TFM ชู 3 กลยุทธ์ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของคนไทย ชู กลยุทธ์ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่ผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน พร้อมขยายตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต นำร่องอินเดีย ปากีสถานและอินโดนีเซีย เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน Food Supply Chain แก่อุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคเอเชีย  

นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมประมงที่สำคัญของโลก เนื่องจากปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำที่มีเพียงพอสำหรับส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป เป็นต้น โดยผลผลิตสัตว์น้ำที่มีการส่งออกสูง ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็น กุ้งสดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์กุ้ง ส่งผลให้ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตกุ้งเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 2563 

ขณะที่แหล่งที่มาของผลผลิตสัตว์น้ำในประเทศมาจาก 2 แหล่งที่สำคัญ คือ การจับสัตว์น้ำจากแหล่งธรรมชาติ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการนำเข้าสัตว์น้ำบางประเภทเพื่อนำมาแปรรูปและส่งออก โดยข้อมูลประมาณการของกลุ่มวิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมงฯ ประเมินผลผลิตสัตว์น้ำของประเทศไทยในปี 2563 ทั้งสิ้นกว่า 3,498,137 ตัน แบ่งเป็นผลผลิตที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ 2,553,101 ตัน และมาจากการเพาะเลี้ยงประมาณ 945,036 ตัน 

สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำมักจะประกอบไปด้วยหลากหลายภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เริ่มตั้งแต่ 1) ธุรกิจต้นน้ำ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบให้กับธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 2) ธุรกิจกลางน้ำ ได้แก่ ธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและธุรกิจประมง ซึ่งเป็นผู้จัดหาผลผลิตสัตว์น้ำนำส่งให้แก่ธุรกิจแปรรูปอาหารทะเล และ 3) ธุรกิจปลายน้ำ เพื่อแปรรูปและเพิ่มมูลค่าอาหารทะเลสดให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมจำหน่ายและส่งออกไปยังตลาดหลักต่างๆ ของโลก ทั้งนี้ ทุกธุรกิจที่กล่าวมานั้น ล้วนเกี่ยวโยงกันในรูปแบบของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งกลุ่ม TU ให้ความสำคัญมากที่สุด เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับ Food Supply Chain แก่อุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคเอเชีย

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของคนไทย โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี สั่งสมองค์ความรู้รวมถึงมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตสินค้า ภายใต้วิสัยทัศน์ของ TFM คือการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลาย ครอบคลุมการเพาะเลี้ยงตลอดวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในราคาที่แข่งขันได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตของลูกค้ากลุ่มเกษตรกรในประเทศและยกระดับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย

ปัจจุบัน TFM มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่

(1) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้ง ประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งไทย (ปี 2563) และมีสัดส่วนรายได้จากการขายอาหารกุ้ง ณ ไตรมาส 1/64 ร้อยละ 43.3

(2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง ปลาเก๋า เป็นต้น (2) อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิล ปลาดุก (3) อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และ (4) อาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอาหารปลากะพงประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย (ปี 2563) และมีสัดส่วนรายได้จากการขายอาหารปลา ณ ไตรมาส 1/64 ร้อยละ 41.4

(3) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (1) อาหารสุกร (2) อาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 2561 และปริมาณการขายอาหารสัตว์บกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายอาหารสัตว์บก ณ ไตรมาส 1/64 ร้อยละ 10.5

บริษัทฯ มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมทั้งหมด 288,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นกำลังการผลิตอาหารกุ้ง 168,000 ตันต่อปี กำลังการผลิตอาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิตอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี ภายใต้ระบบการผลิตที่ทันสมัยทั้งแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่ควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถแสดงคุณสมบัติและคุณภาพของสินค้าแต่ละขั้นตอนการผลิตที่สำคัญทั้งหมดในโรงงานจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา จึงทำให้สามารถติดตามข้อมูลในระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวว่า บริษัทฯ มีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 3 แนวทาง เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย 1) รักษาและพัฒนาความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศ ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรายเดิมและลูกรายใหม่ โดยเข้าไปศึกษาข้อมูลช่วยแก้ไขปัญหา หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างเหมาะสม 2) การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ผ่านการลงทุนและจัดหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นผู้นำธุรกิจอาหารสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน และ 3) ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต เริ่มจากประเทศอินเดีย ไปยังปากีสถาน และอินโดนีเซีย เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคเอเชีย

เรามีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงมีศักยภาพเติบโตจากตลาดในประเทศ ผ่านการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ อาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ และตลาดต่างประเทศผ่านแนวทางต่างๆ เช่น การเข้าทำสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น, การเข้าจัดตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศกับพันธมิตรท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งเน้นขยายโอกาสไปสู่ประเทศที่มีการเติบโตสูง ทั้งอินเดียและอินโดนีเซีย เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายบรรลือศักร กล่าว

ไปรษณีย์ไทย – JWD – Flash Express ปั้น “ฟิ้วซ์ โพสต์”

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผนึกกำลังดึงศักยภาพ 3 แบรนด์ ร่วมปั้น “ฟิ้วซ์ โพสต์” (FUZE POST) ธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน (Cold Chain Express) น้องใหม่ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Cold Chain Logistics ประเทศไทย พร้อมให้บริการ 1 กันยายน 2564 โดยในระยะแรกจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 6 เส้นทางภูมิภาค คือ หนองคาย เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตราด และบางละมุงเป็นหลักก่อน สำหรับลูกค้ารูปแบบ B2B B2C และ C2C ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของไปรษณีย์ไทย และ JWD สำหรับลูกค้าใหม่จะเน้นการให้บริการแบบ Direct Pick-up เป็นหลัก โดยเรียกใช้บริการผ่าน www.fuzepost.co.th และมีแผนจะเปิดให้บริการจุดรับฝาก (Drop off) ขยายเส้นทางขนส่งระหว่างภูมิภาคในเดือนมกราคม 2564

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยจากอุปสงค์ของผู้บริโภค รวมถึงความต้องการในการขนส่งสินค้าทางการเกษตร ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารสด ยาและเวชภัณฑ์ ฯลฯ ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ มูลค่าธุรกิจขนส่งควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทย มีมูลค่าตลาดในปี 2564 ประมาณ 34,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 8% หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของตลาดโลจิสติกส์ทั้งหมด และคาดการณ์ว่าการเติบโตของธุรกิจขนส่งรูปแบบนี้จะมีการเติบโตถึง 8-10% ในปี 2565

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการร่วมทุนพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิภายใต้แบรนด์ “ฟิ้วซ์ โพสต์” นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ผู้นำด้านการขนส่ง โลจิสติกส์  3 หน่วยงาน มาร่วมเป็นพันธมิตรพร้อมนำศักยภาพของแต่ละหน่วยงานมาร่วมพัฒนาการให้บริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิที่ดีที่สุดด้วยแนวคิด ธุรกิจการขนส่งและกระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน หรือ Cold Chain Express  

ฟิ้วซ์ โพสต์ เกิดขึ้นจากการดึงจุดแข็งของทั้ง ไปรษณีย์ไทย JWD และ Flash Express มาขับเคลื่อนการให้บริการที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น โดยไปรษณีย์ไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งแบบ Door to Door ที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ มายาวนาน โดยเฉพาะบุรุษไปรษณีย์กว่า 20,000 คน ที่รู้จักทุกพื้นที่ใกล้ชิดกับชุมชน เมื่อผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งควบคุมอุณหภูมิของ JWD และเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างดีของ Flash Express จะทำให้ “ฟิ้วซ์ โพสต์” สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิที่แข็งแกร่งในธุรกิจ Cold Chain Express ได้

ด้าน นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า JWD เป็นผู้นำตลาดและดำเนินธุรกิจด้าน Cold Chain Logistics & Supply Chain มากว่า 25 ปี มีองค์ความรู้และความชำนาญครบทั้งในด้าน คลังจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ศูนย์กระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิ  การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ รวมไปถึงการบริหารจัดการซัพพลายเชนของธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการผลิตหรือแปรรูปอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญทางด้านระบบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เทคโนโลยีในการบริหารจัดการอุณหภูมิตลอดทั้งซัพพลายเชน ตลอดจนเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยที่ผ่านมาทาง JWD ได้ให้บริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิให้กับกลุ่มลูกค้า B2B มากว่า 15 ปี และได้เปิดบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน หรือ Cold Chain Express ให้กลุ่มลูกค้า B2C และ C2C มาเป็นระยะเวลา 2 ปี ภายใต้ชื่อ JWD Express ดังนั้น การผนึกกำลังร่วมกับไปรษณีย์ไทย และ Flash Express ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวที่สำคัญที่สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในธุรกิจ Cold Chain Express และเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจทางด้าน e-Commerce ตามแผนธุรกิจ 5 ปีที่ได้วางไว้ JWD เชื่อมั่นว่าการเอาจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละฝ่ายมารวมกันในครั้งนี้ ภายใต้ชื่อ “ฟิ้วซ์ โพสต์” จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการส่งมอบบริการที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายในอนาคต

ขณะที่ นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทยและ e-Commerce แบบครบวงจร ขนส่งเอกชนไทยรายแรกที่ก้าวสู่ยูนิคอร์นระดับสากล เปิดเผยว่า จากการเติบโตของตลาดขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain Logistics ในประเทศไทย Flash Express เล็งเห็นถึงโอกาสในการเข้ามาทำตลาดในกลุ่มธุรกิจ Cold Chain จึงจับมือร่วมทุนกับผู้นำในตลาดอีก 2 บริษัท ในการรุกตลาด Cold Chain Logistics โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย และในอาเซียนต่อไป

เราต้องการนำเอาศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เรามี เข้ามาขับเคลื่อนในธุรกิจ Cold Chain เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยการต่อยอดธุรกิจไปสู่บริการในด้านอื่นๆ ที่สามารถตอบโจทย์แก่ผู้บริโภคยุค New normal และ Next normal ที่เปลี่ยนพฤติกรรมจากออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์มากขึ้น พร้อมกันนี้ทีมงาน IT ของ Flash Express กว่า 100 คน ยังได้เตรียมวางระบบขนส่งในรูปแบบ Cold Chain Management System ทั้งในส่วนของ Fast optimization and tech adaption (การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงระบบให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน และแก้ไขปัญหาอย่างท่วงทัน ท่วงที), Cloud computing (การคำนวณด้วยเทคโนโลยี), System infrastructure ตลอดจนการวางระบบเชื่อมการทำงานเข้ากับระบบปฏิบัติการ (Application Programming Interface: API),ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System: OMS) อย่างไรก็ดี การร่วมทุนในโปรเจ็กต์ใหญ่ครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าเราคือธุรกิจที่ทำบริการ  e-Commerce ได้อย่างครบวงจร”  นายคมสันต์กล่าว

ทั้งนี้ ฟิ้วซ์ โพสต์ เป็นการขนส่งและกระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน ที่เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจาก “คู่แข่งขันมาเป็นคู่ค้า” เพื่อพัฒนาระบบการจัดการขนส่งให้แข็งแกร่ง มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และร่วมกันยกระดับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ผู้ใช้บริการจะได้สัมผัสถึงความเชี่ยวชาญด้านการเข้าถึงลูกค้าทุกพื้นที่ของไปรษณีย์ไทย ที่พร้อมส่งมอบความสดใหม่ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ จุดแข็งในด้านการเป็นผู้นำตลาดของ JWD ที่เข้าถึงและตอบสนองทุกความต้องการกลุ่มลูกค้า รวมทั้งเทคโนโลยีสุดล้ำด้านอีคอมเมิร์ซของ Flash Express ที่จะพลิกโฉมภาคการค้าวิถีใหม่ให้ก้าวกระโดดในทุกโซลูชัน

AIMIRT ปิดดีลลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินคุณภาพ

กองทรัสต์ AIMIRT โชว์ศักยภาพประกาศความสำเร็จอีกครั้ง หลังเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม 3 โครงการแล้วเสร็จ ดันพอร์ตทรัพย์สินแตะหมื่นล้านตามแผน พร้อมรับรู้รายได้จากทรัพย์สินคุณภาพที่มีผู้เช่าเต็ม 100% มั่นใจหนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของกองทรัสต์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังจากได้รับโอนทรัพย์สินใหม่ประเภทคลังสินค้าให้เช่าจากการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ได้แก่ โครงการทิพย์ 5 และโครงการทิพย์ 8 (ส่วนลงทุนเพิ่มเติม) โครงการไทยแทฟฟิต้า และโครงการเอ็มเอส แวร์เฮ้าส์ รวมทั้งหมด 3 โครงการเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้กองทรัสต์มีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นอีก 117,338 ตารางเมตร รวมเป็น 268,364 ตารางเมตร รวมถึงถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่าความจุรวม 85,580 กิโลลิตร ซึ่งทรัพย์สินเดิมและทรัพย์สินใหม่ทุกโครงการมีอัตราการเช่าเต็ม 100% ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10,000 ล้านบาท จากก่อนการลงทุนเพิ่มที่อยู่ที่ประมาณ 7,600 ล้านบาท  

โดยหลังจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินใหม่ในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว กองทรัสต์จะรับรู้รายได้เพิ่มจากทรัพย์สินใหม่ได้ทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพและเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมตอกย้ำศักยภาพของกองทรัสต์ที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาสและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2561 เป็นต้นมา

นางสาวญาณิชศา ชาติวุฒิกอบกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมากองทรัสต์ AIMIRT ได้มุ่งคัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพจากผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจำกัดและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีพอร์ตทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจายตัวหลากหลาย ทั้งคลังห้องเย็น อาคารคลังสินค้า โรงงานและถังเก็บสารเคมีเหลว เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่กองทรัสต์ ซึ่งสะท้อนผ่านความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานและการจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง  

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ที่ผ่านมา กองทรัสต์ AIMIRT มีรายได้รวม 159 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีตามเป้าหมายจากอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ทุกโครงการ ถือเป็นหนึ่งในกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพสูงเป็นอันดับต้นๆ และมีอัตราการเติบโตของเงินปันผลสูงที่สุดกองหนึ่งในประเทศไทย

พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 10,000 ล้าน

บลจ. พรินซิเพิล เดินหน้าเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุนเปิดพรินซิเพิล  เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 5,000 ล้านบาท มีผลวันที่ 14  กันยายน 2564 ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังโชว์ผลการดำเนินงานช่วง เดือนแรกของปีนี้ สูงสุดเป็นอันดับ ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามทั้งหมด (Source : Morning Star ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) ให้ผลตอบแทน 43.33% และ ปีที่ 77.32% (Benchmark: 47.67% และ 84.31% Source : Bloomberg ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) แนะเป็นจังหวะทยอยลงทุนแบบสะสมในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐาน เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งจากการลงทุนโดยตรงของชาวต่างชาติก้าวสู่ฮับการผลิตของโลก  

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัวกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ในปี 2560 ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนเด่นที่ให้อัตราผลตอบแทนโดดเด่นและได้ความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงของต่างชาติเพื่อขยายฐานการผลิตในประเทศเวียดนามที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ล่าสุด บลจ.พรินซิเพิล จึงขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก...) เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุนเปิดดังกล่าวเป็น 1 หมื่นล้านบาท จากเดิม 5 พันล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2564 เป็นต้นไป เพื่อขยายขนาดกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น สามารถลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านกองทุนเปิด เปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ให้อัตราผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ ของกลุ่มกองทุนที่ลงทุนเวียดนามในรอบ เดือนแรกของปี 2564 โดยนับจากวันที่ มกราคม – 31 สิงหาคม 2564 ให้อัตราผลตอบแทน 43.33% เทียบกับดัชนีชี้วัดที่ให้อัตราผลตอบแทน 47.67% ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ปี ให้อัตราผลตอบแทน 77.32% สูงสุดในกลุ่มกองทุนเวียดนามเช่นเดียวกัน และสูงกว่าดัชนีชี้วัดที่ให้ผลตอบแทน 84.31% (Source Bloomberg ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสดีที่จะทยอยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่อยู่ในช่วงการปรับฐาน จากความกังวลตัวเลขอัตราผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ อย่างไรก็ตามประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามมีความแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตสูง จากการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) จำนวนมากจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ส่งผลให้เวียดนามกำลังยกระดับจากประเทศเกษตรกรรมสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก’ และการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมืองหรือ Urbanization จากรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคนี้ 

ขณะที่ การฉีดวัคซีนเป็นประเด็นเร่งด่วน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนถึง 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ 70% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า พร้อมทั้งได้จัดหาวัคซีนรองรับจำนวน 100 ล้านโดส ซึ่งจะส่งผลดีต่อการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์  และตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App 

บริษัทในเครือ CV คว้างาน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 528 ล้าน

บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV ดึงบริษัทในเครือลงนาม MOU ออกแบบและติดตั้ง (EPC) ในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion ร่วมกับ บจ.พรีเมี่ยม เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำนวน 4 โครงการ มูลค่างานรวมกว่า 528 ล้านบาท ร่วมพัฒนาโครงการออกแบบ ก่อสร้างและทดสอบเดินเครื่องระบบผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion พร้อมขยายความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม แย้มอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดในอนาคต เสริมแกร่งหนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตโดดเด่นมากขึ้น

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ให้บริการด้านงานวิศวกรรมแบบครบวงจร ผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ตามวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียน สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน เปิดเผยว่า บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การออกแบบและติดตั้ง (EPC) ในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion ร่วมกับ บริษัท พรีเมี่ยม เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่างานรวมทั้งสิ้น 528 ล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการออกแบบ ก่อสร้าง และทดสอบเดินเครื่อง ระบบผลิตเชื้อเพลิง Bio fusion

โดยปัจจุบัน ได้ลงนามเป็นสัญญา EPC แล้วจำนวน 1 โครงการ คาดว่าจะสามารถติดตั้งและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 นับจากลงนามสัญญาซื้อขายเครื่องจักรและสัญญาออกแบบ ติดตั้ง ทดสอบเดินเครื่อง และรับมอบพื้นที่ของโครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีความร่วมมือในด้านอื่นๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกด้วย

“การลงนาม MOU ครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสเข้ารับงานการออกแบบและติดตั้งในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion จากการที่ CV ทำธุรกิจให้บริการด้าน EPC แบบครบวงจรนับตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนถึงงานเดินเครื่องและบำรุงรักษา ผ่านทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนาน ทำให้สามารถแข่งขันด้านต้นทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน CV จึงมีศักยภาพในการเข้าร่วมประมูลโครงการอีกมาก เพื่อคว้าโอกาสการรับงานซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว” นายเศรษฐศิริ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการพัฒนาผลการดำเนินงานให้สามารถเติบโตอย่างโดดเด่น ผ่านการพัฒนาและลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อตัดสินใจเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็น โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โครงการระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) โครงการโรงพลังงานแสงอาทิตย์ประเภทติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื้อเพลิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงลงทุนในกิจการด้านงานวิศวกรรม ที่กลุ่มบริษัทฯ เห็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ทั้งรูปแบบเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง หรือเข้าซื้อกิจการ หรือเป็นการเข้าลงทุนทั้งหมด หรือการร่วมลงทุนบางส่วน โดยเกณฑ์พิจารณารูปแบบการลงทุนนั้นจะมองถึงโอกาสทางธุรกิจ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ฐานะทางการเงินและสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นประกอบการพิจารณาเข้าลงทุนในแต่ละโครงการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ เป็นสำคัญ

เตรียมพร้อมไทยก้าวสู่ Net Zero Emission ในปี 2593

เอ็น อาร์ เอฟ จับมือ อีสท์วอเตอร์ ศึกษาการกักเก็บคาร์บอนจากสาหร่ายทะเลเป็นที่แรกในประเทศไทย เพื่อประเทศไทยก้าวสู่ Net Zero Emission ในปี พ.ศ. 2593 ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านการนำสาหร่ายกลับมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรต้นน้ำ คาดมูลค่าตลาดโลกเติบโตมากกว่า 1.97 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2573 

เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่น่าจับตามอง เมื่อบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็น อาร์ เอฟ ผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับมาตรฐานสากล ร่วมกับ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ ผู้นำด้านการบริหารจัดการน้ำครบวงจร ได้ร่วมมือกันพัฒนารูปแบบการปลูกสาหร่าย เพื่อกักเก็บคาร์บอนเป็นที่แรกในประเทศไทย ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่อุปทาน มุ่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างยั่งยืนทั้งเชิงอนุรักษ์ และเชิงพาณิชย์ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในละแวกใกล้เคียง 

เอ็น อาร์ เอฟ และ อีสท์วอเตอร์ เล็งเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดทำฟาร์มสาหร่าย ซึ่งเป็นพืชที่มีศักยภาพในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน (Global warming) เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในทะเลเป็นอย่างดี รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน ชาวประมง และผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการนำสาหร่ายที่ได้ผลิตเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค และแปรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ ตลอดจน เศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่อีกด้วย  

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็น อาร์ เอฟ หรือ NRF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นดำเนินตามนโยบายที่เคยได้กล่าวไว้คือ การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนไทยที่ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืน วางรูปแบบธุรกิจที่มุ่งสู่การลดคาร์บอนซึ่งถือเป็นพันธกิจหลักในการดำเนินงาน เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนจากภาคธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก รวมทั้งการที่ให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) มากขึ้น เพื่อก้าวเป็นบริษัทอาหารระดับโลกสำหรับศตวรรษที่ 22 จากสิ่งที่ได้ดำเนินนโยบายมา ถือเป็นสิ่งสะท้อนศักยภาพของภาคธุรกิจไทยที่พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนระดับโลก และการเป็นตัวอย่างขององค์กรธุรกิจที่นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  

“การที่ได้เข้าร่วมกับอีสท์วอเตอร์ ถือเป็นการเดินหน้าการพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลรูปแบบใหม่ โดยจะร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการปลูกสาหร่ายทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคลป์ (Kelp) สาหร่ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศผ่านระบบนิเวศทางทะเล หรือ Blue Carbon เป็นที่แรกในประเทศไทย ระบบนิเวศทางทะเลถือเป็นแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลผลิตสาหร่ายที่ได้สามารถต่อยอดนำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรซึ่งถือเป็นต้นน้ำผู้ผลิตวัตถุดิบให้กับโรงงานของNRF ผลักดันให้เข้าสู่ระบบ Regenerative Farming ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทานของเรา เราจึงส่งเสริมเกษตรกรเพาะปลูกแบบอินทรีย์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในอาหารให้กับผลิตภัณฑ์ของNRF เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค ถือเป็นการลงทุนสีเขียวอีกช่องทางหนึ่งของบริษัท ผมเชื่อว่าการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ในภาคเกษตรกรรมและอาหารจะเป็น S-curve ใหม่ของเศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตร และสร้างความยั่งยืนกับระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ Net Zero Emission หรือประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งเร็วขึ้นกว่าที่รัฐบาลกำหนดไว้ในปี พ.ศ.2608” นายแดน กล่าว 

นายชรินทร์ โซนี่ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “วันนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง เอ็น อาร์ เอฟ กับ อีสท์วอเตอร์ เพื่อเดินหน้าการพัฒนาโครงการนำร่องของการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสำเร็จรูป ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการน้ำของ อีสท์วอเตอร์ จะช่วยผลักดันโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ให้แก่ ทั้ง 2 บริษัท พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ชุมชนในพื้นที่ และประเทศชาติในระยะเวลาอันใกล้”  

ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานที่ผ่านมาของอีสท์วอเตอร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการน้ำครบวงจร ทั้งการให้บริการน้ำดิบ โดยมีโครงข่ายท่อน้ำดิบที่ยาวกว่า 500 กิโลเมตร ครอบคลุม 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา การผลิตน้ำอุตสาหกรรม ด้วยระบบผลิตน้ำอุตสาหกรรมแบบศูนย์รวม (Centralized Plant) ที่ใช้เทคโนโลยี Sludge Return ที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ซึ่งสามารถผลิตน้ำอุตสาหกรรมได้สูงสุด 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน สำหรับผลิตและส่งจ่ายให้แก่นิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจังหวัดระยอง นอกจากนี้ อีสวอเตอร์ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความยั่งยืนมาโดยตลอด จึงมุ่งเน้นการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ 

ความร่วมมือกันระหว่าง 2 ฝ่ายในครั้งนี้ ถือเป็นการผนึกกำลังของ 2 ผู้นำ จากทางด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน และ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว คาดว่าตลาดปุ๋ยอินทรย์ทั่วโลกจะเติบโตมากกว่า 13.56% มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.97 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2573 สามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ประกอบอาชีพประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลและชุมชนโดยรอบมากมาย โดยการดำเนินงานในครั้งนี้มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจสีเขียว ควบคู่กับการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทั้ง 2 บริษัท 

ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา

โรคต้อทางตามีหลากหลายชนิด 4 โรคต้อที่พบบ่อยๆที่เรารู้จักคุ้นเคย คือต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน ซึ่งมีอาการแตกต่างกันในแต่ละชื่อโรค โรคต้อบางชนิดถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอาจอันตรายถึงขั้นทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เราควรรู้เท่าทันโรคต้อทั้ง 4 เพื่อรับมือและสามารถรักษาดวงตาของเราให้ปลอดภัย 

พญ.ธารินี เสงี่ยมพรพาณิชย์ จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคต้อหรือตาต้อที่เกิดขึ้นกับดวงตานั้นเกิดจากหลากหลายสาเหตุ อาการและความรุนแรงจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ ระคายเคืองตา ไปถึงตามัว หรือทำให้ตาบอดได้ ต้อต่าง ๆ ในตาที่คุ้นชินกันดีมี 4 ชนิด คือ 

1.ต้อลม (Pinguecula) ลักษณะจะเป็นเนื้อนูนที่เยื่อบุตาด้านข้างกระจกตาหรือตาดำ จะอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva) ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณหัวตาด้านในบริเวณใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้ เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้น จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามากขึ้น สาเหตุมาจากรังสียูวี เช่น จากแสงแดด และเมื่อโดนลมหรือฝุ่นจะทำให้เคืองตามากขึ้นได้จากการอักเสบหรือผิวตาแห้งง่าย พบได้ในทุกเพศทุกวัยพบได้มากในประเทศเขตร้อน เพราะสัมพันธ์กับการเจอแดด โดยส่วนใหญ่อายุที่พบจะมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อาการที่เกิดขึ้นคือ  เคืองตา แสบตา คันตา ตาแดงอักเสบ การรักษาต้อลมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากต้อมีขนาดเล็ก จะไม่รู้สึกระคายเคืองนัก การรักษาในระยะนี้แพทย์จะแนะนำให้เน้นการป้องกัน เพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้น โดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีกิจกรรมนอกอาคาร เพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลาม ถ้ามีอาการระคายเคืองหากเกิดการอักเสบแดง แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ลดอาการอักเสบ

2.ต้อเนื้อ (Pterygium) มีลักษณะเป็นเนื้อสามเหลี่ยม โดยมีหัวอยู่ที่กระจกตา เนื้อเยื่อเหมือนเยื่อบุตาซึ่งมีเส้นเลือดวิ่งเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ จะแดงมากน้อยขึ้นอยู่กับมีปริมาณเส้นเลือดบริเวณต้อเนื้อและการอักเสบ ต้อเนื้อส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้เช่นเดียวกัน ต้อเนื้อจะเกิดจากการถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมักพบในคนที่อาศัยในเขตอากาศร้อน ใช้ชีวิตประจำวันกลางแจ้ง หรือโดนแสงแดดในบริมาณมาก ถ้าต้อเนื้อมีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตา และมีขนาดใหญ่ อักเสบเรื้อรัง รวมถึงมีการมองเห็นที่แย่ลงเพราะต้อไปกดกระจกตา แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา ถึงจะผ่าตัดออกแล้วแต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นอีก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยและผู้ที่ยังคงได้รับรังสี UV อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์มักผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเองหรือเยื่อหุ้มรกที่เตรียมพิเศษ ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันโดยอาจใช้วิธีเย็บเนื้อเยื่อหรือใช้ Fibrin Glue การป้องกันจะเหมือนต้อลม คือ ควรหลีกเลี่ยงแดดจ้า โดยเฉพาะช่วยสายถึงบ่ายต้น ๆ หากทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้ง และพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลม ฝุ่น ควัน ที่ส่งผลทำให้กระตุ้นการอักเสบระคายเคืองมากขึ้นได้

3.ต้อกระจก (Cataract) การเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นลง มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุกับดวงตา หรือการได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น ทุกคนมีโอกาสเป็นต้อกระจกตามวัยเพราะความเสื่อมของร่างกาย อาจเป็นเร็วช้าต่างกัน อาการที่พบ คือ มองเห็นเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง เห็นสีเพี้ยน ภาพซ้อน ตามัวในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เมื่ออยู่กลางแดดตาจะสู้แสงไม่ได้ ยังไม่มีการรักษาด้วยการกินยาหรือหยอดตา เมื่อสายตามัวลงจะมีผลต่อการใช้ชีวิตควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ปัจจุบันวิธีที่เป็นมาตรฐานที่นิยมคือ วิธีสลายต้อกระจกด้วยเครื่องสลายต้อและใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Phacoemulsification with Intraocular Lens) โดยส่วนใหญ่ใช้เพียงแค่ยาชาเฉพาะที่ ผ่าตัดเร็ว แผลมีขนาดเล็ก กลับมามองเห็นได้เร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ทดแทนเมื่อนำต้อกระจกออกแล้ว ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายชนิดตามความต้องการของคนไข้ มีทั้งเลนส์ที่ชัดระยะเดียว มองไกลได้ชัดเจนมากขึ้น หรือเลนส์ชัดหลายระยะ ใส่แว่นน้อยลง กลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น  หรือถ้าคนไข้มีสายตาเอียงสามารถแก้สายตาเอียงไปพร้อมกันได้จากการเลือกเลนส์ให้เหมาะสม การป้องกัน แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่ให้ดวงตาถูกกระแทก เลี่ยงการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และเมื่ออายุมากขึ้นควรตรวจตาปีละครั้งเพราะส่วนใหญ่การเกิดต้อกระจกสัมพันธ์กับความเสื่อมตามวัย

4.ต้อหิน (Glaucoma) โรคที่มีความเสื่อมของเส้นประสาทและขั้วประสาทตาทำให้สูญเสียการมองเห็น ลานสายตาแคบลง มักพบความดันในลูกตาสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้โรคแย่ลง ส่งผลทำลายเส้นประสาทตาและขั้วประสาทตา ทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตาอย่างถาวรได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ เพราะกลุ่มใหญ่ๆของต้อหินไม่มีอาการบอกล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลันอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ต้อหินบางชนิดความดันลูกตาไม่สูง แต่ต้องคุมความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมมากขึ้น ถ้าหากไม่ทำการรักษาจะทำให้ลานสายตาค่อย ๆ แคบลงจนตาบอดได้ในที่สุด สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุแต่ที่พบมากคืออายุ 40 ปีขึ้นไป ต้อหินที่พบมีทั้งต้อหินเฉียบพลันที่มีอาการปวดตาในทันทีทันใดและเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ และต้อหินเรื้อรังที่ไม่มีอาการใด ๆ ต้องตรวจตาและวัดความดันลูกตาถึงสามารถรู้ได้ การรักษาแม้ไม่ได้ช่วยให้หายขาด แต่ช่วยควบคุมไม่ให้อาการแย่ลง ส่วนใหญ่รักษาเพื่อควบคุมความดันลูกตาตาให้เหมาะสม โดยมีทั้งการใช้ยาหยอดตา ยารับประทาน การใช้เลเซอร์รักษาตามชนิดต้อหิน และการผ่าตัดที่ใช้เมื่อรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของจักษุแพทย์เพื่อคุมความดันลูกตาให้อยู่ในเกณฑ์ดี ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเช็กสายตาเป็นประจำทุกปี

การได้รับการตรวจเช็กดวงตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปีเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากจะช่วยประเมินสุขภาพดวงตาได้อย่างละเอียดแล้ว หากตรวจพบว่าดวงตามีปัญหาโรคต้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์จักษุ รพ.กรุงเทพ โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

กล่องเสียงบอบช้ำเมื่อหายจาก COVID-19

ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่อาการรุนแรงและจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจขณะทำการรักษาเป็นเวลานาน เมื่อหายแล้วอาจส่งผลให้กล่องเสียงได้รับการบาดเจ็บ เกิดการบวม อักเสบ หรือมีแผลได้ เพื่อรักษากล่องเสียงที่บอบช้ำจากการรักษาจึงควรหมั่นสังเกตตนเอง เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้วควรรีบพบแพทย์ทันที

แพทย์หญิงจิราวดี จัตุทะศรื แพทย์ด้านหู คอ จมูก ศูนย์หูคอจมูก โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่มีการอักเสบของปอดอย่างรุนแรง จนส่งผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว หายใจได้ยากจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator) เพื่อช่วยในการรักษาโดยวิธีการใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Intubation) ทางปากผ่านกล่องเสียงไปยังหลอดลม ท่อนี้จะเป็นตัวนำออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจส่งไปยังปอด ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งใช้เวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน ตัวท่ออาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อภายในกล่องเสียงจนเกิดการบวม ช้ำ อักเสบ มีแผล แผลเป็น หรือบวมจนกลายเป็นเนื้องอกได้ ส่งผลให้เกิดภาวะกล่องเสียงทำงานผิดปกติไปจากเดิม

อาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการใส่ท่อช่วยหายใจ คือ 1.ภาวะกล่องเสียงหดเกร็ง (Laryngospasm) จะเกิดขึ้นเมื่อถอดท่อช่วยหายใจออกแล้ว เป็นการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นในทางเดินหายใจขณะที่กล้ามเนื้อของกล่องเสียงยังหย่อนตัวไม่เต็มที่จึงเกิดการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อกล่องเสียงและสายเสียง เช่น  ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถผ่านเข้าปอดได้ 2.ภาวะกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis) นอกจากการใส่ท่อช่วยหายใจแล้วยังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • เชื้อโรค ไวรัส  แบคทีเรีย เชื้อรา วัณโรค
  • การใช้งานกล่องเสียงมากที่มากเกินไป อาทิ พูดดัง พูดนาน ร้องเพลงผิดวิธี  ไอแรง ไอเรื้อรัง ขากเสมหะบ่อย ๆ
  • มีสิ่งระคายเคืองกล่องเสียง เช่น การหายใจเอามลภาวะในอากาศเข้าไป การสูบบุหรี่ การสำลักอาหาร  อาเจียน กรดไหลย้อน
  • การกระแทกเสียดสีจากภายนอกกล่องเสียง เช่น  อุบัติเหตุของแข็งกระแทกลำคอทางด้านหน้า
  • การกระแทกจากภายในกล่องเสียง ที่เกิดจากการใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อดมยาสลบ หรือเพื่อให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถหายใจได้เองตามปกติ

ถ้ากล่องเสียงเกิดการอักเสบแล้ว การรักษามีดังต่อไปนี้ (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นในกล่องเสียง)  

  • การให้ยาโดยแพทย์จะพิจารณาจากสาเหตุที่เกิดเป็นหลัก อาทิ ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ไอ ยากรดไหลย้อน เป็นต้น
  • การพักใช้เสียงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ต้องพูดน้อย ๆ  ไม่ตะเบ็งเสียง ไม่ตะโกน ไม่ร้องเพลง
  • ควรงดดื่มคาเฟอีนในปริมาณมาก งดดื่มแอลกอฮอล์
  • และผ่าตัดในกรณีที่มีเนื้องอกหรือแผลเป็นในกล่องเสียง โดยแพทย์จะสอดท่อผ่านเข้าไปทางช่องปาก ร่วมกับผ่าตัดด้วยอุปกรณ์สำหรับกล่องเสียงโดยเฉพาะ ภายใต้การมองผ่านเลนส์ของกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) เพื่อป้องกันการบอบช้ำหรือกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ป่วยจะไม่มีบาดแผลบริเวณผิวหนังลำคอ แต่หลังผ่าตัดควรพักการใช้เสียงด้วยการพูดน้อย ๆ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์หรือจนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ

สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่รักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจและท่อช่วยหายใจตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา เมื่อหายแล้วอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ถ้ารู้สึกว่าเกิดอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อได้รับการรักษาที่ทันท่วงที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หู คอ จมูกกรุงเทพ โทร.1719

อันตรายแค่ไหนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วย COVID-19

ปัจจุบันที่การระบาดของเชื้อ COVID-19 ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทวีความรุนแรงและอันตรายมากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลตัวเองและเด็กในครรภ์อย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากคุณแม่มีการติดเชื้อแล้วนอกจากจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปยังมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอีกด้วย

นายแพทย์ร่มไทร เลิศเพียรพิทยกุล แพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์มีการติดเชื้อ COVID-19 แล้วส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมักมีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ เป็นต้น และมีโอกาส 2-5% ที่จะส่งต่อเชื้อไปยังเด็กในครรภ์ได้ รวมถึงโอกาสเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง ครรภ์เป็นพิษ เลือดแข็งตัวผิดปกติ การคลอดก่อนกำหนดจนทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ากว่าปกติได้อีกด้วย

เมื่อมีการติดเชื้อ COVID-19 คุณแม่จะมีไข้ ไอแห้ง ๆ มีอาการอ่อนเพลีย หายใจติดขัด เจ็บคอ ท้องเสีย สามารถรักษาได้ด้วยการให้สารน้ำเพื่อแก้ไขภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ ให้ออกซิเจน ให้ยาต้านไวรัสในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง ใช้เครื่องช่วยหายใจกรณีที่อาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับการประเมินโดยแพทย์ ข้อจำกัดในการรักษาคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วย COVID-19 คือ การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลต่อทารกในครรภ์,  การตรวจ X-Ray หรือ CT Scan มีผลทำให้ทารกได้รับปริมาณรังสีเพิ่มขึ้นด้วย, แม้ลูกมีโอกาสจะติดเชื้อ 2-5% และส่วนใหญ่ทารกแรกคลอดที่ติดเชื้อ จะมีอาการไม่รุนแรง แต่อาจส่งผลให้แพทย์ต้องพิจารณาให้คลอดก่อนกำหนดในบางกรณี และคุณแม่ไม่สามารถนอนคว่ำเพื่อรับออกซิเจนให้เพียงพอ จึงอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อเพิ่มระดับการให้ออกซิเจน

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อแล้วนั้นสามารถฝากครรภ์ได้ตามปกติ แต่ในคุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์หรืออยู่ในกลุ่มครรภ์เสี่ยงสูง มีโรคร่วมอย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ หัวใจ หอบหืด ปอดเรื้อรัง  ไต ต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ฝากครรภ์ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง โดยนัดเวลาล่วงหน้าเพื่อให้ใช้เวลาที่โรงพยาบาลน้อยที่สุด เลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะ ผู้ติดตามที่ไปด้วยต้องไม่เกิน 1 คน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน ล้างมือให้บ่อย พกเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลา เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตรในทุกกิจกรรม กลับถึงบ้านล้างมือ ถอดหน้ากากทิ้งทันที เปลี่ยนเสื้อผ้า สังเกตความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น บวม ลูกดิ้นน้อยลง มีเลือดออกทางช่องคลอด เจ็บครรภ์ น้ำเดิน หากมีอาการรีบพบแพทย์ทันที ในช่วง 3 – 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากไม่มีการตรวจพิเศษอื่น ๆ อาจเลื่อนนัดได้ตามสถานการณ์ ในส่วนของการให้นมเมื่อมีการคลอดเด็กทารกแล้วนั้น จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัสผ่านทางน้ำนม ดังนั้นทารกสามารถกินนมแม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด ในส่วนของคุณแม่ที่ติดเชื้อแต่มีอาการไม่มากนัก สามารถกอดลูก ให้นมลูกได้ โดยสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือให้บ่อย กรณีที่มีอาการรุนแรง ได้รับยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และดารุนาเวียร์ (Darunavir) ไม่ควรให้นมลูก

คุณแม่จำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พบแพทย์ตามนัดหมาย ฉีดวัคซีน COViD-19 เมื่ออายุครรภ์ครบ 3 เดือนหรือ 12 สัปดาห์ตามคำแนะนำของแพทย์ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ที่สำคัญดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง ไม่เครียดหรือวิตกกังวลจนเกินไป รับฟังข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และหากคุณแม่ตั้งครรภ์มีการติดเชื้อจะต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

ดูแลดวงตาอย่างไรให้ห่างไกล COVID-19

ตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เป็นอีกอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ COVID-19 เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม ทำให้มีเชื้อโรคกระจายมายังเยื่อบุตา ซึ่งการรักษาทำได้โดยการประคับประคองตามอาการ การดูแลดวงตาในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย

พญ.ธารินี เสงี่ยมพรพาณิชย์ จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า COVID-19 ทำให้เกิดอาการทางตาได้ จากข้อมูลล่าสุดราวกลางปี 2021 พบว่ามีรายงานอาการทางตาตั้งแต่ 2-32% ของผู้ป่วย โดยพบอาการเยื่อบุตาอักเสบได้บ่อยในผู้ป่วยเด็กมากกว่าในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มีอาการที่ไม่รุนแรง มักเป็นเพียงเยื่อบุตาอักเสบคล้ายกับจากไวรัสชนิดอื่น ๆ รักษาโดยการให้ยาลดอาการและประคับประคองก็จะดีขึ้น ในต่างประเทศมีบางรายงานพบผู้ป่วยที่มีการอักเสบที่ชั้นเหนือตาขาวอักเสบ ความผิดปกติที่จอตาและเส้นประสาทตาอักเสบ แต่เป็นจำนวนน้อยมากๆเมื่อเทียบส่วนใหญ่ที่มีเพียงอาการตาแดงจากเยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งไม่มีผลรุนแรงในระยะยาว

การดูแลรักษาดวงตาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ  ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสดวงตา เพราะจะทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือบ่อยๆ เนื่องจากไวรัสสามารถติดต่อผ่านทางเดินหายใจ ทางปาก และทางตาได้ การใส่แว่นสายตาแทนการใส่คอนแทคเลนส์ก็สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนดวงตาได้อีกทางหนึ่ง แต่การใส่แว่นสายตาแบบปกติ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 ได้ ควรมีเครื่องป้องกันอื่นร่วมด้วย ควรใช้แว่นตาหรือหน้ากากพลาสติกเพื่อป้องการโดนสารคัดหลั่งต่าง ๆ เข้าสู่ดวงตา  ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ควรเลือกให้กระชับ มีความใส คุณภาพดี ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน วัสดุที่ใช้ในการทำแว่นป้องกันหรือ Face Shield มีให้เลือกหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็น Polycarbonate แบบที่ใช้ในแว่นนิรภัย แต่อาจมีความหนาแตกต่างกันออกไป ควรพิจารณาอย่างละเอียดและเลือกใช้งานให้เหมาะสม

สำหรับผู้ที่ต้องใส่คอนแทคเลนส์ในช่วงนี้ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าผู้ที่ใส่แว่นตา โดยคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้ตามปกติ แต่ควรดูแลการใส่อย่างถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคที่ติดต่อได้จากการใส่คอนแทคเลนส์ ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาทีและเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือที่สะอาดอีกครั้ง ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ให้ถูกวิธี และหากป่วยเป็นไข้ มีน้ำมูก ไอ จาม ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์กลุ่ม Hydrogen Peroxide-Based Systems ชึ่งไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยนัก สามารถใช้ฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อโรค COVID-19 ได้ แต่จะต้องระมัดระวังในการใช้ โดยห้ามใช้น้ำยากับดวงตาโดยตรง เนื่องจาก Hydrogen Peroxide จะทำให้เกิดการระคายเคืองตามมา จะต้องแช่ในตลับชนิดพิเศษให้ครบชั่วโมงตามคำแนะนำจึงสามารถนำคอนแทคเลนส์มาใช้ได้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด สำหรับน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์กลุ่ม Multipurpose Solution ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย และการทำความสะอาดโดย Ultrasonic Cleaners  ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ถึงความสามารถในการฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 แนะนำให้ดูแลรักษาความสะอาดในการใส่คอนแทคเลนส์อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้การใช้ยารักษามาลาเรีย Chloroquine, Hydroxychloroquine ที่มีรายงานการนำมารักษา COVID-19 ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีผลกับจุดรับภาพแบบรุนแรง โดยรายงานเบื้องต้นพบว่า การใช้ยานี้ในผู้ป่วยแม้จะให้ในปริมาณมากกว่าปกติแต่ในช่วงเวลาไม่นาน เพียง 1 – 2 สัปดาห์ ยังไม่มีความเสี่ยง แต่ต้องติดตามผลในระยะยาว แต่ในปัจจุบันใช้น้อยลงเนื่องจากแนวทางการรักษา COVID-19 เปลี่ยนไปตามการศึกษาใหม่ๆ

ในช่วง COVID-19 หลายคนมักเกิดความกังวลใจในการเข้ารับบริการ ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพมีมาตรการในการตรวจคัดกรอง เตรียมการป้องกันในทุกรายละเอียดอย่างรัดกุม  ผู้ป่วยและบุคลากรมีการใส่ชุดและอุปกรณ์ป้องกันเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเหมาะสม ณ ปัจจุบันบุุคลากรทางการแพทย์ในรพ.กรุงเทพได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ครบ 100% พร้อมทั้งมีมาตรการรักษาความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือที่สัมผัสผู้ป่วยทุกอุปกรณ์ผ่านขบวนการทำให้ปลอดเชื้อตามมาตรฐาน ทุกขั้นตอนการรักษาจะใช้เวลาน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงและความกังวลใจที่อาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงมั่นใจได้ในทุกการเข้ารับบริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์จักษุ รพ.กรุงเทพ โทร.1719