FIN Broker ประกาศบุกตลาดประกันชีวิตเต็มรูปแบบ

ฟิน อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ หรือ FIN Broker สตาร์ทอัพน้องใหม่แห่งวงการประกันที่โตเร็วที่สุด ตอกย้ำผู้ให้บริการด้านประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอย่างครบวงจร รุกปั้นแพลตฟอร์มดิจิทัลประกันชีวิต (Face to Face) ชูเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบ End to End Service สนับสนุนการให้บริการนายหน้าประกันชีวิตภายใต้แนวคิด ‘ดี เร็ว ผลตอบแทนสูง’ ที่เข้าถึงลูกค้าได้อย่างกว้างขวางและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว วางเป้าหมายมีเบี้ยรวม 1,000 ล้านในปี 2565  โดยตั้งเป้าเบี้ยประกันชีวิตอยู่ที่ 300 ล้านบาท รับจังหวะตลาดเติบโตหลังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  

นายปัญญวัฒน์ โพธิ์ศรีทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด สตาร์ทอัพน้องใหม่ในธุรกิจประกันภายใต้แบรนด์ ‘FIN Broker’ เปิดเผยว่า  บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพระดับ ยูนิคอร์นของประเทศไทย จากการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจประกันแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบครบวงจรในรูปแบบ B2B ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกความต้องการ ทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ภายใต้แนวคิด “ดี เร็ว ผลตอบแทนสูง” ให้กับนายหน้าประกัน ล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลประกันชีวิต (Face to Face) หรือ การซื้อประกันภัยชีวิตผ่านช่องทางระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของหน้าประกันชีวิตให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวางและสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และตอกย้ำบริษัทฯ ในด้านผู้นำการให้บริการธุรกิจประกันแพลตฟอร์มที่ทันสมัยและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลและตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าในยุค New Normal 

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มดิจิทัลประกันชีวิต FIN Broker ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของนายหน้าประกันกับลูกค้า ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วสำหรับการซื้อและขายประกัน โดยจะมีระบบบันทึกภาพหรือเสียงระหว่างนายหน้าประกันชีวิตและลูกค้าพร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลการเสนอขาย ที่ต้องมีการยืนยันเอกสารรายละเอียดข้อมูลผ่านช่องทางอีเมลล์ แอปพลิเคชั่น และเอสเอ็มเอสไว้อย่างครบครัน ซึ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุมแบบ End to End Service

“เราเป็นสตาร์ทอัพในธุรกิจประกันที่มีผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยและประกันชีวิตแบบครบวงจรที่นำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มนายหน้าประกัน (Broker Tech) เพิ่มโอกาสการขาย และสร้างรายได้ที่มากขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของนายหน้าประกันทุกราย และผลักดันให้ FIN Broker เป็นแพลตฟอร์มประกันชั้นนำของประเทศ เป็นหนึ่งเดียวในใจของนายหน้าประกันทั่วประเทศ” นายปัญญวัฒน์ กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FIN Broker กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตไทยนับว่ามีศักยภาพเติบโตอีกมาก หลังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อประกันชีวิต เพื่อคุ้มครองการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของตัวแทนนายหน้าประกันชีวิตที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับ FIN Broker ที่ทำให้การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ โดยบริษัทฯ พร้อมนำเทคโนโลยีแพลตฟอร์มใหม่และฟีเจอร์อื่นๆ มาขับเคลื่อนธุรกิจประกันอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนระบบหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อมุ่งตอบโจทย์ทั้งความสะดวกรวดเร็ว มีความปลอดภัย โปร่งใส การใช้งานที่ง่าย ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับนายหน้าประกันและให้บริการลูกค้าที่ซื้อประกันได้รับประโยชน์สูงสุด

สำหรับผลดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.64) ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมีเบี้ยประกันรถยนต์อยู่ที่ 350 ล้านบาทและมีฐานสมาชิกมากกว่า 37,000 คน ซึ่งมีปัจจัยจากธุรกิจที่โดดเด่น และแตกต่างทางด้านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ใช้ทักษะของคนรุ่นใหม่ (Upskill) เข้ามาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มและช่วยแก้ปัญหาให้กับนายหน้าประกันตอบโจทย์ทุกกลุ่ม (Pain point) โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าแผนกลยุทธ์ที่วางไว้จะช่วยผลักดันการเติบโตของยอดเบี้ยประกันทั้งปีเพิ่มเป็น 700 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทในปีถัดไป โดยเป็นเบี้ยประกันชีวิตอยู่ที่ 300 ล้านบาท

TPIPL เตรียมขายหุ้นกู้ 2 ชุด จองซื้อ 5-7 ต.ค.นี้

บมจ. ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ชุดแก่ผู้ลงทุนทั่วไป อายุ 4 ปี เดือน ชูดอกเบี้ยคงที่ 3.55ต่อปี และอายุ 4 ปี 11 เดือน ชูอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก เดือน ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” โดย ทริสเรทติ้ง เปิดจองซื้อ 5-7 ตุลาคมนี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 11 แห่ง ตอกย้ำผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2564 ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด โดยมีจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 8 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 4 ล้านหน่วย และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 4 ปี 11 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 4 ล้านหน่วย ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2569 กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน หรือทุกวันที่ 8 มกราคม 8 เมษายน 8 กรกฎาคม และ 8 ตุลาคม ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ มกราคม 2565 

หุ้นกู้ TPIPL จะเปิดจองซื้อในวันที่ 5-7 ตุลาคม 2564 โดยจะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไป (Public Offering: PO) มูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย 1,000 บาท ราคาเสนอขายต่อหน่วย 1,000 บาท และได้แต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 11 ราย ประกอบด้วย (1) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (2) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (3) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (4) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด (5) บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) (6) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (7) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (8) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (9) บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (10) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ (11) บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 

ทั้งนี้ หุ้นกู้ TPIPL ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” สะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของ TPIPL ในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนการเป็นผู้นำตลาดพลาสติก Low-density Polyethylene (LPDE) และ Ethylene Vinyl Acetate (EVA) รวมถึงการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประโยชน์จากการมีธุรกิจที่หลากหลาย ประกอบกับผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากส่วนต่างของราคาพลาสติกที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมีและประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 20,614 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 6,184 ล้านบาท เติบโต 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวมในช่วงหกเดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 3,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% เมื่อเทียบปีกับช่วงเดียวกันของปี 2563 

ปัจจุบัน บมจ. ทีพีไอ โพลีน และบริษัทในเครือประกอบธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ (1) ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปูนเม็ด ปูนสำเร็จรูป คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องคอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ อิฐมวลเบา และสี เป็นต้น (2) ธุรกิจปิ โตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ได้ แก่ เม็ดพลาสติกประเภท LDPE&EVA กาวน้ำ, กาวผง, ฟิล์ม Polene Solar, ฟิล์ม Vista Solar และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ แอมโมเนียมไนเตรท และกรดไนตริก เป็นต้น (3) ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ โรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน (Refuse Derived Fuel) โรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนทิ้ง โรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงขยะ RDF โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเหลว สถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นต้น และ (4) ธุรกิจการเกษตรและอื่น ๆ ประกอบด้วย (4.1) ผลิตภัณฑ์สำหรับพืช ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน (4.2) ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ ได้แก่ สารเสริมชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง (4.3) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้แก่ Bio Knox สำหรับชงดื่มเพื่อกำจัดเชื้อก่อโรค Corona Virus น้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อโรค Corona Virus ใช้ได้ผลกับผู้ติดโรคแล้วทำให้หายจากโรคได้ ผลิตภัณฑ์  ไมโครมน็อคโซลูชั่น สำหรับพ่นบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อฆ่าเชื้อก่อโรค สบู่เหลว เป็นต้น รวมถึง น้ำดื่มตราทีพีไอพี และนอกจากนี้ยังมีธุรกิจประกันชีวิตที่ดำเนินการภายใต้บริษัทและบริษัทในเครือทีพีไอโพลีน

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ปักธงแฟรนไชส์อินโดนีเซีย

บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หรือ ILM เดินหน้าสร้างการเติบโตตลาดต่างประเทศ ประกาศความร่วมมือกับ PT Mitra Adiperkasa “MAP Group” (แม๊ป กรุ๊ป) กลุ่มทุนบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอินโดนีเซียด้วยสิทธิ์แฟรนไชส์   ปูพรมเปิดให้บริการห้างสรรพสินค้า SOGO ใจกลางเมืองจาการ์ตา 2 สาขาอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4 ปีนี้ ขานรับดีมานด์เฟอร์นิเจอร์ ของใช้และของตกแต่งบ้านพุ่ง แม้เกิดการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 หนุนกระแสการแต่งบ้านเติบโต วางเป้าหมายผลักดันยอดขายตลาดต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ภายในบ้าน ของตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นขยายธุรกิจเฟอร์นิเจอร์สู่ตลาดต่างประเทศ ภายใต้โมเดลการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ให้กับพันธมิตรท้องถิ่นในแต่ละประเทศที่มีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโต ล่าสุด บริษัทฯ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญโดยให้สิทธิ์แฟรนไชส์กับ PT Mitra Adiperkasa “MAP Group” (แม๊ป กรุ๊ป) กลุ่มทุนบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอินโดนีเซีย ที่มีธุรกิจค้าปลีกและร้านค้าชั้นนำในด้านแฟชั่น กีฬา เสื้อผ้าเด็ก อาหารและเครื่องดื่มมากกว่า 2,300 แห่ง ใน 81 เมืองใหญ่ อาทิ  ห้างสรรพสินค้า SOGO, SEIBU, LAFAYETTE GALLERIES และแหล่งรวมสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น Fashion Active (Sports, Golf & Leisure) เป็นต้น

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าว นับเป็นก้าวสำคัญของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในการนำเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่มีคุณภาพขยายสู่ตลาดอาเซียน โดยวางเป้าหมายให้ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ เป็นผู้นำ “Home Stylish and Lifestyle Destination” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรองรับธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ และของแต่งบ้านในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง จากฐานจำนวนประชากรเป็นอันดับ 4 ของโลกอยู่ที่ 263 ล้านคน และมีประชากรชนชั้นกลางยังขยายตัวสูงที่เพิ่มขึ้น 53.6 % ของประชากรทั้งประเทศ หรือราว 141 ล้านคน และแม้ต้องเผชิญการแพร่ระบาด Covid-19 แต่ด้วยวิถีชีวิตที่ต้องกักตัวและทำงานที่บ้าน (WFH) ส่งผลให้ตลาดเฟอร์นิเจอร์มีกระแสตอบรับที่ดี โดยคาดว่าการเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศ ภายใต้สิทธิ์แฟรนไชส์ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จะยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี

ด้าน MAP Group ผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ได้วางแผนเปิดธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ในปีนี้จำนวน 2 สาขาภายในห้างสรรพสินค้า SOGO ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศใจกลางเมืองจาการ์ตา ซึ่งมีกลุ่มผู้อาศัยที่มีกำลังซื้อสูง คาดเปิดให้บริการสาขาแรกที่ SOGO Plaza Senayan (พลาซ่า เสนายัน มอลล์) บนพื้นที่ขาย 1,523.95 ตร.ม. เปิดให้บริการเดือนต.ค. นี้ และสาขาที่ 2 SOGO Kota Kasablanka (โกตา คาซาบลังกา) บนพื้นที่ขาย 1,364.95 ตร.ม. เปิดให้บริการเดือนพ.ย. นี้ โดยมุ่งนำเสนอสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในสัดส่วน 70% และอีก 30% เป็นของใช้ ของตกแต่งบ้าน โดยเปิดให้บริการภายใต้การนำเสนอจุดแข็ง ‘6 Reasons to love ILM’ ด้วยการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุด (The Best Furniture Lifestyle Store in JAKARTA) พร้อมกับการเป็นศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ และของแต่งบ้านครบวงจร ดีไซน์โดดเด่น และคัดสรรวัสดุที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ ตอกย้ำด้านความคุ้มค่าที่สุด (The Best Value) ด้วยดีไซน์ที่ดีที่สุด (The Best Design) หลากสไตล์ และคุณภาพที่ดีที่สุด (The Best Quality) ตลอดจนมุ่งให้บริการที่ดีที่สุด (The Best Impression) และข้อเสนอที่ดีที่สุด (The Best Offers) ซึ่งสะท้อนศักยภาพและขีดความสามารถของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ ในแง่แบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มุ่งสู่การเป็น รีจินัลแบรนด์อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งได้นำความแข็งแกร่งกลยุทธ์ Omni-channal ของ MAP Group เพิ่มช่องทางการช้อปที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าในกรุงจาการ์ตา รวมไปถึงการขยายลูกค้าในพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตร อย่าง Gambir , Tanah Abang, Menteng

อาร์โนลดา รัตนวาติ สิดาร์ต้า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของห้างสรรพสินค้า SOGO ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า PT Mitra Adiperkasa “MAP Group” มองว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในอินโดนีเซีย มีศักยภาพและการเติบโตสูง และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่ครบครัน จึงร่วมพันธมิตรธุรกิจ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจร อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนานและมีฐานการผลิตจากโรงงานที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน รวมถึงมีสินค้าหลากหลายและดีไซน์ให้เลือกมากมาย สอดคล้องกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่ม Young Urbanism Families อายุ 30-60 ปี มีรายได้ 2,000  USD/เดือน ซึ่งมีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยความร่วมมือครั้งนี้ช่วยตอกย้ำให้ SOGO Department store เป็นแหล่งรวมสินค้าไลฟ์สไตล์ครบวงจรที่ดีที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย

“ความร่วมมือกับอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในครั้งนี้ ผลักดันให้พอร์ตโฟลิโอกลุ่มสินค้านำเข้าจากต่างประเทศของ “MAP Group” มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะที่สินค้าเฟอร์นิเจอร์นับว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของผู้บริโภคอินโดนีเซีย ซึ่งอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพมีมาตรฐานการผลิตระดับสากล จะเข้ามาช่วยเติมเต็มตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทำให้เราได้รับความวางไว้ใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีฐานสมาชิก MAP Club มากกว่า 4.2 ล้านคน ล่าสุดห้างสรรพสินค้า SOGO เตรียมจัดโปรโมชั่นครั้งใหญ่ ร่วมกับธนาคาร Bank Mandiri  มอบสิทธิพิเศษผ่อน 0% ระยะเวลา 3 เดือน และบัตรกำนัลช้อปปิ้ง SOGO พร้อมบริการจัดส่งฟรีสำหรับลูกค้าช้อปผ่าน SOGO Click & Shop เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น” อาร์โนลดา กล่าว

นายเจอร์ราร์ด แมคเกิร์ก รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบริหารสาขาและธุรกิจค้าปลีกต่างประเทศ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  จำกัด (มหาชน) หรือ ILM กล่าวว่า อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาในต่างประเทศ จากการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ใน 8 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า เนปาล มัลดีฟส์ ปากีสถาน ล่าสุดที่อินโดนีเซีย ส่วนบรูไนวางแผนจะเปิดในช่วงปลายปีนี้ และวางเป้าหมายภายในปี 2565 จะเปิดครบ 10 ประเทศ ตอกย้ำถึงศักยภาพของอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ที่มีความแข็งแกร่งได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรจากต่างประเทศเป็นอย่างดี  แม้ว่ายังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจเพื่อผลิตสินค้า OEM ในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดในอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป บาห์เรนและเม็กซิโก  โดยบริษัทฯ ยังมุ่งมั่นขยายสาขาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ คือการสร้างดีเอ็นเอเพื่อให้สินค้าเป็นแบรนด์ระดับโลกทั้งคุณภาพควบคู่ดีไซน์

เบริล 8 พลัส รุกขยายฐานลูกค้าใหม่ให้บริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรส

บมจ.เบริล 8 พลัส ขยายตลาดที่ปรึกษาด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นแก่ลูกค้าใหม่ไม่หยุดยั้ง รุกให้บริการแก่ ‘เคอรี่ เอ็กซ์เพรส’ ผู้นำธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย นำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ Salesforce เข้าไปเพิ่มศักยภาพระบบลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) และเชื่อมโยงฐานข้อมูลในทุกแพลตฟอร์ม เสริมความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันรองรับดีมานด์จากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองวิสัยทัศน์ในอนาคตของ ‘เคอรี่ เอ็กซ์เพรส’ ในการเติบโต

นายอภิเษก เทวินทรภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร โดยนำ Salesforce ซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งด้าน CRM ที่มีความทันสมัยและพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพให้องค์กรทุกขนาดสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดี่ที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกคนในทุกขั้นตอนครอบคลุมการจัดระบบและเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้าที่มีจำนวนมากและกระจายจัดเก็บในแพลตฟอร์มต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวสามารถนำข้อมูลลูกค้าดังกล่าวมาใช้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการให้บริการตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เดินหน้ารุกขยายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมองเห็นโอกาสจากความต้องการของผู้ประกอบการ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและสร้างการเติบโตในยุคของ Digital Customer ล่าสุดได้ขยายการให้บริการแก่บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนในประเทศไทย ที่มีความต้องพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าเพื่อเพิ่มคุณภาพในการให้บริการในทุกมิติ ทั้งความรวดเร็ว, ความถูกต้องและ ความสามารถในการติดต่อกับลูกค้าได้ในทุกช่องทางแบบ OMNI-Channel โดยบริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญและซอฟต์แวร์ Salesforce เข้ามาเพิ่มศักยภาพการจัดการระบบและเชื่อมโยงข้อมูลลูกค้าในแพลตฟอร์มต่างๆ และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

เดฟ หลิว ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการงานพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย กล่าวว่า จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับข้อจำกัดในการเดินทางจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดขไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ทั้งในด้านการซื้อ-ขาย รวมถึงการค้นหาข้อมูลบริการต่างๆ ทำให้ปัจจุบัน “ออนไลน์” กลายเป็นช่องทางหลักในการใช้บริการของลูกค้า รวมถึงเป็นช่องทางสำคัญของธุรกิจในการให้บริการ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งต้องมุ่งมั่นพัฒนาให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้สูงสุด

“ลูกค้าย่อมต้องการบริการที่รวดเร็วและแม่นยำ บริษัทฯ จึงมองหาโซลูชั่นจากผู้ให้บริการที่สามารถเพิ่มคุณภาพและความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงพัฒนาระบบต่างๆ ให้สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”

สำหรับ เบริล 8 พลัส ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการนำเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ที่สามารถเชื่อมกับระบบอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเข้ามาปรับใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ลูกค้า ตอบสนองวิสัยทัศน์ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีด้านดิจิทัลไปสู่การขายและการทำตลาด รวมถึงบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ ได้แก่

1)วิเคราะห์และพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในงานบริการของลูกค้าและตัวแทนในด้านความรวดเร็ว, ความถูกต้องและต่อเนื่องของข้อมูลที่มาจากหลากหลายระบบ, และช่องทางการติดต่อที่เพิ่มมากขึ้นแบบ OMNI-Channel เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้าสามารถทำงานมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะรักษาระดับความพึงพอใจในและทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์ของลูกค้าไว้ได้

2)เพิ่มศักยภาพของแบรนด์ในการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทฝ่านทางสื่อออนไลน์จากหลากหลายแพลตฟอร์ม (Social Listening) โดยเจ้าหน้าที่สามารถตอบกลับหรือให้คำปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสามารถติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3)สร้างช่องทางสื่อสารและติดต่อกับบริษัทฯผ่านทางเครือข่ายชุมชนของลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ (Customer Community Portal) ที่จะทำให้ดูแลและรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างเหมาะสมและครบถ้วน

4)พัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถรองรับการเติบโตทั้งในด้านปริมาณลูกค้าและความหลากหลายของบริการรวมถึงสนับสนุนวิสัยทัศน์ของบริษัทฯในอนาคต

SMD รับใบสั่งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ มูลค่ามากกว่า 130 ล้าน

บมจ.เซนต์เมด (SMD) ผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต รับใบสั่งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์จากมูลนิธิ รพ.เครือบางปะกอก รพ.เครือปิยะเวท ซึ่งร่วมมือกับ ปตท. จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการวิกฤต (ICU) โครงการลมหายใจเดียวกัน บริเวณหน้าโรงพยาบาลปิยะเวท มูลค่าครุภัณฑ์การแพทย์ทั้งสิ้น 86.90 ล้านบาท และรับใบสั่งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 สำหรับโรงพยาบาลสนาม  “CP WHA & CHULARAT”  ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เครือเจริญโภคภัณฑ์  และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ณ โครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร จ.สมุทรปราการ มูลค่าครุภัณฑ์การแพทย์ ทั้งสิ้น 44.40 ล้านบาท รวมใบสั่งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลสนามสองแห่ง  มูลค่า 131.30  ล้านบาท

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต เปิดเผยว่า แม้ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่หลักการพื้นฐานของระบาดวิทยามักจะพบว่าจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิดขาลงมักจะมีจำนวนที่ใกล้เคียงกับขาขึ้นเสมอ  จึงทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่มีอาการหนักในระดับสีส้ม และสีแดง ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต จัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ดังกล่าวให้แก่ โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐในสังกัดสำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร  โรงพยาบาลรัฐในสังกัดกองทัพฯ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก นิติบุคคล และบุคคล  มาเป็นระยะเวลามากกว่า 20 ปี มีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก  ล่าสุด SMD ได้รับใบสั่งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์สำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการหนักในระดับสีส้มและสีแดง จากมูลนิธิ รพ.บางปะกอก รพ.ปิยะเวท มูลค่า 86.90 ล้านบาท และจากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 มูลค่า 44.40 ล้านบาท   รวมมูลค่าทั้งสิ้น 131.30  ล้านบาท

“ความต้องการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการหนักในระดับสีส้มและสีแดง ซึ่ง SMD มีความเชี่ยวชาญ มีชื่อเสียงในระดับประเทศ มีครุภัณฑ์การแพทย์ที่ทันสมัย มีทีมงานพร้อมให้บริการ ที่จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้ครุภัณฑ์การแพทย์ดังกล่าวรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ดร.วิโรจน์ กล่าว

BBIK เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์

บมจ.บลูบิค กรุ๊ป นำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ชูจุดเด่นเป็นหุ้นคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เข้าจดทะเบียนตัวแรกของไทย เดินหน้าขยายธุรกิจทุกมิติ เสริมทีมบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล ยกระดับซอฟท์แวร์เสริมศักยภาพองค์กร ตอกย้ำผลการดำเนินงานโดดเด่น

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันนี้ (16 กันยายน 2564) โดยใช้ชื่อย่อ ‘BBIK’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังจากได้ระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 25 ล้านหุ้น และได้รับการตอบรับอย่างคึกคักเกินกว่าความคาดหมาย ซึ่งการระดมทุนดังกล่าวจะเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในหลากหลายมิติและสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สำหรับแผนขยายธุรกิจที่จะดำเนินการต่อเนื่องหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มี 6 ด้าน ได้แก่

1. การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center)

2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center)

3. เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร

4. ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร

5. ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด

และ 6. เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายมุ่งเป็นบริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร โดยนำจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้บริหารและบุคลากรที่เคยร่วมงานกับบริษัทคอนซัลต์ชัั้นนำระดับโลก ให้บริการคำปรึกษาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการยกระดับองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล และปลดล็อกศักยภาพการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจ ครอบคลุมการวางกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) เพื่อค้นหาปัจจัยความสำเร็จที่จะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด การบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) การพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) ให้คำปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics) และการจัดหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation) ให้แก่ลูกค้าเพื่อปฏิบัติงานจนจบโครงการ

ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2561 – 2563 มีรายได้จากการขายและบริการ 132.76 ล้านบาท 184.94 ล้านบาท และ 200.53 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 22.90% และมีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 31.71 ล้านบาท และ 44.29 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 51.8% ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 126.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 30.06 ล้านบาท คิดเป็นอัตราทำกำไรสุทธิที่ 23.67%

ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อย 40% และบริษัทฯ ถือหุ้น 60% เพื่อเติมเต็มนวัตกรรมและศักยภาพด้านดิจิทัลสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับ OR เป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีกต่อไป

ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป เป็นหุ้น IPO ที่มีศักยภาพโดดเด่น โดยมีบริการที่หลากหลายและครอบคลุมด้านการวางกลยุทธ์และบริหารจัดการ เทคโนโลยีและดิจิทัล จึง สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรที่ต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและปลดล็อกศักยภาพการเติบโต ที่ผ่านมาจึงได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้บริการเป็นจำนวนมากและมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีโอกาสขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต สอดคล้องกับเทรนด์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานสู่ดิจิทัลที่เกิดขึ้นทั่วโลก

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป ถือเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล โดยจุดเด่นของบริษัทฯ คือมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ รวมถึงมีเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า สามารถแข่งขันกับบริษัทคอนซัลต์จากต่างประเทศได้ ขณะที่ผลการดำเนินงานมีอัตราเติบโตที่โดดเด่นทั้งรายได้และกำไร ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ OR ผ่านบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตแก่บริษัทฯ

ก.ล.ต. อนุมัติเสนอขายหุ้น IPO บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์

บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจอย่างครบวงจร เผยได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จากสำนักงาน ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 109.30 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามแผนที่วางไว้ มุ่งมั่นเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจรที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน 

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินงานธุรกิจของบริษัทฯ กว่า 20 ปี ที่มีความพร้อมทางด้านบุคลากร แหล่งเงินทุน และการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเปลี่ยนแปลง พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมโดยรวม ส่งผลให้ TFM มีความสามารถในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจที่มีคุณภาพดี มีความสม่ำเสมอ มีประสิทธิผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ รวมถึงสามารถผลิตสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมการเพาะเลี้ยงตลอดวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในราคาที่แข่งขันได้  

บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำแบบครบวงจรที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นนำความเชี่ยวชาญ เทคนิคการผลิต และนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทาง เช่น การเป็นผู้บุกเบิกการใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปเพาะเลี้ยงปลากะพง เป็นต้น รวมถึงการคิดค้นสูตรการผลิตใหม่ๆ เช่น สูตรการผลิตอาหารสัตว์น้ำที่ลดปริมาณปลาป่นและน้ำมันปลา สูตรการผลิตอาหารปลาสลิดและอาหารปู เป็นต้น 

ปัจจุบัน TFM มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่  (1) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งในไทย (ปี 2563) (2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพงและปลาเก๋า 2. อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิลและปลาดุก 3. อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และ 4. อาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอาหารปลากะพงประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย (ปี 2563) และ (3) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. อาหารสุกร 2. อาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 2561 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพ่อใจ 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้า แห่ง คือ (1) โรงงานมหาชัย ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และ (2) โรงงานระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเหมาะแก่การประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ เนื่องจากภาคกลางและภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเพาะพันธุ์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยทั้ง โรงงานมีกำลังการผลิตรวม 273,000 ตันต่อปี (ณ 30 มิ..64) แบ่งเป็นอาหารกุ้ง  153,000 ตันต่อปี อาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี รวมถึงเป็นสายการผลิตแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่มีระบบการควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถติดตามข้อมูลในการผลิตระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที (Real time) ทั้งนี้ TFM มีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ร้านค้าจำหน่ายอาหารสัตว์ และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ 

สำหรับผลการดำเนินงาน เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,370.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,964.6 ล้านบาท มีปริมาณการขายเติบโตขึ้นเป็น 90,770 ตัน เติบโต 19.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากปริมาณการขายอาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ TFM ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการมุ่งเน้นการทำตลาดปลาอื่นๆ ในประเทศ เพื่อทดแทนช่วงที่ปริมาณความต้องการบริโภคปลากะพงลดลง นอกจากนี้ ในไตรมาส ปี 2564 ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในการผลิตและจำหน่ายอาหารปลาของ AMG-TFM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TFM ถือหุ้นร้อยละ 51 และตั้งอยู่ในประเทศปากีสถาน ส่งผลให้ปริมาณการขายอาหารปลาในต่างประเทศเติบโตขึ้น ขณะที่ปริมาณการขายอาหารสัตว์บกมีแนวโน้มเติบโตจากกลุ่มลูกค้าเดิมและการจัดหาลูกค้ารายใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า 

นายพิเชษฐ สิทธิอํานวย กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  

ทั้งนี้ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 2 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 820 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 410.0 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.30  ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในอินโดนีเซีย ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต 

หลังจาก ก.ล.ต.อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) และ TFM อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสนอขายหุ้นไอพีโอดังกล่าว เชื่อว่าด้วยพื้นฐานและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของคนไทย โดยใช้นวัตกรรมความเชี่ยวชาญมาต่อยอดสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตให้แก่ธุรกิจ จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นไอพีโอของ TFM จะได้รับการตอบที่ดีจากนักลงทุน” นายพิเชษฐ กล่าว 

ORI กางแผน 5 ปี ขึ้นแท่น Top 3

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ผนึก “เจดับเบิ้ลยูดี” ผสานจุดแกร่งด้านการพัฒนาโครงการและความเชี่ยวชาญโลจิสติกส์ โซลูชั่น เปิดตัว “ALPHA” บุกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ตั้งเป้า ปี ขึ้นแท่น Top 3 ด้วยพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าขกว่า ล้าน ตร.ม. ผ่านการพัฒนาเองและการควบรวมกิจการ พร้อมมูลค่า REIT กว่า 12,000 ล้านบาท เดินเครื่องรุกแหล่งนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ควบคู่การขยายกิจการในเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ชูจุดแข็งบริการเฉพาะทาง หวังเจาะลูกค้ากลุ่มอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ออโตเมชั่น นำร่องลุยโครงการแรกย่านบางนาไตรมาส 2/2564

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORIผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากศักยภาพและแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ก่อตั้งบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 เพื่อผสานจุดแกร่งของทั้ง บริษัทในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้แบรนด์ แอลฟา (ALPHA)

“เราเชี่ยวชาญด้านการหาที่ดิน การจัดการต้นทุนในการพัฒนาโครงการ มีพันธมิตรด้านอสังหาฯชั้นนำจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในฝั่ง B2C ขณะเดียวกัน เจดับเบิ้ลยูดี ก็เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารคลังสินค้า บริการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ มีเครือข่ายที่แข็งแรงอยู่ทั่วอาเซียน ตลอดจนมีฐานลูกค้าที่กว้างขวางโดยเฉพาะในฝั่ง B2B ความร่วมมือระหว่างเราและเจดับเบิ้ลยูดีในครั้งนี้ จึงถือเป็นการสร้าง Synergy ผสานความแข็งแกร่งของทั้งคู่เข้าด้วยกันในการตอบโจทย์ตลาดอย่างครบวงจรทั้งในฝั่ง B2B และ B2C เราเชื่อมั่นว่า ความแข็งแกร่งของทั้งคู่จะนำพา แอลฟา ให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปี 2568 และก้าวขึ้นเป็น Top 3 ของธุรกิจนี้ได้ภายใน ปี” นายพีระพงศ์ กล่าว

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWDกล่าวเพิ่มเติมว่า แอลฟา จะมุ่งดำเนินงานใน กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.อสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Property) อาทิ คลังสินค้า ศูนย์โลจิสติกส์ สวนอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ระบบการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Order Fulfillment2.อสังหาริมทรัพย์เพื่อชุมชนเมือง (Urbanized Property) อาทิ บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน (Self-Storage) ในคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร บริการคลังสินค้าออนไลน์ย่อย (Micro-fulfillment Center3.การบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ (Property Services) อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการบำบัดน้ำเสีย กลุ่มก่อสร้าง 

“ความต้องการด้านโลจิสติกส์โซลูชั่นในประเทศไทยยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น เราและออริจิ้นจึงจะบูรณาการ Total Solutions ที่แตกต่างจากตลาด เราไม่ได้แค่หาที่ดินมาพัฒนาคลังสินค้า แต่เราจะมีทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ ระบบออโตเมชั่น หุ่นยนต์ และบริการที่ซับซ้อนอื่นๆ พร้อมนำเสนอแก่ลูกค้าฝั่ง B2B ในหลากหลายประเภทธุรกิจ ขณะเดียวกัน เราก็สร้างประสบการณ์ หรือ Customer Experience ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัย ให้สามารถทำธุรกิจ e-Commerce จากที่พักอาศัยได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้ง กลุ่มธุรกิจของเราจะตอบโจทย์ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจร” นายชวนินทร์ กล่าว 

ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าภายใน ปี หรือภายในปี 2568 แอลฟา จะมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารมากกว่า ล้าน ตร.ม. พร้อมทั้งมีมูลค่า REIT Value ในระดับ 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะพิจารณานำสินทรัพย์ในกลุ่มต่างๆ เข้าจดทะเบียนเสนอขายแก่นักลงทุนในรูปแบบทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วยภายในปี 256

นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและธุรกิจอาหารในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ประกอบกับนโยบายการสนับสนุนต่างๆ ของภาครัฐ อาทิ นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายการส่งเสริมการผลิตรถ EV ตลอดจนความต้องการที่สูงขึ้นของกลุ่ม Urbanized Property ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงจะใช้จุดแตกต่างทั้งด้านความยืดหยุ่นและความสามารถนำเสนอ Logistics Solution ที่ซับซ้อน ทันสมัย และครบวงจรให้แก่ลูกค้า มาเจาะตลาดลูกค้าเป้าหมายหลัก กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มอีคอมเมิร์ซ 2.กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Storage) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 3.กลุ่มเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย 4.กลุ่มธุรกิจยานยนต์และ EV 5.กลุ่ม Urbanized property 6.กลุ่ม Data Center

สำหรับการเติบโตของแอลฟา ในช่วง ปีนี้ จะเป็นการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) ในสัดส่วน 60% ผ่านการพัฒนาพื้นที่บริหารประมาณ 120,000 ตร.ม.ต่อปี และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ในสัดส่วน 40% ผ่านการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารอีกราว 80,000 ตร.ม.ต่อปี โดยมองทำเลการเติบโตในหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรม อาทิ บางนา แหลมฉบัง ระยอง และวังน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทจะมุ่งไปก่อนเป็นกลุ่มแรกในปีนี้ 2.กลุ่มคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ 3.กลุ่มศูนย์กลางธุรกิจ (CBDs) ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ 4.กลุ่มตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา 

“เราจะเริ่มบุกด้วยทำเลที่มีความต้องการสูงและออริจิ้นเชี่ยวชาญอยู่แล้วอย่างโซนบางนา-EEC ขณะเดียวกัน การจะขยายไปยังตลาดต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเจดับเบิ้ลยูดี มีการลงทุนและพันธมิตรทั้งในเวียดนามและอินโดนีเซียอยู่แล้ว เราจึงน่าจะสร้างทั้ง Organic Growth และ Inorganic Growth จนมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวม ล้าน ตร.ม.ได้ตามเป้า” นายปธาน กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มพัฒนาโครงการแรกภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 (ALPHA Bangna KM.22) ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 24 ไร่ บน ถนนบางนา ตราด กม.22 เป็นโครงการคลังควบคุมอุณหภูมิแบบ Multi-temperature ที่มีตัวอาคารสูงพิเศษกว่า 23 เมตร และเป็นโครงการแรกของไทยที่เป็นคลังสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจ E-Commerce แบบควบคุมอุณหภูมิ (Temperature-Controlled Fulfillment Center) รองรับระบบการจัดเก็บอัตโนมัติ (ASRS) โดยมีขนาดพื้นที่กว่า 22,000 ตร.ม.  สามารถตอบสนองการจัดการด้านโลจิสติกส์และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในส่วนของระบบห้องเย็นและระบบออโตเมชั่น ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงต่ำ ขณะเดียวกัน ก็ใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาส 2/2564 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ในช่วงไตรมาส 1/2565

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORIมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 134,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

สำหรับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)หรือ JWD ดำเนินธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร ครอบคลุม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีพื้นที่ให้บริการวมทั้งในและต่างประเทศมากกว่า ล้านตารางเมตร โดยธุรกิจหลักคือกลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญกลุ่มสินค้าที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษในการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าและขนส่ง ได้แก่ สินค้าอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รถยนต์และส่วนประกอบ และสินค้าอื่นๆทั่วไป ธุรกิจกลุ่มอื่นๆ ของบริษัทได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจไอทีโซลูชั่น และ ธุรกิจการลงทุน 

EDL-Gen มั่นใจหุ้นกู้ชุดที่ 2/2564 ได้รับการตอบรับดี

บริษัท ผลิต-ไฟฟ้าลาว (มหาชน) หรือ EDL-Gen ส่องแผน 8 ปี (2564-2572) เตรียมทยอยรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มเติมอีก 752 MW เสริมฐานความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รับดีมานต์ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียนพุ่งตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 คาดจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่เวียดนามอีก 992 MW ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านสถานะการเงิน มั่นใจหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2564 จำนวน 2 ชุด จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวไทย

วันแสง วันนะวง รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ผลิต-ไฟฟ้าลาว (มหาชน) หรือ EDL-Gen ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดรายใหญ่ใน สปป.ลาว เปิดเผยว่า ทิศทางดำเนินงานในอีก 8 ปีต่อจากนี้ (2564-2572) บริษัทฯ เตรียมทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งคาดว่าภายในปี 2572 บริษัทฯจะมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เป็นจำนวนทั้งหมด 41 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,435 MW แบ่งเป็นโครงการที่ลงทุนเองจำนวน 17 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 974 MW และโครงการที่ร่วมทุนกับภาคเอกชน (IPP) จำนวน 24 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,461 MW ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านการดำเนินงานของ EDL-Gen ทั้งในส่วนของรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความมั่นคงและสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น

ขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกวางแผนไว้ให้สอดคล้องกับแผนการระดมทุนที่ผ่านมาที่ครอบคลุมโครงการในอนาคตช่วงระยะประมาณ 10 ปี ของบริษัทฯ ไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนต่อจากนี้จะถูกเน้นอยู่ในส่วนดูแลบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้ดีที่สุด ทำให้งบประมาณด้านการลงทุนเฉลี่ยต่อปีนั้นไม่สูง อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 647 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงจาก Bloomberg เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2564 ที่ 32.36 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์) ประกอบกับอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการดำเนินงานในอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำของ สปป.ลาว ที่มีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าในระยะยาวให้แก่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทยจำนวน 9,000 MW กัมพูชา 6,000 MW และเวียดนาม 5,000 MW ซึ่งในสัญญาการส่งออกไฟฟ้าระหว่าง EDL-Gen และต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่อยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาแบบ take-or-pay หรือมีการการันตีรายได้ขั้นต่ำ ทำให้บริษัทฯมีรายได้ที่มั่นคงในระดับหนึ่ง และมีโอกาสเพิ่มพูนมากขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคหลังผ่านพ้นโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้พลังงานภายในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น รองรับการเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการของโลก ซึ่งล่าสุด EDL-Gen ได้เตรียมจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศเวียดนามมากถึง 992 MW เร็วๆ นี้

รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน EDL-Gen กล่าวว่า จากแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (2564-2572) รวมถึงแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของ สปป.ลาว เช่น การเปิดโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมประเทศจีนในปลายปี 2564 ที่จะช่วยส่งเสริมรายได้จากการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขี้น และจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ ถือเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนใน สปป.ลาว ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4% ต่อปี  ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานภายใน สปป.ลาว มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ โครงการร่วมทุนของ EDL ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EDL-Gen ที่ร่วมมือกับ China Southern Power Grid (CSG) ในการลงทุนพัฒนาสายส่งไฟฟ้าแรงสูงในประเทศและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ยังเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้มีต้นทุนลดลง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของบริษัทฯ ในที่สุด

“เรามองว่าในระยะยาวต่อจากนี้ EDL-Gen จะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ซึ่งจะเข้ามาช่วยเติมเต็มความเข้มแข็งของผลการดำเนินงานบริษัทฯ ทำให้กระแสเงินสดมั่นคงและเติบโตตามการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆ รวมถึง EBITDA ที่มีสัญญาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” นายวันแสง กล่าว

นายกวิน เหตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวิน ไพน์ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ กล่าวว่า หุ้นกู้ครั้งที่ 2/2564 ของ EDL-Gen จำนวน 2 ชุด ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้น มูลค่าเสนอขายหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดไม่เกิน 2,500 ล้านบาท และสำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมทั้ง 2 ชุด มูลค่าไม่เกิน 1,200 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ทั้งสิ้นไม่เกิน 3,700 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.90% ครบกำหนดอายุไถ่ถอนในปี 2567 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.50% ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 โดยกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ นักลงทุนรายใหญ่ตั้งแต่วันที่ 20-22 กันยายนนี้

ทั้งนี้ EDL-Gen มีทิศทางการดำเนินงานที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยทยอยรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าตามโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น  และตั้งแต่ปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปรากฎการณ์ลานีญาซึ่งช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าให้สูงขึ้น ประกอบกับการที่อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าของ EDL-Gen มีความเสี่ยงต่ำจากสัญญาการจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงและโอกาสการเติบโตที่ดีต่อไปอีกด้วย จึงมั่นใจว่าหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

STGT เปิดตัว Spectrum ถุงมือยางธรรมชาติแบบไม่มีแป้ง

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เพิ่มพอร์ตสินค้าใหม่ เปิดตัวถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น “สเปกตรัม” (Spectrum) มีให้เลือกหลากสีสัน ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่ขยายตัวจากอุตสาหกรรมการแพทย์ สู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการความปลอดภัยด้านสุขอนามัย สามารถใช้ทดแทนถุงมือยางไนไตรล์ ชูจุดเด่นผลิตจากสูตรน้ำยางพิเศษ เพิ่มความกระชับในการหยิบจับสิ่งของ ไวต่อการสัมผัส สวมใส่ง่ายสะดวกสบาย พร้อมให้ความสำคัญกับการออกแบบ พัฒนา และกระบวนการผลิต ด้วยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเป็นน้ำยางธรรมชาติ ทำให้ถุงมือประเภทดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่าถุงมือยางธรรมชาติประเภทอื่นๆ

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเสริมศักยภาพการทำตลาดถุงมือยางและเพิ่มโอกาสการขายสินค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยมองเห็นช่องว่างทางการตลาดจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติ ที่กำลังขยายตัวจากอุตสาหกรรมทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มุ่งเน้นความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเป็นสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

ล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวสินค้าใหม่ ถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น ‘Spectrum’ ที่เป็นได้มากกว่าถุงมือยางทั่วไป โดยมีสีสันให้เลือกหลากหลาย เช่น สีฟ้า สีชมพู สีม่วง สีดำ เป็นต้น เพื่อให้สามารถสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งปนเปื้อนได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย โดยดำเนินการผลิตภายใต้แบรนด์ ‘ศรีตรังโกลฟส์’ สำหรับจำหน่ายในต่างประเทศ และภายใต้แบรนด์ ‘I’M Glove’ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงรับจ้างผลิตแบบ OEM ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า

จุดเด่นของถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น Spectrum ได้รับการออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย’ ภายใต้มาตรฐานเดียวกับถุงมือยางธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมทางการแพทย์ สามารถใช้ทดแทนถุงมือยางไนไตรล์ (ถุงมือยางสังเคราะห์) โดยผลิตจากสูตรน้ำยางพิเศษที่คิดค้นโดยบริษัทฯ จึงมีจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นสูง สามารถยึดเกาะได้ดี หยิบจับสิ่งของได้อย่างกระชับ โดยเฉพาะงานที่ต้องหยิบจับชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก มีความหนาในระดับที่เหมาะสม จึงสามารถสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายและไวต่อการสัมผัสในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับถุงมือยางสังเคราะห์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการออกแบบ พัฒนา และกระบวนการผลิต โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยคัดสรรน้ำยางจากสวนยางที่มีการดูแลจัดการที่ดีและดำเนินการผลิตโดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) 100% รวมถึงช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตออกสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นผู้ผลิตและผู้บริโภคจึงมีส่วนสำคัญในการช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย