงานหนักขึ้นเพราะเมื่อมีความกังวลเรื่องต่าง ๆ แล้ว ทำให้มีการพูดคุยที่มากขึ้นขณะที่ป่วย อาทิการสอบถามเรื่องการรักษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ่อย ๆ การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อสั่งงาน จะทำให้ปอดทำงานหนักจนสุขภาพกายอาจจะทรุดลงได้ เพราะสุขภาพใจก็เหมือนกับสุขภาพกาย ที่ต้องการการดูแลและใส่ใจอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย สิ่งที่ควรปฎิบัติข้อแรกคือ การพักปอด หากมีการติดเชื้อ COVID-19 ผลที่ตามมาคือ ปอดจะทำงานหนัก เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนให้เพียงพอ ผู้ป่วยจึงควรลดการพูดคุยหรือการใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น เพื่อเป็นการพักปอด เพื่อให้ปอดฟื้นตัวและหายป่วยได้เร็วขึ้น ข้อที่สอง คือ การพักใจ  ต้องมีสติรู้ตัว อย่าวิตกกังวลอยู่ในอาการของโรค จนทำให้เสียทั้งงานและเสียทั้งสุขภาพ ให้เราตั้งสติ ปล่อยวางแล้วเริ่มหาแนวทางการแก้ไขจะดีกว่าจมอยู่ในเรื่องเดิมนาน ๆ

ทั้งนี้ มุจิรารัศมิ์ ภัทรจริยากุล ครูสอนโยคะ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ  แนะนำการบริหารปอดให้แข็งแรงและฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว สามารถทำได้เป็นประจำสม่ำเสมอด้วย 5 ท่าบริหารปอดที่สามารถทำเองได้ทั้งผู้ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเพื่อเป็นการฟื้นฟูและบริหารปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ

1.ท่าจับท้อง นั่งให้ลำตัวตรง นำมือจับที่ซี่โครงด้านข้าง ปลายนิ้วมือเลื่อนมาแตะบริเวณหน้าท้อง หายใจเข้าลึก ๆ ด้วยจมูก จะรู้สึกถึงการขยายของซี่โครงและหน้าท้อง หายใจออกทางจมูกช้า ๆ ให้รู้สึกถึงท้องที่ยุบลงช้า ๆ ไม่ควรรีบ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ ให้มีความยาวเท่ากับลมหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมลมหายใจและจังหวะให้คงที่อย่างน้อย 10 -15 ครั้ง 

2.ท่ายืดแขน นั่งลำตัวตรง ผสานนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วเข้าด้วยกัน นำมาไว้ด้านหน้า หายใจเข้าให้ลึกเพื่อนำออกซิเจนเข้าให้สุดแล้ว จึงเริ่มพลิกผ่ามือยกขึ้นเหนือศีรษะ หายใจออกให้แขม่วท้องช้า ๆ ไล่ลมออกจากท้องจนหมด ลดแขนและผ่อนคลายไหล่ลงไปทางด้านข้าง  

3.ท่างู เริ่มจากค่อย ๆ นอนคว่ำตัวลงกับพื้น ขาเหยียดตรงไปทางด้านหลัง วางมือให้อยู่บริเวณเดียวกับหัวไหล่หรือเอว เมื่อหายใจเข้าให้ใช้มือดันพื้นขึ้นพร้อมยกศีรษะ หน้าอก และหน้าท้อง หายใจออกค่อย ๆ งอศอก วางหน้าท้อง หน้าอก และศีรษะลงไปกับพื้น เมื่อทำเสร็จแล้วก่อนจะลุกขึ้นให้นำแขนมาซ้อนกันบริเวณข้างหน้าลดศีรษะลง แล้วจึงลุกขึ้นช้า ๆ  

4.ท่านั่งและบิดลำตัว นั่งลำตัวตรง ให้สะโพกก้นทั้ง 2 ข้างเต็มพื้น ชันเข่าขวาขึ้น ขาซ้ายให้อยู่บริเวณด้านล่างงอเข่าแล้วนำเท้าขวาไปค่อมขาซ้ายอีกทบนึง พยายามกดสะโพก 2 ข้างลงให้ชิดพื้นแล้วนั่งยืดลำตัว นำมือขวาพาดไปทางด้านหลัง แขนและศอกด้านซ้ายจะนำมาขัดหัวเข่าของด้านขวาหรือจะนำมือมาแตะเข่าหรือข้อเท้าอีกข้างก็ได้ แล้วค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น แขม่วท้องพร้อมบิดลำตัว มองไปทางด้านหลัง บิดเอว หน้าอก ช้า ๆ เปิดและหันศีรษะไปทางด้านหลัง หมุนหัวไหล่ขวาไปทางด้านหลังและหันศรีษะตามไป อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 ลมหายใจ จะรู้สึกถึงหน้าท้องที่โดนนวด จากนั้นค่อย ๆ หมุนลำตัวกลับมา ทำสลับข้างอีกครั้ง 

5.ท่าปลา นอนหงายกับพื้น เหยียด 2 ขาตรง ใช้ 2 แขนสอดใต้ลำตัวทั้งขวาและซ้าย กดมือและข้อศอกลงไปกับพื้นให้แน่น หายใจเข้า ยกหน้าอกขึ้นแล้วค่อย ๆ เงยคางขึ้นเล็กน้อย หายใจออก คางเงย แล้ววางศรีษะโดยจุดกลางกระหม่อมวางบนพื้น กดข้อศอกแล้วพยายามยืดหน้าท้องและหน้าอกไปทางด้านบน เงยคางให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ เกร็งหน้าท้องด้านล่าง เหยียดขาทั้ง 2 ข้างให้ตรง และพ้อยท์เท้าให้อยู่ในท่านี้ 5 – 10 ลมหายใจ เมื่อครบแล้วจึงค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้น วางศีรษะและหลังกลับลงไปที่พื้น นำแขนทั้ง 2 ข้างออกมาพักในท่านอนหงายสักครู่นึง จากนั้นลุกขึ้นช้า ๆ จากการตะแคงข้าง งอเข่า ดันลำตัวลุกขึ้นนั่ง ถ้าทำแล้วรู้สึกปวดคอ หรือเจ็บหลังให้นำผ้าขนหนูหนา ๆ หรือว่าหมอนอิงมารองใต้ศีรษะ หรือหลังเพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้

นอกจากการฝึก 5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอดนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเช็กอาการตัวเองอยู่เสมอ ดูแลและหมั่นสังเกตอาการตัวเองในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ มีการไอ หรือมีไข้หรือไม่ และตรวจเช็กความเสี่ยงในการติดเชื้อว่าไปพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่ใกล้บุคคลที่มีความเสี่ยงหรือไม่ และตรวจเช็กสุขภาพจิตใจว่ามีอาการวิตกกังวล รู้สึกเครียด จิตตกหรือไม่ หากมีอาการวิตกกังวลมากไม่สามารถพาตนเองออกจากความคิดความกังวลได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่จะกลับมาแข็งแรงและดำเนินชีวิตได้อย่างปกติในแนวทาง      นิวนอร์มัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์จิตรักษ์ รพ.กรุงเทพ โทร.02 310 3751-52  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital