บุญหรีด พวงหรีดกระดาษสำหรับโลกวิถียุคใหม่

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องธรรมชาติในชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอ มีพบก็ต้องมีจาก ร่วมส่งมอบแสดงความไว้อาลัยด้วยพวงหรีดคุณภาพจากบุญหรีด” พวงหรีดดอกไม้ที่ทำออกมาอย่างประณีตจากกระดาษด้วยดีไซน์ที่สวยเรียบและสงบ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความงดงามของหมู่มวลดอกไม้หลากหลายเฉดสีและศิลปะแบบหลุยส์ที่ 14 มาสร้างสรรค์เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นงานดีไซน์สินค้าพวงหรีดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถรู้สึกได้ถึงความงดงามในแบบร่วมสมัยที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออก และยังผสานเข้ากับแนวคิดของการรักษ์โลกโดยใช้กระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอบโจทย์สำหรับโลกวิถียุคใหม่ ในคอนเซ็ป “Oriental (ออเรียนทอล)

ซื้อพวงหรีดจากบุญหรีดจะได้ประโยชน์อย่างไร

นอกจากความโดดเด่นเรื่องความสวยงามแล้วพวงหรีดจากบุญหรีดยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเนื่องจากทางร้านใช้วิธีการผลิตโดยการใช้วัสดุหมุนเวียนซึ่งทำมาจากกระดาษที่สามารถย่อยสลายและรีไซเคิลได้ 100 %  อีกทั้งยังไม่ใช้สารเคมีในการเคลือบผิวกระดาษ โดยเราใช้หมึกพิมพ์ถั่วเหลืองซึ่งเป็นหมึกพิมพ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ทางร้าน ยังได้นำรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคผ่านมูลนิธิต่าง ๆ ตามรายชื่อมูลนิธิที่เข้าร่วมซึ่งการบริจาคนี้สามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 2เท่า เรียกได้ว่าเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมที่ดีอีกทางหนึ่ง ส่งผลให้ได้บุญทั้งผู้ให้และผู้รับ

ในส่วนของการบริการร้านบุญหรีดมีบริการจัดส่งฟรีในเขตพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดนนทบุรี และสำหรับขั้นตอนการสั่งซื้อลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ง่าย ๆ ทั้งการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ https://www.boon-wreath.com/  , Facebook: พวงหรีดกระดาษ บุญหรีด และทาง line@ ของร้านค้า : https://lin.ee/anQ4oFl  (@boonwreath)

ชวนสัมผัส Linearlens เลนส์พร้อมรางสำหรับสตริปไลท์ Loox

สัมผัสกับเส้นแสงแห่งนวัตกรรม ที่ถ่ายทอดความส่องสว่าง พาดผ่านพื้นผิวเฟอร์นิเจอร์อย่างลงตัว กับ Linearlens เลนส์พร้อมรางสำหรับสตริปไลท์ อีกขั้นของการออกแบบแสงระบบไฟ Loox 5 จากเทคนิคอันละเอียดอ่อนผสานเข้ากับความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้าง สู่ภาพของโคมไฟที่ดีที่สุดสำหรับเฟอร์นิเจอร์ ตัวเลนส์จากโคมไฟมีหน้าที่กระจายแสงไปยังพื้นที่เป้าหมายร่วมกับแถบไฟแอลอีดี จึงสามารถเพิ่มความสว่างขึ้นเป็น 2 เท่าที่จุดโฟกัส ลดการกระจัดกระจายแสงที่เปล่าประโยชน์ พร้อมลดทอนเอฟเฟกต์แสงสะท้อนลงถึง 85% ตัววัสดุโคมไฟทำจากอะลูมิเนียมมาตรฐาน CE ร่วมกับแถบไฟจากผลิตภัณฑ์ Loox 5 เสริมฝาท้ายปิดที่เข้ารูปกัน ประกอบได้เอง ง่ายดาย รวดเร็ว และไม่ซับซ้อน ให้ความลงตัวของดีไซน์ที่เป็นเนื้อเดียวกับทุกเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเฮเฟเล่ได้พัฒนานวัตกรรมจนได้รับรางวัลชนะเลิศ “Best of the Best” จากเวที interzum Award 2021

สร้างเส้นแสงที่สว่างอย่างไม่เคยเป็นในทุกเฟอร์นิเจอร์ ไปกับเลนส์พร้อมรางสำหรับสตริปไลท์ Linearlens Loox ได้แล้วที่ เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-768-7171

กูรูร่วม Clubhouse วิเคราะห์ตลาดเงินดิจิทัล

กรุงศรี สะท้อนบทบาทความเป็นผู้นำด้านการเงินและการลงทุนที่รู้เท่าทันเทรนด์และล้ำกระแสอยู่เสมอ ชวนผู้ฟังกลุ่มใหญ่กว่าพันคนในห้องสนทนา Clubhouse แพลตฟอร์มสนทนาเรียลไทม์ของคนรุ่นใหม่ ร่วมพูดคุย ถกเถียง วิเคราะห์เจาะลึกถึงแนวทางจัดการสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency คลายข้อสงสัยมากมายที่หลายคนต้องการคำตอบ ในหัวข้อ Cryptocurrency กระแสหรือไปต่อ Powered by Krungsri Simple โดยมีกูรูการเงินดิจิทัลระดับโลก หนึ่ง-ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Firo เหรียญคริปโตด้าน Privacy และ Satang Pro กระดานเทรดคริปโตแห่งแรกของคนไทย ร่วมเปิดเผยถึงโอกาสอันสดใส ควบคู่กับปัญหาและความเสี่ยงของการลงทุนใน Cryptocurrency พร้อมด้วย นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากกรุงศรี และเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก Invest Like A Pro ให้คำแนะนำทุกมิติการลงทุนในตลาดเงินดิจิทัลอย่างตรงไปตรงมา และ อิก-บรรพต ธนาเพิ่มสุข ที่ปรึกษาการเงิน เป็นผู้นำการพูดคุยสอบถามพร้อมไขก๊อกทุกประเด็นร้อน ให้นักลงทุนทั้งมือใหม่และเก๋าเกมเข้าใจระบบเงินดิจิทัลลึกกว่าและรอบด้าน

หนึ่ง-ปรมินทร์ อินโสม
อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข

เปิดประเด็นคลับเฮ้าส์ Cryptocurrency กระแสหรือไปต่อ Powered by Krungsri Simple กับเรื่องด่วนสดๆร้อนๆ ในความผันผวนของราคาคริปโตที่ดิ่งลงแดงทั้งกระดาน ซึ่ง นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Firo เหรียญคริปโตด้าน Privacy และ Satang Pro กระดานเทรดคริปโตแห่งแรกของคนไทย ให้ความเห็นว่าเป็นภาวะปกติที่ตัวเลขขึ้นมานานแล้วจะร่วงลงมาบ้าง และยังมองในมุมบวกว่าระยะยาวสามารถไปต่อได้ ในขณะเดียวกันเมื่อตลาดมีความผันผวนมาก ก็ยังมองว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นระยะสั้น อาจทำกำไรรายวันค่อนข้างดีถ้ามีความเชี่ยวชาญมากพอ ส่วนตลาดคริปโตในไทย คนส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่จะซื้อแล้วถือยาวไว้เพื่อรอขายในราคาสูงมากกว่าการเล่นระยะสั้น

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสถาบันและบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกเริ่มสนใจที่จะลงทุนในตลาดคริปโตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เผยว่า จุดนี้ทำให้ต้องกลับมามองว่าเหรียญดิจิทัลจะมีอิทธิพลและฟังก์ชั่นอะไรกับพอร์ทของเราบ้าง จึงเป็นการกระตุ้นให้ทั้งนักลงทุนและผู้ดูแลพอร์ทต้องหันมาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมั่นใจว่าสกุลเงินดิจิทัลจะกลายเป็นทางเลือกการลงทุนในพอร์ทของอนาคต กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกนอกเหนือจากตราสารหนี้ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำอย่างแน่นอน

ความยากของตลาดนี้คือความเป็น Currency ที่ไม่สามารถประเมินราคาได้เหมือนหุ้น ทำให้นักลงทุนยังคงลังเลในการซื้อขายและไม่รู้ว่าจะใช้หลักการใด เนื่องจากมูลค่าขึ้นลงนั้นขึ้นอยู่กับการนำไปใช้หรือความคล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอย เช่นสามารถซื้อรถ Tesla ด้วยเงินดิจิทัลได้ ก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้น แต่ก็ยังประเมินเป็นมูลค่าจริงได้ยาก หากจะดึงเงินดิจิทัลเข้ามาเป็นหนึ่งในพอร์ท นักลงทุนสถาบันต้องหาวิธีการในการจัดพอร์ทลงทุนนี้และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้

นอกจากนั้นสิ่งที่หลายคนยังรู้สึกสับสนกับเงินดิจิทัล คือความผันผวนที่คาดเดาได้ยากและเป็นตลาดที่อ่อนไหวต่อความเห็น และการให้ข่าวในมุมใดก็ตามของคนดังผู้ทรงอิทธิพลด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะมีผลต่อราคาและตลาดในทันที ซึ่งผู้บริหารกรุงศรีให้ความเห็นว่า ถือเป็นภาระหนักอึ้งของผู้จัดพอร์ทที่ต้องบริหารเงินก้อนใหญ่ของประชาชนนำมาแบ่งลงทุนในคริปโต เนื่องจากราคาที่ผันผวนต่อคำประกาศต่างๆ และยังถือเป็นจุดอ่อนและคำตอบว่าทำไมสถาบันการเงินยังไม่กล้าในลงทุนในคริปโตเต็มตัวในระยะนี้นั่นเอง เนื่องจากต้องมีความชัดเจนทั้งด้านวิธีการบริหารจัดการ กรอบข้อกำหนด และกฎหมายกับสถาบันที่ดูแลด้านการเงินต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกทั้งยังต้องมองถึงวิธีการบริหารพอร์ทให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบคำถามนักลงทุนให้ได้ด้วย ซึ่งในอนาคตมองว่าสถาบันการเงินจะเปิดรับสินทรัพย์เงินดิจิทัลมาลงทุนมากขึ้น เหมือนการยอมรับสินทรัพย์อย่างทองคำในอดีต

ทั้งนี้ ยังมีประเด็นความย้อนแย้งของหน่วยงานการเงินประเทศต่างๆ ที่ออกมาต่อต้านคัดค้านสกุลเงินดิจิทัลในขณะเดียวกันก็กำลังศึกษาแนวทางสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตนเองด้วย ซึ่ง นายปรมินทร์ อธิบายว่า ถึงแม้ทุกที่จะยอมรับในศักยภาพของเทคโนโลยีเงินดิจิทัลก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันอาจส่งผลกระทบกับอำนาจทางการเงิน ระบบโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ หลายประเทศจึงมองว่าเงินดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและจุดอ่อน ส่วนที่รัฐออกมาทำสกุลเงิน Government Coins เองก็ถือเป็นการศึกษาผลลัพธ์เปรียบเทียบกับเงินตรารูปแบบเดิมและความเป็นไปได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่างๆ ก่อนที่จะประกาศความชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อกับ Cryptocurrency ในทิศทางใด ส่วนความเป็นไปได้ของรัฐที่จะคัดค้านกระแสคริปโตนั้น ปรมินทร์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดว่า เหมือนการแบนอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะถึงอย่างไรก็จะมีวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงเงินดิจิทัลได้อยู่ดี

มาถึงกระบวนการคิดตัดสินใจก่อนการลงทุนใน Cryptocurrency นายวิน กล่าวว่า ในอนาคตเงินดิจิทัลจะเป็นทางเลือกหนึ่ง จึงต้องทำความเข้าใจถึงรูปแบบก่อนว่าเงินดิจิทัลมีความเป็นสกุลเงินและการแลกเปลี่ยนมากกว่ารูปแบบการลงทุนในกิจการที่ผลิตเพื่อมีกำไร และไม่เหมือนสินทรัพย์อื่นที่มีการจ่ายดอกเบี้ย เงินปันผล อีกทั้งธรรมชาติของเงินดิจิทัลในตอนนี้มีความผันผวนและหวือหวามาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แนะนำให้ทุ่มมากจนเกินไป ไม่ควรไปเสี่ยงหมดหน้าตัก “ไม่ควรจะลงทุนเกินกว่าที่พร้อมจะเสีย” แต่ควรทำให้เงินเติบโตอย่างมั่งคั่งมั่นคงด้วยการผสมผสานกันทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก

ในการลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานหรือทองคำนั้น จะเห็นได้ว่าคำแนะนำในการลงทุนก็คือควรเป็นสัดส่วนประมาณ 15-20% ของเงินลงทุนทั้งหมด ดังนั้นหากจะนำมาลงทุนในคริปโตควรอยู่ที่ 5% ในเบื้องต้นเพื่อเรียนรู้ก่อนใส่เพิ่มเข้าไป ซึ่งรูปแบบการลงทุนในเงินดิจิทัลนั้น ควรลงทุนในการซื้อขายโดยตรงมากกว่าลงทุนในบริษัทที่ลงทุนในคริปโต เพราะอาจมีข้อมูลเบื้องลึกที่นักลงทุนยังไม่รู้อีกมาก ซึ่งในอนาคตหากมีกองทุนรวมดัชนีหรือ Exchange Traded Fund (ETF) เข้ามาลงทุนในคริปโตก็จะช่วยคลายกังวลสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับแพลตฟอร์ม ทำให้มีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้นได้

นายปรมินทร์ กล่าวเสริมถึงสไตล์ในการลงทุนซื้อขายคริปโตนั้น สามารถวิเคราะห์ด้วยการสังเกตและใช้ประสบการณ์ของแต่ละคน อย่างกรณีไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาเสริมให้ราคาขึ้นไปอีกแล้ว นั่นก็อาจทำให้ราคาดิ่งลงได้ แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้นักลงทุนใส่ใจคือรูปแบบการเก็บรักษาเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย จึงต้องเรียนรู้และเข้าใจในเทคโนโลยีนี้ด้วย ซึ่งการเข้ามาศึกษาให้ลึกขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้คนมั่นใจในการลงทุนเงินดิจิทัลมากขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับหัวข้อ Cryptocurrency กระแสหรือไปต่อ Powered by Krungsri Simple มีผู้ร่วมฟังมากกว่า 1,100 คน ทั้งยังร่วมยกมือสอบถามปัญหาต่างๆ เช่น ความเป็นอิสระของเหรียญดิจิทัลแต่ละสกุล แนวทางการประเมินมูลค่าให้เหมาะสม หรือแม้กระทั่งเรื่องที่คาดไม่ถึง เช่น การส่งต่อเป็นมรดกแก่ทายาทที่สามารถทำได้ เป็นต้น ซึ่งผู้ร่วมพูดคุยตอบคำถามได้อย่างตรงประเด็น นับเป็นห้องสนทนา Clubhouse ที่สามารถไขทุกคำตอบเชิงลึกเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาให้คำปรึกษาเป็นการส่วนตัวเลยทีเดียว

กรุงศรี x SC ASSET มอบสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยสุดพิเศษ

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ในฐานะองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าที่อยากมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองร่วมกับคู่เพื่อนที่เราต้องการใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว อันจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและเชื่อมความสัมพันธ์อันดีให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน จับมือผู้นำธุรกิจอสังหาฯ SC ASSET จัดแคมเปญ Rainbow Over Your House ในโอกาส Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เปิดโอกาสให้คู่เพื่อน หรือคู่รัก LGBTQ+ ที่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน และสนใจที่อยู่อาศัยในโครงการของ SC ASSETสามารถเข้ารับคำปรึกษาเรื่องการกู้บ้านง่ายๆ กับกรุงศรีในงาน “Rainbow Over Your House” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5-6 มิถุนายนนี้ ที่โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด อีสท์ พระราม9, บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม9, และ เวนิว พระราม 9 โดยกรุงศรีเตรียมข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3 ปีแรก เฉลี่ยที่ 2.40% ต่อปี สำหรับผู้สนใจที่อยู่อาศัยในโครงการของ SC Asset และจดจำนองสินเชื่อบ้านภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองคิวเพื่อเข้าชมโครงการและรับคำปรึกษาล่วงหน้า ได้ที่ Call 1749 หรือติดต่อทาง Line: @scasset

สำหรับคู่เพื่อนที่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกันและกำลังมองหาสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านร่วมกัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอรับคำปรึกษาได้ที่ https://www.krungsri.com/th/personal/loans/home-loans/friend-relationship

โฮมโปรฉลองครึ่งปี 6:6 DOUBLE DAY DOUBLE DEAL

เติมความสุขครึ่งปีแรก เดินหน้ารับความคุ้ม กับโปรลดแรงฉลองวันคู่ HomePro 6:6 “Double Day Double Deal” !! ดีลจัดเต็มลดจุใจ สินค้าครบคุ้ม ตอบทุกโจทย์คนรักบ้าน !! มาพร้อมสิทธิพิเศษให้เยอะกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น สินค้า และของตกแต่งบ้านราคาโดนใจ ลด 5-20% !! พร้อมแจกส่วนลดกันต่อเนื่อง ให้มากกว่าสำหรับ สมาชิกบัตรโฮมการ์ด รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20% (เมื่อใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อ ที่สาขา) และสมทบความคุ้มต่ออีกขั้น สำหรับสมาชิก 4 บัตรเครดิตชั้นนำ บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม, บัตรเครดิต SCB, บัตรเครดิต KTC และบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ได้ส่วนลด+รับเพิ่ม สูงสุดอีกถึง 15% (เมื่อใช้คะแนนเท่ายอดชำระ) งานนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด !! ฉลองความสุขรับครึ่งปีพร้อมกัน ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 64 – 7 มิถุนายน 64 นี้

ช้อปออนไลน์ได้ที่ www.homepro.co.thหรือ ทักมาเราช้อปให้ที่ LINE: @HomePro กับบริการ SHOP 4 YOU หรือ Click & Collect คลิกช้อปรับที่สาขา และ Sameday Delivery ซื้อวันนี้ ส่งวันนี้

DITP เผยอาหารฮาลาลไทยเป็นที่ยอมรับตลาดโลก

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ส่งออกอาหารฮาลาลไทย ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากทั่วโลก เร่งยกระดับมาตรการป้องกันปนเปื้อนโควิด-19 พร้อมเดินหน้า “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (Thailand Delivers with Safety) วางเป้าปีนี้ส่งออกอาหารฮาลาลไปยังประเทศมุสลิม (OIC) มูลค่า 122,087.61 ล้านบาท

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดความกังวลด้านอาหารปลอดภัยมากขึ้น ที่ผ่านมากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลสู่สากล อาทิ การสร้างภาพลักษณ์สินค้าและบริการฮาลาล การส่งเสริมการส่งออกสินค้าฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศเป้าหมาย ฯลฯ ซึ่งการส่งออกอาหารฮาลาลไทย ยังคงได้รับความเชื่อมั่นด้วยกระบวนการผลิตตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม มีข้อกำหนดที่มาของวัตถุดิบ ส่วนผสม กรรมวิธีการผลิต กระบวนการเพาะปลูกการเพาะเลี้ยง และการปฏิบัติของบุคลากรในกระบวนการผลิตอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งต้องห้าม โดยได้รับการตรวจสอบและรับรองเครื่องหมายฮาลาลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ

นอกจากนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั่วโลก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้บูรณาการกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ยกระดับกระบวนการผลิต ด้วยการออกมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อการส่งออกอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ อาหารแช่เยือกแข็ง รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ให้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน โดยมาตรการดังกล่าว มุ่งให้ผู้ประกอบการ และ Supplier ที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งวัตถุดิบจากเรือ หรือท่าเรือ เพิ่มความเข้มข้นในการลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนมากับวัตถุดิบ Ingredient และภาชนะบรรจุ โรงงานผู้ผลิตต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตที่เข้มงวด ทั้งคุณภาพและความปลอดภัยในการรับวัตถุดิบจากเรือ หรือท่าเรือ การจัดเก็บในห้องเย็น การแปรรูป การบรรจุ รวมถึงมาตรการในการขนส่ง การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในตู้คอนเทนเนอร์ การควบคุมสุขอนามัยของพนักงานและสิ่งแวดล้อมในโรงงาน ตั้งแต่สถานที่และอาคารผลิต ระบบสุขาภิบาล การเคร่งครัดในการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อในอาคารผลิต เครื่องจักร พื้น ผนัง รวมทั้งพื้นที่ผิวจุดเสี่ยงที่มีการสัมผัสร่วมกันตามความถี่ที่เหมาะสม มีมาตรการคัดกรองบุคลากร สถานที่ทำงาน การอบรม ให้พนักงานมีความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม

“นอกจากการยกระดับมาตรการที่เข้มข้นแล้ว เรายังเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าโดยการจัด “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (Thailand Deliver with Safety) โดยคุมเข้มมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั่วโลก และเป็นการตอกย้ำว่าไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตอาหาร และมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การเก็บเกี่ยว การขนส่ง มีระบบป้องกันตนเองของพนักงานในโรงงาน การบรรจุ และการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค”นายสมเด็จ กล่าว

สำหรับทิศทางการส่งออกอาหารฮาลาลในปี 2564 ประเทศไทยมีเป้าหมายการส่งออกไปยังประเทศมุสลิม (OIC) มูลค่าประมาณ 122,087.61 ล้านบาท อัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยในปี 2563 มีมูลค่าส่งออก 118,531.66 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตสำคัญในการป้อนสินค้าฮาลาลประเภทต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และได้รับการยอมรับอย่างมากจากผู้บริโภคภายในประเทศและตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ กุ้ง ทูน่ากระป๋อง ข้าว ผลไม้สดและแห้ง ผักสดแช่เย็นและแช่แข็ง ของขบเคี้ยว อาหารสำเร็จรูป frozen food, ready to eat food เครื่องสำอาง แฟชั่น เป็นต้น โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่ส่งออกไปยังประเทศมุสลิมมากที่สุด คือ ข้าว น้ำตาลทราย อาหารทะเล กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามลำดับ

ตลาดอาหารฮาลาล เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง มีมูลค่าตลาดทั่วโลกประมาณ 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบในด้านโลจิสติกส์ และมีสินค้าที่มีความหลากหลายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และปัจจุบันไทยมีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลประมาณ 5,000 บริษัท มีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลมากกว่า 160,000 รายการ (ข้อมูลของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย)

ปัจจุบัน ไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมมากเป็นอันดับ 13 ของโลก โดยประเทศที่มีการส่งออกไปยังประเทศมุสลิมเป็นจำนวนมาก ได้ แก่ จีน สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน อินเดีย เบลเยี่ยม บราซิล สหราชอาณาจักร แคนาดา อินโดนีเซีย และไทย ตามลำดับ

พิซซ่าควอตโตร ไซส์ใหญ่เต็มคำพิซซ่าแท้ 4 หน้าในถาดเดียว

โดมิโนส์ พิซซ่า พิซซ่าแท้สัญชาติอเมริกันเปิดมิติใหม่แห่งวงการพิซซ่าด้วยเมนู พิซซ่าควอตโตร (Quattro) มิกซ์หน้าอร่อย 4 หน้ารวมไว้ใน 1 เดียวด้วยหน้าท็อปฮิตถาดใหญ่อิ่มอร่อยเต็มคำที่มาเอาใจแฟนพันธุ์แท้พิซซ่าด้วย 3 หน้าหลักทั้งพิซซ่าควอตโตรต้นตำรับ ที่รวมหน้าฮาวายเอี้ยน, เอ็กซ์ตร้าวากันซ่า, อัลติเมท เปปเปอโรนี, เอ็กซ์ตรีมชีส พิซซ่าควอตโตรหมูทะเล ที่รวมหน้าฮาวายเอี้ยน, อัลติเมท เปปเปอโรนี, ค็อกเทลกุ้ง, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์ และ พิซซ่าควอตโตรจ้าวสมุทร ที่รวมหน้าค็อกเทลกุ้ง, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์, ซีฟู๊ดมาเนีย, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์ มาพร้อมความพิเศษของแป้งที่มีให้เลือก 2 แบบไม่ว่าจะเป็นแป้งบางกรอบ (Thin & Crispy) กรอบอร่อยสไตล์อเมริกัน หรือแป้งหนานุ่ม (Classic Hand-Tossed) แป้งโดว์นวดสด นุ่มอร่อยด้วยสูตรลับเฉพาะของโดมิโน่ส์พิซซ่า

ทุกถาดเรารังสรรค์ด้วยความตั้งใจ แป้งพิซซ่าที่ดีที่สุด ชีสนำเข้าที่ดีที่สุดยืด หอม อร่อย กับท็อปปิ้งแน่นจัดเต็ม เพื่อให้แฟนพิซซ่าอร่อยตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย ทั้งนี้โดมิโนส์ พิซซ่า เรายังคงยึดมั่นและใส่ใจในการบริการด้วยมาตรการ Clean & Safe อร่อยปลอดภัย ลดเลี่ยงการสัมผัส พร้อมเดินหน้าให้บริการส่งความอร่อยให้คุณถึงหน้าบ้านด้วยความห่วงใยและความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับเมนู พิซซ่าควอตโตร (Quattro) พร้อมเสิร์ฟร้อนสำหรับลูกค้าทุกสาขา หรือโทร 1612 สำหรับบริการส่งฟรีถึงบ้านแบบรวดเร็วทันใจ หรือสั่งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://www.dominospizza.co.th/ ในราคาเริ่มต้น 299 บาท/ถาด เพื่อฉลองแคมเปญใหม่ จากปกติราคา 499 บาท/ถาด ยิ่งกว่านั้น เมื่อสั่งซื้อพิซซ่าควอตโตร (Quattro) สามารถแลกซื้อไก่ 6 ชิ้นในราคา 99 บาท (จากราคาปกติ 129 บาท) หรือแลกซื้อพาสต้าในราคา 99 บาท (จากราคาปกติ 129 บาท) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : https://www.facebook.com/DominosPizzaThailand และ Line Official : @dominospizzath

แม็คโคร ตั้งเป้าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศเจตนารมณ์รับวันสิ่งแวดล้อมโลก ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์ในปี 2573 ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไปแล้ว 2 หมื่นตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี พร้อมเดินหน้าหยุดขายโฟมบรรจุอาหารทุกสาขาทั่วประเทศสิ้นปี 2564

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม็คโครมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจเพื่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การไม่ให้ถุงพลาสติกหูหิ้วตั้งแต่วันแรกของการเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งช่วยลดการทิ้งถุงพลาสติกลงสู่สิ่งแวดล้อมไปกว่า 4,400 ล้านชิ้น ล่าสุด เนื่องในวาระครบรอบ 32 ปีของแม็คโคร เราได้ประกาศเจตนารมณ์ในการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์ ในปี 2573 ผ่านการวางโรดแมปการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การส่งเสริมให้ลูกค้าผู้ประกอบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านแผนเชิงรุกในการหยุดขายโฟมบรรจุอาหารและทดแทนด้วยบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้

ในปีนี้การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแม็คโคร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากหลายโครงการ ทั้งการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop) จำนวน 52 สาขา ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ประมาณ 20,000 ตัน CO2e ต่อปี เทียบได้กับการปลูกต้นไม้ 1.3 ล้านต้น , การบริหารจัดการพลังงานภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปลี่ยนโคมไฟแสงสว่างเป็นหลอด LED ประสิทธิภาพสูง ใน 26 สาขา การบริหารจัดการระบบทำความเย็นและน้ำยาทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ของระบบตู้แช่อาหารสด รวมทั้ง เปลี่ยนเครื่องทำความเย็น (Chiller) ระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง จำนวน 17 สาขา ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 5,460,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ 2,800 ตัน CO2e ต่อปี

ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากประกาศความเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งไทยรายแรกที่ตั้งเป้าลดการจำหน่ายภาชนะโฟมใส่อาหารแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผ่านโครงการแม็คโครรักษ์โลก Say Hi to Bio, Say No to Foam ในปี 2562 จนถึงปัจจุบันแม็คโคร 52 สาขา หยุดจำหน่ายโฟมบรรจุอาหาร ลดการจำหน่ายไปแล้วกว่า 32.78 ล้านชิ้น ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายหยุดขายโฟมบรรจุอาหารในทุกสาขาทั่วประเทศภายในปี 2564 นอกจากหยุดยั้งการสร้างขยะย่อยสลายยากให้แก่โลกแล้ว แม็คโครยังจัดกิจกรรมรณรงค์ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านโชห่วย ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่สำคัญ หันมาใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายง่ายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากวิกฤตโควิด-19 เราทุกคนยังต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนบนโลกจึงล้วนมีส่วนสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับการดำเนินงานและ พันธกิจของแม็คโคร ที่มุ่งสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สร้างความตระหนักและชวนเชิญลูกค้าประชาชนให้เห็นความสำคัญของวิกฤตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย

ทั้งนี้ แม็คโคร ได้รับรางวัลในด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ รางวัลประกาศเกียรติคุณในฐานะที่เป็นองค์กรที่สนับสนุนกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ประจำปี 2561 โดย องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก, ในปี 2563 รับรางวัลด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมระดับยอดเยื่ยม Platinum จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค GSEE (Global Sustainable Energy and Environment) และโล่ห์ประกาศเกียรติคุณจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Programm : T-Ver) ประจำปี 2563 จำนวน 3 รางวัล

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

พิซซ่า ฮัท เปิดเกมแข่งกินเผ็ดแบบ Virtual Challenge

พิซซ่า ฮัท 1150 (Pizza Hut) แบรนด์พิซซ่าระดับโลกภายใต้การบริหารของบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด จัดเกมการแข่งขัน “Hottest Pizza Challenge” ใครกันจะแน่กว่า…กับเมนู ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต ครั้งแรกในประเทศไทย ท้าผู้บริโภคมาประชันความเร็วและความอึดในการกินเผ็ดแบบสุดขั้วขั้นเทพ ลุ้นรับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ! เปิดรับผู้แข่งขันตั้งแต่วันนี้จนถึง 16 มิถุนายน 2564

กติกาการแข่งขันง่ายมาก ผู้สมัครร่วมแข่งขันเพียงสั่งพิซซ่า ฮัท “ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต” ขนาดบิ๊กสไลซ์ (Big Slice) อย่างน้อย 1 ชิ้น แล้วบันทึกวิดีโอขณะรับประทานจนหมดชิ้น โดยห้ามดื่มน้ำและใช้นาฬิกาจับเวลาที่สามารถบันทึกเวลาเป็นหน่วยมิลลิวินาทีเพื่อแสดงเวลาตลอดการแข่งขัน เมื่อรับประทานหมดพูดสโลแกน “พิซซ่า ฮัท ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต เผ็ดซี้ดซี้ด ชีสเยิ้มเยิ้ม” จากนั้นโพสต์คลิปลงเฟซบุ๊กของตนเอง และพิมพ์ #Pizzahuthottestcontest #ซี้ดเด็ดฮัทซัมยังฮอต พร้อมโพสต์คลิปในคอมเมนต์ใต้โพสต์การแข่งขันในเฟซบุ๊ก Pizza Hut (TH) โดยผู้เข้าแข่งขัน 20 คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบแรกจะได้รับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน WIKO Power U20 วีโก สมาร์ทโฟน พลังแบตยาว ตอบโจทย์ทุกความต้องการ คนละ 1 เครื่อง ทันที !

สำหรับผู้แข่งขันที่ทำเวลาดีที่สุดในรอบแรกจำนวน 5 คน จะผ่านเข้าไปแข่งต่อในรอบไฟนอลชิงรางวัลเงินสดในวันที่ 26 มิถุนายน 2564 เพื่อค้นหาผู้กล้าที่เอาชนะความเผ็ดซี้ดสุดโหดของ “ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต” จากพิซซ่า ฮัท ไปได้ โดยการแข่งขันรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในรูปแบบ LIVE ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณปิงปอง-ธงชัย ทองกันทม พิธีกรสายเอนเตอร์เทน มาการันตีความสนุกแซ่บตลอดการแข่งขันอีกด้วย และผู้ชม ผู้เชียร์ที่อยู่ทางบ้านสามารถรับชมการแข่งขันและร่วมสนุกทายผลผู้ชนะผ่านทางคอมเมนต์ได้แบบเรียลไทม์

ผู้สนใจร่วมเกมการแข่งขัน “Hottest Pizza Challenge” ใครกันแน่กว่ากับเมนู ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต สามารถศึกษากติกา เงื่อนไข และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3bCFQYE* หรือเฟซบุ๊ก Pizza Hut (TH)

 

BEAUTY แต่งตั้งผู้แทนร้านค้าปลีกรายใหญ่ภาคตะวันออก

ดร.พีระพงษ์ กิตติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ลงนามในสัญญาร่วมกับ นายสมพงษ์ เกียรติยุทธชาติ กรรมการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.พี.ฟลาวเวอร์ ตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคในเขตภาคตะวันออก เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยผ่านช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกรายย่อย ครอบคลุมพื้นที่เขตภาคตะวันออก 8 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครนายก ซึ่งมีจุดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 จุดจำหน่าย ณ สำนักงาน ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.พี.ฟลาวเวอร์ จ.ชลบุรี