ดีป้า เร่งส่งเสริมเกษตรกรไทยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ดีป้า เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรชาวสวนทุเรียนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลวางแผนการผลิตให้ได้ตามข้อกำหนดมาตรฐาน GAP พร้อมเชื่อมโยงตลาดกับแหล่งผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพทุเรียนไทย สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค พร้อมสยายปีกสู่ตลาดโลกอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้มาตรฐานจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและการดูแลผลผลิต เพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ระบบออนไลน์ วางรากฐานภาคเกษตรกรรมไทยสู่เกษตรอัจฉริยะ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล อีกทั้งรองรับการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในอนาคต

โดยปัจจุบัน ทุเรียนนับเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งไทยคือผู้ส่งออกทุเรียนสดอันดับ 1 ของโลก โดยการส่งออกทุเรียนสดของไทยในช่วงที่ผ่านมาของปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 2,800-2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดครั้งใหม่จากที่เคยทำไว้ในปีที่ผ่านมาจนทุเรียนกลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจตัวใหม่รองจากยางพารา และแซงหน้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และหากนับเฉพาะการส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทุเรียนสดของไทยสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 934.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนมีอัตราการเติบโตสูงถึง 130.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ดีป้า เล็งเห็นความสำคัญของพืชเศรษฐกิจอย่าง ทุเรียน จึงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนกว่า 300 คนประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Kasettrack ที่ได้รับการพัฒนาโดย บริษัท วีเดฟซอฟท์ จำกัด ดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย หนึ่งในผู้บริการดิจิทัล (Digital Provider) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ ดีป้า ซึ่งดีป้าได้ส่งเสริมให้เกษตรกรได้เข้าถึงบริการผ่านโครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัล (mini Transformation Voucher) โดยที่เกษตรกรได้เลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้เองและดีป้าจะช่วยสนับสนุนเป็นค่าเช่าหรือซื้อบริการดิจิทัล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในทางหนึ่ง ซึ่ง Kasettrack ถือเป็นบริการดิจิทัลในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ช่วยเกษตรกรในการวางแผนการผลิตให้ได้ตามข้อกำหนดมาตรฐาน GAP เชื่อมโยงตลาดกับแหล่งผลิต โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ผลิตพืชผักผลไม้ในจังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ยะลา นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม จันทบุรี สกลนคร สระบุรี ฯลฯ ใช้งาน Kasettrack แล้วกว่า 1,700 คน

นางสาวเจียวหลิง พาน กรรมการผู้จัดการบริษัท รอยัล ฟาร์ม กรุ๊ปจำกัด (Thailand) ผู้ส่งออกทุเรียนไทยไปจีน รองนายกสมาคมการค้าผลไม้ยุคใหม่ ฝ่ายต่างประเทศ และกรรมการสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวจีนรู้จักชื่อเสียงของทุเรียนไทย และให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยหมอนทองยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด และตามมาด้วยพันธุ์อื่น ๆ ขณะที่ผู้บริโภครุ่นใหม่จะนิยมทุเรียนเกรดพรีเมียม และสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดย Kasettrack นอกจากจะช่วยเชื่อมโยงผู้ซื้อกับเกษตรกรที่ผลิตทุเรียนคุณภาพเข้าหากันแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้แหล่งที่ปลูก เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพและคุณค่าของทุเรียนไทยอีกด้วย

ด้าน นายบรรเลง ศรีสวัสดิ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลรับร่อ ประธานกลุ่มทุเรียนคุณภาพเนิน 491 จังหวัดชุมพร ได้เล่าประสบการณ์ใช้งาน Kasettrack ว่า เกษตรกรทุกช่วงวัยสามารถนำแอปพลิเคชันดังกล่าวไปใช้ได้จริง ซึ่งช่วยเกษตรกรในการรวมกลุ่ม วางแผนค่าใช้จ่าย บริหารจัดการสวนทุเรียน จดบันทึกข้อมูลเพื่อตรวจรับรองมาตรฐาน GAP ทำให้การผลิตทุเรียนได้คุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

ดร. เมธินี ศรีวัฒนกุล เลขานุการเครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย (GAP Net) กล่าวว่า ทุเรียนที่ส่งออกไปยังประเทศจีนได้ ต้องเป็นไปตามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช โดยทุเรียนต้องมาจากแปลงที่ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐาน GAP ซึ่งสมาคมและองค์กรต่าง ๆ ในภาควิชาการ รวมถึงห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตลอดจนเชื่อมโยงกับองค์กรภาครัฐ พร้อมเห็นถึงประโยชน์ของ Kasettrack ที่สามารถช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่ ทำให้เกษตรกรจดบันทึกได้อย่างเป็นระบบ มีการบันทึกภาพถ่ายแหล่งน้ำ พื้นที่ปลูก วิธีจัดการแปลง คาดการณ์ผลผลิต  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบคุณภาพภายในกลุ่ม และสนับสนุนการตรวจประเมินแบบเสมือนจริงแทนการเดินทางไปตรวจ ณ แปลงเกษตรกร ทำให้สามารถประเมิน ให้คำปรึกษาวิชาการในการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และออกใบรับรองมาตรฐาน GAP แก่เกษตรกรได้รวดเร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อตรวจประเมิน  อีกทั้งช่วยป้องกันการนำเลขทะเบียน GAP ของเกษตรกรคุณภาพไปใช้ และลดการสวมสิทธิ์ใบรับรองมาตรฐาน GAP

เผยวิสัยทัศน์ “นึก ชลเดช” นายกสมาคมฟินเทค

ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับ นายกสมาคมฟินเทค ประเทศไทย ไม่ผิดโผทุกคนต่างเทคะแนนให้กับ นึกชลเดช เขมะรัตนา และ ทีมบอร์ดบริหารสุดแข็งแกร่ง ที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในด้าน Fintech ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาที่มีความถนัดเรื่อง Digital Asset มิล-อมฤต ฟรานเซน ที่ทำงานด้าน Insurtech มาหลายปี โย่-ภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ที่ปัจจุบันได้คลุกคลีอยู่ในวงการ Lending และสุดท้าย เอก-เอกสิทธิ์ เดี่ยววณิชย์ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้าน Crowdfunding โดยทาง ชลเดช ผู้สวมหมวกนายกสมาคมคนใหม่ล่าสุดนั้น ปัจจุบันเป็นผู้บริหารในบริษัท Wealth Tech ชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกยอมรับจากทั้งวงการฟินเทค และแวดวงตลาดทุนในบ้านเรามากที่สุดคนนึง

นายชลเดช เขมะรัตนา เผยแผนปั้นสมาคมฟินเทคประเทศไทย ให้เป็นศูนย์รวมของผู้มีส่วนได้เสียทุกหน่วยงานเพื่อร่วมกันใช้ฟินเทคพัฒนาอุตสาหกรรมการเงินอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ โดยผู้ที่มีส่วนได้เสียไม่ได้มีแค่เฉพาะสตาร์ทอัพอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงธนาคาร บล. บลจ. บริษัทประกัน หรือผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศ หน่วยงานกำกับดูแล และประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ

ตั้งต้นด้วยการปรับโฉม สร้างความเข้าใจใหม่สู่การเป็น “สมาคมของทุกคน”

เราต้องปรับภาพลักษณ์ให้สมาคมเข้าถึงได้ง่าย เป็นสมาคมของทุกคน ทั้งคนไทยและต่างประเทศที่เข้ามาตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยสมาคมฟินเทคประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับสมาคมฟินเทคในต่างประเทศแล้ว ซึ่งเริ่มจากการหาความร่วมมือกับประเทศที่เป็น Global Fintech Hub ก่อน เช่น อังกฤษ จีน สิงคโปร์ เป็นต้น นอกจากนี้ สมาคมฟินเทคยังได้ Rebranding โดยการเปลี่ยนโลโก้ให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเรียกสมาคมภาษาอังกฤษเป็น TFA ย่อมาจาก Thai Fintech Association

ความท้าทาย 52 สัปดาห์แรก แห่งการสร้าง Networking และ Infrastructure

ความท้าทายแรก คือ ต้องปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ทั้งหมดให้สำเร็จโดยไว โดย TFA แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ 52 สัปดาห์แรก และ 52 สัปดาห์หลัง ในส่วนแรกจะเน้นขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งวางโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง การมี Networking ที่ดีจะช่วยให้ผู้ประกอบการด้านฟินเทคเข้ามาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับระเบียบและกฎเกณฑ์ทางการ เพราะประเทศไทยมีหน่วยงานกำกับดูแลหลายหน่วยงาน ดังนั้น TFA จึงมีความตั้งใจที่จะช่วยประสานงานกับผู้ประกอบการฟินเทคและหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มการประชุมเป็นประจำทุกเดือนกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน กลต. และสำนักงาน คปภ. เพื่อวางแผนและทำงานร่วมกันในการพัฒนาวงการฟินเทคในประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานที่ TFA อยากผลักดันให้เกิดขึ้นคือ API Exchange  โดยการอาสาเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา Market Place สำหรับเผยแพร่และแลกเปลี่ยน API เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาบริการด้านฟินเทคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องทำงานซ้ำซ้อนกัน ใครทำเรื่องอะไรได้ดีก็ให้ทำออกมาในรูปแบบ API ให้หน่วยงานอื่นสามารถนำไปใช้ต่อได้แล้วค่อยมาแบ่งรายได้หรือจ่ายค่าบริการตามการใช้งานจริง ซึ่งในปัจจุบันมีหน่วยงานที่ทำเรื่อง Open API ได้ดีอยู่แล้ว TFA จึงสามารถร่วมงานกับหน่วยงานดังกล่าวเพื่อกำหนดรูปแบบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และวาง API Roadmap สำหรับการขยายฐานผู้ใช้งาน API Exchange ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเชื่อมต่อกับ API Exchange อื่นที่มีอยู่ในต่างประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเปิดตลาดไปยังต่างประเทศได้ และให้ผู้ประกอบการต่างประเทศมาลงทุนทำธุรกิจด้านฟินเทคในประเทศไทยได้เช่นกัน

52 สัปดาห์หลัง ต่อยอดฟินเทคสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเสริมช่องทางความรู้ด้านฟินเทค และดึงความสนใจจาก VC ต่างชาติ

ใน 52 สัปดาห์หลังจะเป็นการต่อยอดจากในส่วนแรก ด้วยการสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพ และสถาบันการเงิน ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมใช้ Networking ทั้งหมดที่หามาสร้างให้อุตสาหกรรมฟินเทคในประเทศไทยสามารถอยู่ได้แบบยั่งยืน  ซึ่งการทำให้ยั่งยืนนั้นเราต้องเริ่มตั้งแต่รากฐานก็คือการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ Fintech ให้แก่คนในประเทศ แต่ในไทยเรายังขาดช่องทางที่หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องฟินเทคและการเงินการลงทุนทั่วไป หรือหากมีข้อมูลดังกล่าวก็อาจจะไม่ครบถ้วน หรือดูยากเกิน ดังนั้น TFA จึงอยากจะช่วยเหลือในส่วนนี้ โดยการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจฟินเทคมากขึ้น และรู้ว่าตนเองกำลังจะใช้บริการทางการเงินอะไร มีวิธีการและขั้นตอนรวมไปถึงความเสี่ยงและผลประโยชน์จากการใช้บริการทางการเงินนั้นๆ อย่างไรบ้าง TFA จึงได้มีการวางแผนจัดทำคอร์สด้านการเงินและฟินเทค โดยวิทยากรจะมาจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Fintech ทั้งในและต่างประเทศ โดยกรรมการบริหาร TFA ก็จะเป็นวิทยากรเองด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะมีโควตาสำหรับสมาชิกให้สามารถร่วมเรียนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้เรายังวางแผนจัดทำหลักสูตรและให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินทั่วไปและฟินเทค ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าเราไปสอนเด็กที่เรียนบริหารฝั่งการเงิน และฝั่งเทคโนโลยีให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเงิน และ ฟินเทค เราก็จะได้คนรุ่นใหม่ที่เข้าใจสินค้าทางการเงิน มีภูมิคุ้มกันตัวเองมากขึ้น โดนหลอกได้ยาก รู้จักลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ และสามารถกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในวงการฟินเทค ประเทศไทยในอนาคตได้

ส่วนการสร้างแรงดึงดูดความสนใจจาก VC ต่างชาตินั้น ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศยังไม่รู้จักฟินเทค ในประเทศไทยมากนัก TFA จึงอยากทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมฟินเทค ประเทศไทยให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ด้วยการจัดงาน Roadshow กับทางต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็ต้องเป็นในรูปแบบออนไลน์ไปก่อน  โดยงานดังกล่าวจะเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้ของแต่ละประเทศ และเป็นการทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามารู้จักกับสตาร์ทอัพที่เป็นฟินเทคในไทยมากขึ้น นอกจากนี้เราจะมีการจัดทำ Database บริษัทฟินเทค ในประเทศไทยโดยแบ่งตามกลุ่มธุรกิจและรอบการระดมทุน เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกลงทุนกับสตาร์ทอัพในไทยก่อนด้วย

ตั้งเป้าผลักดันประเทศไทย สู่ Top 5 ฟินเทคฮับ ในเอเชีย ภายใน 2 ปี

TFA ต้องการสร้างประโยชน์ให้กับคนไทยทุกคนด้วยการเป็นศูนย์กลางด้านฟินเทค เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงและเข้าใจบริการด้านฟินเทคอย่างถ่องแท้มากขึ้น พร้อมมุ่งให้ผู้ประกอบการมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการฟินเทคได้มีระบบ API ที่มีมาตรฐานให้สามารถนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องทำใหม่ขึ้นมาเอง และยังสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่เป็น Talent ด้านการเงิน และฟินเทคโดยเฉพาะ รวมไปถึงการได้เข้าถึงนักลงทุนในระดับต่างประเทศ ผ่านตัวกลางอย่าง TFA  โดยเราตั้งเป้าให้ประเทศไทยติดอันดับ Top 5 ฟินเทคฮับในเอเชียภายใน 2 ปี ผ่านแผนกลยุทธ์ทั้งหมดที่กล่าวมาโดยมีผู้ส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมการเงินและฟินเทคเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาฟินเทค ประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

SYS ได้รับการรับรองมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจประจำปี 2564

บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์มานานกว่า 25 ปีได้รับการคัดเลือกมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ ประจำปี 2564 ประเภทธุรกิจที่ได้รับการต่ออายุหนังสือรับรอง และก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจธรรมาภิบาลต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยยกให้เป็นต้นแบบธุรกิจสีขาวที่จะเป็นแบบอย่างให้ธุรกิจอื่นๆต่อไป

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประกาศรายชื่อธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือกมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ ประจำปี 2564 ซึ่งธุรกิจที่ผ่านการประเมิน จะได้รับหนังสือรับรองและตราเครื่องหมายรับรอง “มาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ” จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรอง เป็นระยะเวลา 3 ปี นอกจากนี้ ยังจะได้รับสิทธิในการระบุข้อความรับรองมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจบนหนังสือรับรองนิติบุคคล ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้า อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ธุรกิจรายอื่น

นายเจษฎา ปลั่งมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS เผยว่า SYS ได้ดำเนินธุรกิจมานานมากกว่า 25 ปี ด้วยความโปร่งใส ยึดหลักนิติธรรม และคุณธรรมในการบริหารงาน โดยปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ อย่างเคร่งครัด มีการกำหนดเรื่องของธรรมาภิบาลเป็นนโยบายหลักขององค์กร เพื่อให้พนักงานทุกคนยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ SYS ยังได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

“ขอขอบคุณกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้จัดกิจกรรมการรับรองมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ อย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้ภาคธุรกิจมุ่งมั่นที่จะบริหารกิจการด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และเป็นธรรม ซึ่งหากทุกธุรกิจยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน ก็จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

ส่อง Budweiser กระเป๋า Bud Tote Bag รุ่นลิมิเต็ด

Budweiser หนึ่งในแบรนด์เบียร์ชั้นนำที่บริษัท บริวเบอรี่ จำกัด นำเข้าและจัดจำหน่ายภายใต้การบริหารงานของ จี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้ก่อตั้งและประธาน เป็นแบรนด์ที่มีอายุยาวนานกว่า145 ปี เปิดตัวคอนซูเมอร์โปรโมชั่นใหม่ล่าสุดกระเป๋าสุดเท่ที่มีชื่อว่า Bud Tote Bag ภายใต้หลัก Concept ของ Multitasking Bag ที่ทาง Bud เล็งเห็นว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีพลังงานในการขับเคลื่อนสูง lifestyle มีหลากหลายของกิจกรรมที่ต้องทำในหนึ่งวัน ทั้งไปทำงาน ช้อปปิ้ง ออกกำลัง ทั้งโดยสาร BTS หรือซ้อนมอเตอร์ไซด์ Budweiser จึงได้ออกสินค้าแพ็คพิเศษ Bud tote Bag ที่สามารถปรับรูปทรงการใช้งานของกระเป๋าได้หลากหลายวิธีเข้ากับ Lifestyle ของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน  #Budtotebag #BeABUD #Multitasking และเป็นการต่อยอดความสำเร็จของ Bud Bag ทั้งสองเวอร์ชั่นที่เปิดตัวจัดจำหน่ายมาก่อนหน้านี้และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม

Budweiser นั้นตอกย้ำความเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์ว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ iconic ของโลกที่มีมานานกว่า 145ปี เป็นแบรนด์ที่ยังคงพัฒนาและมีวิวัฒนาการของตัวเองอยู่ตลอดให้เข้ากับโลคยุคใหม่ มีจุดเด่นในด้าน แฟชั่นที่สนับสนุนให้ทุกคนกล้าที่จะแตกต่างในแบบของตัวเอง กล้าออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ จึงสะท้อนออกมาเป็นกระเป๋ารุ่นใหม่ล่าสุด Bug Tote Bag ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์หลักเรื่องการใช้งานได้อย่างหลากหลาย (Multitasking) และนำเสนอด้วยสีแดงสีหลักสำคัญของแบรนด์ Budweiser โดย Bud Tote Bag นั้นจับกลุ่มเป้าหมาย Unisex สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย เพียงแค่มีไลฟ์สไตล์เป็นคนลุยๆ มี energy ชอบทำกิจกรรมหลากหลายและชอบความเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น กระเป๋า Bud Tote Bag ตัวนี้ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

Bud Tote Bag มากด้วยฟังก์ชั่นและประโยชน์ใช้งานได้ถึง 4 รูปแบบด้วยกันได้แก่ Cross Body, Backpack, Shopping Bag, Shoulder Bag โดยสามารถเป็นเจ้าของ Limited Edition ชิ้นนี้ในราคาเพียงใบละ 599 บาท สินค้าถูกผลิตและจำหน่ายในจำนวนจำกัด มีวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 64 ถึง 31 ตุลาคม 64 ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเครือของ The Mall group, Siam Paragon, EmQuartier, Villa Supermarket และในช่องทางออนไลน์ที่ Wishbeer, Beercareful และ HOBS

ทำความรู้จักแพลตฟอร์ม 10X1000 Tech for Inclusion

10X1000 Tech for Inclusion แพลตฟอร์มที่รวบรวมการอบรมและการเรียนรู้ด้านฟินเทคได้ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรผู้นำด้านฟินเทค นักลงทุน และอุตสาหกรรมด้านการเงินการลงทุนจากทั่วโลกเพื่อนำเสนอหลักสูตรที่จะให้องค์ความรู้ ให้แนวคิดเกี่ยวกับฟินเทคและได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้นำองค์กรระดับนานาชาติ

10X1000 ได้รับความร่วมมือจาก IFC หรือ International Finance Corporation หนึ่งในสมาชิกของ World Bank Group และ Alipay ในปี 2018 ร่วมนำเสนอหลักสูตรที่มีชื่อว่า “Flex” ตั้งเป้ารับสมัครผู้อบรมที่มีคุณสมบัติและผ่านการคัดเลือกเข้าจำนวน 1,000 รายจากทั่วโลก ซึ่งเตรียมเปิดการอบรมในเดือนตุลาคม 64 โดยหลักสูตรดังกล่าวนี้จะเป็นการเรียนการสอนออนไลน์เต็มรูปแบบ

ผู้เข้าอบรม 1,000 รายชื่อจากทั่วโลกในหลักสูตร Flex จะมาจากการคัดเลือกของกลุ่มพันธมิตร เช่น IFC, United Nations Development Programme, United Nations Economic Commission of Africa, SME Final Forum, Dubai International Financial Centre, Malaysia Digital Economy Corporation, KPMG และสมาคมฟินเทค แห่งฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ประเทศไทย

นายชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย (TFA) กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากทั่วโลก ในการนำเสนอหลักสูตรของ 10X1000 และเชื่อว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมฟินเทคในประเทศไทย จะสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีบุคลากรด้านฟินเทคอยู่ในวงที่จำกัดมาก ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีในการสร้างรากฐานความรู้ด้านฟินเทคให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ผ่านการเรียนรูปแบบออนไลน์โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทคระดับสากล ซึ่งเป้าหมายของ 10×1000 นั้น ตรงกับเป้าหมายและแผนงานที่ TFA ได้วางไว้ ในเรื่องการเสริมความรู้ด้านฟินเทค ทั้งในระดับพื้นฐาน และเชิงลึกให้ครอบคลุมมากที่สุด จึงถือได้ว่าการร่วมมือในครั้งนี้เป็นการนำร่องในการพัฒนาความรู้ด้านฟินเทคให้แก่คนไทย ก่อนที่จะก้าวไปเรียนรู้ด้านฟินเทคในเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์จริง ซึ่ง TFA มีแผนที่จะเปิดตัวหลักสูตรในช่วงต้นปี 2565 หากสถานการณ์โควิดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

หลักสูตร Flex เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานด้านฟินเทค หรืออยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ความพิเศษของหลักสูตรนี้คือการได้เรียนกับตัวจริงระดับโลก เน้นสอนผ่าน Case Study ด้วยการเชิญผู้นำในองค์กรด้านการเงินและเทคโนโลยี ที่ประสบความสำเร็จมาแบ่งปันความรู้ด้านฟินเทค ผ่านการเรียนที่ค่อนข้างยืดหยุ่นต่อผู้เรียน เพราะเป็นการเรียนรูปแบบออนไลน์ที่ผู้เรียนสามารถเลือกได้ว่าต้องการเริ่มเรียนในช่วงไหน ระหว่าง 11 ตุลาคม 64, 25 ตุลาคม 64, 1 พฤศจิกายน 64 หรือ 8 พฤศจิกายน 64 โดยจะเรียนในวันเวลาไหนก็ได้ แต่ต้องเรียนผ่านวีดีโอ 8 บทเรียน และทำแบบทดสอบ 3 ชุด ให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อรับ Certificate ของหลักสูตร ซึ่งในโปรแกรมจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และภายในเนื้อหาจะครอบคลุมทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและการเงิน รวมไปถึงกลยุทธ์การต่อยอดและขยายธุรกิจด้วย โดยการเรียนจะเน้นให้ผู้เรียนมี Mindset ที่ถูกต้อง มีความรู้ และได้ฝึกทักษะที่จำเป็นด้านฟินเทค เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้และต่อยอดกับธุรกิจของตนเองได้

Eric Jing ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ant Group เจ้าของแพลตฟอร์มด้านการเงิน Alipay กล่าวว่ารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับสมาคมฟินเทคประเทศไทย เพื่อให้ 10×1000 เติบโตไปอีกก้าวหนึ่งผ่านการร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยเราตั้งเป้าหมายร่วมกันลดช่องว่างทางความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital Skills Gap ในประเทศไทย โดย 10×1000 นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบุคลากรและผู้นำด้านเทคโนโลยีและการเงิน ปีละ 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายด้าน SDGs หรือการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN) ทั้งในเรื่องการศึกษา การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเรามั่นใจว่าผู้ที่จบหลักสูตร Flex ของ 10×1000 จะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้และพัฒนาระบบนิเวศน์ด้านการเงิน และฟินเทคในประเทศของตนเองได้ ซึ่งถ้าทำได้ดังนี้จริงก็จะช่วยให้ 10×1000 สามารถเข้าใกล้เป้าหมายด้าน SDGs ได้มากขึ้นเช่นกัน

นายชลเดช ทิ้งท้ายว่า สมาคมฟินเทคประเทศไทย จะคัดเลือกผู้เรียนจากผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด 100 ที่นั่ง ซึ่งจะเลือกจากรายชื่อผู้สมัครที่เป็นสมาชิกของ สมาคมฟินเทคประเทศไทย และต้องมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับฟินเทคหรือสาขาที่เกี่ยวข้องมาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี โดยวางแผนเปิดรับสมัครในวันที่ 20 กันยายน 64 – 4 ตุลาคม 2564 ผ่านทาง www.thaifintech.org และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าเรียนในวันที่ 8 ตุลาคม 64 ผ่านทางอีเมลที่สมัครมา

รร.โนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ เปิด “โฮสพิเทล”

โรงพยาบาลนวเวช ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 โดยร่วมกับ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ เปิด โฮสพิเทล (Hospitel) เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มอาการไม่รุนแรงหรือกลุ่มสีเขียว ภายใต้มาตรฐานการให้บริการของโรงพยาบาลนวเวช ที่มีความพร้อมทั้งทางด้านศักยภาพในการรักษา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการรักษา

ผู้ป่วยที่จะเข้ารับบริการจะต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี สำหรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจที่ได้รับการรับรองการติดเชื้อโควิดจากโรงพยาบาลอื่นสามารถเข้ารับบริการได้ โดยต้องได้รับการประเมินอาการจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลนวเวชก่อน เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่3 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งให้บริการทางการแพทย์ที่ดีและเข้าถึงง่าย ดูแลสุขภาพของทุกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ ด้วยบริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมก้าวเป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางทางการแพทย์ของชุมชน สอบถามรายละเอียดการเข้ารับบริการได้ที่ โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

แลคตาซอย ร่วมด้วยช่วยฝากร้าน

แลคตาซอย เดินหน้าส่งความสุข ส่งกำลังใจ ถึงพี่น้องชาวไทย และขอเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนร้านค้า ก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน กับแคมเปญ “ร่วมด้วยช่วยฝากร้าน” เชิญชวนร้านค้าทั่วประเทศ มาฝากร้านใต้โพสต์ที่แลคตาซอยจัดทำไว้ในแต่ละภาค  เพียงทำตามกติกา ดังนี้…

  • เเชร์โพสต์นี้เป็นสาธารณะ
  • ฝากร้านของตนเอง หรือร้านของพ่อเเม่พี่น้องเพื่อนๆ  พร้อมกับพิมพ์ข้อความเชิญชวนในคอมเมนต์ใต้ภาพตามภาคที่ร้านนั้น ๆ ตั้งอยู่
  • เชิญชวน อธิบาย ขายสินค้า บรรยายให้เต็มที่ พร้อมรูปภาพประกอบ และแนบลิงก์ร้านค้า

เพื่อเพื่อนๆจะได้ตามกันไปอุดหนุนสินค้ากันเยอะๆ ร่วมด้วยช่วยกันสร้างรายได้

สำหรับผู้ที่ร่วมด้วยช่วยกันเเชร์เชิญชวนได้โดนใจคณะกรรมการเเละทำถูกต้องตามกติกา ลุ้นรับ Lactasoy E-coupon มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 10 รางวัล  (สำหรับสั่งซื้อสั่งผลิตภัณฑ์แลคตาซอยในเว็บไซต์ www.lactasoyshop.com สงวนสิทธิ์ 1 รายชื่อผู้ใช้เฟสบุ๊คต่อ 1 รางวัล) ระยะเวลาร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 – 30 ก.ย.64  ประกาศผลในวันที่ 5 ต.ค.64 ทาง Facebook Lactasoy https://www.facebook.com/lactasoyclub แจ้งยืนยันสิทธิ์ภายในวันที่ 10 ต.ค.64 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/3w0PQ5o

กรมการพัฒนาชุมชน เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ OTOP

กรมการพัฒนาชุมชน จัดการอบรมโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา (Quadrant D) ให้มีคุณภาพมาตรฐาน ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร ผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ประกอบการสินค้าโอทอป กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา ได้เสริมทักษะทางด้านการตลาด สามารถนำความรู้ไปพัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมสนับสนุนสินค้าโอทอปให้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีผู้ชำนาญการเฉพาะด้านเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรการอบรม และให้เกียรติมาเป็นวิทยากรแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 244 ราย

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้าโอทอป ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา (Quadrant D) ลงทะเบียนผ่านระบบทั้งสิ้น 19,248 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าสินค้าโอทอปของกลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา ประสบปัญหาด้านคุณภาพ และมาตรฐาน รวมถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้สินค้าขาดศักยภาพในการเข้าไปแข่งขันในตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ

นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศ มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่และยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กรมฯ มีความกังวลใจในเรื่องความปลอดภัยของผู้ประกอบการ หากแต่การอบรมโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอทอป กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน จึงมีการตัดสินใจปรับรูปแบบการอบรมมาเป็นระบบออนไลน์แทน เพื่อให้ผู้ประกอบการยังสามารถเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการสินค้าโอทอป กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร เนื่องจากประชาชนกำลังมีความตื่นตัวหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ด้วยการเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายจากสมุนไพร จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นออกสู่ตลาด ซึ่งมีข้อได้เปรียบในเรื่องเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจอยู่แล้ว แค่เสริมทักษะด้านการตลาดเข้าไป ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ระบบตลาดได้หลากหลายช่องทาง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตจากฐานรากได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดยหลักสูตรของการอบรมครั้งนี้ มีเนื้อหาที่ครอบคลุมและครบทุกมิติ ผู้ประกอบการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตสินค้าได้ตลอดทั้งกระบวนการ แบ่งออกเป็น ด้านการตลาด เน้นการสร้างแบรนด์ วิเคราะห์ วางกลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ ด้านดิจิทัล มีเป้าหมายในการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ ด้านการออกแบบ เพื่อสร้างภาพจำให้กับสินค้า และ ด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เพื่อพัฒนาศักยภาพสินค้าโอทอป ให้ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โครงการนี้ นับเป็นการจัดอบรมในรูปแบบออนไลน์ครั้งแรก แต่ก็ถือว่าได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

“กรมการพัฒนาชุมชนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอบรมครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพในเชิงพาณิชย์ให้กับผลิตภัณฑ์โอทอปกลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร ให้สามารถขยายช่องทางการขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้เติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งหลังจากนี้ ทางโครงการฯ จะมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยการลงพื้นที่เพื่อช่วยตรวจสอบการผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามขั้นตอน และกระบวนการที่ได้มาตรฐาน” นายสุรศักดิ์ กล่าว

“ออฟ-กัน” ชวนถ่ายคลิปดูเอทลง IG

บริษัท แลคตาซอย จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง “ซังซัง” ส่งพรีเซนเตอร์คู่จิ้น “ออฟ-กัน” ขอท้าสาวกซังซังและบรรดาแฟนคลับ มาถ่ายคลิปลง IG ในลีลาสุดมันส์และสร้างสรรค์ พร้อมรายงานตัวว่าคุณอยู่ทีมไหน “ทีมกล่อง vs ทีมขวด” โดยผู้ที่ร่วมสนุกทำตามกติกา ดังนี้

  • เเชร์โพสต์กิจกรรมนี้ เเบบสาธารณะ
  • ถ่ายคลิปดูเอทกับ ออฟ-กัน ในลีลามันส์หลุดโลกแล้วเข้าไปที่ IG SangSangSoymilk กดเลือก reels (tap ที่ 2)
  • เลือกคลิปเเล้วกดที่เมนู #ทีมขวด คลิปออฟถือกล่อง หรือ #ทีมกล่อง คลิปกันถือขวด
  • จากนั้นเลือก remix this reel และอัดวีดีโอ สามารถโพส challenge ได้ที่ reels หรือ หน้า feed IG
  • เเชร์คลิปใส่  #SangSangDuet #SangSangSoymilk #SangSangxOffGun
  • แคปหน้าจอที่ร่วมกิจกรรมมาคอมเมนต์ใต้โพสต์ เพื่อยืนยันเข้าร่วมกิจกรรม

สำหรับผู้ที่ร่วมสนุกลุ้นรับ Gift Set ซังซัง พร้อมกระเป๋า tote bag Limited 10 รางวัล ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ก.ย. 64 คัดเลือกโดยตัดสินผู้ได้รับรางวัลจากคนที่ทำตามกติกาพร้อมคลิปที่โดนใจที่สุด วันที่ 4 ต.ค.64 ณ บริษัท เเลคตาซอย สำนักงานใหญ่ ประกาศผลวันที่ 5 ต.ค.64 ทาง FB SangSangSoymilk ยืนยันสิทธิ์ภายใน 10 ต.ค.64 รายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3w0PQ5o และติดตามกิจกรรมดี ๆ ของซังซังได้ทาง FB : SangSang  หรือ Line : @SangSangSoymilk

ผ่าทางตันการศึกษาไทย Unlock TCAS65

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นอีกก้าวสำคัญของจุดเริ่มต้นในการเลือกเส้นทางอาชีพของตนเอง และจากกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงระบบ TCAS65 เป็นอีกความท้าทายของ Dek65 ในการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเป็นอย่างมาก

ในงานเสวนา ผ่าทางตันการศึกษาไทย Unlock TCAS65 ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 24 เป็นการเปิดเวทีให้เหล่าบรรดาติวเตอร์สถาบันกวดวิชาชั้นนำได้มาร่วมกันแลกเปลี่ยนความเห็นพร้อมกับช่วยปลดล็อกให้น้อง ๆ Dek65 ได้รู้ทันว่า TCAS65  มีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน มีแนวข้อสอบอย่างไร เพื่อช่วยให้น้อง ๆ ได้เตรียมรับมือได้อย่างถูกทาง

อ.นพ.วีรวัช เอนกจำนงค์พร หรือ ครูพี่วิเวียน จาก OnDemand กล่าวว่า “ข้อจำกัดของหลักสูตรคณะแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัช มีความชัดเจนว่า หากน้อง ๆ ยืนยันสิทธิ์คณะแพทย์ในรอบ1 และ2 ไปแล้ว จะไม่สามารถไปใช้สิทธิ์ในรอบ3 ของมหาวิทยาลัยรัฐ แต่สามารถข้ามหลักสูตรไปเลือกคณะเภสัชหรือทันตแพทย์ได้ ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เอื้อกับการเผื่อเลือกมหาวิทยาลัย และต้องการเอื้อให้กับคนที่ตั้งใจเข้าเรียนจริง ๆ และเลือกเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น  การเรียนการสอนในทุกมหาวิทยาลัยแพทย์เรียนหลักสูตรเดียวกัน อยากให้น้อง ๆ ไม่ยึดติดกับสถาบัน โดยในส่วนข้อสอบความถนัดแพทย์มีการบีบเวลาให้กระชับ โครงสร้างแนวข้อสอบไม่เคยเปลี่ยนแต่จะมีการเติมไม้ตายใหม่ ๆ เข้าไปทุกปี หากน้อง ๆ แก้จุดไม้ตายได้ก็จะรอด ตัวข้อสอบจะเล่นกับเหตุการณ์ปัจจุบันและประเด็นสังคมค่อนข้างเยอะและสอดแทรกความเป็นแพทย์ในเนื้อความของข้อสอบ โดยข้อสอบจริยธรรมจะมีความยากที่สุดเพราะอิงกับวุฒิภาวะและทัศนคติของมนุษย์ สำคัญคือ มุมมองของผู้ใหญ่กับมุมมองของเด็กไม่เหมือนกัน ดังนั้นขอให้เรียนรู้และทำความเข้าใจให้ดี

อ.สุรเชษฐ์ พิชิตพงศ์เผ่า หรือ ครูพี่ยู จาก We by The Brain กล่าวว่า “มี 3 ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ  ได้แก่ ประเด็นการเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยแทนการใช้เกณฑ์กลาง ทุกคนต้องรอติดตามข่าวและเตรียมพร้อมอย่างหนักที่สุด เนื่องจากคะแนนสอบจะมีความสำคัญมากขึ้น หากมีการประกาศว่า G-PAT ไม่ได้ใช้เลย ส่วนประเด็นการไม่ใช้คะแนน O-NET มีทั้งข้อดีทำให้น้อง ๆ ลดความกังวลในการเตรียมบททบทวนไป1สนาม จะสอบหรือไม่นั้นอยู่ที่วิจารณญาณของน้อง ๆ แต่มีข้อที่น่าเสียดายในมุมDek65และเด็กซิ่ว จะไม่สามารถพึ่งพาคะแนน O-NET ได้เลย ต้องไปทุ่มเทให้สนามอื่นที่เหลือ นอกจากนี้ในประเด็นการจัดการสิทธิ์เป็นเรื่องใหม่ที่ทุกคนต้องเพิ่มสติในการตัดสินใจ เน้นทำให้ถูกต้อง ครบถ้วนทุกขั้นตอน เพียงเท่านี้น้อง ๆ ก็จะทรงพลังแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อสอบ GAT เชื่อมโยงของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) หากอนุมานว่ายังคงออกเนื้อหารูปแบบเดิม การปรับแนวคำถามในบางวิชา เน้นที่การคิดและนำไปใช้  ซึ่งข้อสอบ GAT เชื่อมโยงของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทศ.) ก็เน้นการคิดวิเคราะห์เช่นกัน นับว่าตรงตามแนวทางเดียวกัน การเอาข้อสอบเก่ามาทำยังคงมีประโยชน์ เพียงแต่เราต้องไปดูการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ซึ่งต้องอ่านคำชี้แจงในวันสอบให้ดี  ส่วนภาษาไทยแนวคำถามจะเน้นที่การคิดวิเคราะห์และนำไปใช้ แนวคำถามการวัดความรู้ความจำอาจจะปรับตัดออก ดังนั้นอยากให้น้อง ๆ มีความรอบคอบให้มากที่สุด และคอยติดตามข่าวที่จะออกมาในช่วงต้นเดือนธันวาคมปีนี้”

อ.กรกฤช ศรีวิชัย หรือ ครูติ่ง จาก KRU CLUB กล่าวว่า “ระบบการสอบมีการเปลี่ยนแปลงมาทุกยุคทุกสมัย ถ้าคนที่เตรียมความพร้อมให้กับตนเองตลอดเวลา ไม่ว่าระบบการสอบจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าน้อง ๆ จะมีการปรับตัวและสามารถผ่านไปได้ สำหรับวิชาวิทยาศาตร์ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยน O-NET มาเป็นวิชาสามัญเท่ากับไม่เปลี่ยน เพราะจุดแข็งของวิชาวิทยาศาสตร์คือ เรามีแบบเรียนของ สสวท.ที่ตายตัวและใช้เหมือนกันทั้งประเทศ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานกระบวนการเรียนรู้ ความรู้ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ องค์ความรู้ของวิชาวิทยาศาสตร์คือข้อเท็จจริง ดังนั้น คนที่จำได้ เข้าใจได้ วิเคราะห์ได้ ทำได้ ซึ่งข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในหลักสูตร  สิ่งที่นักเรียนมักจะหลงกลตั้งแต่เริ่มแรกคือ จำไม่ได้ตั้งแต่กระบวนการแรก และตามมาด้วยความไม่เข้าใจ ทำให้ประยุกต์ใช้ไม่เป็น”

อ.สุวคนธ์ อินป้อง หรือ ครูเลดี้เก๋เก๋ กล่าวว่า “การปรับยกเลิกเกณฑ์แอดมิชชั่น2 น้อง ๆ อาจจะเตรียมตัวลำบากขึ้นเนื่องจากในแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีเกณฑ์เฉพาะ แต่ระบบใหม่นี้จะดีสำหรับน้อง ๆ ที่มีคณะหรือมหาวิทยาลัยในใจอยู่แล้วทำให้เราได้รู้เกณฑ์อย่างชัดเจน ในส่วนของภาษาอังกฤษอัตราการออกสอบวิชาสามัญจำนวนข้อสอบจะเยอะมากในเวลาที่เท่ากัน วิชาสามัญจะยากกว่าในเรื่องของ Reading ที่มีจำนวนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น GAT หรือ วิชาสามัญ มีหลักการง่าย ๆ หัดทำข้อสอบเยอะ ๆ จะช่วยได้  ดังนั้นอยากให้กำลังใจกับน้อง ๆ ถึงเกณฑ์จะเปลี่ยนแต่ถ้าน้อง ๆ เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ต้องปัง ๆ ฟาดคะแนนได้แน่นอนค่ะ”

นับเป็นมุมมองและคำแนะนำดี ๆ ในการช่วยปลดล็อกให้กับน้อง ๆ ได้เตรียมพร้อมและรับมือกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยนอกจากการเสวนาดังกล่าวแล้ว ยังมีการเปิดตัว โครงการสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 24 อีกด้วย

ชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงการจัดโครงการสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 24 ว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะคลี่คลายเมื่อใด แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สหพัฒน์ โดยผลิตภัณฑ์ มาม่า บิสชิน มองต์เฟลอ และริชเชส ยังคงให้ความสำคัญต่อการศึกษาของเยาวชนไทย โดยในปีนี้เราได้จัดโครงการสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 24 เป็นการเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้เข้าถึงการเตรียมความพร้อมและทบทวนความรู้เข้าสู่มหาวิทยาลัยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ  นับเป็นครั้งที่ 2 ที่เราจัดให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเป็นการติวสดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Sahapat Admission มีการติวสดทั้งหมด 6 วันเต็ม โดยติวเตอร์ชั้นนำของประเทศ ครอบคลุม 11 วิชา มีการจำลองบรรยากาศห้องเรียนให้เหมือนจริง น้อง ๆ สามารถโต้ตอบกับติวเตอร์ได้ทาง Live Chat นอกจากนี้ยังมีการแนะแนวเพิ่มความเข้าใจระบบสอบ TCAS65 และเพิ่มเติมให้เข้มข้นขึ้นปีนี้จะมีการจำลองทดสอบออนไลน์ฟรีและรู้คะแนนทันทีหลังการสอบ พร้อมดูคลิปเฉลยจากติวเตอร์ จึงขอเชิญชวนน้อง ๆ เข้ามาสมัครติวสดออนไลน์ เพื่อให้น้อง ๆ ได้ทบทวนและทดสอบความรู้หลังจากที่ได้เรียนไปแล้ว”

โครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 24  ติวสดออนไลน์จัดเต็ม 6 วัน ในรูปแบบ “Live Streaming Class” บนเว็บไซต์ Sahapat Admission  ด้วยระบบทันสมัยเหมือนติวอยู่ในห้องเรียนจริง มีติวเตอร์ชื่อดังระดับประเทศมาถ่ายทอดความรู้ วิชาสามัญ GAT และ PAT พร้อมแนะแนวระบบสอบ TCAS65 รูปแบบใหม่ เพิ่มเติมด้วยการจำลองทดสอบออนไลน์ฟรีและรู้คะแนนทันทีหลังการสอบ พร้อมใบรายงานผลการสอบ โดยน้อง ๆ นักเรียนที่สนใจสมัครได้ที่ www.sahapatadmission.com และสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง FB : Sahapat Admission https://www.facebook.com/SahapatAdmission หรือ โทร. 061-163-3449, 061-851-8646