TWPC มั่นใจผลงานปี 64 ออลไทม์ไฮ

TWPC มั่นใจผลงานปี 64 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อานิสงส์ดีมานด์แป้งมันสำปะหลังพุ่ง-ส่งออก หนุน รายได้โต 2 หลักตามเป้า หลังจากทั่วโลกเริ่มคลายล็อกดาวน์ ค่าเงินบาทอ่อน พร้อมลุยผลิต “ไบโอพลาสติก” ปลายปีนี้ หนุนผลงานปี 65 ทะยานต่อเนื่อง 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง วุ้นเส้น และเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตขึ้น ราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น และอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง นอกจากนี้สัดส่วนการส่งออกในธุรกิจอาหารปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% เนื่องจากทั่วโลกเริ่มคลายล็อกดาวน์ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากสินค้าทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2565

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน

TWPC ยังคงมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้ายังล้นต่อเนื่อง ด้านธุรกิจอาหารยังสามารถเติบโตได้ในทุกช่องทาง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และคงเป้ายอดขายเติบโตระดับ Double Digit หนุนผลงานปีนี้สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท

ขณะที่ผลการดำเนินงานใงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 3,258 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 ภาพรวมทั้งปีในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่สูง โดยเฉพาะในประเทศที่สำคัญ ปัญหาเรื่องขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลาย ราคาส่งออกเฉลี่ยของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารในประเทศยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

คันทรี่กรุ๊ป แนะลงทุน สะสม Domestic Play

นายวทัญ จิตต์สำนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า การปรับฐานลงของ Dow Jones ในวันศุกร์ 0.78% หากอิงปัจจัยที่ส่งผลให้ปรับที่ส่งผลให้ Dow Jones ปรับตัวลงคือการรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตที่สูงกว่าตลาดประเมินไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่า FED หรือธนาคารกลางสหรัฐอาจเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเชื่อผลต่อ SET จำกัด เนื่องจากในช่วง 6 ปีย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ SET ต่อเนื่องกว่า 7 แสนล้านบาทส่งผลให้ยอดซื้อสะสมสุทธิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้จะเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลักได้แก่ (1) คืนวันอังคารตามเวลาประเทศ สหรัฐมีกำหนดรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ตลาด คาดที่ 5.3%YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 5.4%YoY หากจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นเชื่อว่าการออกมาใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกมากกว่าสูงกว่าคาด (2) ยอดค้าปลีกสหรัฐในวันพฤหัส Bloomberg คาดที่ -0.8%MoM หากจะเป็นบวกต่อตลาดคือใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาด ส่วนอื่นๆจะเป็นเรื่องของภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องของ COVID-19 ประชุม ศบค. ในวันศุกร์ที่ผ่านมายังคงเวลาเคอร์ฟิวที่ 21.00 – 04.00 พร้อมคงจังหวัดสีแดงไว้เท่าเดิม มองผลของการประชุมไม่มีผลมากกับการลงทุน ส่วนสัปดาห์นี้ภายในประเทศยังเป็นเรื่องของ COVID-19 การติดเชื้อวันอาทิตย์ยังเป็นไปในทิศทางดี แม้จะเปิดเมืองมาแล้ว 12 วันแต่ตัวเลขติดเชื้อก็มิได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยยะ หากสัปดาห์นี้ระหว่างสัปดาห์เห็นการติดเชื้อที่ทำจุดต่ำสุดใหม่จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดมากขึ้นและคาดหวังถึงการผ่อนคลายจากภาครัฐที่จะตามมา อาทิ ลดเวลาเคอร์ฟิว , ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์การค้า มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1625 – 1650

กลยุทธ์การลงทุน สะสม Domestic Play สำหรับการลงทุนระยะกลางแต่ให้เน้น Laggard (ยังขึ้นน้อย) หรือราคายังไม่เกินกว่าก่อนเกิด COVID-19 อาทิ (AOT BBL BEM BJC BTS CPN CPALL M MAJOR PLANB VGI) ส่วนระยะสั้นแนะนำหุ้นกำไรครึ่งปีหลังแข็งแกร่งรวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ (COM7 CBG GLOBAL KCE SYNEX SIS WICE)

SYNEX (ถือ / ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เก็งกำไรระยะสั้นจากผลบวกของการเปิดตัว iPhone 13 ในวันพุธ ส่วนผลประกอบการคาด 3Q21 ผลประกอบการจะยังเติบโต YoY จากความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีที่ยังสูง แต่คาดกำไรอ่อนตัวลง QoQ จากผลกระทบจากการปิดหน้าร้านของลูกค้า SYNEX ตามมาตรการล็อกดาวน์

CBG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 165 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 15% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการ 3Q21 ลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศยกเว้นรายได้จัดจำหน่ายในประเทศรวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลง YoY จากต้นทุนน้ำตาลและอลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามระยะยาวยังมองบริษัทแข็งแกร่ง

เฮงเค็ล ลดบรรจุภัณฑ์และขยะพลาสติกในกระบวนการโลจิสติกส์

เฮงเค็ล เทคโนโลยีกาว พัฒนานวัตกรรมกาวใหม่ Technomelt Supra 7220 PS Easyflow เพื่อเป็นทางเลือกแทนการห่อพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ขนส่งสินค้าบนพาเลท

ในห่วงโซ่อุปทานโลจิสติกส์ สินค้าจะถูกยึดไว้บนพาเลทเพื่อการขนส่งหรือการจัดเก็บผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การจัดเรียงพาเลท ในอดีตการจัดเรียงพาเลทต้องใช้ฟิล์มพลาสติก แผ่นกระดาษกลาง และแผ่นกันลื่น จำนวนมาก

แอนเดรียนโต้ จายาเปอร์นา ประธาน บริษัท เฮงเค็ล ประเทศไทย กล่าวว่า “บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับหลายอุตสาหกรรม กาวที่ใช้บนพาเลทของ Technomelt เป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมที่เปิดโอกาสให้มีความยั่งยืน ประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น ในการจัดเรียงพาเลท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการขนส่งในห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่”

กาวร้อนลดขนาดลงอย่างมากเพื่อแทนที่ฟิล์มพลาสติกและฟิล์มยืดสำหรับพาเลทได้อย่างเต็มที่ในการห่อรวมบรรจุภัณฑ์ภายนอกเข้าด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยบนพาเลท การลดปริมาณวัสดุบรรจุภัณฑ์ ทำให้การขนส่งสินค้าบนพาเลทมีความยั่งยืนและประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์กระดาษแข็งที่ติดกาวแล้ว สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โซลูชันนี้ ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานในสายการผลิต โดยลดการสัมผัสกาวร้อนโดยตรงซึ่งอาจมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ในประเทศไทย การทดลองใช้กาว Technomelt สำหรับการจัดเรียงพาเลท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการลดการใช้พลาสติกได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับการจัดเรียงพาเลทรูปแบบเดิม ส่งผลให้ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้ความสนใจในนวัตกรรมนี้เป็นอย่างมาก

TVD ลงทุนพัฒนา Mobile Application ขยายฐานลูกค้าใหม่

ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD เดินหน้าลงทุนพัฒนา Mobile Application โฉมใหม่ มอบความสนุกกับการช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ต่อยอดขยายฐานลูกค้าใหม่ มั่นใจเพิ่มศักยภาพธุรกิจในระยะยาวแม้ต้องใช้งบลงทุนเพิ่มขึ้น คาดให้บริการปลายเดือนตุลาคมนี้ พร้อมชูกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ขนสินค้าแบรนด์เนมเสริมทัพ กลุ่มสินค้า กระเป๋า Coach รองเท้า Nike ชุดเครื่องนอน Picasso จำหน่ายบนเว็บไซต์ ชูราคาเข้าถึงง่ายและส่วนลดพิเศษ 10-75% ขยายฐานลูกค้าระดับกลางและวัยทำงาน วางเป้าหมายสิ้นปีเพิ่มสัดส่วนรายได้ออนไลน์เป็น 30% ของรายได้รวม 

นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ วางนโยบายขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นในเชิงรุก โดยร่วมกับบริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ Momo.com พาร์ทเนอร์และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากประเทศไต้หวัน มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์สร้างความหลากหลายให้กับสินค้า จากปัจจุบัน 20,000 รายการ เพิ่มเป็น 100,000 รายการ ภายในสิ้นปีนี้ ด้วยการนำเสนอราคาที่กลุ่มลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บนช่องทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและกลุ่มลูกค้าใหม่ นอกจากฐานลูกค้าเดิมในฐานข้อมูลของบริษัทฯ  6.5 ล้านราย 

ล่าสุดบริษัทฯ และโมโม่ดอทคอม อยู่ระหว่างการลงทุนพัฒนา Mobile Application ครั้งใหญ่ เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ รองรับการขยายฐานลูกค้า มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สนุกกับการซื้อสินค้าได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาวที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง  ส่วนช่องทางเว็บไซต์ได้คัดสรรสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ทั้ง กลุ่มสินค้าของทีวี ไดเร็ค  ในสัดส่วน 10-20% ของแต่ละกลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มสินค้าแฟชั่นและความงาม อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนม Coach รองเท้ากีฬา Nike เสื้อผ้ากีฬา WARRIX ฯลฯ กลุ่มเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ชุดเครื่องนอน Picassoเครื่องสุขภัณฑ์แบรนด์อเมริกันแตนดาร์ด เป็นต้น กลุ่มเครื่องครัว เช่น แบรนด์ Zaigel กลุ่มอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น  แบรนด์ Viva  กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้เสริมทัพสินค้าแบรนด์ Talon ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาสุขภาพเท้า และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ภายใต้แบรนด์ชั้นนำอย่าง Belkin สมาร์ทวอทช์ Suunto โดยสินค้าแบรนด์เนมที่นำมาลดราคาพิเศษตั้งแต่ 10-75%

ทั้งนี้ หลังจากการนำสินค้าแบรนด์เนมมาจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ https://www.tvdirect.tv/ ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยทำงานที่มีกำลังซื้อระดับกลางและกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายสินค้าเฉลี่ยต่อชิ้นเพิ่มขึ้นเป็น  2,000 บาท เทียบกับปี 2563 อยู่ที่ 1,400-1,500 บาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจานำสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น เช่น รองเท้า SKECHERS เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ
ไร้รอยต่อ บริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชันโฉมใหม่ คาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับอายุตั้งแต่ 
25 ปีขึ้นไป รวมถึงพัฒนาคอนเทนต์โซเชียลมีเดียเพื่อนำเสนอสินค้าในรูปแบบใหม่ๆ 

สำหรับแผนงานขยายตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบ ที่บริษัท ทีวี ไดเร็ค กับบริษัท โมโม่ดอทคอม ผนึกกำลังร่วมกันส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน มั่นใจว่าจะทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ครบครันทุกที่และทุกเวลา และตอบสนองความต้องการแก่ผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต โดยวางเป้าหมายผลักดันรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 15-16% ของรายได้รวม และในระยะยาวตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม ภายในปี 2567   

ผ่ากลยุทธ์ มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง แบบฉบับฟูลมูนมอลต์

บริษัท รอยัล เกทเวย์ จำกัด ประเทศไทย ผู้จัดจำหน่าย ฟูลมูนมอลต์ ภายใต้การบริหารของ นายเทพอาจ กวินอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดตัวแคมเปญมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง “เปิดก่อนได้เกิด” ภายใต้ผลิตภัณฑ์ฟูลมูนมอลต์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค หวังเป็นแรงบันดาลใจขับเคลื่อนและสะท้อนแนวคิดของวัยรุ่นในยุคปัจจุบันที่กล้าจะเปิดตัวตนแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น เราสนับสนุนให้กล้าที่จะเปิดตัวตนในด้านที่ดีและสร้างสรรค์ด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวตนของแต่ละคนนั้นพิเศษไม่ซ้ำใคร แค่กล้าที่จะเปิดมันออกมา มั่นใจกลยุทธ์นี้จะเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นในโค้งสุดท้ายปี 64

นายเทพอาจ กวินอนันต์ เผยว่ากว่า 12 ปีที่ผ่านมานั้น ฟูลมูน ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเราได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ฟูลมูนมอลต์ 2 รสชาติใหม่พร้อมปล่อยแคมเปญ “เปิดก่อนได้เกิด Find Your Difference” ซึ่งผู้บริโภคของเราได้ออกมาขานรับแคมเปญนี้อย่างสูง เกิดเป็นกระแส #เปิดก่อนได้เกิด นำเสนอไลฟ์สไตล์และไอเดีย ที่เป็นตัวเองแบบไม่ซ้ำใครผ่านทางโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กันและกัน

สำหรับแคมเปญเปิดก่อนได้เกิดนี้เราเลือกใช้กลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เพราะดนตรีเหมือนภาษาที่ 3 ที่ใช้ถ่ายทอดความรู้สึก และเจตนารมณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายปัจจุบันในเพลงที่มีชื่อว่า “เปิดก่อนได้เกิด (Find Your Difference) by First Anuwat Feat. NAINA” ได้ร่วมงานกับตัวแทนคนรุ่นใหม่คือ พัด และ ปาล์ม สองสมาชิกจากวง MEAN และยังเป็นผู้บริหารค่าย marr รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ โดยมีศิลปินน้องใหม่มาแรง เฟิร์ส อนุวัตน์ และ นายนะ มาขับร้อง

ซึ่ง เฟิร์ส อนุวัตน์ และ นายนะ เปรียบเสมือนคลื่นลูกใหม่ จึงเหมาะที่จะเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ อีกทั้งศิลปินทั้ง 2 คน ยังประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับจากแฟนเพลง เป็นศิลปินยอดนิยมที่มีซิงเกิ้ลดังอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าเพลงนี้จะเข้าไปอยู่ในใจของวัยรุ่นได้อย่างไม่ยาก

นอกจากเพลงแล้วเรายังมีเอ็มวีเปิดก่อนได้เกิด โดยใช้ท่อนฮุกของเพลง 2 ท่อนหลักที่สื่อสารเจตนารมณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เช่น ไม่มีเวลามาทำตามอย่างใครๆ เพราะตัวตนของเธอพิเศษ let’s find your difference และ ถึงเราจะต่างแต่หัวใจเราไม่ต่างมีจุดหมายปลายทางเป็นดั่งแสงสว่าง ถึงใครจะมองว่าเป็นแค่รอยด่างแต่ก็ด่างแบบพระจันทร์ที่โคตรจะกระจ่าง ที่มีสัมผัสและถ้อยคำที่จดจำง่ายมาปลุกกลุ่มเป้าหมายให้ลุกขึ้นมาโชว์ความเป็นตัวตน ปลุกให้ลงมือทำ

สำหรับเนื้อหาของมิวสิกวิดีโอถูกนำเสนอและถ่ายทอดผ่านวัยรุ่น 4 คน เป็นตัวแทนที่มีความฝันและกิจกรรมที่ชื่นชอบแต่ยังค้นหาตัวตนไม่เจอ ฟูลมูนมอลต์ ได้ใส่ตัวเอกของเรื่อง “ ฟูมู่ ” กระต่ายเพื่อนรัก ผู้ซึ่งจะมารับบทผู้เชี่ยวชาญในการจัดการปัญหา ค้นหาความโดดเด่นที่แตกต่างให้กับทั้ง 4 คน พร้อมเปิดบทสรุปสุดท้ายว่าแต่ละคนจะเปิดตัวตนของตัวเองออกมาเช่นไร

ทั้งนี้ เรายังต่อยอดแคมเปญด้วยการทำกิจกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของเราได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น TikTok Duet หรือ การทำชาเล้นจ์โคฟเวอร์เพลงเปิดก่อนได้เกิด รวมไปถึงกิจกรรมแปลกใหม่ที่เป็นไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับช่วงอยู่บ้านก็โชว์ความเป็นตัวตนได้

ฟูลมูนมอลต์ เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดัน ตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของวัยรุ่น วัยที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความฝัน เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยไหนๆ วัยรุ่นคือสัญลักษณ์แห่งความหวังที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ที่คอยพัฒนาสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นต่อไป

ดีป้า เดินหน้าเสริมแกร่งเอสเอ็มอี

ดีป้า เดินหน้าส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท และเกษตรกร เร่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับธุรกิจ เตรียมความพร้อมรับชีวิตวิถีใหม่หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลาย ผ่านโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล และคูปองดิจิทัล คาดช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมกว่า 5,200 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มอบหมาย ดีป้า เร่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท ตลอดจนเกษตรกร สามารถเข้าถึงและเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับบริบทของตนเองจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เชื่อถือได้ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ตอบโจทย์ และยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เตรียมความพร้อมรองรับชีวิตวิถีใหม่ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลายนั้น

ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งเสริมและสนับสนุนจึงได้มีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จำนวน 3 โครงการ โดยเป็นมติเห็นชอบเพิ่มเติมจากโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมครั้งก่อนหน้าแล้ว 150 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Digital Platform 2 โครงการ และโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR และ Digital Contents 1 โครงการ ซึ่งประเมินว่าจะทำให้เกิดการลงทุนเฉลี่ย 3.96 แสนบาท

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัล เพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 10 โครงการ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยร่วมดำเนินงาน ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก หอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ หอการค้าจังหวัดตราด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สมาคมนักวิจัยชายแดนใต้ และสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม

ดร.ณัฐพล กล่าวว่า โครงการต่าง ๆ จะช่วยผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรวม 625 รายในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการค้าและบริการ ธุรกิจการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Smart Living ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจอาหารแปรรูป ตลอดจนชุมชนในชนบท และเกษตรกรรายย่อย อีกทั้งช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการดิจิทัลกว่า 6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชนในชนบท จำนวน 8 โครงการ ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 5 โครงการ และจังหวัดหนองคาย จำนวน 3 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ด้านการเกษตรและปศุสัตว์อัจฉริยะ จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร จำนวน 3 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดมูลค่าการลงทุนไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ดีป้า ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนในชนบทให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของตลาด สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนไปแล้ว 69 ชุมชน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 65 ชุมชนทั่วประเทศในปีนี้

“โครงการที่กล่าวมาทั้งหมดจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 5,200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท ตลอดจนเกษตรกร สามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของภาคประชาชน โดยการดำเนินงานของ ดีป้า มุ่งเน้นให้คนไทย ‘think faster and live better’ พร้อมเดินหน้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในที่สุด” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

เคลลี่ ธนะพัฒน์ นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนใหม่ Hair Now

พูดถึงพระเอกมากความสามารถอีกหนึ่งคน ที่สามารถผันตัวเองรับทุกบทบาทการแสดงได้เป็นอย่างดี ทั้งตลก บู้ล้างผลาญ ดราม่า เรานึกถึง “เคลลี่ ธนะพัฒน์” นักแสดงสุดเก๋าที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมากว่า 20 ปี ที่ล่าสุดร่วมเป็นอีกหนึ่ง โค – พรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ HAIR NOW DETOXIFYING SHAMPOO & CONDITIONER ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ สูตรดีท็อกซ์หนังศีรษะและเส้นผม ขจัดสิ่งตกค้างและสารเคมีต่างๆ พร้อมลดการขาดหลุดร่วงในคราวเดียวขณะเดียวกันยังเพิ่มการบำรุง มอบความนุ่ม เบา สบายให้กับเส้นผม ด้วยคุณสมบัติจากสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อการดูแลอย่างอ่อนโยน ลดการระคายเคืองของหนังศีรษะ เหมาะสำหรับทุกสภาพเส้นผม

โดยเราได้พูดคุยกับ เคลลี่ ถึงเรื่องราวส่วนตัวที่เจ้าตัวบอกว่า “ในช่วงเหตุการณ์ของชีวิตส่วนตัวที่ผ่านมาส่งผลกระทบกับจิตใจอย่างมาก เกิดภาวะวิตก เศร้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหลุดร่วงไม่รู้ตัวจำนวนมาก แต่โชคดีในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้รู้จักและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ จากที่คุณแอนส่งมาให้ถึงบ้าน เลยทำให้ตัดสินใจมาร่วมงานกันเพราะใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ผมขาดหลุดร่วงลดน้อยลง และเริ่มมีลูกผมเกิดขึ้นมาใหม่ด้วยครับ”

เคลลี่ ยังเล่าต่อว่า สำหรับการร่วมงานกับคุณแอน และทีมงานของ JKN นั้น ก็สนุก งานทำให้ผมผ่อนคลายมากขึ้น และมีอะไรให้โฟกัสมากขึ้น ยิ่งทำงานกับคุณแอนที่เป็นคนเอเนอร์จี้สูงมากนั้น มันยิ่งกระตุ้นให้เราแอคทีฟ และพอได้คุยและฟังหลายมุมมองหลายๆด้านจากคุณแอน ก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะขึ้นเลยครับ

เจาะเบื้องลึกความสำเร็จก้าวสู่ปีที่ 12 ของ “ฟูลมูน”

เดินทางต่อเนื่องมาถึงปีที่ 12 อย่างสวยงาม สำหรับแบรนด์แห่งสัญลักษณ์ พระจันทร์เต็มดวง ฟูลมูน ในตลอดระยะเวลา 12 ปี มักจะนำเสนอจุดเด่นด้วยการสร้างไอเดียแปลกใหม่ที่ล้วนมาจากความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ที่ปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาและยุคสมัย สะท้อนความสดใส และส่องสว่าง เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่เติบโตไปพร้อมกับวัยรุ่นทุกยุคสมัยอย่างแท้จริง

ฟูลมูนนั้น อยู่ภายใต้ บริษัท รอยัล เกทเวย์ จำกัด โดยมี จี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นหัวเรือใหญ่ที่สร้างให้ฟูลมูนครองใจวัยรุ่นทั้งประเทศได้อย่างต่อเนื่องมาตลอด 12 ปี  โอกาสนี้ ได้พูดคุยกับคุณจี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ถึงประวัติความเป็นมาของฟูลมูน ณ จนถึงวันนี้ที่เติบโตมากว่า 12 ปี เล่าด้วย ประสบการณ์การบริหารที่เข้าใจธุรกิจนี้อย่างถ่องแท้ ผู้ที่นำฟูลมูนประสบความสำเร็จครองใจกลุ่มลูกค้าในตลาด

ฟูลมูนแบรนด์ที่สร้างตัวตนอย่างเข้าใจคนในทุกยุคสมัย

ตลอดระยะเวลา 12 ปี ในด้านการสื่อสารของทุกแคมเปญภายใต้ ฟูลมูน แบรนด์จะมีจุดเด่นคือ การที่เราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ที่ปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาและยุคสมัยตลอดเวลา แบรนด์ฟูลมูนจึงมีการปรับเปลี่ยนการสื่อสารให้เข้ากับกลุ่มผู้บริโภคเรื่อยมา เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่กำลังเติบโตเคียงข้างไปพร้อมกับวัยรุ่นในแต่ละยุคสมัย

โดยในช่วงแรกๆ ฟูลมูนเลือกนำเสนอตัวตนของแบรนด์ผ่านทางการออกแบบ Packaging ที่แตกต่างด้วยความคลาสสิกสีทองของฉลาก ตามสมัยนิยมแห่งยุคและความชื่นชอบของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังขี้เล่นและสร้างความสนุกซุกซนด้วยการซ่อน Easter Egg เล็กๆ เป็นเจ้ากระต่ายตัวน้อยตรงมุมขวาด้านล่างของโลโก้พระจันทร์ โดยเจ้ากระต่ายค่อยๆเติบโตเปลี่ยนผ่านมาถึงปัจจุบันจนเจ้ากระต่ายมีรูปร่างโตเต็มวัย

ในปีที่12 นี้ ฟูลมูนได้รีเฟรชแบรนด์เพื่อสะท้อนจุดยืนว่า ฟูลมูนคือแบรนด์ที่เข้าใจและพร้อมเติบโต และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ไปพร้อมกับวัยรุ่นในทุกยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา

กระต่าย” สัญลักษณ์ ที่ให้นัยยะสะท้อนพฤติกรรมที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

การสร้างแบรนด์สตอรี่ของฟูลมูนนั้น ฟูลมูนได้สร้างคาแรคเตอร์ของกระต่ายขึ้นมาเป็นตัวแทนของผู้ที่มีชีวิตในโลกปัจจุบันด้วยบุคลิกซุกซนและกล้ากระโดดออกจากกรอบเดิมๆ เปรียบเสมือนกระต่ายคือเพื่อนร่วมเดินทางของวัยรุ่นที่อยู่เคียงข้าง เปิดทุกประสบการณ์ใหม่ไปพร้อมกัน และสร้างภาพจำว่าทุกครั้งที่เห็นเจ้ากระต่ายที่กล้ากระโดดออกมาจากดวงจันทร์คือสัญลักษณ์แห่งความกล้าที่เต็มไปด้วยสีสันและถึงเวลาที่จะออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ

พูดถึงกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” การสร้างกระแสปากต่อปาก เป็นยุทธศาสตร์การตลาดที่ประสบความสำเร็จของฟูลมูน แบรนด์

นับตั้งแต่ปี 2552 ได้เปิดกลยุทธ์ทำการตลาดฟูลมูนในประเทศไทยแบบป่าล้อมเมือง เพราะแบรนด์ฟูลมูน เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งคนไทยชื่นชอบการเดินทางคู่กับการดื่มสังสรรค์เสมอ ในวันนั้นย้อนไปประมาณเมื่อ 12 ปี เราเห็นโอกาสในการให้ฟูลมูนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การดื่มที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ไม่เพียงแต่กลุ่มลูกค้าจากต่างจังหวัดแต่ยังรวมไปถึงกลุ่มลูกค้าในเมืองที่ออกมาท่องเที่ยวต่างจังหวัดด้วย โดยเป้าหมายของแบรนด์ฟูลมูนนั้นคือ ฟูลมูนนั้นจะต้องกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่จะสามารถสร้างประสบการณ์เติมเต็มสุขในการพักผ่อนระหว่างการท่องเที่ยวในไทยของกลุ่มเป้าหมายในยุคนั้น เราจึงเริ่มวางจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ตลาดต่างจังหวัด เริ่มจากโซนแหล่งท่องเที่ยวไปถึงร้านขายของฝากและร้านขายส่งที่นักเที่ยวจะสามาถซื้อสินค้าไปเป็นลังไปดื่มด่ำแบบเบาๆ กับเพื่อนร่วมทริป หลังจากนั้นเราจึงค่อยๆ ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากนอกเมือง ขยับมาจนถึงกลางเมือง จนเติบโตและทำให้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองนั้นสมบูรณ์

ถ้าให้พูดถึงผู้บริโภคนั้น เราจะเห็นกลุ่มนักเที่ยวนักเดินทางมักจะเลือกซื้อหาสินค้าฟูลมูนจากร้านขายส่งและร้านสะดวกซื้อบริเวณแหล่งที่พักและนำไปดื่มตามสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงวันหยุดตามเทศกาลของไทยจะปรากฏลังหรือขวดของฟูลมูนอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ทะเล ดอย น้ำตก ตลาดน้ำ โรงแรม ที่พัก รีสอร์ท แม้กระทั้ง ลานกางเต็นท์ต่างๆ เป็นต้น

ในแง่ของภาพจำคนเมืองกับประสบการณ์การดื่มฟูลมูน อาจพูดได้ว่าครั้งแรกของกลุ่มเป้าหมายคนในเมือง มักจะมีภาพจำในลักษณะการดื่มของฟูลมูน เช่น ไวน์องุ่นที่มาจากวังน้ำเขียวเคยดื่มที่เขาใหญ่  ดื่มแล้วชื่นชอบจนต้องชื้อกลับมาที่บ้าน โดยจะเห็นจากร้านขายของฝากในพื้นที่เที่ยวจนเกิดเป็นกระแสปากต่อปาก ( word of mouth ) ในสมัยนั้นจนเริ่มมีการพูดถึงและความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ จากเพียงชื้อมาเป็นของฝากหรือชื้อมาดื่มที่บ้านกับคนในครอบครัว เติบโตจนเป็นการชื้อกลับมาเพื่อจำหน่าย ทำให้เพียงระยะเวลาไม่นานประมาณ 3-4 ปี ชื่อฟูลมูน ไวน์คลูเลอร์ ครองใจผู้ดื่มทั้งต่างจังหวัดและในเมือง พร้อมภาพจำ รสชาติที่ถูกปาก พร้อมกับความประทับใจในแต่ละทริปที่ตราตรึงในความทรงจำ

11 ปี ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งกับผู้สร้างวัฒนธรรมการดื่มแบบ “On The Go”

ตลอด 11 ปี ที่ผ่านมา ฟูลมูนพยายามสร้างสรรค์วัฒนธรรมการดื่มแบบ On The Go หรือเครื่องดื่มที่สามารถดื่มเติมเต็มความชิวได้ทุกที่ ไม่ว่าจะดื่มในบ้านหรือนำไปดื่มในระหว่างกิจกรรม Outdoor ด้วยคนในยุคนี้ไม่ได้ดื่มสังสรรค์โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นความมึนเมาอีกต่อไป หากแต่เลือกดื่มเพราะชื่นชอบในรสชาติ บางคนดื่มพร้อมกันเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต เช่น การดื่มระหว่างท่องเที่ยวซึมซับบรรยากาศและช่วงเวลาที่ประทับใจ ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ฟูลมูนสามารถช่วยเติมเต็มบรรยากาศ มิตรภาพในวงสนทนาและเป็นตัวเชื่อมให้พวกเค้าพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้อย่างถูกคอ นี่เองคือมนต์เสน่ห์ของเครื่องดื่มฟูลมูน

จากสถานการณ์โควิด19 ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ฟูลมูนมีการปรับตัว โดยเน้น “สร้างประสบการณ์แคมเปญใหม่ๆ บนโลกออนไลน์”

ในสถานการณ์ปัจจุบัน การดื่ม การสังสรรค์ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก รวมถึงร้านกลางคืนที่ต้องปิดให้บริการ แต่ด้วยการทำตลาดและการสร้างแบรนด์ของฟูลมูนที่เน้นให้คนชื้อกลับไปดื่มที่บ้านหรือนอกสถานที่ต่างๆ ในเวลาพักผ่อนเพื่อเติมฟิลลิ่งความสดชื่นและเพื่อผ่อนคลาย ฟูลมูนจึงเป็นแบรนด์ที่ยังสามารถสร้างการเติบโตขึ้นอยู่ระดับหนึ่งได้แม้ในสถานการณ์โควิด-19

ส่วนในพาร์ทการตลาดฟูลมูนที่นำมาแก้เกมส์ในสถานการณ์โควิด-19 เรายังคงสื่อสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆต่อไป แม้แบรนด์ฟูลมูนเราที่เติบโตมาจากแหล่งท่องเที่ยวที่มาคู่กับการเดินทางก็ตาม แต่ในยุคดิจิทัลปัจจุบันคำว่าการเดินทางเปิดประสบการณ์ใหม่ๆไม่ได้ถูกจำกัดให้ต้องเป็นเดินทางไปในสถานที่จริง ๆ เสมอไป

ฟูลมูนเชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเรายังคงสามารถเรียนรู้เปิดประสบการณ์แปลกใหม่ได้อยู่เสมอ ในโลกแพลตฟอร์มออนไลน์ คำว่าการเดินทาง ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ต้องออกรถไปพบเจอสิ่งใหม่อีกต่อไป แต่หากการเดินทางผ่านความคิดบนโลกออนไลน์ ก็ถือเป็นการเดินทางที่เติมเต็มประสบการณ์ได้อีกรูปแบบหนึ่ง เราจึงปรับแคมเปญการสื่อสารสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์ม ชื่อแคมเปญ “เติมจันทร์ให้เต็ม” เพื่อเปิดโอกาสให้วัยรุ่นมีโอกาสได้เติมประสบการณ์ความสนุกไปกับการสร้างความทรงจำและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้พระจันทร์ดวงเดิมเพียงแต่เกิดขึ้นบนสถานที่แห่งใหม่

เตรียมก้าวสู่ปีที่ 13 ในการเป็นผู้นำแห่ง Brand Creativity Campaign กับกลุ่มเป้าหมาย ขยายช่องทางรุกทุกแพลตฟอร์มออนไลน์

ก้าวสู่ปีที่ 13 ทางฟูลมูนมีแผนที่จะปรับตัว เพิ่มช่องทางการสื่อสารเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดียมีหลากหลายช่องทาง บางช่องทางสามารถโต้ตอบกับกลุ่มเป้าหมายและกิจกรรมความประทับใจได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นทางฟูลมูนมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่เต็มไปด้วย Creative & Innovative เพื่อสร้างสรรค์สินค้าให้ วาไรตี้ ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างประสบการณ์การดื่มใหม่ๆ ไปพร้อมกับยุคสมัย เพราะโลก New Normal หลังจากสถานการณ์โควิด-19 พฤติกรรมผู้บริโภคอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Robowealthจับมือ Schroders เสริมแกร่งสร้างพอร์ตการลงทุน

Robowealth Group จับมือ Schroders นำเสนอประสบการณ์การลงทุนผ่านพอร์ตลงทุนระดับโลก ให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงพอร์ตการลงทุนใหม่ ที่บริหารโดยผู้นำด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับสากลอย่าง Schroders และ Robowealth ผู้นำในการบริการด้านการลงทุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ได้พัฒนาพอร์ตการลงทุนที่เหนือระดับที่เหมาะกับความต้องการของคนไทย พร้อมกับนำเสนอความรู้ด้านการลงทุนที่ทันต่อเหตุการณ์ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว

Schroders เป็นบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลก ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 200 ปี ซึ่งในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ Robowealth พัฒนาพอร์ตที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท ในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ผสมผสานธีมการลงทุนและรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงจากการลงทุน ให้นักลงทุนไทยได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

พอร์ตการลงทุนดังกล่าวจะถูกเสนอให้กับลูกค้า Robowealth โดยเริ่มแรก Schroders จะมาช่วยสร้างพอร์ตการลงทุนให้กับ odini BLACK ชึ่งเป็นบริการระดับพรีเมี่ยมภายใต้แอปพลิเคชัน odini เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้ากลุ่ม Mass Affluent ทำให้ลูกค้า odini BLACK ได้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาดูแลพอร์ตการลงทุนแบบซุปเปอร์วีไอพี ด้วยเงินเริ่มต้นลงทุนเพียง 500,000 บาท  โดยพอร์ตใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ยังคงมีจุดเด่นเรื่องกระจายการลงทุนทั่วโลกเหมือนพอร์ตเดิม แต่จะเน้นคัดเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และมีความผันผวนน้อยกว่า เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงแบบ Passive Income โดยจะพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 4 ของปี 2564 นี้

นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรโบเวลธ์ กล่าวว่า Robowealth ในฐานะผู้นำในการให้บริการด้านการลงทุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ในประเทศไทย เชื่อว่าการร่วมมือกับสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Schroders จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของ Robowealth อย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งสองบริษัทได้พัฒนาโซลูชั่นด้านการลงทุนแบบใหม่ร่วมกัน ซึ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทั่วโลก ควบคู่ไปกับการนำเสนอบทความด้านการลงทุนที่สดใหม่ทันต่อสถานการณ์ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของ Robowealth เข้าถึงพอร์ตที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอในความเสี่ยงที่เหมาะสม พร้อมกับเข้าใจสถานการณ์ตลาดทุนโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยเรามุ่งหวังให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ จึงตั้งเป้าพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ และขยายการบริการดังกล่าวให้ครอบคลุมลูกค้าทุกแพลตฟอร์มของ Robowealth

นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Intermediary Business Thailand, Schroders กล่าวว่า ประเทศไทยมีอัตราการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่โตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่หันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น และผมคิดว่านักลงทุนไทยจะหันมาใช้บริการด้านการลงทุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นด้วย ดังนั้นความร่วมมือกับ Robowealth ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญสำหรับเราที่จะได้เห็นตลาดทุนไทยพัฒนาไปจากเดิม และในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนชาวไทยได้เช่นกัน

ด้าน Ms. Lily Choh, Singapore Country Head, Schroders ให้ความเห็นว่า การร่วมมือกับ Robowealth ในครั้งนี้  เราได้ช่วยกันวางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาพอร์ตการลงทุน โดยมุ่งหวังให้นักลงทุนไทยได้รับประสบการณ์การลงทุนในรูปแบบดิจิทัล บนพอร์ตการลงทุนที่เหนือระดับ เราเชื่อมั่นเสมอมาว่าในอนาคต ระบบดิจิทัลจะเป็นแกนหลักของเครื่องมือในการลงทุน รวมทั้งจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาโซลูชั่นด้านการลงทุนในไทย และเอเชียด้วย ในปัจจุบันข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ที่แม่นยำ และ Content ที่มีคุณภาพ เป็นสองสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนอนาคตได้ ในฐานะผู้บริหารจัดการสินทรัพย์ชั้นนำระดับโลกด้วยประสบการณ์กว่า 200 ปี เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นที่ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรายินดีที่ได้พบพันธมิตรด้าน Wealth Tech อย่าง Robowealth ที่มีประสบการณ์ภาคสนามที่กว้างขวางในประเทศไทย  ซึ่งเราได้ผสานกำลังกันในการพัฒนาพอร์ตการลงทุนใหม่นี้ ผ่านความเชี่ยวชาญระดับโลกของเรา ให้เข้ากับข้อมูลเชิงลึกด้านการลงทุนในประเทศไทยที่ทาง Robowealth มี ซึ่งเราเชื่อว่าพอร์ตการลงทุนนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

นายชลเดช ทิ้งท้ายว่า บริการ odini BLACK มีอัตราการเติบโตสูง ทั้งจากลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าที่เพิ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี หลังจากเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2563 ปัจจุบัน ลูกค้าของ odini BLACK มีเงินลงทุนเฉลี่ยประมาณคนละ 1,500,000 บาท โดยที่ความร่วมมือกับ Schroders จะช่วยให้ odini BLACK เติบโตได้อย่างน้อย 2 เท่าภายใน 6 เดือน พร้อมตั้งเป้าขยายบริการดังกล่าวให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มภายใต้ Robowealth ในปี 65 เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้ในวงกว้าง

JKN Best Life ปิดดีลเข้าถือหุ้น High-Shopping

บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Life) ผู้ให้บริการสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพความงามและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยที่ JKN Best Life นั้นเป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ประกาศข่าวดีคว้าบิ๊กดีลเข้าเป็นผู้ถือหุ้น 51% ในบริษัท ไฮช้อปปิ้ง จำกัด ด้วยเงินลงทุน 24,900,100 บาท พร้อมเงินให้กู้ยืม 10 ล้านบาท และ วงเงินกู้อีก 15 ล้านบาทเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 581.73 ล้านบาท เพื่อขยายศักยภาพการค้าในรูปแบบ D2C หรือ Direct-to-Customer หวังนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มไฮเอ็นของ JKN Best Life ครองใจกลุ่มเป้าหมายและผู้ชมรายการหวังสร้างยอดขายเพิ่มได้อีก 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี 64

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เผยว่า แนวโน้มและภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจการขายสินค้าตรงสู่กลุ่มผู้บริโภค ณ ปัจจุบันมีมูลค่าสูงมาก เห็นชัดได้จากการ WFH หรือการอยู่บ้านซึ่งเป็นผลพวงที่กระทบมาจากภาวะโควิด-19 ที่กลับส่งผลดีให้มีการซื้อขายมากขึ้น ในขณะเดียวกันแม้ประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะความผันผวนแต่ JKN Best Life ก็ปรับกลยุทธ์การตลาดอยู่เสมอให้มีความยืดหยุ่นทั้งด้านออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นและเราก็เข้าถึงผู้บริโภคเพื่อผลักดันยอดขายได้มากขึ้นเช่นกัน

ล่าสุดบริษัทในเครือของเราอย่าง  JKN Best Life ก็ได้ต่อยอดเสริมแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้นั่นคือการนำพาองค์กรขับเคลื่อนไปสู่การเป็น “Content Commerce Company” เข้าซื้อหุ้นที่ 51% ของกลุ่มบริษัท ไฮช้อปปิ้ง จำกัด ผู้ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทีวีโฮมช้อปปิ้งที่มีการเผยแพร่และออกอากาศอย่างหลากหลายช่องทางและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในรายการที่มีชื่อว่า “High Shopping” ทาง PSI ช่อง 46/ GMMZ ช่อง 43/ INFOSAT ช่อง 46 / DTV ช่อง 37 / เจริญเคเบิ้ล ช่อง 9 TOT IPTV ช่อง 38 / AIS Play ช่อง 800 / 3BB TV ช่อง 88 และ LOOX TV Application

ปัจจุบัน High Shopping นั้นมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าตรงและเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในราคาที่คุ้มค่าแต่ได้รับสินค้าพรีเมี่ยม ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย มีรายการสินค้าซึ่งทำการซื้อขาย ณ ปัจจุบันที่ 2,500 รายการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มสินค้าด้านแฟชั่นความงาม สินค้าในครัวเรือน เครื่องออกกำลังกาย สินค้าตามสมัยนิยม และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นทั้งสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทย และหมายรวมถึงสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน

High Shopping นั้นมีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 1,000,000 ราย มีคำสั่งซื้ออยู่ประมาณ 20,000 – 40,000 รายการต่อเดือน มีการจ่ายค่าสินค้าและบริการเฉลี่ยที่คนละ 1,000 บาทต่อหนึ่งรายการ หรือมียอดเงินสะพัดที่มากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ การเข้ามาถือหุ้นที่ High Shopping นี้ นอกจากมีฐานลูกค้าที่ชัดเจนและแนวโน้มการค้าที่ประมาณการได้คมชัดแล้ว JKN Best Life ยังได้ทั้ง Business Knowhow ระบบการบริหารจัดการธุรกิจขายสินค้าตรงสู่กลุ่มเป้าหมายรวมถึงมีเจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์ เรียกได้ว่าเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพพร้อมในการดำเนินงานต่อได้ทันที คาดว่าจะสามารถสร้างรายรับเพิ่มอีก 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี 64 และตั้งเป้าโกยอีก 500 ล้านบาทในปี 65

สรุปภาพรวม ภายใต้ธุรกิจของ JKN หรือ จักรพงษ์ เน็ตเวิร์ค ของมาดามแอนนั้น ในปี 64 นี้ก็เดินหน้าลุยสร้างบิ๊กดีลต่างๆ เพื่อเสริมให้เน็ตเวิร์คแห่งนี้แข็งแกร่งและก้าวไกลไปสู่ความยั่งยืน โดยมีความสอดคล้องกับการตลาดยุค4.0 ที่ว่าด้วยการเชื่อมต่อหรือรวมทุกรูปแบบเข้าด้วยกันแบบบูรณาการจนกลายเป็น O2O (online to offline) แบบ Multi-Channel และเพิ่มเป็น Multi-Level ในรูปแบบการตลาด เพื่อสอดรับเทรนด์ New Normal ซึ่งถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางสังคมที่ก้าวเข้าสู่ Digital Economy หรือ เศรษฐกิจดิจิทัล ตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งมั่นตั้งใจและไม่หยุดนิ่งของ JKN คุณจักรพงษ์ปิดท้าย