โดมิโนส์ พิซซ่า แจกฟรี Chocolate Lava Cake สำหรับผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19

บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ โดมิโนส์ พิซซ่า พิซซ่าแท้สัญชาติอเมริกัน ชวนคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่พร้อมจัดแคมเปญให้ผู้ผ่านการฉีดวัคซีน รับฟรี! ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท

โดย บริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด สนับสนุนให้ชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดภัยจากวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว และยังเป็นทางออกระดับต้น ๆ ที่จะช่วยลดภาระหมอและพยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแทพย์ ดังนั้นโดมิโนส์ พิซซ่า จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนหยุดเชื้อเพื่อชาติจึงได้จัดแคมเปญมอบสิทธิสำหรับผู้ที่ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพียงแสดงบัตรรับรองการฉีดวัคซีน สามารถรับฟรี ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท ที่ร้านโดมิโนส์ พิซซ่าทุกสาขา จำนวน 500 สิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 – 30 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ โดมิโนส์ พิซซ่า เรายังคงยึดมั่นและใส่ใจในการบริการด้วยมาตรการ Clean & Safe อร่อยปลอดภัย ลดเลี่ยงการสัมผัส พร้อมเดินหน้าให้บริการส่งความอร่อยให้คุณถึงหน้าบ้านด้วยความห่วงใยและความปลอดภัยสูงสุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : https://www.facebook.com/DominosPizzaThailand Line Official : @dominospizzath

DMT ศึกษาพัฒนางานโครงข่ายฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสีแดง

‘บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง’ หรือ DMT เดินหน้าศึกษาขยายไลน์ธุรกิจใหม่ หลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ เล็งเสนอรูปแบบพัฒนาฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสายสีแดงด้วยระบบ Smart Feeder หากภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในปลายปีนี้

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ DMT เปิดเผยว่า จากนโยบายดำเนินธุรกิจที่มุ่งนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และร่วมพัฒนาเครือข่ายด้านคมนาคมของประเทศให้มีความเข้มแข็งด้วย Technology ที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาและพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางระหว่างชุมชนสู่ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า สนามบิน เป็นต้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง

ทั้งนี้ DMT ให้ความสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) มีนโยบายให้เอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทาง เพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเริ่มจากการศึกษาพัฒนาระบบฟีดเดอร์โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางเข้าสู่สถานีต่าง ๆ

“เราสนใจศึกษาพัฒนาโครงการระบบขนส่งรอง (Feeder) ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยเราจะนำประสบการณ์การดำเนินงานด้านการบริหารโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาร่วมกับพันธมิตร เพื่อพัฒนาโครงการให้ประชาชนที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ รวมถึงประชาชนโดยรอบให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder ที่บริษัทฯ ศึกษา เช่น ระบบรถโดยสารขนาดตั้งแต่ EV Mini Bus, EV Full Size Bus, และ Tram Bus ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน (Electric Vehicle : EV) ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบ Smart Card, QR Code, และ EMV (Europay, Mastercard, and Visa) เพื่อรองรับ Cashless Society ในการชำระค่าโดยสาร มีระบบสนับสนุนการสื่อสาร WiFi ระบบดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนด้วยกล้อง CCTV ในรถโดยสาร มี Mobile Application เพื่อให้ประชาชนสามารถคาดการณ์การเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดทำป้ายรถโดยสาร Smart Bus Stop และศึกษาการนำพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ป้ายรถโดยสาร เป็นต้น รวมเรียกโครงการทั้งหมดนี้ว่า Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง โดยการศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงจะเป็นโครงการเริ่มต้นเพื่อนำร่องไปสู่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในอนาคตอันใกล้” นายธานินทร์ กล่าว

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนาม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล.

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนามสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กล่าวว่า การพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งผลการศึกษาขั้นต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) กำหนดพื้นที่นำร่องในการพัฒนาโครงข่ายการเดินทางเชื่อมโยงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนและร่วมประกอบการ โดย สจล. ร่วมกับ DMT ได้ตกลงทำความร่วมมือ ในการศึกษาพัฒนาโครงข่าย Feeder ในพื้นที่นำร่องดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาร่วมกัน เช่น การบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนท้องถนน การลดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะหลัก และการเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมทั้งการเพิ่มโอกาสในการลงทุนประกอบการ เป็นต้น เพื่อเป้าหมายของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

EFORL ขายหุ้นกลุ่มบริษัท “วุฒิศักดิ์”

EFORL ขายหุ้นสามัญทั้งหมดจนสิ้นสภาพบริษัทย่อย ของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ ลดผลกระทบจากการขาดทุนจากการดำเนินงานของธุรกิจความงาม มุ่งเน้นการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จํากัด  (มหาชน) หรือ EFORL ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า  คณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2564 ( 4 มิถุนายน 64) อนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (“WCIH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวน 101,849,993 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 56 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง

ซึ่งบริษัทจะขายหุ้นในราคาหุ้นละ 0.01 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 1,018,499.93 บาท ให้แก่  คุณทัศนี คนการ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวโยงกันตามประกาศสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดย WCIH ประกอบธุรกิจการลงทุนในกลุ่มบริษัท “วุฒิศักดิ์” ซึ่งประกอบด้วย บจก.วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป, บจก.ดับบลิว.เอส.เซอร์จีรี่ 2014, บจก.ดับบลิว เวลเนส อินเตอร์, บจก.วุฒิศักดิ์ คอสเมติก อินเตอร์, บจก.ดับบลิว โกลบอล และ บจก.วุฒิศักดิ์ ฟามาซี อินเตอร์ จำกัด

“การขายหุ้น WCIH ทั้งหมด จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทดีขึ้น ลดผลกระทบจากการขาดทุนจากการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH ในงบการเงินรวมของบริษัท เนื่องจากการดำเนินของกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ไม่เป็นไปตามประมาณการ ส่งผลให้ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับแนวโน้มการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องและหลายบริษัทหยุดประกอบธุรกิจ บริษัทสามารถจะมุ่งเน้นการทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น และเพื่อให้บริษัทสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะเงินทุนหมุนเวียนใช้ในการดำเนินธุรกิจหลักอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”นายปรีชา กล่าว

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเครื่องมือทางการแพทย์  ซึ่งเป็นรายได้หลัก และตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ป่วยโควิด – 19 เช่น เครื่องเอกซเรย์ปอดแบบ Portable เครื่อง Oxygen Hi  Flow เครื่องตรวจสมรรถภาพปอดแบบ  Portable เครื่องวัดสัญญานชีพผู้ป่วยในห้องควบคุมความดันลบ เป็นต้น เพื่อป้อนให้กับโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอนาคต  ขณะที่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนกว่า 176 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้นด้วย  และมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโต 15% ตามแผนงานที่วางไว้ จากปีที่ผ่านมา และในวันที่ 11 มิถุนายน 2564 จะปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมจากกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Services) ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค (Consumer Products) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

 

NCAP แต่งตั้ง ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา เป็น CO-CEO

NCAP เดินเกมธุรกิจไฟแนนซ์ ประกาศแต่งตั้ง “ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา” ดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) พร้อมขับเคลื่อนบริษัทย่อยแห่งใหม่ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จ Q3/64 โดย NCAP ถือหุ้น 80% เพื่อเสริมแกร่งรายได้และกำไรในอนาคต พร้อมออก NCAP – ESOP W1 เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติ 15 ก.ค.นี้

บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการแต่งตั้ง นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ให้ดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) มีผลตั้งแต่ วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป นับเป็นการส่งเสริมนโยบายของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจด้านการเงินและเทคโนโลยี เข้ามาเสริมทัพแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลของกลุ่มบริษัท ภายใต้ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จากเดิมบริษัทฯ แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ภายใต้การนำทัพของ นายสมชัย ลิมป์พัฒนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท แบ่งออกเป็นจำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เพื่อประกอบกิจการให้สินเชื่อส่วนบุคคล โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 80% นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา 10% และ บุคคลธรรมดารายอื่น 10% และมีกรรมการประกอบด้วย นางสาวสุธิดา มงคลสุธี นางสาววาสนา พงศ์แสงลึก นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา สำหรับเงินทุนที่บริษัทใช้ในการลงทุนครั้งนี้ มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินการซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินการของบริษัท โดยคาดประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อขยายธุรกิจ และเพิ่มช่องทางการรับรู้รายได้และกำไร โดยคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2564

นอกจากนี้ มีมติอนุมัติการออกใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทเพื่อเสนอจัดสรรให้แก่ผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารที่ดํารงตําแหน่งกรรมการของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย) และ/หรือ พนักงานของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย ครั้งที่ 1 (“NCAP – ESOP W1”) จํานวนไม่เกิน 38,000,000 หน่วย อายุไม่ เกิน 5 ปี โดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้ง การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจํานวน 19,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 450,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 469,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่ม ทุนจํานวน 38,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิ NCAP – ESOP W1 และการแก้ไข หนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4 เรื่องทุนจดทะเบียน เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทดังกล่าว

SONIC เล็งขยับเป้าปี 64 ชี้ขนส่งทางเรือเติบโตแกร่ง

“โซนิค”จ่อปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมเติบโต20% รับอานิสงส์การส่งออกสดใส   แถมค่าระวางเรือมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี หนุนขนส่งทางเรือสัดส่วนรายได้พุ่งเป็น 77%  ขณะที่หุ้น SONIC ติด1 ใน 24 หุ้นที่น่าลงทุนกลุ่ม ESGปี 2564  สะท้อนถึงการเติบโตที่ยังยืน    

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากการส่งออกทางเรือเริ่มกลับมาสดใส หลังจากที่หลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุโรป ได้มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลง ทำให้กิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน

“บริษัทมีโอกาสที่ปรับเป้ารายได้ปี 64 เพิ่มขึ้น  จากเดิมที่ตั้งเป้าว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโต 20% แต่จากผลประกอบการไตรมาสแรก ที่ผ่านมารายได้โตกว่า 94 % เกินเป้าค่อนข้างมาก และจากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ยังสดใสตลอดทั้งปี ส่วน SONIC จะปรับเป้าหมายเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น คงต้องรอดูผลประกอบการไตรมาส 2 /64 ก่อน” ดร.สันติสุข กล่าว

สำหรับรายได้หลักของ SONIC  มาจากการให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือเป็นหลัก  ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตค่อนข้างสูงคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 77% จากปีที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้ 65%  สืบเนื่องมาจากค่าระวางที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ขนส่งทางอากาศมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5% ขนส่งทางบกอยู่ที่ 18% โดยนอกจากฐานลูกค้าเดิมที่ยังให้ความเชื่อมั่นต่อการให้บริการของ SONIC แล้ว  บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ตลอดเวลา

ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถหัวลากให้กับกลุ่มพันธมิตร  ภายใต้โมเดล “โลจิสซิ่ง”(โลจิสติกส์+ลิสซิ่ง) ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิม 40 คัน ภายในไตรมาส2/2564  ขณะที่การเปิดพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้คอนเทนเนอร์ บริเวณแหลมฉบัง ยังเป็นการขยายฐานลูกด้านโลจิสติกส์ รองรับลูกค้าในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทนอกจากจะมุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยล่าสุดหุ้น SONIC ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็น 1 ใน 24  หลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ซึ่งสะท้อนถึงการที่บริษัทให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล  ควบคู่ไปกับการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว

“การที่หุ้น SONIC ถูกคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม ESG  มองว่าส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัท  ซึ่งจะทำให้หุ้น SONIC เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนประเภทสถาบันมากขึ้น  เพราะโดยปกติกองทุนต่างๆ  นอกจากจะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาล และเราเองก็มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน” ดร.สันติสุข กล่าว

PTG มอบเครื่องดื่มทีมแพทย์ฉีดวัคซีนโควิด-19

PTG นำเครื่องดื่ม “กาแฟพันธุ์ไทย” ส่งตรงถึงมือบุคลากรทางการแพทย์ ที่ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับนักกีฬา และบุคลากรทางการกีฬา สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นกำลังใจสู้ภัยโควิด-19

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG  กล่าวถึงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรคหลายมาตรการ ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ แต่สิ่งที่เป็นความหวังของประเทศ และคนไทยในขณะนี้ คือ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่หลายหน่วยงานเร่งจัดหา และเตรียมฉีดวัคซีน เพื่อให้ประชาชนได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

PTG ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์  โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่มาบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด จำนวน 10,000 โดส ให้กับคณะนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ และปฏิบัติหน้าที่ในประเทศ เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19

โดย PTG จัดเครื่องดื่ม กาแฟพันธุ์ไทย มาบริการฟรีกับบุคลากรทางการแพทย์ ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ บริเวณชั้นล่าง อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ระหว่างวันที่ 7-30 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้รับมอบ

“ที่ผ่านมา PTG ได้ให้การสนับสนุนภาครัฐในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมบริจาคน้ำดื่มบรรจุขวด ภายใต้แบรนด์ PT ขนาด 1.5 ลิตร ให้กับโรงพยาบลบุษราคัม โรงพยาบาลสนามต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด รวมทั้ง มอบเครื่องดื่ม “กาแฟพันธุ์ไทย” ให้ฟรีกับบุคลากรทางการแพทย์ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแทนคำขอบคุณ และให้กำลังใจ  โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการร่วมช่วยเหลือสังคม และประเทศให้รอดพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน”  นายพิทักษ์ กล่าว

ไรมอน แลนด์ มอบเงินสนับสนุนภารกิจป้องกันโควิด-19

นายกรณ์ ณรงค์เดช (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานฯ ร่วมมอบเงินสนับสนุนจำนวน 100,000 บาท แก่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  เพื่อใช้ในการดำเนินภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และเพื่อสนับสนุนกิจการทางการแพทย์  โดยมี  คุณวลฺลภ ยุติธรรมดำรง  (ที่ 3 จากขวา) รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นตัวแทนในการรับมอบ ณ ศูนย์ฉีดวัคซีน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

ก้อง-สมเกียรติ ผงาดคว้าท็อป 9 บิดโมโตทู

ก้อง สมเกียรติ จันทรา หมายเลข 35 ยอดนักบิดไทยจากโครงการฮอนด้า เรซ ทูเดอะ ดรีม สร้างผลงานดีที่สุดของปีนี้ผงาดคว้าอันดับ 9 ในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรุ่น โมโตทู สนาม 7 รายการ คาตาลัน จีพี ขณะแชมป์เป็นของ เรมี การ์ดเนอร์ นักบิดออสซี่จาก เรดบูลล์ เคทีเอ็ม อาโย ด้าน เขมินท์ คูโบะ นักบิดไทยจาก วีอาร์46 มาสเตอร์แคมป์ ทีม จบอันดับ 26 ประเดิมไวด์การ์ดครั้งแรก

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2021 รุ่น โมโตทู สนาม 7 รายการ คาตาลัน กรังด์ปรีซ์ ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ เซอร์กิต เดอ บาร์เซโลน่า-คาตาลุนญ่า ประเทศสเปน ชิงชัยทั้งสิ้น 22 รอบสนาม

การแข่งขันในรุ่นโมโตทูชิงแชมป์โลก ถือเป็นหนึ่งในเรซที่แฟนทั่วโลกให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยนักบิดไทยหนึ่งเดียวที่ลงบิดเต็มฤดูกาลอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จากสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ได้ออกตัวจากกริดที่ 9 มีลุ้นท็อปเท็นเต็มตัว

สมเกียรติ เริ่มเกมได้ดีแต่เสียจังหวะร่วงลงไปถึงอันดับ 14 ในช่วง 3 รอบแรก อย่างไรก็ดีนักบิดไทยค่อยๆ รักษาขีดการต่อสู้ที่ดี ก่อนจะขยับขึ้นมาจบการแข่งขันในอันดับ 9 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในปีนี้ของนักบิดไทย ตามหลังผู้ชนะเพียง 17.515 วินาทีเท่านั้น

โดยแชมป์ในเรซนี้เป็นของ เรมี การ์ดเนอร์ นักบิดออสเตรเลียนจาก เรดบูลล์ เคทีเอ็มอาโย เอาชนะทีมเมทอย่าง ราอูล เฟร์นันเดซ ในอันดับ 2 เพียง 1.872 วินาที ส่วนอันดับ3 เป็นของ ซาวี วิเออร์เฮ นักบิดเจ้าถิ่นอีกราย

NER ปรับเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้าน

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ปรับเป้ารายได้ปี 2564 จาก 2.2 หมื่นล้านบาท เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น และการขายล่วงหน้า นอกจากนี้ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  เปิดเผยในงาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 1/2564 ว่าบริษัทได้มีปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป้าปริมาณขายขึ้นเป็น 4.4 แสนตัน จาก 4.1 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขายโดยขณะนี้ยอดขายของบริษัทครอบคลุมไปจนถึงไตรมาส 4 และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

สำหรับทิศทางราคายางนั้นยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดราคายางแผ่นรมควันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 75 บาท/ก.ก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 66 บาท/ก.ก. เทียบปีก่อนที่ 55 บาท/ก.ก. ซึ่งการที่ราคายางที่ปรับขึ้นมาจากปัจจัยโควิด เนื่องจากซัพพลายน้ำยางข้นถูกนำไปใช้ผลิตถุงมือยางเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ซัพพลายหายไปพอสมควร และคาดว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดกลับมาดีขึ้น จากความต้องการใช้ยางพาราก็จะมากขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ การขนส่ง โลจิสติกส์ นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 10%  เช่นสิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ  เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น  และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่

ทั้งนี้ บริษัทขอแจ้งวันใช้สิทธิ NER W1 ครั้งที่ 2 วันที่ 15 มิถุนายน 2564 สำหรับอัตราและราคาการใช้สิทธินั้นใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ 1.80 บาทต่อหุ้น ด้านระยะเวลาแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ และขอรับใบแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ ในวันที่ 8 – 11 มิถุนายน 2564 และวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09 .00 – 15 .30 น.

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ พ.ค. 64

ตลาดหุ้นได้ไทยรับแรงสนับสนุนจากการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ที่เริ่มแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่กำไรแปรผันตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแสดงผลกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/2564 เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า แต่หากไม่รวมกลุ่มดังกล่าวพบว่าบริษัทจดทะเบียนไทยรายงานกำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,593.59 จุด เพิ่มขึ้น 10.0% จากสิ้นปี 2563  ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ โดยอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563  ได้แก่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มธุรกิจการเงิน

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,593.59  จุด เพิ่มขึ้น0% จากสิ้นปี 2563 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า
  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 หลายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563   ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มธุรกิจการเงิน
  • ในเดือนพฤษภาคม 2564   มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 109,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 5 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 98,859 ล้านบาท
  • ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือนพฤษภาคม 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 34,054

ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม  66,870  ล้านบาท โดยผู้ลงทุนในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ 101,236  ล้านบาท นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง

  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 3  บริษัท และใน mai 3  บริษัท โดยใน 5  เดือนแรกปี  2564 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN โดยสาเหตุหลักมาจากการเข้าจดทะเบียนของบมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR)
  • Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 2 เท่า และ 29.65 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.0 เท่า และ 26.8 เท่าตามลำดับ
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 42% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.25%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 597,159 สัญญา เพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจาก SET50 Index Futures และ Single Stock Futures