คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ จัดดีลพิเศษเอาใจนักช้อปรับหน้าฝน

คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ ลดราคาสินค้าฉลองครึ่งปี ในแคมเปญ Mid Year Sale : Shop in the rain #ช้อปชุ่มฉ่ำแจกโค้ดกระหน่ำรับหน้าฝน จัดเต็มกับ ดีลสุดพิเศษ พร้อมบริการ Home Delivery ผ่านช่องทาง www.kingpower.com และ คิง เพาเวอร์ แอปพลิเคชั่น ตั้งแต่วันที่  8 – 17 มิถุนายนนี้  

เพื่อมอบความสุขให้เหล่านักช้อปต้อนรับฤดูฝน อันชุ่มฉ่ำ คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ มอบความคุ้มค่ากับสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพ กับส่วนลด 3 ดีลพิเศษ ในกลุ่มสินค้า น้ำหอม เครื่องสำอาง สกินแคร์ สินค้าแฟชั่น และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์  จากแบรนด์ BOTTEGA VENETA, BVLGARI, DAVIDOFF, LANVIN, CALVIN KLEIN, 111SKIN, BENEFIT, ELIZABETH ARDEN,INNISFREE, EVIDENS DE BEAUTÉ, JURLIQUE, LANEIGE, SULWHASOO, THE HISTORY OF WHOO, EMPORIO ARMANI, GUCCI, DIOR, PRADA, CHLOÉ, SALVATORE FERRAGAMO, SWAROVSKI,RAYBAN, NESPRESSO, XIAOMI, ANITECH, AUTOBOT, BEURER, IBLE, IQAIR, AIRTAMER, PROMPTEC, LESASHA, CREATE ION

ดีลที่ 1  ลดสูงสุด 50% เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท และลดเพิ่มอีก 5% เมื่อช้อปครบ 5,000 บาท เพียงใส่รหัสส่วนลด RAIN5 หรือลดเพิ่มอีก 10% เมื่อช้อปครบ 5,000 บาท เพียงใส่รหัส SV CODE (โค้ดจากพนักงาน คิง เพาเวอร์)

ดีลที่ 2 เฉพาะวันที่ 10, 14, 17 มิถุนายน สุดพิเศษกับ Exclusive Code แจกโค้ดกระหน่ำ ลดสูงสุด 50% เมื่อ
ช้อปครบ 3,000 บาท และลดเพิ่มอีก 10% เมื่อช้อปครบ 5,000 บาท จำกัดเพียงวันละ 100 โค้ดเท่านั้น รอรับโค้ดได้ที่หน้าเว็ปไซด์ kingpower.com ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป

ดีลที่ 3 วันที่ 8 – 9 มิถุนายน กับสินค้าหลากหลายแบรนด์ ลดสูงสุด 60 % ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ต้องใส่รหัสส่วนลด

ร่วมช้อปสินค้าราคาดิวตี้ฟรี แบบไม่ต้องมีไฟล์บินได้เลยที่ https://www.kingpower.com/content/home-delivery-categoryพร้อมบริการ Home Delivery จัดส่งฟรีทั่วประเทศ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 699 บาท ผ่าน www.kingpower.com และคิง เพาเวอร์ แอปพลิเคชั่น สอบถามเพิ่มเติมที่ Contact Centre 1631 หรือ King Power’s Official Facebook  

GBS คัดหุ้นเด่นน่าลงทุนเข้า SET50 – SET100

บลโกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน เหตุไร้ปัจจัยใหม่หนุน แนะจับตาการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ จึงให้กรอบดัชนี1,590-1,63จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นลุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 SET100 ในรอบครึ่งปีหลัง 2564 มีผลเริ่มใช้ 1 ก.ค. 64 นี้      

วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด ประกอบกับการติดตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของรัฐบาล แม้ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ลดลงจากระดับ 3 พันคนต่อวันเหลือ 2 พันคนต่อวัน แต่ในกทม.ยังมีคลัสเตอร์เฝ้าระวังใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ต่างจังหวัดบางแห่งยังพบคลัสเตอร์ใหม่เช่นกัน

ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นเรื่องประธานาธิบดีโจ ไบเดนปฏิเสธข้อเสนอของพรรครีพับลิกัน (GOP) ที่จะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายด้านโครงการสาธารณูปโภคอีกราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากยอดเดิมที่เสนอไว้ก่อนหน้านี้ที่ราว 9.28 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่างบประมาณที่ประธานาธิบดีไบเดนต้องการ จึงคาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,630 จุด

ทั้งนี้ยังคงต้องจับตาปัจจัยในรอบสัปดาห์นี้ อาทิ การประชุมครม.ตัวเลข GDP ในไตรมาส 1/2564ของญี่ปุ่น-อียู และอียูเปิดเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่วนสหรัฐเปิดเผยดุลการค้าเดือนเม.ย.และตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน อัตราหมุนเวียนแรงงาน รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ด้านจีนรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพฤษภาคม ส่วนสหรัฐ จะมีการรายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนเม.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และการประชุมนโยบายการเงิน และสหรัฐ รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. รวมทั้งการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

สำหรับปัจจัยหนุนในประเทศด้านการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งในกทม.ซึ่งเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลเริ่ม 7 มิ.ย. และในต่างจังหวัดเร่งระดมฉีดวัคซีนมากขึ้น และการเร่งดำเนินการในส่วนของโมเดล Phuket Sandbox ซึ่งจะดีเดย์ 1 ก.ค. เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว และกรณีที่สหรัฐแบ่งปันวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตามแผนแบ่งปันวัคซีนรวมทั้งสิ้น 80 ล้านโดสให้ทั่วโลกภายในสิ้นเดือนมิ.ย. รวมทั้งนางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยที่ตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีหลัง 2564 ได้แก่ STGT- IRPC -STA -KCE และหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณ SET100 ได้แก่  STGT- RCL -TTA -DCC –PSL- PTL- SYNEX -SINGER   โดยคาดตลาดจะประกาศรายชื่อในช่วงกลางเดือนมิ.ย. 64 และมีผลเริ่มใช้ 1 ก.ค. 64 นี้

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ว่า  ราคาทองคำจะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,930 $/Oz โดยแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมากว่า 7.6% ในเดือนที่ผ่านมาทำให้เป็นเป้าหมายในการทำกำไร อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เราคาดว่าทองคำจะกลับมา outperform สินทรัพย์อื่นๆ อีกครั้ง

ม.สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ตั้งเป้าบุคลากร-นักศึกษา ฉีดครบสิ้น มิ.ย. นี้

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เดินหน้าแก่บุคลากรและนักศึกษา ทั้งชาวไทยและต่างชาติ คาดฉีดครบภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 สนองนโยบายการเปิดจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 

รองศาสตราจารย์ ดร.พันธ์ ทองชุมนุม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต

รองศาสตราจารย์ ดร.พันธ์ ทองชุมนุม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางวิทยาเขตภูเก็ต ถือเป็นวิทยาเขตนานาชาติ กำลังเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่บุคลากรและนักศึกษาอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าจะฉีดให้ครบภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อรองรับนโยบายภาครัฐมีแผนเปิดจังหวัดภูเก็ต เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งภายในวันที่ กรกฎาคม 2564 โดย ณ วันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีบุคลากรของวิทยาเขตภูเก็ต ได้รับการฉีดวัคซีนครบ เข็มไปแล้วจำนวน 27% และรับวัคซีนเข็มแรกจำนวน 47% และอีก 21% อยู่ระหว่างการรอฉีดเข็มแรก ส่วนที่เหลืออีก 5% ไม่มีความประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีน   

ส่วนกลุ่มนักศึกษาชาวไทยและชาวต่างชาติที่ศึกษาในวิทยาเขตภูเก็ต ขณะนี้นักศึกษาไทย จำนวน 9.08 ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว และ 25% ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว ส่วนอีก 2% กำลังอยู่ระหว่างรอรับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 8.19 % รอยืนยันวันฉีดเข็มที่ 1 โดยยังมีมีนักศึกษาไทยร้อยละ 43.76 ที่ยังไม่ลงทะเบียนรับวัคซีน ซึ่งทาง มอ.ตั้งเป้าว่าให้นักศึกษาได้รับการฉีดวัคซีนไม่น้อยกว่า 80% 

ขณะที่บุคลากรและนักศึกษาต่างชาตินั้นได้ดำเนินการให้กลุ่มบุคลากรต่างชาติเข้ารับการฉีดวัคซีนไปแล้วโดยต้องแนบใบอนุญาตทำงาน (work permit) ประกอบตามข้อกำหนด ส่วนกรณีของนักศึกษาต่างชาติเนื่องจากไม่มีใบอนุญาตทำงาน (work permit) ตามข้อกำหนด แต่ถือว่าเป็นบุคลากรในนามองค์กรของมหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องและอยู่ระหว่างรอปรับเงื่อนไขในระบบ ซึ่งปัจจุบันคงเหลือนักศึกษาต่างชาติของวิทยาเขตภูเก็ตจำนวน 11.97% ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

“วิทยาเขตภูเก็ตได้แต่งตั้งกรรมการ ภายใต้โครงการ “ม.อ.ภูเก็ต วัคซีน 100%” เพื่อดูแลการเข้ารับวัคซีนของบุคลากรทุกกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับนักศึกษา ปีการศึกษา 2564 โดยวิทยาเขตได้ประสานไปยังคณะต่างๆ เพื่อเชิญชวนนักศึกษาใหม่ทุกคนเข้าร่วมรับวัคซีนให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ หลังเตรียมเปิดจังหวัดภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564”  รองศาสตราจารย์ ดร.พันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ม.อ.ภูเก็ต ได้เร่งเชิญชวนและทำความเข้าใจให้กับประชาชนเร่งเข้ารับวัคซีน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19 พร้อมทำความเข้าใจให้แก่ประชาชนเพื่อให้คลายความกังวลต่อผลข้างเคียง เนื่องจากวัคซีนทุกตัวล้วนมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น  โดยผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้สูงกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดกันตามปกติตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้น การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะช่วยลดการติดเชื้อโควิด-19 และลดโอกาสการเสียชีวิตหากติดเชื้อขึ้นมาแล้ว ยังเป็นการลดการแพร่การระบาดของโรค และถือเป็นการร่วมรับผิดชอบต่อประเทศและมวลมนุษยชาติด้วย

TM ติดโผหุ้นน่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปี64

บมจ.เทคโนเมดิคัล หรือ TM ปลื้ม สถาบันไทยพัฒน์ คัดเลือก TM ติดโผ1 ใน 24 “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ปี 2564  ระบุ การได้รับคัดเลือกนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการ ภายในองค์กรที่ดี พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงการตอบโจทย์ด้านการให้บริการ ระดับสากล พร้อมประกาศเดินหน้ายกระดับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ให้บริการผู้สูงอายุแบบครบวงจร ดันรายได้แบบ Recurring income สู่รายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกติดในทำเนียบ “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List  ที่มีการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100

ล่าสุด TM ติด1ใน 24 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 บริษัท / กองทุน / ทรัสต์เพื่อการลงทุน โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG Rating สถาบันไทยพัฒน์ จำนวนกว่า 15,260 จุดข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาจะคัดเลือกจากหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่น หรือกระบวนการทำงานทางธุรกิจให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพิ่มเติมจากเดิมในรอบปีการประเมิน รวมถึงความริเริ่มด้าน ESG หรือที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน ซึ่งสร้างผลกระทบทางตรงต่อการเติบโตของรายได้

นางสุนทรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ TM ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ดี โดยบริษัทฯพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคู่ค้า ลูกค้า ด้วยมาตรฐาน ระดับสากล  จนสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ดี ภายใต้สถานการณ์โควิด พร้อมยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้

จากประเด็นดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นหุ้นคงทน (Durable Stocks)ที่จะก้าวสู่การสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ตามเกณฑ์ ESG Rating

พร้อมกันนี้ บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์โครงสร้างธุรกิจ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ที่ยกระดับมุ่งสู่การพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ให้บริการผู้สูงอายุแบบบูรณาการครบวงจร โดยเพิ่มไลน์ธุรกิจสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท ทีเอ็ม เนิร์สซิ่ง แคร์ จำกัด (TMNC) โดย TM ถือหุ้นสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นกลุ่มแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงอายุ โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางดังกล่าว คาดจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ ประมาณช่วงปลายปี 2566  ส่งผลให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้เข้ามาเฉลี่ย 100 -150 ล้านต่อปี โดยรายได้ดังกล่าวเข้ามาชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การสร้างมูลค่าเพิ่มในส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

SMD จองซื้อ 9-11 มิ.ย. นี้ IPO หุ้นละ 7.20 บาท

บมจ.เซนต์เมด (SMD) ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับ เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 9-11 มิ.ย. 64 พร้อมเตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ 17 มิถุนายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD” เตรียมเดินหน้าขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ให้เช่าเครื่องมือทางการแทพย์ หนุนผลงานปี 64 รายได้เติบโต 15%  

วันที่ 8 มิถุนายน 2564 บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ SMD ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด

นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บมจ.เซนต์เมด ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 9-11 มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD”

สำหรับการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนรายย่อยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุน ที่มาเข้าร่วมรับฟังแผนดำเนินงานและเป้าหมายในอนาคต โดย SMD ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต ซึ่งเตรียมพร้อมก้าวสู่ความเลิศด้านการจัดจำหน่ายและบริการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะการเผชิญต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายโรงพยาบาลเปลี่ยนจากซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เป็นการเช่าเพื่อสำรองกระแสเงินสด ส่งผลให้ตลาดเครื่องมือแพทย์ให้เช่าของ SMD เติบโต ประกอบกับจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับ ทำให้มีฐานลูกค้าที่ครอบคลุมและมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

“การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ SMD ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากแผนการลงทุนที่ชัดเจน จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับมีความมั่นคงของผลการดำเนินงาน การรันตีได้จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก ส่งผลให้ SMD มีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวในอนาคตข้างหน้า” นายกิตติพันธ์ กล่าว

เอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SMD การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ของ SMD ถือเป็นก้าวสำคัญในการจะเพิ่มศักยภาพ และฐานะการเงินเพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนต่างๆ จากประสบการณ์การทำงานที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลกกว่า 30 ราย โดยผลิตภัณฑ์ของ SMD อยู่ในกลุ่มตลาดที่เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา อีกทั้ง การเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ที่เป็นฐานรายได้หลักที่อยู่ในกลุ่มสินค้าในห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วย ICU และเครื่องช่วยหายใจ รวมถึงสำหรับผู้ป่วยหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานสามารถเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและโดดเด่นกว่าในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ทั้งนี้ SMD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 107 ล้านบาท แบ่งเป็น 214 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 80 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 54  ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ  25.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต จากแผนรุกขยายธุรกิจเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เช่า และโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ โดยได้ร่วมมือกับรพ.ศิริราช และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก พร้อมทั้งมีแผนขยายไปสู่โรงพยาบาลชั้นนำอีกหลายแห่ง เพื่อดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ

ขณะเดียวกัน การระดมทุนทำให้มีฐานทุนเพิ่มขึ้นและสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ลดลงมาต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 1.87 เท่า ทำให้ SMD สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอตามนโยบายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี (2564-2566) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี หลังเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายเตียงสำหรับตรวจการนอนหลับโดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเตียงตรวจเฉลี่ยปีละ 8 เตียงตรวจ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2566 จะมี 28 เตียงตรวจ จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 4 เตียงตรวจ นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มเครื่องมือแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และการลงทุนให้เช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ  ซึ่งจะส่งผลให้ SMD มีแนวโน้มที่จะเติบโตในระยะยาว สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ และนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)

สำหรับผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ  มีรายได้มีจากการขายและบริการรวม 155.4 ล้านบาท เติบโต 38.3%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 112.3 ล้านบาท หลังความต้องการใช้อุปกรณ์การแพทย์ของภาครัฐที่เพิ่มขี้นต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาหลายองค์กรในภาคเอกชน ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าของ SMD เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2564 ทำได้ 8.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 464.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2.2 ล้านบาท หลังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบได้อย่างโดดเด่น

JKN มอบถุงน้ำใจช่วยมูลนิธิเด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศ

นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เป็นตัวแทนมอบ ถุงน้ำใจ แอน จักรพงษ์ ภายในถุงประกอบด้วยคุกกี้ช็อกโกแลตชิพบรรจุในซองภาพวาดของลูกสาว น้องแองเจิ้ล และน้ำดื่มที่ฉลากเป็นภาพวาดของลูกชาย น้องแอนดวูร์ รวมถึงอาหารแห้ง ‘หมี่วอย’ และข้าวเกรียบปลาทู ‘ทูฟิต’ เพื่อมอบให้กับมูลนิธิเด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศ  โดยเริ่มมอบให้แก่ มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียบิดามารดาและขาดญาติมิตร เป็นมูลนิธิแรก โดยมี จันทิรา สมบุญเกิด (ที่ 2จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทุนและการสื่อสาร และสมัคพล ศรียานนท์ (ซ้ายสุด) หัวหน้าแผนกผู้บริจาครายใหญ่และองค์กร เป็นผู้รับมอบ เพื่อมอบเป็นกำลังใจให้แก่เด็กด้อยโอกาส

 

NAXPRO GLOSS & GO 7in1 เจาะกลุ่มคนรักสองล้อ

นิปปอนเพนต์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ NAXPRO GLOSS & GO 7in1 ใช้ขวดเดียว…เท่ห์ทั้งคันเดินหน้ากลยุทธ์ เจาะกลุ่มตลาดดูแลรักษารถจักรยานยนต์ เอาใจคนรักรถสองล้อ

นายนพดล ศรีสินรุ่งเรือง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยธุรกิจสีพ่นรถยนต์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทได้เปิดสินค้าตัวใหม่ NAXPRO GLOSS & GO 7in1 ใช้ขวดเดียว…เท่ห์ทั้งคน เท่ห์ทั้งคัน โดยนำนวัตกรรมใหม่ Super Gloss Multifunction wax ที่สามารถใช้ได้ในทุกพื้นผิวของรถจักรยานยนต์ เจาะกลุ่มตลาดผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่ต้องการดูแลรักษารถเป็นพิเศษ

โดยผลิตภัณฑ์ NAXPRO GLOSS & GO 7in1 สามารถตอบโจทย์พฤตติกรรมการใช้ดูแลรถจักรยานยนต์ ได้อย่างดี ตามสโลแกน “ใช้ขวดเดียว…เท่ห์ทั้งคน เท่ห์ทั้งคัน” ทั้งหมวกกันน๊อค เบาะหนังทุกเฉดสี สีรถ พลาสติก ยางดำ โลหะโครเมี่ยม และแจ๊คเก็ตหนัง ซึ่งช่วยทั้งป้องกันเบาะแห้งแตกกรอบ ปกป้องรังสี UV ให้เบาะรถจักรยานยนต์ เงางามเหมือนใหม่ และป้องกันฝุ่นละออง และคราบสิ่งปกปรกฝังแน่น บนพื้นผิววัสดุ  ใช้งานได้อย่างง่ายดาย เพียงเทผลิตภัณฑ์ลงบนฟองน้ำที่แถมไว้ในกล่อง แล้วเช็ดบนพื้นผิว หลังการทำความสะอาดรถจักรยานยนต์ เพียงเท่านี้ก็ได้รถจักรยานยนต์ที่ดูเงางาม ทั้งสีรถ เบาะหนัง และส่วนอื่นๆด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้กับแจ็คเก็ตหนังตัวเก่ง และกระเป๋าหนัง รองเท้าหนัง โซฟา ทั้งหนังแท้และหนังเทียมทุกเฉดสี

เบื้องต้นบริษัทจะวางจำน่ายผ่านช่องทางดีลเลอร์ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตัวแทนขายอิสระ ศูนย์บริการสีและดูแลรถยนต์ครบวงจร NAX COATING SOLUTION CENTER และช่องทางอีคอมเมอรซ์ ผ่าน NIPPON AUTO Official Store ทั้ง LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL หากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่สนใจ สามารถติดต่อสั่งซื้อตรงที่บริษัท โทร. 02-077-6967 หรือ Facebook Naxpro ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์

อนึ่งจากสถิติของกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 พบว่ามีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสม รวมทั้งสิ้น  21,655,091 คัน แบ่งเป็นรถจักรยายนต์ส่วนบุคคล จำนวน 21,487,680 คัน และรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ  167,411 คัน ซึ่งตัวเลขนี้ สามารถขยายโอกาสในไลน์ผลิต และการพัฒนาสินค้าต่อไป

TQM มอบถุงน้ำใจ-แจกประกันแพ้วัคซีน

บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น โดยทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ (TQM) มอบถุงยังชีพให้แก่ชุมชนบริเวณใกล้เคียงบริษัท จำนวน 1,000 ชุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมเดินหน้าแจกประกันแพ้วัคซีนฟรีแก่คนไทยทั่วประเทศ หวังสร้างความสบายใจและสนับสนุนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอย่างมั่นใจไร้กังวล

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ทีคิวเอ็มเห็นถึงความเดือดร้อนของคนไทยที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายในการดูแลและตอบแทนต่อสังคม จึงได้จัดทำถุงยังชีพซึ่งภายในถุงบรรจุด้วยสิ่งของเครื่องใช้ทั้งอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน อาทิ ข้าวสาร ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจลแอลกอฮอล์ และหน้ากากอานามัย โดยได้จัดทำทั้งสิ้นจำนวน 1,000 ถุง เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสำนักงานใหญ่ของบริษัท เพื่อหวังบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัท ฯ ยังได้ร่วมกับวัดลาดปลาเค้าในการเป็นศูนย์กลางเพื่อนำถุงยังชีพส่วนหนึ่งกระจายไปยังประชาชนในชุมชนที่อยู่ระแวกใกล้เคียงวัด

“ทีคิวเอ็ม ได้มีโอกาสบริจาคอาหารและของใช้สิ่งจำเป็น แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีค่ามากในยามนี้  เพียงแค่นี้ ผู้ที่มีโอกาสให้ก็มีความสุขแล้วครับ ต้องยอมรับว่าการระบาดโควิดรอบนี้ สร้างความยากลำบากทางเศรษฐกิจมากกระทบกันหมด ผู้ที่ยังมีงานทำ มีรายได้ แม้อาจจะน้อยลงบ้าง ก็ถือว่ายังดีมีอีกหลายๆ อาชีพ ที่ต้องตกงาน ว่างงาน และไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดที่จะกลับสู่ภาวะปกติ ในอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นน้ำใจคนไทย ที่ช่วยเหลือกันทั้งการบริจาคเงิน อาหาร ของใช้ต่าง ๆ มากมาย โรงพยาบาล แพทย์ และบุคคลากรต่าง ๆ  เป็นหน่วยงานที่น่าเห็นใจที่สุด ทั้งเหนื่อยและเสี่ยงทุกวันที่ทำงาน จะ Work from home ก็ไม่ได้ ตราบใดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นหลักพัน ต้องขอขอบคุณมาด้วยใจจริงครับ”

นอกจากนี้ ทีคิวเอ็มยังขานรับนโยบายการกระตุ้นให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อให้คนไทยเกิดความสบายใจและมั่นใจก่อนเข้าฉีดวัคซีนด้วยการร่วมมือกับบริษัท เดอะ วัน อินชัวร์รันส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบประกันภัยแพ้วัคซีนที่ให้ความคุ้มครองกรณีแพ้วัคซีนสูงสุด 100,000 บาท แก่คนไทยทั่วประเทศกว่า 1 ล้านสิทธิ์ โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครรับสิทธิ์ได้ฟรีที่เว็บไซต์ www.tqm.co.th

โลตัส เตรียมแจก วัคซีนพาสปอร์ต หนุนคนไทยฉีดวัคซีนโควิด-19

โลตัส เตรียมแจกวัคซีนพาสปอร์ตให้กับประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อสนับสนุนให้คนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยวัคซีนพาสปอร์ตประกอบไปด้วยคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดรวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เริ่มแจกพร้อมกันที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตโลตัสทั่วประเทศ 1 กรกฎาคม นี้

สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โลตัส สนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเร่งด่วน โดยเราได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนพื้นที่ภายในสาขาและสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยในกรุงเทพมหานคร โลตัส มีจุดฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 จุด คือ โลตัส พระราม 4, โลตัส มีนบุรี, และโลตัส สำนักงานใหญ่ถนนนวมินทร์ นอกจากนั้น ยังมีสาขาในต่างจังหวัดที่เริ่มเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเช่นกัน เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ลูกค้าและประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 เราได้จัดทำวัคซีนพาสปอร์ตจำนวน 100,000 เล่ม มอบคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดมูลค่ากว่า 4,000 บาทต่อเล่ม เพื่อเป็นการขอบคุณประชาชนที่ร่วมใจกันฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โลตัส ขอบคุณคู่ค้าของเราที่ให้การสนับสนุนสินค้าและส่วนลดต่าง ๆ มากมาย”

วัคซีนพาสปอร์ต จะถูกกระจายไปยังไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ โดยประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (เข็มแรกหรือเข็มที่ 2 ก็ได้) จากจุดฉีดวัคซีนใดก็ได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นจุดฉีดในสาขาของโลตัส สามารถนำหลักฐานมาแสดงที่จุดบริการลูกค้าเพื่อรับวัคซีนพาสปอร์ต และสามารถใช้คูปองต่าง ๆ ภายในวัคซีนพาสปอร์ตตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 จนถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2564 หรือตามเงื่อนไขที่กำหนด

คูปองแจกสินค้าฟรีและส่วนลดในวัคซีนพาสปอร์ต อาทิ รับฟรี ขนมปลาเส้นแน็คซ์แน็คซ์, เจลล้างมืออนามัยเดทตอล, หน้ากากผ้าแม็คยีนส์, สติกเกอร์เติมลมไนโตรเจนที่ค็อกพิท และคูปองส่วนลด ลดทันที 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 400 บาทที่โลตัส, ซื้อบัตรฟู้ดคอร์ท 120 บาท ในราคา 100 บาท, ส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายใต้แบรนด์ 3M, ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาทที่โอเรียนทอล พริ้นเซส และคูปองส่วนลดสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์การค้า

“โลตัส หวังว่าวัคซีนพาสปอร์ตจะเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติคครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ลดความเสี่ยงในการติดและแพร่เชื้อโควิด-19 และลดความเสี่ยงจากการป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19” นายสมพงษ์ กล่าวสรุป

KKP Start Saving ชูดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 2%

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ KKP Start Saving ขึ้นเป็น 2% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝากสะสมในบัญชีไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อเป็นทางเลือกผลตอบแทนสูงให้กับผู้ที่ต้องการออมเงิน พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มจุดบริการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการเสียบบัตรประชาชน (Dip Chip) ณ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทุกสาขาในเขตกรุงเทพฯ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีเงินฝาก KKP Start Saving บนแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท และเข้าถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายและสุขอนามัยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การฝากเงินกับธนาคารเป็นการลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนอย่างในปัจจุบัน ธนาคารเกียรตินาคินภัทรจึงได้จับมือกับทรูมันนี่ ประกาศเพิ่มดอกเบี้ยบัญชีเงินฝาก KKP Start Saving ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เป็น 2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝากสะสมไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อจูงใจให้มีการออมเงิน อีกทั้งสนับสนุนการใช้แอปอีวอลเล็ททดแทนเงินสด ในการเติมเงินหรือสแกนจ่ายเงินโดยตรงกับร้านค้าชั้นนำ อาทิ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven, โลตัส, แมคโคร, เชสเตอร์, ทรูคอฟฟี่ และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดจากการสัมผัส และเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากมายซึ่งมีการนำเสนอผ่านแอปอย่างต่อเนื่อง”

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า ภายหลังการร่วมมือกับธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ “KKP Start Saving” ผ่านแอปพลิเคชั่นทรูมันนี่ วอลเล็ท มากว่า 7 เดือน ก็มีผู้ใช้สนใจเปิดบัญชีเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยยอดเงินออมโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปลายปีที่แล้วเกือบเท่าตัวมาอยู่ที่มากกว่าพันล้านบาท นอกจากนั้นเรายังพบว่าผู้ใช้ที่เปิดบัญชีออมทรัพย์ KKP Start Saving มากกว่า 70% มีการเติมเงินและใช้จ่ายในแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมทางการเงินที่เราคิดค้นและมอบให้นั้นสนับสนุนการผลักดันสังคมไร้เงินสด อีกทั้งเติมเต็มความต้องการในการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ใช้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านจากผู้ให้บริการอีวอลเล็ทมาเป็นผู้ให้บริการทางด้านการเงินดิจิทัลที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้จ่ายและเก็บออมในชีวิตประจำวัน

 

 

 

 

 

ขั้นตอนการเติมเงินและเปลี่ยนช่องทางชำระเงินร้านค้าเป็นบัญชีออมทรัพย์ KKP Start Saving
เติมเงินเข้าบัญชี TrueMoney Wallet
โดยเชื่อมกับบัญชี KKP Start Saving เปลี่ยนช่องทางชำระเงิน
เป็นบัญชี KKP Start Saving เพื่อจ่ายเงินร้านค้า

 

 

ตัวอย่างร้านค้าที่รับชำระด้วยบัญชี KKP Start Saving ในแอป TrueMoney Wallet

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถคลิกอ่านรายละเอียด เงื่อนไข และโปรโมชั่นต่าง ๆ ของการเปิดและใช้งานบัญชีออมทรัพย์ KKP Start Saving ได้ที่ https://www.truemoney.com/startsaving/