เปิด ‘สโมสรธนาคารกรุงเทพ’ ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ผู้ประกันตน

พื้นที่ เปิด ‘สโมสรธนาคารกรุงเทพ’ ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตน สร้างแนวร่วมเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ประเทศ สู้วิกฤติโควิด-19

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ตอบรับนโยบายภาครัฐในการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระดับประเทศให้แก่ประชาชนวงกว้าง   ด้วยการสนับสนุนพื้นที่สโมสรธนาคารกรุงเทพ เป็นสถานที่บริการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 รวมถึงอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมสถานที่ และบริการน้ำดื่มสำหรับผู้มารับการฉีดวัคซีน ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกทำความสะอาดพื้นที่และห้องน้ำทุกจุดภายในสโมสรตลอดระยะเวลาการให้บริการเกือบ 2 เดือน

สำหรับจุดบริการฉีดวัคซีนสโมสรธนาคารกรุงเทพ ตั้งอยู่ถนนศรีนครินทร์ ซอยปราโมทย์ เป็น 1 ใน 6 จุดบริการ ของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 8 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เขตบางนา ประเวศ พระโขนง และสวนหลวง โดยในเขตพื้นที่นี้มีผู้ประกันตนลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับการฉีดวัคซีนโดยรวมประมาณ 1.5 แสนคน ขณะที่สโมสรธนาคารกรุงเทพ บางนา มีศักยภาพในการรองรับผู้มารับบริการฉีดวัคซีนได้วันละ 1,000 คน ภายใต้การคุมเข้มมาตรการความปลอดภัยและสุขอนามัยตามที่ภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด  และจะเปิดให้บริการแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. – 26 ก.ค. 2564  เวลา 8.00 – 17.00 น.

“ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” พร้อมเคียงข้างคนไทยเพื่อร่วมเผชิญกับวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากการมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินให้แก่ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อยแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนโครงการต่างๆ ของทางภาครัฐ โดยเฉพาะการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนวงกว้าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวาระแห่งชาติที่ทุกฝ่ายต่างให้ความสำคัญและเร่งขับเคลื่อนเพื่อให้สถานการณ์ที่ยากลำบากครั้งนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด” นายทวีลาภ กล่า

นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน  กล่าวต่อว่า  สำหรับจุดให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่สโมสรธนาคารกรุงเทพแห่งนี้ถือเป็นจุดให้บริการ จุดที่ 14 จากจำนวนจุดให้บริการโดยรวมทั้งสิ้น 45 จุด โดยวัคซีนที่นำมาให้บริการในโครงการคือแอสตร้าเซนเนก้า (Astra Zeneca) ซึ่งผู้ประกันตนในเขตพื้นที่รับผิดชอบในโครงการที่ลงทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถมารับบริการฉีดวัคซีนเข็มแรกของโครงการนี้  ภายใต้แนวทางการปฏิบัติ 6 ขั้นตอนเพื่อรับบริการ ได้แก่  การคัดกรองสิทธิ์ผู้ประกันตน จากนั้นจะมีการลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนภายในโครงการ ตามด้วยการตรวจสุขภาพและวัดความดัน เพื่อเช็คความพร้อมในการรับวัคซีนของร่างกาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนในการรับการฉีดวัคซีนตามกระบวนการ ซึ่งหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะมีจุดให้พักเพื่อสังเกตุอาการภายหลังการฉีดประมาณ 30 นาที หากไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ ก็สามารถเดินทางกลับได้ และสามารถมารับบริการฉีดเข็มที่ 2 ต่อเนื่องได้ตามเวลานัดหมาย ในอีก 3 เดือนถัดไป

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์รับการฉีดวัคซีนไว้แล้ว สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับจุดให้บริการสโมสรธนาคารกรุงเทพ ได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพทุกช่องทาง ได้แก่  www.bangkokbank.com, Bangkok Bank Line Official หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ บัวหลวงโฟน โทร.1333 หรือ 0 2645 5555

บ้านปู ครองโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลีย

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 2 แห่ง ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เบอริล (Beryl หรือ BSF) กำลังการผลิต 110.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มานิลดรา (Manildra หรือ MSF) กำลังการผลิต 55.9 เมกะวัตต์ ผ่านหน่วยลงทุน Banpu Energy Hold Trust ที่จัดตั้งโดยบริษัท บ้านปู เอเนอร์จี ออสเตรเลีย จำกัด (Banpu Energy Australia Pty Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 100  และ บริษัท บ้านปู รีนิวเอเบิล ออสเตรเลีย จำกัด (Banpu Renewable Australia Pty Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ที่บ้านปู ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 50  โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โครงการแรกของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย นับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการลงทุนทั้งในเชิงกลยุทธ์ด้านพลังงานสะอาด และต่อยอดระบบนิเวศด้านพลังงานของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบริษัทฯ ผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 6,100 เมกะวัตต์ภายในปี 2568

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปูยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจพลังงานที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ เราได้เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในประเทศออสเตรเลีย 2 แห่ง จากบริษัท นิว เอเนอร์จี โซลาร์ จำกัด (New Energy Solar Limited) โดยมีมูลค่าการลงทุน 97.5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือ เทียบเท่า 2,332 ล้านบาท โดยการลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เน้นโครงการที่สร้างกระแสเงินสดได้ทันที ทั้งยังเป็นอีกก้าวสำคัญของธุรกิจบ้านปูในการขยายพอร์ตพลังงานสะอาดและต่อยอดระบบนิเวศของธุรกิจบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีความแข็งแกร่งในธุรกิจต้นน้ำมาอย่างยาวนาน ด้วยความเชี่ยวชาญและความพร้อมในด้านทรัพยากรบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐและเครือข่ายธุรกิจกับคู่ค้าและพันธมิตรที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งมีกำลังการผลิตรวม 166.8 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ BSF กำลังการผลิต 110.9 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2562 และ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ MSF กำลังการผลิต 55.9 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2561 โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ระดับ Tier-1 รวมถึงมีระบบหมุนตามแสงอาทิตย์ (Single Axis Tracking System) ส่งผลให้มีอัตราความสามารถในการผลิตเฉลี่ย (Capacity Factor) ในระดับที่ดี รวมทั้งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีค่าการสูญเสียไฟฟ้า (Marginal Loss Factor หรือ MLF) ในระดับที่คงที่ เนื่องจากมีความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มีเสถียรภาพในการรับรู้รายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ยังมีปริมาณความต้องการและการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งของประเทศ ผ่านตลาดซื้อขายไฟฟ้าแห่งชาติ (National Electricity Market หรือ NEM) ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว โดยผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการทั้ง 2 แห่งมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในกลุ่มน่าลงทุน (Investment Grade) ส่งผลถึงกระแสเงินสดที่บริษัทฯ จะได้รับอย่างมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์ มีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปี 2563 มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 14 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในตลาดซื้อขายไฟฟ้าแห่งชาติ (NEM) และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดตั้ง บริษัท Banpu Energy Australia ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อบริษัทฯ เป็นอย่างมาก  โดย Banpu Energy Australia จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ถึงพร้อมด้วยนวัตกรรม ครอบคลุมธุรกิจที่ครบวงจร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด โซลูชันด้านพลังงาน และการบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอในประเทศออสเตรเลีย ในการนี้ Banpu Energy Australia จะเป็นผู้บริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งนี้

“การลงทุนในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการวางรากฐานการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศออสเตรเลีย และยังเป็นการก้าวสู่ตลาดซื้อขายไฟฟ้าที่มีความก้าวหน้าและเป็นตลาดขายส่ง (Wholesale Electricity Market) ที่เปิดเสรีอีกด้วย เราพร้อมขยายพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์กลยุทธ์ Greener & Smarter ในประเทศออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเข้าลงทุนผ่านการซื้อกิจการที่สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที การพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด (Decarbonization) บนพื้นที่บริเวณเหมืองถ่านหินใต้ดิน ซึ่งบ้านปูได้เข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2552 หรือต่อยอดสู่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในอนาคต อันถือเป็นการเชื่อมโยงต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจภายในกลุ่มบ้านปูที่แข็งแกร่งอีกด้วย” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย

บ้านปู ยังคงเดินหน้าในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายกำลังการผลิต 6,100 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 โดยมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในตลาดที่มีความเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าและมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง รวมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งนี้ บ้านปู จะมีกำลังผลิตรวมจากพลังงานหมุนเวียน 1,073  เมกะวัตต์

แนะถือ Domestic ต่อเนื่องหลังจากแนะสะสมมาก่อนหน้า

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานสหรัฐได้ประกาศการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน พ.ค. ปรากฏว่าเพิ่มขึ้นเพียง 5.59 แสนตำแหน่งต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.45 แสนตำแหน่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเนื่องจากจะทำให้ FED ยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้ได้แก่ (1) วาระ Vaccine แห่งชาติของประเทศไทยที่จะเริ่มฉีดตั้งแต่ 7 มิ.ย. เป็นต้นไปเราแนะนำติดตามตัวเลขการฉีด Vaccine ต่อวันเชื่อจะมีนัยยะมากกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน หากเห็นจำนวนฉีดต่อวันที่สูงขึ้นเรื่อยๆคาดตลาดจะตอบรับเชิงบวก

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

สำหรับความคืบหน้าใน กทม. ข้อมูลล่าสุดจากทางผู้ว่า กทม. ระบุว่า กทม. มีศักยภาพฉีดได้ถึงวันละ 7 หมื่นคน / วัน ทั้งนี้หากเป็นไปตามเป้าหมายที่ทาง กทม. วางไว้จะใช้ระยะเวลาราว 78 วันที่จะฉีด Vaccine ครอบคลุม 100% ของประชากร กทม. ดังนั้นเชื่อว่าจากนี้มาตรการควบคุมการระบาดโดยเฉพาะพื้นที่ กทม. จะค่อยๆผ่อนคลายหนุนกลุ่ม Domestic โดดเด่นต่อเนื่อง อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) ร้านอาหาร (CENTEL M MINT) ศูนย์การค้า (CPN) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) รถไฟฟ้า (BEM BTS) (2) การรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ในวันที่ 10 มิ.ย. Bloomberg ประเมิน +4.7%YoY และ Core CPI +3.4%YoY เรายังเชื่อว่าเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้วกอปรกับหากพิจารณาความคาดหวังเงินเฟ้อสหรัฐ 5 ปีจากนี้เริ่มปรับตัวลงสอดคล้องกับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีที่ปรับตัวลงบ่งชี้ว่าตลาดไม่ได้กังวลกับเงินเฟ้อเท่าใดนัก ดังนั้นจาก 2 ปัจจัยข้างต้นทำให้เราเชื่อว่าสัปดาห์นี้ SET จะปรับตัวขึ้นได้กรอบ 1600 – 1630

กลยุทธ์การลงทุนคงคำแนะนำถือ Domestic Play ต่อเนื่องเพื่อรอรับปัจจัยบวกจากการค่อยๆผ่อนคลายมาตรการรวมถึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการเปิดรับต่างชาติมากขึ้น ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้สะสมให้เน้นตัวที่ยัง Laggard อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (KBANK) ศูนย์การค้า (CPN) เครื่องดื่ม (TACC) ร้านอาหาร (M) สื่อ (PLANB VGI) สื่อสาร (ADVANC) ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) สนามบิน (AOT)

KBANK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 169 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดเดิมสะท้อนปัจจัยลบการระบาดรอบสามรวมถึงการลดน้ำหนักใน MSCI ไปแล้ว ขณะที่หาก Vaccine เริ่มกระจายเชื่อจะหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะรับประโยชน์

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 59 บาท) เชื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนปัจจัยลบจากการะบาดรอบสามและผลประกอบการที่จะอ่อนแอในช่วง 2Q21 ไปแล้ว ขณะที่เชื่อว่าตลาดจะเริ่มหันมาให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวจากนี้หนุนจากการกระจาย Vaccine โดยในช่วงเวลาปกติที่ประเทศไทยควบคุม COVID-19 ได้ดี CPN ถือเป็นกิจการที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างไวทั้งในเชิงผลประกอบการและผู้ใช้บริการ

GUNKUL ลุยกัญชงหนุนธุรกิจแกร่ง

บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ประเมินภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังสัญญาณดีต่อเนื่อง รับแรงบวกลุยธุรกิจพืชเศรษฐกิจ กัญชง กัญชา  เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ แถมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและงาน EPC ยังเติบโตต่อเนื่องโดยตุนงานไว้ในมือแล้ว 9,600 ล้านบาท ด้าน“ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย” ซีอีโอ เผยครึ่งหลังปีนี้เล็งเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่เพิ่มอีกกว่า 20,000 ล้านบาท คาดได้งานไม่ต่ำกว่า  15-20%  สนับสนุนผลงานปีนี้โตตามเป้าหมาย 20%

ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า  กลุ่มบริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของรายได้และกำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง ว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก  เนื่องจากได้ขยายโอกาสไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชเศรษฐกิจ กัญชง หรือ กัญชา เพื่อสร้างจุดแข็งและสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางธุรกิจให้กลุ่มบริษัทฯในอนาคต รวมถึงวางแผนลงทุนทำโรงสกัด CBD บริสุทธิ์ 99% ที่มีกำลังผลิต 1 ตัน ต่อวัน ซึ่งวางแผนจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศต่อไป

นอกจากนี้ยังได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบไฟฟ้าเพื่อต่อยอดธุรกิจ ขณะที่งานรับเหมาและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC)  ได้เข้าร่วมประมูลกว่า 5,000 ล้านบาท และคาดว่าจะได้งาน ไม่ต่ำกว่า 20%  ซึ่งจะทยอยทราบผลภายใน 1-2 เดือนต่อจากนี้ จากปัจจุบันบริษัทฯ มีงาน EPC  ในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 9,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ 2-3 ปีข้างหน้า

“กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสอีกมากในการเข้าร่วมประมูลงาน EPC ใหม่ๆ ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะมีงาน EPC ในมือไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2564 และยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนธุรกิจที่วางไว้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการลงทุนและเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มี Backlog เพิ่มเข้ามาอีก 1,700 ล้านบาท  โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานเพิ่มอีก 15-20% จากยอดดังกล่าว  จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตอย่างมีศักยภาพ และจะเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ปีนี้ไม่น้อยกว่า 20%จากปีก่อนนอกจากนี้ ” ดร.สมบูรณ์กล่าว

อนึ่ง ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2564)บริษัทฯมีกำไรในส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 608.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 439.10 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 38.60 %

ขณะที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 2,323.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 549.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 1,773.55 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการขายไฟฟ้า และส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเท่ากับ 1,112.58 ล้านบาท รายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง และให้บริการเท่ากับ 454.39 ล้านบาท รายได้จากการขายเท่ากับ 268.74 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากสัญญาเช่าเงินทุนที่รับรู้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่เท่ากับ 210.02 ล้านบาท

MFC แนะลงทุนในกองทุนเปิด M-MIDSMALL

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ผู้บริหารจัดการกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มิด สมอล แค็ป หรือ M-MIDSMALL’ ที่เน้นการลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารแบบ Active Management ทำให้ ‘M-MIDSMALL’  สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น นับตั้งแต่ต้นปี 2564  (YTD 2564)  กองทุน M-MIDSMALL ทำผลตอบแทนอยู่ที่ +37.88%  ส่วนดัชนีเปรียบเทียบ SET TRI ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.12% และ M-MIDSMALL ยังได้รับ Morningstar Rating Overall  ที่ 5 ดาว  (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เผยว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุน M-MIDSMALL น่าลงทุนในช่วงนี้ มาจากการที่ สศช. คาดการณ์ GDP ไทยปี 2564 เติบโตที่ 1.5 – 2.5% (โดยไตรมาส 1/2564 GDP ติดลบไป 2.6%) อย่างไรก็ตาม การกระจายวัคซีนในประเทศที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 เป็นต้นไป จะสามารถช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ในประเทศได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศนั้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทาง MFC จึงมีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2564 นี้จะปรับตัวขึ้นแบบ sideway up ตอบรับการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและการเปิดประเทศทั่วโลก โดยการที่ภาวะตลาดรวมปรับตัวขึ้นนั้น จึงคาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะปรับตัวขึ้นได้ดีสอดคล้องเช่นกัน

โดยผู้จัดการกองทุน M-MIDSMALL มีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน (catalyst) เฉพาะตัว ซึ่งแม้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ โดยกำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดี และราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ยอดการส่งออกสินค้าในไตรมาส 1/2564 ได้ฟื้นตัวกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ที่ 5.3% แม้ว่าจะยังมีการระบาดในประเทศ รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปลดล็อคพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงตัวใหม่อย่างกัญชง และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมากซึ่งจะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสีย สามารถมีกำไรและเติบโตได้ดี

ด้วยประสบการณ์และกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนที่แม่นยำของ MFC ผู้จัดการกองทุน เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโต และความเหมาะสมของการเข้าลงทุน MFC ประกาศเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนอีก 3 ชนิด คือ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD)  เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นไทยและ MAI ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะปานกลางและระยะยาว

โดย M-MIDSMALL มีหน่วยลงทุนชนิดใหม่ที่โดดเด่นถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดหย่อนภาษี โดยเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม หรือ “M-MIDSMALL SSF” เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังได้รับผลประโยชน์ทางด้านภาษีด้วย (M-MIDSMALL-SSF เป็นชนิดหน่วยลงทุนที่เพิ่งเปิดเสนอขายใหม่ ดังนั้นผู้ลงทุนสามารถอ้างอิงข้อมูลของหน่วยลงทุนชิด M-MIDSMALL-D ได้)

ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564  สำหรับท่านผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุน M-MIDSMALL ก่อนหน้าการเพิ่มชนิดหน่วยลงทุน หน่วยลงทุนของท่านจะอยู่ในหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-D)

กองทุนเปิด M-MIDSMALL เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กคาดหวังผลตอบแทนที่ดี และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาท  ในการสั่งซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป โดยซื้อขายได้ทุกวันทำการ ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com

นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 สถานีกลางบางซื่อ

วันแรกของการเปิดบริการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กสทช. และผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึงกลุ่มทรู โดย นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น

ทั้งนี้ กลุ่มทรู ได้ให้การสนับสนุนภารกิจการกระจายฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงคนไทยมากที่สุด อันเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญในขณะนี้ ตั้งแต่การบริหารจัดการระบบการลงทะเบียนตามช่องทางต่างๆ ของกลุ่มทรู จัดเตรียมพนักงานจิตอาสากว่า 100 คน ที่ผ่านการฉีดวัคซีนแล้วและได้รับการอบรมด้านสุขอนามัยเป็นอย่างดี สวมถุงมือและเฟซชิลด์ตลอดเวลาขณะให้การดูแลผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน ตลอดจนมีบริการเครื่องอบฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีที่ได้มาตรฐาน ไว้ฆ่าเชื้ออุปกรณ์พกพาต่างๆ พร้อมมอบฟรีน้ำดื่มทรู ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เข้ารับการฉัดวัคซีน ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าทรูทุกคน ทรูยู ยังร่วมกับ FWD มอบประกันผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนฟรี จำนวน 400,000 สิทธิ์ โดยลูกค้าต้องลงทะเบียนก่อนรับการฉีดวัคซีนที่แอปพลิเคชันทรูไอดี เพื่อรับความคุ้มครอง ทุนประกัน 150,000 บาท นาน 60 วัน นอกจากนี้ ทรู ยังเตรียมพร้อมเครือข่ายสื่อสารอัจฉริยะ ทรู 5G /4G และ WiFi อย่างเต็มกำลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการใช้งานของบุคลากรการแพทย์และประชาชนที่มารับบริการอีกด้วย ทั้งนี้ การสนับสนุนดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของกลุ่มทรู ที่ต้องการร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่คนไทยและประเทศไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

SCAP ดันสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ช่วยคนไทยให้ไปต่อ

บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด หรือ SCAP (เอสแคป) ผู้ดำเนินการธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ชั้นนำของไทย ร่วมสนับสนุนให้ทุกคนเต็มที่กับชีวิตได้ทุกวัน เผยพร้อมเคียงข้างคนไทยให้ได้ไปต่อ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ระลอกใหม่ “โควิด ชีวิตไม่ติด” ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์รองรับบริการด้านเดลิเวอรี่ที่ขยายตัวในตลาดอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดช่องทางการให้บริการทั่วประเทศ

นายวิชิต พยุหนาวีชัย กรรมการผู้จัดการ บจก. ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล หรือ SCAP (เอสแคป) เผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พบการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยบริการด้าน Delivery มีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบการจัดส่งอาหารไปยังที่พักด้วยรถจักรยานยนต์หรือ Food delivery เติบโตถึง 78-84% ในปี 2563 และยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564 สะท้อนถึงการเติบโตอย่างชัดเจนในกลุ่ม Delivery เอสแคปจึงพร้อมสนับสนุนให้ทุกธุรกิจ ทุกอาชีพได้ปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ผ่านพ้นวิกฤตโควิดครั้งนี้ผ่านสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซด์ ในอัตราดอกเบี้ย เริ่มต้นเพียง 1.19% ต่อเดือน

“ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหลายธุรกิจต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงท่ามกลางข้อจำกัดของการแพร่ระบาดของโควิด – 19 พ่อค้าแม่ค้าที่เคยค้าขายกับลูกค้าโดยตรงต้องปรับกลยุทธ์ เป็นการรับออเดอร์ผ่านออนไลน์ และใช้บริการเดลิเวอรี่เข้ามาช่วยเกือบ 100% รวมถึงมีผู้เข้ามาประกอบอาชีพไรเดอร์ หรือผู้ให้บริการส่งอาหาร-พัสดุ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งทำเป็นรายได้เสริมและรายได้หลัก เพื่อพยุงรายได้และความเป็นอยู่ของครอบครัว ทำให้ตลาดเติบโตสวนกระแส ทางเอสแคปจึงผุดไอเดียพร้อมสนับสนุนคนไทยให้มีรายได้มีอาชีพ และก้าวต่อไปได้ด้วยบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ที่ปัจจุบันมีช่องทางการให้บริการกระจายอยู่ทั่วประเทศ” นายวิชิต กล่าว

สำหรับรายละเอียดสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ เอสแคปเปิดเกณฑ์ให้ผู้กู้ที่มีอายุ 18 ถึง 65 ปี มีที่พักอาศัย ในเขตพื้นที่ให้บริการและรายได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ โดยใช้เอกสารประกอบการสมัครไม่ยุ่งยากเพียง (1) เอกสารสำเนาบัตรประชาชน และ (2) เอกสารแสดงรายได้ สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 2481 7865 หรือ https://www.sleasing.co.th

บี จิสติกส์ รุกขยายธุรกิจผู้ผลิตน้ำดิบ

บี จิสติกส์ รุกถือหุ้นใหญ่ บริษัทเทพฤทธา 51% หวังขยายฐานธุรกิจไปสู่ผู้ผลิตน้ำดิบ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจขนส่ง-โลจิสติกส์ มั่นใจผลประกอบการมีกำไรได้ทันที เหตุกลุ่มลูกค้าหลักมีสัญญาซื้อขายน้ำประปาในระยะยาว ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี

นางสาวสุทธิรัตน์ ลีสวัสดิ์ตระกูล รองประธานกรรมการ บริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ B ผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้บริษัท เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท เทพฤทธา จำกัด จำนวน 204,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 294.11 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท) คิดเป็นสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียน รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 60 ล้านบาท

นอกจากนั้นให้ บริษัท บียอนด์ แคปปิตอล จำกัด (บริษัทย่อย) ปล่อยเงินกู้ให้ บริษัท เทพฤทธา จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท ธัญธาราชัย จำกัด (TTRC) จำนวน 35,000 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วน 70% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทธัญธาราชัย ในราคาหุ้นละ 857.14 บาท (มูลค่าพาร์ 100 บาท) รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมด 90 ล้านบาท

วัตถุประสงค์ของการลงทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจผู้ผลิตน้ำดิบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น สามารถสร้างรายได้และผลกำไรให้บริษัทอย่างมั่นคง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยบริษัทจะสามารถกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจหลักซึ่งเป็นธุรกิจขนส่ง (Transport) และ โลจิสติกส์ (Logistics)

“การเข้าถือหุ้นในบริษัทเทพฤทธา จำกัด ในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต เนื่องจากธุรกิจน้ำดิบเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ปัจจัยพื้นฐาน เพราะการใช้น้ำยังมีความต้องการสูง และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นทุกปี อีกทั้งการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เปิดดำเนินการแล้ว มีฐานลูกค้าเดิมที่มีสัญญาซื้อและขาย น้ำในระยะยาว ส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้ผลประกอบการที่มีกำไรได้ทันทีและถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีทั้งกับตัวบริษัท และผู้ถือหุ้น”นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า

บริษัท เทพฤทธา จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี โดยผลการดำเนินงานงวดปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 83.61 ล้านบาท มีรายได้รวม 47.87 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 11.04 ล้านบาท ขณะที่ ณ วันที่ 30 เม.ย.2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 53.99 ล้านบาท มีรายได้รวม 13.35 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5.23 ล้านบาท

เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้ประกันตน

ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ สนับสนุนพื้นที่หน่วยงานภาครัฐในการกระจายวัคซีนให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมทั่วถึง ผนึกกำลัง สำนักงานประกันสังคมเขต 4 และ โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่อยู่ในพื้นที่เขต 4 ได้แก่ บางรัก ปทุมวัน ยานนาวา สาทร และ บางคอแหลม ซึ่งบริษัทลงทะเบียนและได้รับการยืนยันสิทธิ์ล่วงหน้าจากสำนักงานประกันสังคมเขต 4 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564 เปิดให้บริการฉีดวัคซีนตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. บริเวณชั้น G โซน C ลานปทุมวันฮอลล์ และ รามาฮอลล์ รวมพื้นที่กว่า 1,600 ตร.ม. รองรับผู้ประกันตนประมาณ 1,200 คน/วัน

ภายใต้ความพร้อมให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ทั้งด้านสถานที่ที่มีความกว้างขวาง การเดินทางสะดวกสบายจากศูนย์การค้าเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ พร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยและความสะอาดขั้นสูงสุด ตั้งแต่ทางเข้าศูนย์ฯและทางเข้าจุดบริการที่มีการติดตั้งจุดตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด พร้อมอุปกรณ์ อาทิ เครื่องวัดอุณหภูมิ การจัดสถานที่เพื่อเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล รวมถึงอบโอโซน ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ พร้อมเช็ดทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเข้มข้นภายในศูนย์ฯ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์ฯ

โดยนางสาวภคมน ศิลานุภาพ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ สำนักงานประกันสังคม ในฐานะประธานคณะทำงานบริหารจัดการและกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ให้แก่ผู้ประกันตน พร้อมด้วย นายมนตรี สุวณิยช์ ที่ปรึกษาด้านเภสัชกรรม นางสาวอุษา ธีระวิทยเลิศ ผู้อำนวยการสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 4 นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลในเครือปิยะเวท พญ.เจรียง จันทรกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลในเครือบางปะกอก-ปิยะเวท พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนและการทดสอบระบบการให้บริการวัคซีนตามขั้นตอน ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เขตปทุมวัน ซึ่งวันนี้ได้ทดสอบระบบโดยทำการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาห้กับบุคลากรสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยมีคณะผู้บริหารศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ นำโดย นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ซึ่งมีการเตรียมระบบการให้บริการฉีดวัคซีนที่ปลอดภัยและครบถ้วนตามขั้นตอนจนถึงการดูแลและสังเกตอาการ

นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ต้องร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐ สำนักงานประกันสังคมเขต 4 และ โรงพยาบาลปิยะเวท ในการใช้พื้นที่ศูนย์การค้าให้บริการฉีดวัคซีนกับประชาชน เพื่อสนับสนุนการกระจายวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม เพื่อให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว ดัชนีความสุขของคนไทยเพิ่มขึ้น พลิกฟื้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งในส่วนของศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค ได้ดำเนินการสนับสนุนให้ร้านค้า พนักงาน ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมต้อนรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ

“นอกจากความพร้อมด้านสถานที่ ความสะอาดและความปลอดภัยขั้นสูงสุด เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ยังร่วมกับร้านค้ามอบความสุขให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ผ่านแคมเปญ THAI SAVE THAI รวมใจฉีดวัคซีน เพียงแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 และบัตรประจำตัวประชาชน รับทันทีส่วนลดของแถมจากร้านค้าชั้นนำมากมาย ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564  พร้อมกิจกรรมให้ความรู้ในการนำตำรับยาจากสมุนไพรภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคมาดูแลสุขภาพของตนเอง คลินิกตรวจสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ การสาธิตทำเครื่องดื่มสุขภาพ อาทิ น้ำตรีผลา น้ำกระชาย การแจกสมุนไพรให้กลับไปปลูกที่บ้าน ในงานสมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด ร่วมกับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จัดขึ้นจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564” นายสมพล กล่าว

ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม เปิดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ววันนี้

เปิดบริการหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ดิ เอ็มโพเรี่ยม ณ บริเวณ ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม โดยเปิดให้บริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนผ่านช่องทางต่างๆ ของทางราชการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสนับสนุนการฉีดวัคซีนช่วยชาติของคนไทย โดยจัดโครงการ วัคซีนนิสต้า อินคลูซีพ พรีวิเลจ (Vaccinista Inclusive Privileges) มอบความพิเศษให้คนไทยทุกคนที่ฉีดวัคซีน โควิด-19 และเมื่อมาใช้บริการ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์

ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ร่วมสนับสนุนการรณรงค์ ฉีดวัคซีนช่วยชาติ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของคนไทย โดยมีการจัดโครงการ วัคซีนนิสต้า อินคลูซีพ พรีวิเลจ (Vaccinista Inclusive Privileges) จับมือกับร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำภายใน ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ มอบสิทธิประโยชน์ให้กับคนไทยทุกคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่มาใช้บริการทั้ง 2 ศูนย์การค้า เพียงแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน รับความพิเศษมากมาย ได้แก่ EMFashionicon แนะนำการแต่งตัวในช่วงของการรับวัคซีนโควิด-19 สร้างเทรนด์แวคซี ช็อต (VAXXI SHOT) ให้โพสต์ท่าจัดเต็มในการมารับวัคซีน โดยรวบรวมคอลเลคชั่นแฟชั่นแบรนด์ดัง ทั้งเสื้อผ้าในลุคทะมัดทะแมง ทั้งเสื้อแขนกุด กางเกงยีนส์พอดีตัว และหลากหลายกระเป๋าใบเก๋ พร้อมสะพายในลุค สุดมั่นใจ พร้อมโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมากมาย

และพบความพิเศษจาก เอ็มไดนิ่ง (EMDINING) และ ฟู้ด ฮอลล์ (FOODHALL) ดิ เอ็มโพเรี่ยม ดิ เอ็มควอเทียร์ มอบสิทธิพิเศษทานฟรีมากมายจากร้านอาหารชั้นนำ เช่น KOI THE, MAN FU YUAN KITCHEN, MISOYA RAMEN, PAUL, SAVA ALL DAY DINING, TWG ,XING FU TANG, CHIKALICIOUS, SKINNY LICIOUS, PENNII, KAMU, ERIC KAYSER และ LITTLE MERMAID สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 และเมื่อมาใช้บริการ ณ ร้านค้า ร้านอาหารภายในศูนย์การค้า ทั้ง 2 แห่ง โดยสามารถแสดงหลักฐานการรับวัคซีน เพื่อรับสิทธิพิเศษผ่านช่องทาง LINE: @EMDISTRICT

แคมแปญ วัคซีนนิสต้า อินคลูซีพ พรีวิเลจ มอบความพิเศษจากร้านค้าชั้นนำ หน้า 2 ตลอดเดือนมิถุนายนนี้ ที่ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยติดตามรายละเอียดได้ที่ LINE: @EMDISTRICT หรือ Facebook : Emporium Emquartier

ทั้งนี้ หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ดิ เอ็มโพเรี่ยม จัดตั้งขึ้นบริเวณ ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม โดยความร่วมมือของศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม, กรุงเทพมหานคร, หอการค้าไทย และโรงพยาบาลสมิติเวช มีพื้นที่รวมกว่า 1,000 ตารางเมตร จัดบริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านระบบต่างๆ ของหน่วยราชการ รองรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ประมาณวันละ 1,000 คน โดยได้มีการทดสอบระบบความพร้อมต่างๆ ทั้งในเรื่องสถานที่ เครื่องมือ บุคลากรและอาสาสมัคร ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ และได้รับการรับรองว่าเป็นหน่วยบริการฉีดวัคซีน ที่มีมาตรฐานสูง สามารถสร้างความสะดวกสบาย และมอบความมั่นใจให้กับประชาชนที่มาใช้บริการทุกคน โดยเปิดดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียน ผ่านช่องทางต่างๆ ของทางราชการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ศกนี้ เป็นต้นไป