ส่อง CEA งัดแผนกู้วิกฤตโควิด-19

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิด 3 มาตรการช่วยเหลือกลุ่มฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขา ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ผ่านโครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของคนทำงานและภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าโครงการ CEA Creative Industries ชูศักยภาพอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ผลักดันให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเติบโตไกล

นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ CEA กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ 15 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต้องสะดุดลง โดยข้อมูลผลประกอบการธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ CEA รวบรวมพบว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการสร้างสรรค์มีรายได้ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 26% อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ทำให้อุตสาหกรรมต้องเผชิญการขาดทุนสุทธิรวม 1.74 หมื่นล้านบาท

สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ CEA ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy จึงได้เร่งปรับการทำงานของทั้งองค์กร ออกมาเป็นแผนช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” ซึ่งเป็นการดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การจ้างงานนักสร้างสรรค์โดยตรง การช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ ไปจนถึงการปรับกระบวนการทำงานขององค์กรทั้งระบบ ตั้งแต่การวางนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการให้บริการที่มุ่งสู่ออนไลน์ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ โครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” ประกอบด้วยมาตรการ 3 หลัก คือ

  1.  การปรับบริการและกิจกรรมมุ่งสู่ออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง (Capacities Building) ให้ธุรกิจและนักสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการดำเนินการกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ รวม 4 กิจกรรมด้วยกัน ได้แก่

– ปรับรูปแบบบริการห้องสมุดเพื่อการออกแบบ (TCDC Resource Center) สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งนอกจากการให้บริการข้อมูล และค้นคว้าข้อมูลแล้ว ยังสามารถเข้าชมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมประกอบย้อนหลังในรูปแบบดิจิทัลได้โดยไม่จำกัดเวลา (Archive)

– พัฒนาคอร์สออนไลน์เพื่อเสริมทักษะผู้ประกอบการสร้างสรรค์ “CEA Online Academy”  หลักสูตรออนไลน์เรียนฟรีเพื่อผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะเดิมให้ทันกับยุคสมัย (Upskill) หรือเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) ปัจจุบัน มีผู้เข้าชมหลักสูตรแล้วมากกว่า 35,000 คน ในกว่า 35 หลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ที่บรรจุอยู่ใน https://academy.cea.or.th

– จัดกิจกรรมให้คำปรึกษาธุรกิจสร้างสรรค์“Creative Business Consultation Program” ซึ่งเป็นบริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาหรือขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จะหมุนเวียนกันมาให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจ ทั้งด้านกลยุทธ์ธุรกิจ การเงิน การสร้างแบรนด์ กฎหมาย การออกแบบ กระบวนการคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม และการปรับตัวท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาด ซึ่งเป็นการให้บริการฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวเดินหน้าต่อไปได้

– สร้างแพลตฟอร์มแสดงผลงาน CONNECT by CEA: Creator’s Marketplace แคมเปญ “ตลาดนัด” ของเหล่านักสร้างสรรค์ ฟรีแลนซ์ และสตูดิโอ ที่สามารถนำผลงานมาจัดแสดง ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเลือกชมผลงานและเลือกจ้างงานได้มากกว่า 5 สาขา แคมเปญนี้ ได้สร้างงานให้กับเหล่านักสร้างสรรค์ ไปแล้วกว่า 25 ราย

  1. โครงการพิเศษเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์โดยเฉพาะ ได้แก่ โครงการ “CEA VACCINE ร่วมสร้างสรรค์ …ภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจไทย”

CEA ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 15 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการกระตุ้นตลาดการจ้างงานตรงให้กับกลุ่มฟรีแลนซ์-เอสเอ็มอี รวมกว่า 1,200 ราย ในช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมาใน 3 ด้านหลัก คือ

– กิจกรรม “สู้โควิดด้วยวิตามิน” เกิดการจ้างงานตรง 6 สาขาอาชีพ เช่น นักดนตรี นักเขียน นักแปล ช่างภาพ ฯลฯ รวม 373 คน

– กิจกรรม “เสริมภูมิคุ้มกัน” ร่วมมือกับมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Lazada, JD Central, PINKOI และ SIFT & PICK เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีราว 890 ราย

– กิจกรรม“สร้างเกราะต้านทานโรค” โดยเป็นการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สนับสนุนกลุ่มศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแสดง เช่น โครงการ CEA Live House (ปีที่ 1) ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่างบริษัท ProPlugin, Live4 Viva, Rock Planet และ JOOX สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงและเผยแพร่ผลงานของศิลปิน นักร้อง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือโครงการ CEA Live House (ปีที่ 2) ซึ่งสนับสนุนพื้นที่บันทึกการแสดงสดและการถ่ายทำเพื่อเผยแพร่ในช่องทางสื่อสารของศิลปิน นักแสดง และช่องยูทูบของ CEA

  1.  การใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เข้ามาแก้ปัญหาและความท้าทายรูปแบบใหม่ที่ต้องเผชิญ (Endorsing Innovation, Technology & Design Thinking for Better Solutions)  เพื่อให้ผู้จัดงานและผู้เข้าชมงาน เกิดความปลอดภัยในการใช้พื้นที่สาธารณะในรูปแบบต่างๆ ในรูปแบบของอุปกรณ์ เครื่องมือ แพลตฟอร์ม 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

–  CROWD CHECK เครื่องมือคำนวณหาความหนาแน่นของการใช้พื้นที่ เพื่อให้ผู้ชมงานใช้วางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาแออัดได้ โดยแสดงผลผ่านเว็บไซต์ https://crowdcheck.info/ และhttps://www.bangkokdesignweek.com/guide/101286

Virtual Design Festival แพลตฟอร์มการชมงานในรูปแบบ 360° Exhibition Tour ที่มอบประสบการณ์การรับชมได้อย่างเต็มอิ่ม เสมือนได้เดินชมงานจริงกว่า 15 งาน และยังสามารถรักษาระยะห่างและความปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด

HackVax 2021 ทีมนักนวัตกรรม นักออกเเบบ นักสื่อสาร และทีมเเพทย์ พร้อมด้วยนักวิจัยจาก MIT สหรัฐเมริกา ร่วมกันออกเเบบ “กระบวนการฉีดวัคซีน” เพื่อลดขั้นตอนให้สั้นและกระชับรวดเร็ว โดย CEA ร่วมกับทีมงาน HackVax.org และจังหวัดขอนแก่น จัดโครงการนำร่องการฉีดวัคซีนที่จังหวัดขอนแก่นในชื่อโครงการ “ขอนแก่น ฉีดละเด้อ” และพร้อมต่อยอดสู่การใช้งานทั่วประเทศเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก้าวข้ามวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้

–  Covid-19 Innovation Showcase CEA ร่วมกับ FabCafe Bangkok เมกเกอร์ที่มีบทบาทสำคัญในการดัดแปลง พัฒนา ผลิตและสร้างอุปกรณ์ต้นแบบ ได้แก่ SWAB SHIELD, AEROSOL BOX, UVC-decontamination, HEPA H-14, PAPR HEADSUIT และ COVID BED ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดไฟล์ CAD (Open source) ผลงานต้นแบบเพื่อนำไปออกแบบ พัฒนา และผลิตด้วยเครื่องจักรได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากการมุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์จากผลกระทบของโควิด-19 แล้ว CEA ยังเร่งเครื่องสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยจัดงาน“CEA Creative Industries 2021” ในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 นี้ ซึ่งทาง CEA เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมต่อความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขา อาทิ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกไทยฯลฯ

ทั้งนี้ งาน“CEA Creative Industries 2021”เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยผ่านการจัดกิจกรรมหลายรูปแบบ อาทิ การประกวดและมอบรางวัลให้แก่บุคลากรสร้างสรรค์ในสาขาต่าง ๆ การเสวนา การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การรวบรวมและพัฒนาฐานข้อมูลอุตสาหกรรมสร้างสรรค์รายสาขา และการผลิตวิดีโอคอนเทนต์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจพัฒนาผลงานสร้างสรรค์สู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะภาคีเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cea.or.th FB: Creative Economy Agency

เคอรี่ โลจิสติคส์ คว้ารางวัลรับรองมาตรฐาน GMP Codex

นายสมคิด บุณยสรณ์สิริ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับใบรับรองมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice : GMP Codex) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก สำหรับการจัดเก็บและขนส่งอาหาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์  แบบห้องเย็นและอุณหภูมิห้อง จากบริษัท Lloyd’s Register หน่วยงานที่ให้การตรวจประเมินและให้การรับรอง

GMP เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร จัดทำขึ้นโดยหน่วยงานมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศหรือ โคเด็กซ์ (Codex) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

การได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP ในครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก ซึ่งช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้เป็นมาตรฐานสากล ตามนโยบายของเคอรี่ฯ (GMP Policy) มุ่งมั่นที่จะให้บริการด้านโลจิสติกส์ ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ถูกต้องตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการจัดเก็บและขนส่งผลิตภัณฑ์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน ส่งมอบอาหารสะอาด คุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภค

ความสำเร็จเกิดขึ้นจากความร่วมมือที่ดีจากทุกฝ่าย ที่ร่วมแรงร่วมใจจัดทำและสร้างระบบจนผ่านการรับรอง โดยเริ่มจากระบบมาตรฐาน ISO9001 เมื่อปี 2005 ตามมาด้วย ISO45001, ISO14001, Halal และได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเพื่อเป็นการยืนยันเรื่องคุณภาพ จึงได้ดำเนินการขอการรับรองระบบ GMP ข้างต้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

รางวัลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า การให้บริการของเคอรี่ฯ มีคุณภาพและมาตรฐานการจัดเก็บและการปฏิบัติงานที่ดี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการคลังสินค้าและขนส่งสินค้า และเพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่

โดยปัจจุบัน เคอรี่ โลจิสติคส์ กำลังขยายธุรกิจคลังสินค้า เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจด้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ยา และเวชภัณฑ์ ยังคงมุ่งมั่นในการนำมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องมาปฏิบัติ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจ และคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นสูงสุดแก่ลูกค้า ตามกลยุทธ์ขององค์กรต่อไป

 

 

 

SA ลุยขยายธุรกิจ Food & Beverage

บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA)  มุ่งสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ครบวงจร ลุยขยายธุรกิจอาหาร  และเครื่องดื่ม เตรียมจับมือร้านอาหารดัง  พร้อมเปิด Cloud Kitchen  รองรับกระแส Food Delivery คึกคัก ฟากบิ๊กบอส “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” ระบุตั้งเป้าเปิดสาขา 200 แห่ง ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า หวังสร้างรายได้ประจำเพิ่มอีกปีละ 400-500 ล้านบาท พร้อมทยอยเปิดโครงการอสังหาฯใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพรานนก และพุทธมณฑล และ Blossom Condo @ทุ่งสองห้อง มูลค่าโครงการกว่า 8 พันลบ. มั่นใจสนับสนุนอนาคตเติบโตแข็งแกร่ง 

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 บริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดยประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม  ธุรกิจงานบริการที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจด้านเทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งดำเนินการสอดคล้องไปกับแผนการขยายฐานรายได้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีแผนจะขยายสาขาร้าน Cloud Kitchen เพิ่มอีกจำนวน 16 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 4 สาขา รวมเป็น 20 สาขาภายในปีนี้  และตั้งเป้าครบ 200 สาขา ภายในปีนี้ 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีพื้นให้บริการครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อตอบโจทย์กระแสธุรกิจส่งอาหารหรือ  Food Delivery มาแรงในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากร้านอาหารในเครือแล้วบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาร้านอาหารชื่อดังจำนวนมาก เข้าร่วมโครงการด้วยเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าหากเปิดได้ครบ 200 สาขาตามเป้าหมายที่วางไว้ จะสามารถสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติมปีละ 400-500 ล้านบาทอีกด้วย

ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการหมู่บ้านแนวราบจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพรานนก และโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพุทธมณฑล มูลค่าโครงการรวม 6,000 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 1 โครงการ คือ Blossom Condo ทุ่งสองห้อง ติดทางลงสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการจะอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้รถไฟฟ้า โรงพยาบาล หรือแหล่งห้างสรรพสินค้าต่างๆ และหากต้องการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขายรอโอน กว่า 4,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวอีกว่า ขณะที่ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานด้วยกลยุทธ์ Long Stay ที่มาพร้อมกับการบริหารจากแบรนด์โรงแรมชั้นนำ พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัยด้วยการบริการชั้นเลิศตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพักอาศัยเสมือนบ้านตนเองแต่ได้รับการบริการเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว

นอกจากนี้ ธุรกิจเทคโนโลยี อยู่ระหว่างเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Air of Life เติมอากาศบริสุทธิ์สู่บ้าน  ด้วยนวัตกรรมกักเก็บความเย็นช่วยให้บ้านเย็นสบาย และมาพร้อมกับระบบหมุนเวียนอากาศภายใน รวมถึงสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 99% โดยจะเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ แอพพลิเคชั่น LINE My Shop ที่เชื่อมกับ LINE@ ของ Siamese Technology และอีกช่องทางผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee และ Lazada เพื่อการเข้าถึงได้ง่ายและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อได้อย่างดี ในเร็วๆนี้

อนึ่ง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ได้มีมาตราการจัดหาวัคซีนสำหรับพนักงาน โดยเฉพาะพนักงานขายตามโครงการต่างๆ ให้ได้รับวัคซีนทั้งหมดแล้วทั้งสิ้น 100% เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และมั่นใจให้กับลูกค้า หากต้องการนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการของ SIAMESE ASSET สามารถติดต่อนัดหมายล่วงหน้าได้ตามปกติ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1306

ทำความรู้จัก ขนมปังสไตล์ฮ่องกง Pineapple Bun อันโด่งดัง

ขนมปังสับปะรด หรือ Pineapple Bun ถือเป็นขนมอบรสชาติโอชะแบบฮ่องกงแท้ๆ ที่ทั้งขึ้นชื่อและมีจำหน่ายตามร้านกาแฟและเบเกอรีสไตล์ท้องถิ่นทั่วเมือง เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ที่นักท่องเที่ยวยอมต่อคิวเพื่อลิ้มลองเมื่อได้มาเยือน “เมืองระดับโลกแห่งเอเชีย” แห่งนี้เลยทีเดียว

หลายคนอาจสงสัย เมนูยอดนิยมนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1940 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของคาเฟ่สไตล์ฮ่องกง อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องยากที่เหล่าคาเฟ่จะทำกำไรได้มากพอจากการขายแค่ชานมฮ่องกงเพียงอย่างเดียว เจ้าของร้านคาเฟ่จำนวนมากจึงตัดสินใจทำร้านเบเกอรีควบคู่กันไปเพื่อรังสรรค์เมนูเค้กและขนมปังสุดพิเศษออกวางขายด้วย แต่ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ยังมีความคล้ายคลึงกัน การหันมาพึ่งเบเกอรีจึงยังไม่ได้ช่วยมากมายนัก นักอบทั้งหลายจึงพยายามลองคิดค้นขนมปังสูตรพิเศษเพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ

เจ้าของร้านคาเฟ่เหล่านี้ต่างทราบดีว่าชาวฮ่องกงส่วนใหญ่ชื่นชอบขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเค้กสัญชาติจีนรสชาติหวานหอมทั้งหลายจึงขายดี เมื่อนึกได้ถึงประเด็นนี้ พวกเขาจึงเริ่มรังสรรค์ขนมปังรสชาติหวานละมุน ที่มีเปลือกนอกทำมาจากน้ำมันหมู ผสมแอมโมเนียคาร์บอเนตและเนยเป็นหลัก โดยหลังจากนำไปอบในเตาแล้ว เปลือกตรงหน้าขนมปังจะแตกออกจนดูเหมือนเปลือกของสับปะรด จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ขนมปังสับปะรด’ หรือ Pineapple Bun นั่นเอง

เมื่อได้เริ่มวางขาย ขนมปังสับปะรดก็กลายมาเป็นเมนูสุดพิเศษที่ทุกคนนิยมรับประทานกันเป็นมื้อเช้าหรือจิบพร้อมน้ำชายามบ่าย ถ้าจะให้อร่อยที่สุดก็ต้องรับประทานตอนออกจากเตาใหม่ๆ ขนมปังสับปะรดที่ดีจะต้องมีความกรอบร่วน แต่อย่าเผลอวางตากลมทิ้งไว้ เพราะรสชาติจะเปลี่ยนไปแน่นอน

ต่อมาขนมปังสับปะรดสูตรต้นตำรับได้มี ‘วิวัฒนาการ’ กลายเป็น ขนมปังสับปะรดสอดไส้เนย โดยเสิร์ฟพร้อมเนยฝานชิ้น สอดแทรกอยู่ในก้อนขนมปัง รสชาติใหม่อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างความร้อนของขนมปังอบใหม่กับเนยเย็นๆ อย่างลงตัว ทำให้ผู้คนต่างพากันลิ้มลองขนมปังสับปะรดอย่างไม่รู้จักเบื่อ

ถ้าคุณสงสัยว่าจะหาซื้อขนมปังสับปะรดที่ดีที่สุดในฮ่องกงได้ที่ไหนแล้วล่ะก็ ด้านล่างนี้คือพิกัดร้านดังที่จะพาคุณดื่มด่ำไปกับรสชาติที่คอของหวานรอคอย

1. Kam Wah Café

Kam Wah Café ตั้งอยู่บนถนนปรินซ์เอ็ดเวิร์ด (Prince Edward) เกาลูน (Kowloon) โดยเป็นผู้ผลิตขนมปังสับปะรดเจ้าดังที่สุดของฮ่องกง คาเฟ่เจ้านี้เสิร์ฟ Bo Lo Yau (ภาษากวางตุ้งที่ใช้เรียกขนมปังสับปะรด) สอดไส้เนยชิ้นหนาให้กับลูกค้ามากหน้าหลายตามาตั้งแต่ปี 1973 การันตีความอร่อยด้วยจำนวนลูกค้าที่รอคิวกันตลอดทั้งวัน

2. Mrs. Tang Café

Mrs. Tang Café ตั้งอยู่บนเส้นทางมรดกผิงซาน (Ping Shan Heritage Trail) นอกเขตหยวนหลง (Yuen Long) จึงนับเป็นจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าแก่การเดินทางอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าคุณจะเพิ่มความพิเศษให้กับการเดินทางด้วยการสั่งขนมปังสับปะรดสอดไส้ไข่และมะเขือเทศ (แน่นอนว่าจะต้องมาพร้อมกับเนยชิ้นโตด้วย!) และล้างปากด้วยเมนูเครื่องดื่ม อย่าง ชานม “แชมเปญ” ที่จะเสิร์ฟแบบแช่เย็นจัด ไม่ใส่น้ำแข็ง หมดกังวลว่าน้ำแข็งจะละลายจนทำให้ชาเสียรสชาติ

3. Sai Kung Café & Bakery

 

 

Sai Kung Café & Bakery ถือเป็นหนึ่งในคาเฟ่เบเกอรีที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนานในฮ่องกง และเสิร์ฟขนมหวานสไตล์ฮ่องกงสุดคลาสสิกมากมายที่อบสดใหม่จากเตา รวมถึงขนมปังสับปะรดนี้ด้วย คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงไซกุงตามชื่อของร้าน และการแวะพักนั่งชิวที่ร้านคาเฟ่เบเกอรีแห่งนี้หลังการเดินเล่นริมทะเลนั้นเรียกได้ว่าคุ้มค่าอย่างมาก

เปิดมิติใหม่ในการช้อปยานยนต์ ครั้งแรกกับการจอง Audi Q2 ทางลาซาด้า

ลาซาด้า ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดตัว Audi Q2 จำนวนจำกัด ที่มีเพียง 4 คันในประเทศไทยบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แรกและที่เดียว ให้นักช้อปจองผ่าน Audi Flagship Store บน LazMall พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเพียง 1.999 ล้านบาทที่ลาซาด้าเท่านั้น

นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า  “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับอาวดี้ ประเทศไทยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของ LazMall อย่างเป็นทางการ โดยอาวดี้ถือเป็นแบรนด์จากกลุ่มรถยนต์พรีเมียมรายแรกของประเทศไทย ที่เปิดออนไลน์ช้อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างลาซาด้า โดยเรามีเป้าหมายในการช่วยแบรนด์ขยายฐานลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วประเทศ อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์การช้อปของลูกค้าไปอีกขั้น เราเชื่อว่าการเปิดตัวยนตรกรรม Audi Q2 พร้อมแคมเปญสุดพิเศษจากอาวดี้ ที่จะเกิดขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่Audi Flagship Store บน LazMall นั้นจะสร้างสีสันความพิเศษ ความคุ้มค่า และประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าของลาซาด้าและอาวดี้ได้อย่างแน่นอน”

LazMall นับเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์เสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยการันตีแบรนด์แท้ราคาดี ส่งฟรีถึงบ้านคุณ พร้อมรับประกันคืนสินค้าภายใน 15 วัน LazMall ยังเป็นแหล่งรวมแบรนด์ดังชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี มีทั้งแบรนด์ออนไลน์ยอดนิยมและผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สำหรับการร่วมมือกันระหว่างลาซาด้า และ อาวดี้ ประเทศไทยในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งยนตรกรรมในรูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและสนุกยิ่งกว่าเดิม

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ อาวดี้ ประเทศไทย สามารถเติบโตสวนกระแส เชื่อมโยงระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ สู่โลกออนไลน์มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมถึงพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายและเข้าถึงง่าย การจับมือกับ Lazada สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้นและรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที เน้นการบริการอำนวยความสะดวกลูกค้าเป็นหลัก พร้อมทั้งให้ความรู้สึกพิเศษกับการมีส่วนร่วมในเวลาเดียวกัน โดยการเปิดจอง The New Audi Q2 ผ่าน Lazada แพลตฟอร์มครั้งแรกในประเทศ เราเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญของการตลาด ที่ไม่เพียงสร้างกระแสผ่านสื่อดิจิทัล แต่ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายผ่านบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างครบวงจร เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากที่สุด”

Audi Q2 คือ ทางเลือกแห่งไลฟ์สไตล์วันนี้ compact SUV ที่สุดแสนจะปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว เต็มไปด้วย Character ของ Audi SUV ในขนาดที่กะทัดรัด เพียบพร้อมไปด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ความสะดวกสบาย ความเพลิดเพลินในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม และความสนุกอีกเพียบที่รออยู่หลังพวงมาลัย The new Audi Q2 สร้างชื่อเสียงด้วย Character เฉพาะตัว จากการเปิดตัวเมื่อสี่ปีที่แล้ว และเสียงตอบรับจากแฟนอาวดี้ ทำให้ Audi Q2 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ครั้งนี้ Q2 กลับมาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ไฟหน้าใหม่ สะดุดตา ลุคสปอร์ต ดีไซน์โฉบเฉี่ยวคล่องตัว พร้อมเปิดจองแล้วตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน Audi Flagship Store บนลาซาด้าเท่านั้

9 สารพัดวิธีปรุง จะปิ้ง ย่าง อบแห้ง รวมให้แล้วในเครื่องเดียว

หม้อทอดไร้น้ำมัน…ที่ทำได้มากกว่าทอด คือ นิยามของหม้อทอดรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Tefal จากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความต้องการทำอาหารที่หลากหลายของผู้บริโภค บนพื้นที่ครัวที่จำกัด Tefal จึงมุ่งมั่นที่จะขยายความหมายของคำว่าหม้อทอดไร้น้ำมันให้กว้างขึ้น ด้วยความพิเศษที่สามารถทำได้ทั้งทอด ปิ้ง ย่าง เผา อบอาหาร อบขนม อบแห้ง ปิ้งขนมปัง และอุ่นอาหาร เพราะ Tefal เชื่อว่าความหลากหลายของวิธีปรุงคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วัตถุดิบต่าง ๆ ในครัว กลายเป็นรสชาติที่มีชีวิตชีวาขึ้นบนจานอาหาร และสร้างความสุขให้ครอบครัว

การมาถึงของ ‘หม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์’ จาก Tefal ได้เปลี่ยนความยุ่งยากในการทำอาหารหลากหลายให้กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่ต้องหงุดหงิดกับการมีเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวหลายชิ้น แล้วไม่มีที่เก็บ และไม่ต้องทำความสะอาดเครื่องใช้มากมายในการทำอาหารแค่มื้อเดียว ทั้งยังไม่ต้องกังวลกับควันรบกวน หรือไอน้ำมันที่กระเด็นจากอุปกรณ์แบบเดิมๆ เพราะ Tefal ได้ยกระดับวงการหม้อทอดไร้น้ำมันให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น ด้วยผลิตภัณฑ์ Tefal Easy Fry Oven & Grill 9 in 1 หม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์ ที่ทำได้มากกว่าทอด ด้วย 9 ฟังก์ชันปรุงอาหารรวมไว้ในเครื่องเดียว ทันสมัยด้วยหน้าจอระบบสัมผัส พร้อม 8 โปรแกรมทำอาหารอัตโนมัติ เต็มอิ่มด้วยความจุขนาดใหญ่พิเศษ XXL 11 ลิตร ทำอาหารพร้อมกันได้สูงสุดถึง 3 มื้อในครั้งเดียว หน้าต่างกระจก พร้อมหลอดไฟด้านใน ทำให้มองเห็นอาหารขณะปรุงได้ เลือกปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 45 – 200 องศาเซลเซียส อบอาหารและอบขนมได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอุ่นเตาก่อน พร้อมอุปกรณ์เสริมอีก 7 ชิ้น ได้แก่ ตะแกรง 2 ชิ้น ตะกร้าทอด ถาดรองน้ำมัน แกนเสียบไก่หมุน อุปกรณ์คีบไก่หมุน และตะแกรงย่างเนื้อเหล็กหล่อ

ตะแกรงย่างเนื้อเหล็กหล่อ (Die Cast Grill Grid) ที่แถมมากับหม้อทอดรุ่นนี้ ทำให้การย่างเนื้อแบบ Real Grill ทำได้แล้วในหม้อทอดไร้น้ำมัน ได้เนื้อที่สุกในระดับที่ต้องการ มีความนุ่มชุ่มฉ่ำแบบพอดี ได้รสชาติจัดเต็มไม่ต่างจากการปิ้งย่างบนเตา แต่ไร้ควันรบกวน ทำให้คุณสามารถเนรมิตเมนูโปรดไม่ว่าจะเป็นปิ้งย่างเกาหลี เนื้อริบอายย่าง หรือแม้แต่หมูกระทะก็ทำได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งหม้อทอดรุ่นอื่นๆไม่สามารถให้คุณได้มาก่อน

ไม่ว่าจะเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำสำหรับมื้อหลัก อาหารทอดกรอบไร้ไขมันสำหรับกินเล่น ผักผลไม้อบแห้งที่คงความสดและสุกในแบบต่าง ๆ Tefal Easy Fry Oven & Grill 9in1 ก็พร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายในแต่ละมื้อของวัน

สร้างสรรค์ประสบการณ์ความอร่อยในแบบฉบับของตัวเอง ด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์ ที่ทำได้มากกว่าทอด Tefal Easy Fry Oven & Grill 9in1 ราคาปกติ 12,900 บาท โปรโมชั่นพิเศษ แถมฟรีทันทีหม้อหุงข้าว Tefal รุ่น RK6011 มูลค่า 2,390 บาท ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564 สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ก่อนใครที่เซ็นทรัลและโรบินสัน หรือซื้อออนไลน์ผ่านทาง Central Online, Central App, Central Chat & Shop และ Call & Shop

กินอยู่อย่างสร้างสรรค์จากปัจจัยสี่ สร้างความสุขและสุขภาพดีในวิถีใหม่

‘บ้าน’ นับเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เป็นพื้นฐานหลักในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน บ้านเป็นมากกว่าสถานที่พักอาศัย ความสำคัญของบ้านทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อสมาชิกอยู่พร้อมหน้ากันนานขึ้น ต้องบริหารจัดการพื้นที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน อาทิเช่น เป็นห้องเรียนออนไลน์ เป็นออฟฟิศ รวมถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกบ้าน

โครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดี (Nestlé for Healthier Kids) ใส่ใจในสุขภาวะทั้งทางกายและทางอารมณ์ของทุกคนในครอบครัว เล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาคุณภาพร่วมกันได้อย่างง่าย ๆ ภายในบ้าน ผนวกกับความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กที่ต้องสนุกซุกซน และมีความสุขจึงจะก่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดี จึงเดินหน้าสานต่อแคมเปญออนไลน์ #เมนูหนูช่วยทำ ตอน สนุกสุขโซน นำเสนอกิจกรรมสร้างความสนุก ความสุข และสุขภาพดีในครอบครัว ผ่าน 3 โซนกิจกรรมสุดหรรษา ได้แก่ โซนนักสำรวจ โซนครัวหรรษา และโซนคิดส์สร้างสรรค์ ที่เปิดโอกาสให้ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันภายในบ้าน ในการเตรียมมื้ออาหารให้สนุกและมีสีสัน ให้เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมลงมือทำจนสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการช่วยฝึกทักษะการคิดจากสมองส่วนหน้า (EF: Executive Function) สร้างความมั่นใจ และ สร้างพฤติกรรมสุขภาพหมู่ร่วมกันในครอบครัว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 – 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ผ่านทางเฟสบุ๊คเพจ https://www.facebook.com/N4HKThailand

ล่าสุด นางกนกทิพย์ ปริญญานุสสรณ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสื่อสารโภชนาการเพื่อสุขภาพ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด รายงานผลความสำเร็จของแคมเปญและเสียงตอบรับจากพ่อแม่ และผู้ปกครองที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า “ในปีนี้ กิจกรรมภาคต่อของ #เมนูหนูช่วยทำ ตอน สนุกสุขโซน ได้รับการตอบรับที่ดี และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจากปีที่แล้ว รวมทั้ง 3 โซนกิจกรรมแล้ว เราได้รับ 400 ไอเดียจาก เกือบ 300 ครอบครัวไทย โดยเมนูอาหารที่ทุกครอบครัวส่งเข้ามามีความหลากหลายทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน และตั้งชื่อได้สร้างสรรค์ดึงดูดใจ อาทิเช่น ผัดดาวตกหน่อไม้ฝรั่ง แซนวิชปาร์ตี้สวนสัตว์ พัฟไข่ข้นปูอัด บัวลอย 3 สี พุดดิ้งไมโลผลไม้รวม Our Heart Tart Fruity เป็นต้น เราได้เห็นเมนูพิชิตใจแต่ละบ้านที่เติมคุณค่าทางโภชนาการด้วยผักผลไม้หลากสี และมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ที่ได้รับสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ที่สำคัญคือ ทีมงานได้เห็นภาพความน่ารักที่น่าประทับใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองและเด็ก ๆ ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ รับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริงผ่านแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ ขณะลงมือทำ และได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นศิลปะบนจานอาหารจนสำเร็จ อีกทั้งยังได้รับคอมเม้นท์เชิงบวกอีกมายมายจากผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของช่วงเวลาแห่งความสุขที่สร้างขึ้นได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน การค้นพบพื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ในห้องครัวที่ช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการตัด หั่น ผัก ผลไม้ หรือตวงส่วนผสม ฝึกความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมไปถึงช่วยให้ลูกเจริญอาหาร กินอาหารได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่เลือกกินเฉพาะแต่สิ่งที่ชอบหรือคุ้นเคยแต่อย่างเดียว”

ทั้งนี้ จากผลสำเร็จของกิจกรรม #เมนูหนูช่วยทำ ตอนสนุกสุขโซน ทางโครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดีได้สรุปเป็นแนวทางการใช้พื้นที่บ้านเชิงสร้างสรรค์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างความสุขและสุขภาพดีในครอบครัว นำโดยผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ รณสิงห์ รือเรือง นักจิตวิทยาคลินิก ระดับชำนาญการพิเศษ และ นางทัศนีย์ สิทธิรัตน์ ณ นครพนม ผู้จัดการฝ่ายชำนาญการพิเศษด้านอาหาร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด นำเสนอมุมมองใหม่ในการใช้ปัจจัยสี่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ของเด็กเมื่อต้องอยู่ที่บ้านเป็นเวลานาน โดยยึดหลักการกินอยู่อย่างสร้างสรรค์ ได้แก่ 1.อาหาร – การทำอาหารช่วยให้เด็กได้ฝึกทักษะและพัฒนาการรอบด้าน ทั้งการพึ่งพาตนเอง (Self – Reliance) การควบคุมตนเอง (Self – Control) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) อีกทั้งยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบ ทั้งการเลือก การใช้คุ้มค่า และประโยชน์ต่อร่างกายด้วย 2. ที่อยู่อาศัย – การจัดโซนกิจกรรมภายในบ้านและแบ่งแยกให้ชัดเจน ช่วยฝึกให้เด็กรู้จักตัวตนของตัวเอง (Self- Identity) รู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและส่วนรวม และสามารถพัฒนาศักยภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยตัวเอง 3. เครื่องนุ่งห่ม – เครื่องแต่งกายช่วยสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง (Self – Image) ในเด็ก พ่อแม่สามารถช่วยสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องกาลเทศะได้ง่าย ๆ จากการแต่งกายในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับสถานที่และกิจกรรม รวมไปถึงการดูแลเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัย เช่นเมื่อเข้าครัวทำอาหาร ให้สวมผ้ากันเปื้อนเพื่อป้องกันคราบสกปรก สวมหมวกคลุมผมเพื่อสุขอนามัย และใส่ถุงมือกันความร้อนเพื่อความปลอดภัย 4. ยา – การกินอาหารให้ถูกต้องหลักตามโภชนาการ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนับเป็นยาชั้นดี เป็นวัคซีนธรรมชาติที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและจิตใจแจ่มใส สำหรับการใช้ชีวิตในบ้าน แนะนำให้กินอาหารหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน อาทิเช่น กลุ่มวิตามิน A ที่ช่วยในการบำรุงสายตา สามารถพบได้ใน แครอท ผักกาดหอม แคนตาลูป ฯลฯ วิตามิน C ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคหวัด พบได้ใน ส้ม ฝรั่ง บรอคโคลี่ ฯลฯ รวมถึงวิตามิน D ช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียม ช่วยให้กระดูกแข็งแรง พบได้ใน เนื้อปลาที่มีมัน ไข่แดง นมวัว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ให้ทุกครอบครัวสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และโภชนาการที่ดีสำหรับเด็ก

นอกจากนี้ อาจารย์รณสิงห์ รือเรือง ยังได้แบ่งปันเคล็ดไม่ลับให้กับพ่อแม่ และผู้ปกครองทุกคนนำไปปรับใช้เพื่อสร้างเวลาคุณภาพร่วมกับลูกที่บ้านได้อย่างมีความสุข โดยให้ข้อคิดทางจิตวิทยาว่า “อยากให้พ่อแม่ และผู้ปกครอง ปรับทัศนคติที่มองว่าการเรียนออนไลน์ของเด็ก ๆ เป็นการเพิ่มภาระให้ต้องดูแลบุตรหลานมากขึ้น แต่ให้มองในเชิงบวกว่าเป็นโอกาสทองสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากการเรียนที่บ้านทำให้เด็กมีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ พ่อแม่สามารถปรับวิธีการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตัวเด็กได้เอง โดยไม่ต้องยึดติดกับแบบแผนเหมือนเรียนที่โรงเรียน และการจัดตารางเวลาให้ชัดเจน แบ่งแยกเวลาส่วนตัวเพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ เช่น เวลาเรียน เวลาทำงาน และแบ่งเวลาส่วนร่วมเป็นเวลาของความสุข (Recreation) ที่สมาชิกได้ผ่อนคลายร่วมกัน และที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรนำบทบาทของพ่อแม่และครูมาปนกัน เพราะอาจจะทำให้ลูกปฏิเสธการสอนของพ่อแม่ บทบาทของพ่อแม่ คือ การมอบความสุขให้กับลูก มีหน้าที่คอยสนับสนุนให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน และได้เรียนรู้ในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่”

สุดท้ายนี้ นางกนกทิพย์ ปริญญานุสสรณ์ กล่าวปิดท้ายถึงแผนการดำเนินงานของโครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดีว่า “เนสท์เล่ขอขอบคุณทุกการตอบรับที่ดีจากทุกครอบครัวที่ร่วมกิจกรรม #เมนูหนูช่วยทำ ตอนสนุกสุขโซน และในอนาคตยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ เพื่อนำเสนอกิจกรรมสนุกๆ และสร้างสรรค์ที่จะช่วยปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้เด็กไทย สร้างเวลาคุณภาพในครอบครัว เพื่อให้เด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจที่จะเป็นพลังและอนาคตของสังคมไทยต่อไป”

เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ เปิดศูนย์บริการวัคซีนชิโนฟาร์ม

ศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์  พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการกระจายวัคซีน ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด –19 ร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างทั่วถึง สนับสนุนพื้นที่ให้กับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 3 แห่ง จ. ปทุมธานี ได้แก่  เทศบาลเมืองบางกะดี เทศบาลตำบลบ้านใหม่ และ  เทศบาลเมืองปทุมธานี  เปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนทางเลือก “ซิโนฟาร์ม” ที่ได้รับการจัดสรรจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ให้กับ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ อายุ 18 ปี ขึ้นไป ที่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าไว้กับเทศบาลในภูมิลำเนา  ให้มาเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่จาก รพ.กรุงสยามเซนต์คาร์ลอส  ตามแนวทางขั้นตอนการให้วัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเต็มที่ รวมจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนมากกว่า  12,000 คน  โดยแบ่งเป็นการนัดรับวัคซีน เข็มที่ 1 ตั้งแต่วันนี้  วันศุกร์ที่  กันยายน  2564 และ   เข็มที่ ตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 17 กันยายน – วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564   บริเวณชั้น 1 ลานไนน์ สแควร์ (เซ็นเตอร์ โซน) ศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์  ติวานนท์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 18.00 น.

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม  ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานเปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีน ซิโนฟาร์ม ในวันแรก พร้อมตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์ม ร่วมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกฯ อบจ.ปทุมธานี นายพิษณุ ประภาธนานันท์ นายอำเภอเมือง ปทุมธานี  นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขต 1 โดยมี นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) นางสาวจรูญรัตน์ สาลี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เดอะไนน์  ติวานนท์ (จำกัด)  คณะผู้บริหารเทศบาล จังหวัดปทุมธานี   นำโดย  นายธวัชชัย อึ้งอัมพรวิไล นายกเทศมนตรีเมืองบางกะดี  นายสมบูรณ์ ปานย้อย นายกเทศมนตรีตำบลบ้านใหม่  พล.ต.ต. พงษ์สวัสดิ์ หาญสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีเมืองปทุมธานี และ พญ.อัญชุลี หยองอนุกูล ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ให้การต้อนรับ พร้อมนำชมระบบการให้บริการวัคซีน บริเวณ ชั้น 1 ลานไนน์สแควร์ (เซ็นเตอร์ โซน) ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์  ที่ตั้งอยู่ บนพื้นที่กว่า 400 ตารางเมตร  รวมถึงมีจุดสังเกตุอาการ อีก 265 ตารางเมตร บริเวณนอร์ธ โซน พร้อมที่จอดรถเพียงพอต่อการรองรับเจ้าหน้าที่และประชาชน ที่ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนจำนวนกว่า 1,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่รอคอยสำหรับผู้ติดตาม และ โซนปฐมพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเตรียมพร้อมตลอดทั้งวัน   โดยผู้เข้ารับวัคซีนต้องเป็นผู้ที่ได้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้กับเทศบาลเมืองบางกะดี เทศบาลเมืองปทุมธานี    เทศบาลตำบลบ้านใหม่ และได้รับการนัดหมายล่วงหน้าเท่านั้น

ทั้งนี้ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ ได้สนับสนุนน้ำดื่ม เอ็ม บี เค จำนวนกว่า  10,000 ขวด  เพื่อบริการเจ้าหน้าที่และผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน พร้อมดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น ภายใต้ 3 มาตรการหลัก คือ  คัดกรอง ป้องกัน ปลอดภัย จุดตรวจวัดอุณหภูมิพร้อมเช็คอินไทยชนะทุกครั้งก่อนเข้า มีจุดให้บริการแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือใน     ทุกจุดของการให้บริการฉีดวัคซีน ทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกจุดสัมผัสต่าง ๆ และ ทำความสะอาดฆ่าเชื้อแบบเข้มข้นทั่วทั้งศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ อีกมากมาย ได้ที่ www.thenine.co.th/tiwanon  หรือ  Facebook : The Nine Center Tiwanon และ Insatagram :TheNine_Tiwanon

โหมแคมเปญ AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE

นายธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่ม Thai & Chinese Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ ซีอาร์จี (Mr. Tanapoln Tunpasit – Head of Thai & Chinese Cuisine) เปิดเผยว่า ปี 2564 ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากผู้ประกอบการยังต้องทำตลาดภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างข้อจำกัดให้กับผู้ประกอบการหลายด้าน ส่วนผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้บริษัทต้องปรับตัว พลิกกลยุทธ์การตลาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบทิศทาง

ทั้งนี้ ในฐานะผู้นำธุรกิจร้านอาหารมีแบรนด์ชั้นนำมากมายภายใต้กลุ่มธุรกิจ Thai & Chinese Cuisine อาทิแบรนด์ ไทยเทอเรส  อร่อยดี  เกาลูน และ ส้มตำนัว บริษัทฯ ยังเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อเจาะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในยุควิถีปกติใหม่(New Normal) ต้องอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน แต่ยังคงมองหาเมนูอาหารจานโปรดตอบสนองการบริโภคในแต่ละมื้อ ซึ่งเมื่อผู้บริโภคอยู่บ้านเป็นเวลานาน หนึ่งในปัญหาใหญ่หรือ Pain point ของการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือ การคัดสรรเมนู เพราะบางเมนูทานซ้ำจนเกิดอาการเบื่อ จึงวิเคราะห์ความต้องการเชิงลึกผู้บริโภค (Insight) พบว่าแต่ละสัปดาห์จะมี 1 มื้อพิเศษที่รับประทานทั้งครอบครัว ที่เหลือจะเป็นมื้อเรียบง่าย แต่ต้องเป็นอาหารจานเด็ดและอร่อย

บริษัทฯ จึงหยิบแบรนด์ “อร่อยดี” มาเป็นพระเอกลุยตลาด พร้อมนำเสนอเมนูเด็ด “หฤโหดโคตรกะเพรา” ที่เป็นเอกลักษณ์หรือ Signature ของร้านอร่อยดี ที่สร้างสรรค์เมนูโดน ราคาดี และอร่อยดีตามสโลแกน รสชาติคุ้น อิ่มครบ จบทุกมื้อ  มาจัดแคมเปญ  AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม(Engagement)กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มากขึ้น

สำหรับแคมเปญ  AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE ได้แบ่งกิจกรรมเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. แบ่งกันทาน(Duet Challenge Idea) เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมาจับคู่หรือ Duet กับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ประลองความเผ็ดของกะเพราหฤโหดสูตรลับของร้านอร่อยดี 2.แข่งกันกิน(Duet Challenge) โดยให้ผู้บริโภคมาแข่งกินกะเพราหฤโหด ร้านอร่อยดี ทดสอบความเร็ว จนเกิดคอนเทนท์ฮาๆ เติมความสนุกให้กับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างเอนเกจเมนต์กับแบรนด์และเมนูของร้านอร่อยดี และ 3.หฤโหด Challenge ให้ผู้บริโภคสร้างสรรค์วิดีโอโชว์ความโหด หลังจากที่ได้ทานกะเพราหฤโหดแล้ว ทำให้เกิดคอนเทนท์ครีเอทีพจำนวนมาก เช่น กินแล้วทำเสียงโหด กินแล้วมีไฟออกมา กินแล้วแต่งตัวจัดจ้าน กินแล้วมีหนวดน่าเกรงขาม เป็นต้น

ทั้งนี้ การเลือกแพลตฟอร์ม TikTok เป็นอาวุธในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเป็นสื่อออนไลน์ที่มีการเติบโตสูง เป็นเทรนด์ที่มาแรงในช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 ระบาด โดยจากสถิติของปี 2020 หนึ่งใน 10 วิดีโอที่ได้รับยอดวิวสูงสุดนั้นมีวิดีโอที่เกี่ยวกับอาหารติดอันดับ และได้รับยอดวิวมากถึง 1.ล้าน ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาดาวน์โหลด และใช้ TikTok มากขึ้น ส่วนรูปแบบของการนำเสนอยังเป็นวิดีโอสั้น 15 วินาที มีฟิลเตอร์ เอ็ฟเฟ็กต์ ลูกเล่นมากมายดึงดูดผู้ใช้งาน ที่สำคัญคอนเทนท์ที่ถูกสร้างสรรค์ออกมามีความสนุก ดูแล้วเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้อย่างยิ่ง จนเกิดปรากฎการณ์แชร์ต่อบนสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ

TikTok เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มาแรงมากในหมู่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ จากเจนซี(Z) ขยายวงกว้างมากขึ้นสู่เจนวาย(Y) รวมถึงเจนเอ็กซ์(X) แบรนด์อร่อยดียังดึงอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามหรือ Follower 1 ล้านรายขึ้นไป เช่น Turk_tk, Bowkanyaratp, Meturr ฯ  มาร่วมสร้างปรากฏการณ์ต่างๆสนั่นโซเชียลมีเดีย ปลุกกิจกรรมตลาดให้ทรงพลังและมีสีสัน ผ่านการชาเลนจ์รับประทานกะเพราหฤโหด เมนูเรียบง่ายแต่มีความเด็ดในตัว ทุกครั้งที่ผู้บริโภคคิดอะไรไม่ออก ผัดกะเพรามักเป็นคำตอบที่ดีเสมอ แต่ร้านอร่อยดีได้ทำเมนูเรียบง่ายให้มีความพิเศษและรสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใคร ปรุงสูตรเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อย่างเมนูยอดฮิต “หฤโหดโคตรกะเพรา

ทั้งนี้ แคมเปญการตลาด AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE มีผลตอบรับจากผู้บริโภคดีมาก โดยมีผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง และสร้างเอนเกจเมนต์จำนวนมาก เช่น  Turk_tk กว่า 1.47 แสนครั้ง Bowkanyaratp กว่า 2.82 แสนครั้ง และ Meturr กว่า 1.7 แสนครั้ง รวมทั้งแคมเปญ สูงถึง 700 แสนครั้ง  เป็นต้น

สำหรับร้านอร่อยดี เปิดให้บริการกว่า 2 ปี จุดแข็งของร้านคือ “รสชาติคุ้น อิ่มครบ จบทุกมื้อ” เราตอบโจทย์ในเรื่องรสชาติที่คุ้นลิ้นและเมนูอาหารที่หลากหลาย สามารถทานได้ทุก Day Part ตั้งเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ โดยการรับรู้แบรนด์ต่อผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เมนูเด็ดที่ผู้บริโภคนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ(Top of Mind) คือ “หฤโหดโคตรกะเพรา” ซิกเนเจอร์ของร้าน เพราะเป็นกะเพราสูตรดั้งเดิมแต่เพิ่มเติมเรื่องความจัดจ้านจากพริกขี้หนูจินดาแดง ผัดผสมกับกระเทียม เพิ่มความเผ็ดเพิ่มด้วยพริกขี้หนูแห้ง(จินดา) ผัดด้วยซอสสูตรลับจากร้าน และตบท้ายด้วยการโรยพริกทอดทำให้รสชาติกลมกล่อมมีเอกลักษณ์ รวมถึงกลยุทธ์ “ราคา” ที่จับต้องได้เริ่มต้นเพียง 79 บาท (สั่งกลับบ้าน+10 บาท)

กลยุทธ์การทำตลาดธุรกิจร้านอาหารในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการปรับตัวอย่างรวดเร็วหรือ Agile ค่อนข้างมาก หน้าร้านปิด เรามุ่งเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารและความอร่อยตอบโจทย์ผู้บริโภค การทำตลาดในยุคที่ผู้บริโภคไม่สามารถมาเห็นบรรยากาศร้านหรือเปิดดูเมนูต่างๆ เราจึงลุยแคมเปญการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสัมผัสประสบการณ์กับแบรนด์อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ร้านอร่อยดียังอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมาย เมื่อจะสั่งอาหารต้องนึกถึงอร่อยดี และหฤโหดโคตรกะเพรา

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต รุกขยายตลาดอาหารสด

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต เดินหน้ารุกตลาดอาหารสดเต็มที่ นำเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ผลไม้ตัดแต่งพร้อมทาน เข้ามาวางขายในร้าน ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโควิด ชูความสด สะอาด ปลอดภัย ใกล้บ้าน จบครบในที่เดียว เอาใจลูกค้า นำร่องแล้ว 5 สาขา

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์ ซีเจ มอร์ โดยการบริหารงานของ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด จับมือพันธมิตรทางธุรกิจในกลุ่ม “อาหารสด” ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละประเภทสินค้า เดินหน้าขยายเข้าสู่ตลาด “อาหารสด” อย่างเต็มที่ โดยนำเนื้อสัตว์ และผัก ผลไม้ คุณภาพดี มีความสด สะอาด ปลอดภัย เข้ามาวางจำหน่ายในร้าน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าจำเป็นเปลี่ยนไป โดยเน้นร้านค้าใกล้บ้าน ที่มีสินค้าให้เลือกซื้อได้อย่างครบครันในที่เดียว เพื่อความสะดวก และลดการเดินทางในสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ การนำอาหารสดเข้ามาจำหน่ายในครั้งนี้ บริษัทเน้นย้ำในเรื่องความสะดวก สะอาด และปลอดภัย ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่มีความสด สะอาด ปลอดภัย และมีคุณภาพดี

ปัจจุบันนำร่องเปิดตัวแบบครบวงจรแล้ว 5 สาขา คือ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาไทยรามัญ จ.กรุงเทพฯ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาพฤกษา 74 จ.สมุทรปราการ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาหมู่บ้านคณาทรัพย์ จ.กรุงเทพฯ  ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาจอมทอง 13 จ.กรุงเทพฯ และซีเจ มอร์ สาขาในคลองบางปลากด สุขสวัสดิ์ 76 จ.สมุทรปราการ นอกเหนือจาก 5 สาขาที่มีการเปิดตัวแบบครบวงจรแล้ว ปัจจุบันได้มีการนำเนื้อสัตว์ ผักสด และ ผลไม้สด พร้อมสำหรับประกอบอาหาร เข้าไปวางจำหน่ายในร้านซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต อีก 25 สาขา และเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างครบครัน ซีเจยังมีสินค้าอาหารพร้อมทานปรุงสำเร็จวางจำหน่ายแล้วอีกกว่า 340 สาขา อีกทั้งยังมีอาหารแช่แข็งวางจำหน่ายทุกสาขาเพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างสะดวก สะอาด ปลอดภัย ใกล้บ้าน

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ยังตอบโจทย์ในเรื่องคุณภาพสินค้า ในราคาที่คุ้มค่า เพื่อช่วยผู้บริโภคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด1-19 ล่าสุดได้ท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ เปิดตัวสินค้า “กล้วยหอมทอง” ที่การันตีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่า อิ่มกว่า คุ้มกว่า ในราคาเพียง 9 บาท มีจำหน่ายแล้วในร้านซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต 160 สาขา และวางแผนจะขยายครอบคลุมทุกสาขาภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2564 โดยสามารถดูรายชื่อสาขาที่มีกล้วยหอมทองวางจำหน่ายได้ที่ https://web.facebook.com/CJsupermarket/posts/4180718392021826

สำหรับ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นค้าปลีกในรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ ซีเจ มอร์ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด ครบกว่า ถูกกว่า คุ้มกว่า โดยการบริหารงานของ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการแล้วกว่า 700 สาขา ใน 29 จังหวัด นอกจากซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ยังมีร้านค้าแบรนด์อื่นๆ ภายในเครือ ได้แก่ ร้านนายน์ บิวตี้ (Nine Beauty) เครื่องสำอางค์ และความงามมัลติแบรนด์, ร้านบาว คาเฟ่ (Bao Cafe) ร้านกาแฟสดใกล้บ้าน, ร้านอูโนะ (UNO) สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น, ร้านเอ-โฮม (A-Home) สินค้าสำหรับคนรักบ้าน และร้านเพ็ทฮับ (PET HUB) ร้านขายอาหารและอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงครบวงจร