“ลิเดีย ศรัณย์รัชต์” ลูก 2 คนแล้ว หุ่นเป๊ะ.. ยิ่งกว่าเป๊ะเว่อร์

ครอบครัวสุขสันต์.. นาทีนี้ขอยกให้ ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ที่ล่าสุดควงสามี แมทธิว ดีน พร้อมพาลูก ๆ ทั้ง 2 คน น้องดีแลน และ น้องเดมี่ ไปเที่ยวทะเลเกาะเสม็ด ระยอง นอกจากควายสวยของทะเล และหาดทรายขาวเเล้ว ยังได้กลิ่นอายความอบอุ่นของสายใยครอบครัวระหว่าง พ่อ-แม่-ลูก มาล้น ๆ จอด้วยก๊าบ..

อ๊ะ ๆ ไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะทริปนี้ ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ไม่ลืมที่จะอัพชุดว่ายน้ำทูพีชสุดแซ่บบบ.. ขนาดมีลูก 2 คนแล้ว แต่หุ่นยังเซ็กซี่ เป๊ะ.. ยิ่งกว่าเป๊ะเว่อร์ แบบนี้จะไม่ให้สามีรัก.. สามีหลงได้ยังไงเน๊าะ

cr.IG@lydiasarunrat

แม็คโคร ย้ำสินค้าเพียงพอความต้องการ

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ตั้งรับกระแสการจับจ่าย หลังจากการประกาศมาตรการคุมเข้มของรัฐบาล บริหารสต๊อกให้เพียงพอความต้องการ ย้ำประชาชนอย่าตื่นตระหนก พร้อมวางมาตรการป้องกันขั้นสูงสุดทุกสาขา

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นและการยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 4 ของ ศบค. แม็คโครได้วางมาตรการตั้งรับในหลายด้าน ทั้งการทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อวางแผนการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้เพียงพอกับความต้องการ การบริหารจัดการขนส่งสินค้าภายใต้มาตรการคุมเข้มของภาครัฐ ตลอดจนให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์  ในการบริหารสต็อกสินค้า เพิ่มจำนวนพนักงานและความถี่ในการเติมชั้นวางสินค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าประชาชน รวมถึง ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างร้านค้าปลีกเล็ก ๆ ในชุมชน ร้านอาหาร ที่ต้องการเตรียมสินค้าสำหรับการจำหน่ายให้คนในชุมชนช่วงหยุดเชื้อเพื่อชาติ

ทั้งนี้ แม็คโคร ยังคงยึดแนวทางปฏิบัติในการป้องกันเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวดภายในสาขา หลังจากได้รับการรับรองเป็นสถานประกอบการปลอดภัย ป้องกันโควิด-19 “THAI STOP COVID Plus” จาก กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น การนับจำนวนและจำกัดผู้ใช้บริการภายในสาขา, จัดทีมรักษาระยะห่าง (social distancing scouts) คอยประกาศย้ำเตือนลูกค้า โดยเฉพาะในจุดที่มีความแน่นอย่างจุดชำระเงิน  แผนกเนื้อสัตว์

บริการแจกถุงมือให้กับลูกค้าเพื่อลดการสัมผัสโดยตรง และการรณรงค์ให้ใช้การชำระเงินแบบ Cashless payment ลดการสัมผัสเงินสด

นอกจากนี้ แม็คโครยังมีทางเลือกในการเข้าถึงสินค้าจำเป็น ผ่านบริการส่งสินค้าถึงบ้านหรือดิลิเวอรี่จากแม็คโครคลิก ที่คุมเข้มความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้กับทั้งพนักงาน และผู้รับสินค้าทุกคน

ช้อปอะไรดี? SKECHERS ลดสูงสุด 40%

คนรักรองเท้าห้ามพลาด!! SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชันนำสัญชาติอเมริกั เอาใจขาช้อปจัดโปรโมชั่น มอบส่วนลดสำหรับสินค้าแฟชั่นรองเท้า สนีกเกอร์ และรองเท้าวิ่ง จับคู่ยิ่งซื้อยิ่งลดรับส่วนลดแบบฟินๆ เมื่อซื้อสินค้าเป็นคู่ ช้อปคู่ที่ 1 ลดทันที 20% และจะได้รับส่วนลด 40% เมื่อช้อปคู่ที่ 2 รีบจับคู่ชวนเพื่อนไปช้อปกันได้ ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 64  –  ส.ค. 64 ที่ ร้าน SKECHERS

และพิเศษอยู่บ้านก็ช้อปได้ ด้วยบริการ SKECHERS CHAT & SHOP ช้อปง่ายๆ ได้ทุกที่เหมือนยกร้านค้ามาใกล้ๆคุณ รายละเอียด https://bit.ly/3qwcbXc

พลิกเกมสู้โควิด จากสาขาร้านอาหาร สู่ ตลาดนัด เอส แอนด์ พี

บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เปิดตัวแคมเปญ เอส แอนด์ พี มาร์เก็ตเพลส หรือ ตลาดนัด เอส แอนด์ พี แบบเต็มรูปแบบ จำนวน 130 สาขาทั่วประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าคุณภาพหลากหลายประเภทจาก เอส แอนด์ พี ในรูปแบบซื้อกลับบ้าน (Take Away) พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 – 15 สิงหาคม 2564

นายอรรถ ประคุณหังสิต ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการธุรกิจเอส แอนด์ พี บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย และผลกระทบจากการปิดให้บริการนั่งรับประทานอาหารภายในร้าน ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ จึงเป็นที่มาของ แคมเปญเอส แอนด์ พี มาร์เก็ตเพลส ที่เปลี่ยนสาขาร้านอาหาร เอส แอนด์ พี จำนวน 130 สาขาทั่วประเทศ

โดยการปรับใช้พื้นที่รับประทานอาหารในร้านให้เป็น ตลาดนัด เอส แอนด์ พี แบบเต็มรูปแบบ รวมถึงจัดวางผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทให้มีความน่าสนใจ แยกประเภทและหมวดหมู่ชัดเจนถึง 8 โซน ลูกค้าสามารถเดินจับจ่ายซื้อสินค้าคุณภาพ ปรุงสดใหม่ สะอาด ได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งเมนูอาหารพร้อมทาน เบเกอรี่อบสด เค้กปอนด์ ขนมทานเล่น ขนมไทย ของหวาน ไอศครีม ของฝาก เครื่องดื่มบลูคัพ สินค้าโปรโมชั่นประจำสัปดาห์ และยังมีสินค้ายกลังสำหรับซื้อตุนช่วงเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ราคาพิเศษ รวมผลิตภัณฑ์ เอส แอนด์ พี ที่จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม มากกว่า 350 รายการ

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษเพื่อสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาเหมือนเดินตลาดนัด เช่น ซุ้มขายไอศครีม ซุ้มย่างไส้กรอก ซุ้มนึ่งขนมจีบซาลาเปา ซุ้มอบเบเกอรี่ รวมถึงขายสินค้าแบรนด์อื่นๆ ในเครือ เช่น Maisen / Patara / Umenohana สำหรับแคมเปญนี้นอกจากจะสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเดิมของ เอส แอนด์ พี แล้ว เรายังสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยสร้างการรับรู้แคมเปญผ่านสื่อทีวีดิจิทัล สื่อออนไลน์ รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขายร้านเอส แอนด์ พี โดยได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ช่วงระหว่างวันที่ 1-7 กรกฎาคมที่ผ่านมาเติบโตขึ้นถึง 37% เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อน

สำหรับโปรโมชั่น เอส แอนด์ พี สุดคุ้ม ได้แก่ เมนูอาหารจานเดียวพร้อมรับประทานซื้อ 1 ฟรี 1 / ไส้กรอกที่ร่วมรายการซื้อ 1 ฟรี 1 / เมนูปลากะพงสุดคุ้ม เพียง 298 บาท / เมนูกับข้าวไทยและเมนูเซตอาหารกับข้าวไทยมีให้เลือกมากถึง 20 เมนู ราคาพิเศษ 100 บาท / เค้กเลเยอร์ใบเตยขนาด 2 ปอนด์ ราคาพิเศษ 590 บาท / เค้กนุ่มเอส แอนด์ พี ซื้อ 3 กล่อง ฟรี 1 กล่อง / พายคละรส ราคาพิเศษ 5 ชิ้น 100 บาท / กลุ่มซาลาเปาราคาเริ่มต้น 48 บาท / เครื่องดื่มบลูคัพราคาเริ่มต้น 69 บาท / คุกกี้เดลี่คละรส ราคายกแพ็ค 6 กระป๋อง 330 บาท และสินค้ากลุ่มซองราคายกแพ็ค เริ่มต้น 120 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นแลกซื้อราคาพิเศษเพียง 80 บาท เมื่อซื้อสินค้าในร้านครบ 250 บาท ระยะเวลาโปรโมชั่น 1 กรกฎาคม 2564 – 15 สิงหาคม 2564 ที่สาขาร้านอาหารเอส แอนด์ พี ที่ร่วมรายการ

เซ็นทรัล รีเทล คว้า 3 รางวัลใหญ่ระดับเอเชีย

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คว้า 3 รางวัลอันทรงเกียรติ All-Asia Executive Team ประจำปี 2564 ในสาขา Best CEO, Best CFO, Best IR Program ประเภท Consumer Discretionary, Sell Side จาก Institutional Investor บริษัทวิจัยและนิตยสารด้านการเงินชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเซ็นทรัล รีเทล ได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 3 (Top 3) บริษัทจดทะเบียนชั้นนำของทั้ง 3 สาขา ซึ่งคัดเลือกจากประเทศและดินแดนในแถบเอเชีย (Rest of Asia) (ไม่รวมจีน และญี่ปุ่น)

โดยรางวัล Best CEO มอบให้แก่นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและ รางวัล Best CFO มอบให้แก่ นายปิยะ งุ่ยอัครมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน และ Best IR Program มอบให้แก่ทีมนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทฯ พิจารณาจากการให้คะแนนและความคิดเห็นของนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์กว่า 4,000 รายที่เข้าร่วมคัดเลือกการจัดอับดับในปีนี้ มีการพิจารณาจากผลงานด้านความเป็นผู้นำองค์กรและด้านนักลงทุนสัมพันธ์ อาทิ การมีส่วนร่วมของผู้บริหารระดับสูงในกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์  การให้ข้อมูลบริษัทอย่างครบถ้วนและทันต่อเหตุการณ์แก่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ การนำกลยุทธ์บริษัทมาปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกำกับดูแลกิจการและบรรษัทภิบาลที่ดี

ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในนามเซ็นทรัล รีเทล เราขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกจากการลงคะแนนของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ผ่าน Institutional Investor สื่อนิตรสารธุรกิจระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลกในเรื่องการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนมากว่า 50 ปี ถึงแม้ว่าเซ็นทรัล รีเทล จะเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นปีแรก และต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด-19 แต่เราก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคและคว้ารางวัลแห่งความภาคภูมิใจนี้มาได้ ถือเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่อวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการเป็น Central to Life หรือศูนย์กลางชีวิตของผู้คนที่จะขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่มีแพลตฟอร์ม omnichannel ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของไทย ทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ในการดูแลทางด้านการเงิน การบริหารความเสี่ยง และการสื่อสารกลยุทธ์แก่บุคคลภายนอกได้ทันเวลา สม่ำเสมอ ด้วยความครบถ้วนถูกต้อง และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ดี ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19”

สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ พลิกกลยุทธ์ช่วงโควิด-19

ENGNOW พลิกวิกฤติ ปรับกลยุทธ์เพื่อไปต่อช่วงโควิด-19 พลิกรายได้โต 10-15% จัดเต็มทีมงาน เน้นผู้เรียนได้รับความคุ้มค่า พร้อมสร้างรายได้ให้คนตกงาน ตั้งเป้าการเป็นธุรกิจเพื่อตอบโจทย์สังคมในทุกมิติ

นายนพพล สุนทรกระจ่าง กรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ Engnow กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีที่ 4 ที่ผ่านมาว่า ยอมรับว่าการดำเนินธุรกิจด้านการสอนภาษาออนไลน์ของเรา ไม่ได้โดนผลกระทบมากเท่าธุรกิจอื่น เพราะเราดำเนินการในรูปแบบออนไลน์มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่เราได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนคือด้านของยอดขาย ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้เรียนในช่วงโควิด ผลจากการสั่งปิดธุรกิจต่างๆ คนตกงาน ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายลดลง ยอดขายเราตกลงอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 10%

ในช่วงแรกของสถานการณ์เมื่อพบว่า ปัญหาคือกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายลดลง จึงปรับกลยุทธ์ทันทีตั้งแต่การลดราคาและปรับรูปแบบของคอร์สเรียนให้เหมาะกับการเรียนจากที่บ้านมากขึ้น พร้อมเพิ่มบริการพิเศษ Advisor ที่ปรึกษาส่วนตัวในการเรียนออนไลน์ เพื่อติดตามผลการเรียน รวมถึงให้คำปรึกษาด้านต่างๆ ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นความคุ้มค่า นอกจากนี้ ยังมีอี-บุ๊ค (E-Book) สอนภาษาที่จะส่งให้ทุกสัปดาห์ ทั้งหมดคือปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเรา พลิกกลับมาโตขึ้น 10-15%”

นายนพพล กล่าวต่อไปว่า นอกจากปัญหาของผู้เรียนในช่วงโควิด-19 ที่แก้ไขได้ส่วนหนึ่ง อีกปัญหาหนึ่งที่พบคือ คนที่ตกงาน ไม่มีงานทำ ขาดรายได้ จึงเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ อาทิ พนักงานบริการสายการบิน พนักงานต้อนรับโรงแรม หรือสายงานใดๆ ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษ มาเป็นพาร์ทเนอร์ด้านที่ปรึกษาให้กับผู้เรียน และส่วนงานด้านการขาย ยังได้เปิดรับสมัครผู้ที่ถูกเลิกจ้างงานมาร่วมงานด้วย โดยมีการทำจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายวัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านรายได้ของคนกลุ่มนี้ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานกับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของเติบโตอย่างเห็นได้ชัด

“ENGNOW ไม่ได้มองแค่การทำธุรกิจแต่เพียงด้านเดียว แต่เรามองภาพรวมตั้งแต่ทีมงาน ผู้เรียน รวมถึงผู้ที่ขาดโอกาสการทำงานในสังคม เราต้องการเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนในสังคมอย่างรอบด้าน และเชื่อว่าสิ่งนี้จะพาเราเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน” นายนพพล กล่าวสรุป

ผู้ที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง สามารถชมรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.engnow.in.th และ Facebook Fanpage Engnow.in.th เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

ไทยยูเนี่ยน ลุยตลาดโปรตีนทางเลือก-เพาะเลี้ยงเซลล์

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงทุนใน บริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอล ด้วยงบลงทุน venture fund ของบริษัท ซึ่งไทยยูเนี่ยนนับเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำต่างๆ ที่เข้าร่วมลงทุนในรอบระดมทุน Series B ซึ่งมีมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 และเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกด้านโปรตีนจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ ผลิตเนื้อสเต็กจากตัวอย่างเซลล์ของวัวโดยไม่มีการทำร้ายสัตว์ และสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มาก วิธีการผลิตนี้ทำให้เกิดทางเลือกในการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานเนื้อที่มีการผลิตอย่างยั่งยืน เนื้อสเต็กจากการเพาะเลี้ยงเซลล์นี้มีรสชาติและรสสัมผัสที่ใกล้เคียงกับเนื้อวัวโดยไม่มีการฆ่าสัตว์เกิดขึ้น โดยขั้นตอนต่อไปหลังการระดมทุนในรอบ Series B จะเป็นการขยายธุรกิจเนื้อสเต็กนี้ในระดับโลก ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ และเบื่องต้นมีกำหนดการที่จะเปิดตัวสินค้าในปี 2565

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความยั่งยืน ถือเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจ และเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จในระยะยาวทั้งของบริษัทเองและอุตสาหกรรมในภาพรวม ในขณะที่ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น การผลิตโปรตีนที่มีแหล่งที่มาอย่างยั่งยืนมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในแง่ของสารอาหารและโภชนาการ ไทยยูเนี่ยนเชื่อมั่นว่า บริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ จะมีบทบาทสำคัญในการเรื่องนี้ เรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการระดมทุนครั้งนี้และหวังว่าจะได้ร่วมงานกับอเลฟ ฟาร์มส์ ต่อไป

ดิดิเยร์ ทูเบีย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ กล่าวว่า เรายินดีอย่างยิ่งที่ไทยยูเนี่ยนได้เข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ ผู้ร่วมลงทุนเช่นบริษัทไทยยูเนี่ยน มีวิสัยทัศน์เป็นไปในแนวทางเดียวกับเรา จะทำให้เราสามารถทำงานก้าวไปข้างหน้า สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยเติมเต็มวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนแปลงระบบอาหารของโลกให้ก้าวไปสู่โลกที่ยั่งยืนมากขึ้น เท่าเทียมกันมากขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ งบลงทุนในส่วนของ venture fund ของไทยยูเนี่ยนนั้นมุ่งลงทุนใน 3 ด้านได้แก่ โปรตีนทางเลือก อาหารฟังก์ชั่น และเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงในด้านกลยุทธ์เช่นการลงทุนต่างๆ ด้วย โดยมุ่งลงทุน ร่วมทุน ในบริษัทสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วงพัฒนาธุรกิจที่สนใจด้านเหล่านี้และร่วมสนับสนุนและผลักดันให้พัฒนาต่อไป สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนและดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล

ZIGA มั่นใจผลงานปีนี้ทำสถิตินิวไฮต่อเนื่อง

บมจ. ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) ประเมินธุรกิจไตรมาส 2/64แนวโน้มดีเกินคาด ผลตอบรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางจำหน่าย ทั้งรูปแบบแฟรนไชส์และออนไลน์คึกคัก เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง หนุนออเดอร์ทะลัก ดันยอดขายพุ่ง ขณะที่ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับราคาเหล็กยืนสูง ฟาก”ศุภกิจ งามจิตรเจริญ”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ เดินหน้าเจาะกลุ่มลูกค้าตลาด niche market มากขึ้น ทั้งตลาดซ่อมแซม และตกแต่ง เพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มโรงเรือนเกษตรพืชเศรษฐกิจ กัญชา กัญชง กระแสตอบรับดี  พร้อมรุกขยายงานโปรเจกต์ รับธีมเปิดเมือง  มั่นใจหนุนผลงานปีนี้ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง

นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซิก้า อินโนเวชั่น หรือ ZIGA ผู้ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กโครงสร้างประเภท Pre-Zinc แบรนด์ZIGA และท่อร้อยสายไฟแบรนด์ DAIWA ซึ่งเป็นนวัตกรรมสินค้าทดแทนในกลุ่มท่อเหล็กชุบสังกะสี หรือ ท่อเหล็กดำทาสี เปิดเผยว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส2/2564 มีทิศทางที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกลยุทธ์การเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าในรูปแบบแฟรนไชส์ และนำระบบออนไลน์มาใช้ในการรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าได้โดยตรง ทำให้กระแสการตอบรับดีมาก ซึ่งปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาเหล็กยังคงยืนสูงทำให้สามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในไตรมาส2/2564 ธุรกิจมีการเติบโตได้ดีกว่าที่คาด แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่3  แต่ด้วยกลยุทธ์การขยายสาขาในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์อย่างเต็มที่สามารถดึงดูดเครื่องข่ายธุรกิจท้องถิ่นมาเป็นกำลังสำคัญในการขยายสาขา โดยจะสร้างพันธมิตรธุรกิจที่เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน พร้อมดำเนินงานการขยายแฟรนไชส์ ZIGA OUTLET และทำให้เห็นความชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งยังดำเนินการ แผนการตลาดที่มุ่งเน้นในการเชื่อมโยงผู้คนมากขึ้น”Connect People” ทั้งในกลุ่มออนไลน์ และออฟไลน์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ดังนั้นบริษัทฯมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีทองที่จะเห็นการเติบโตได้ทุกไตรมาส และในปี2564 ผลงานยังสามารถทำสถิตินิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง

นายศุภกิจ กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การทำการตลาด (niche market) มากขึ้น เพื่อทำให้รายได้และอัตรากำไรเติบโตอย่างมั่นคง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดซ่อมแซม และเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มโรงเรือนเกษตรพืชเศรษฐกิจ กัญชา กัญชง เพราะที่ผ่านมามีความต้องการใช้เหล็กกัลวาไนซ์ในการสร้างโรงเรือนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องขอใบอนุญาต หากได้รับอนุมัติก็มีความพร้อมที่จะสร้างโรงเรือนในจำนวนที่เพิ่มขึ้นทันที

นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างพิจารณารุกขยายงานโปรเจกต์ใหญ่เพิ่มขึ้น รับธีมการเปิดเมืองเปิดประเทศ ซึ่งจะทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น และจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทเหล็กท่อร้อยสายไฟฟ้า จะเป็นตัวช่วยผลักดันการเติบโต

AMR เข้าจดทะเบียน SET ภายในไตรมาส 3

บมจ.เอเอ็มอาร์ เอเซีย (AMR) พร้อมประกาศศักดาผู้นำวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอซีทีและซิสเต็มส์โซลูชั่นแบบครบวงจร  เดินหน้าระดมทุนขายหุ้นไอพีโอ 150 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET ภายในไตรมาส 3/64 เผยไม่หวั่นสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ มั่นใจธุรกิจอยู่ในเมกะเทรนด์ รัฐบาลเตรียมทุ่มงบหลายแสนล้านบาท ขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคม-สื่อสาร-เมืองอัจฉริยะ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจ หนุนธุรกิจโตก้าวกระโดด

นายมารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMR เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 3/64 ตามแผนงานที่วางไว้ แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากมั่นใจว่าธุรกิจของบริษัทฯ อยู่ในเมกะเทรนด์ที่ขยายตัวตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่ม เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การต่าง ๆ คลี่คลาย

แม้โควิด-19 จะระบาดระลอกใหม่ ไม่ได้ทำให้แผนระดมทุนสะดุด เพราะประเมินว่าท้ายที่สุดแล้วการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งคมนาคม โครงการรถไฟฟ้าบนดิน-ใต้ดิน รถไฟรางคู่ หรือการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศที่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม รองรับการเติบโตของเมือง ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของ AMR   ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

นายมารุต กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการเสนอขายหุ้นไอพีโอ  โดยคาดว่าจะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในไตรมาส 3/64

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้สามส่วน ประกอบด้วย 1. เงินลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และเมืองอัจฉริยะ 2. เงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี และ 3. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ

ปัจจุบัน AMR ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) รวมถึงให้บริการงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเทคโนโลยีแบบครบวงจร โดยผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทฯ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทตามโครงสร้างรายได้ ได้แก่ (1) งานให้บริการวางระบบคมนาคมขนส่งและวางระบบไอซีทีและซิสเต็มส์โซลูชั่น  (2) งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง และ (3) การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอทีโซลูชั่น

เจาะลึกแนวคิด 3 มูลนิธิชั้นนำ มุ่งสร้างวัฒนธรรมการแบ่งปันยั่งยืน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเร่งกระจายวัคซีนโควิด-19 เพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายและหยุดยั้งการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุด หลายประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางต้องพบกับความท้าทายในการหาแนวทางให้ประชากรสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดังจะเห็นได้จากความพยายามขององค์กรสาธารณกุศลระดับโลกอย่างมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ซึ่งได้มอบเงินบริจาคกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สำหรับการทดลอง รักษา และเร่งกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้คนทั่วทั้งทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และประเทศอื่นๆ

องค์กรสาธารณกุศล ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางสังคมมาอย่างยาวนาน ทุกหน่วยงานล้วนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่และน่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม เจตนารมณ์ที่ดีต้องมาพร้อมกับโครงสร้างทางกลยุทธ์ที่ครอบคลุม จึงจะสามารถสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมได้อย่างยั่งยืน

ดร. ตรีพล ภูมิวสนะ Private Banking Business Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า KBank Private Banking ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับองค์กรสาธารณกุศลหลายแห่งในประเทศไทย และเล็งเห็นว่าการลงทุนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสาธารณกุศลสามารถพึ่งพาตนเองและบรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือสังคมได้ ในฐานะผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ KBank Private Banking จึงมองเห็นโอกาสที่จะนำตัวอย่างแนวทางการดำเนินงานที่โดดเด่นขององค์กรสาธารณกุศลชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย นโยบาย และการตัดสินใจลงทุน มาเผยแพร่แก่สาธารณชน เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปปรับใช้ เพื่อยกระดับศักยภาพในการดำเนินงาน และสานต่อเจตนารมณ์อันดีให้ยั่งยืนต่อไป

บิล เกตส์ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นอภิมหาเศรษฐีที่ใจบุญที่สุด ได้ร่วมก่อตั้ง มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ (Bill & Melinda Gates Foundation) กับอดีตภรรยาขึ้นเมื่อกว่า 2 ทศวรรษก่อน ปัจจุบันมูลนิธิได้รับการขนานนามให้เป็นต้นแบบแห่ง Venture Philanthropy ซึ่งเป็นรูปแบบกิจการสาธารณกุศลที่ใช้เครื่องมือในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนทางสังคม (Social Return) และสิ่งแวดล้อม (Environment Return) ควบคู่กับการสร้างรายได้ทางการเงิน (Financial Return) โดยมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ มีแนวทางการลงทุนที่ชัดเจน คือ กว่า 95% ของสินทรัพย์จะนำไปลงทุนผ่านทางกองทรัสต์ของมูลนิธิในรูปแบบต่างๆ เช่น การถือครองหุ้นในบริษัทเอกชน หรือการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนและภาครัฐ ภายใต้กฎเกณฑ์ว่าจะไม่มีการเข้าร่วมลงทุนในกิจการยาสูบและสิ่งมึนเมา ทั้งนี้ ทรัพย์สินต่างๆ ของกองทรัสต์จะต้องสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายในหนึ่งปี โดยผลตอบแทนที่ได้นั้นจะนำไปสนับสนุนงานวิจัยสำคัญต่างๆ อาทิ ด้านสุขอนามัย โรคภัยไข้เจ็บ การศึกษา เทคโนโลยี และปัญหาด้านความไม่เท่าเทียมในหลากหลายประเทศทั่วโลก เป็นต้น นอกจากนี้ ทุกทรัพย์สินยังต้องสามารถคงอยู่ต่อไปอีก 20 ปี หลังจากการเสียชีวิตของสองผู้ก่อตั้ง ซึ่งทำให้มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ เป็นเพียงไม่กี่มูลนิธิของโลกที่กำหนดเป้าประสงค์ในการสร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติไว้อย่างชัดเจน

มูลนิธิแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA Foundation) จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านการศึกษา ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการกองทุนที่มั่นคงให้กับมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ มูลนิธิมีหลักการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงที่หลากหลายในระยะยาว เพื่อช่วยลดทอนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกับการตั้งเป้าผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยได้ตั้งกรอบงบประมาณในการลงทุนสำหรับหุ้นทั่วโลกประมาณ 35-70% และหุ้นภาคเอกชนที่ 10-30% โดยส่วนที่เหลือจะเข้าลงทุนในกองทุนต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และการรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติ เป็นต้น อีกหนึ่งการลงทุนที่โดดเด่นของมูลนิธิก็คือ การยึดหลักปรัชญาด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) โดยกระบวนการตัดสินใจลงทุนในทุกขั้นตอนจะต้องคำนึงถึงผลกระทบเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และการจัดการที่ดีเป็นที่ตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดำเนินงานของมูลนิธิที่ต้องการผลักดันบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพสู่การสร้างสรรค์ผลงานและมอบประโยชน์แก่สังคมรุ่นหลังสืบไป

ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสมาชิกผ่านการวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน
เช่นเดียวกับมูลนิธิด้านการศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส องค์กรสาธารณกุศลในประเทศไทยอย่าง กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ก็ยึดมั่นในหลัก ESG และการลงทุนระยะยาวผ่านการกระจายสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นในการรักษาความสมดุลระหว่างความปลอดภัยของเงินต้น และผลตอบแทนจากการลงทุนภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยมีกระบวนการอนุมัติแผนการลงทุนที่วางโครงสร้างไว้อย่างดี มีการกลั่นกรองเป็นลำดับชั้นจากทั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการ คณะจัดการกลยุทธ์การลงทุน และผู้จัดการกองทุนหรือฝ่ายงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารและจัดการความมั่นคงของสมาชิกได้ตรงตามเป้าหมาย พร้อมกับสร้างความมั่นคงด้านผลตอบแทนและคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สมาชิกข้าราชการเมื่อถึงวาระเกษียณ

“ท่ามปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมซึ่งได้ทวีความรุนแรงขึ้นจากวิกฤตด้านโรคระบาด เครือข่ายองค์การสาธารณกุศลที่มีความเข้มแข็งจะยิ่งมีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวอย่างของ 3 มูลนิธิระดับโลกและระดับประเทศได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า องค์ความรู้ทางด้านการลงทุนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคมได้ในหลายมิติ โดยนวัตกรรมการลงทุนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการดำเนินงานขององค์กรสาธารณกุศลในปัจจุบัน” ดร. ตรีพล กล่าวสรุป