บี.กริม เดินเครื่อง COD โรงไฟฟ้าพลังงานลม ตอบโจทย์ขยายพลังงานสะอาด

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม บ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 และ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ดำเนินการโดยบริษัท บ่อทองวินด์ฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้ง 2 โครงการ โดยโครงการบ่อทองวินด์ฟาร์ม 2 ได้ COD เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 และโครงการบ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 COD เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564

โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม บ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 และ 2 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 16 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (adder) 3.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงจากอัตราค่าไฟฟ้าฐาน เป็นระยะเวลา 10 ปี

การดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้รูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับภาครัฐทั้งในประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก (B2G) เพื่อให้บริการไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงอันเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่หรือการเข้าซื้อกิจการ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ที่สำคัญคือ เดินหน้าสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050 (ปี พ.ศ. 2593)

“บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง ด้วยปณิธานที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักธรรมภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่าอย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการพัฒนาพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นเป้าหมายของ บี.กริม ในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อนและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 74% และจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดประมาณ 26%” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์  กล่าว

ขณะนี้ บี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 5 โครงการ (ABP1, ABP2, BPLC1 และ BGPM1&2) คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 700 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม โดยมีกำหนดการ COD ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนในหลายประเทศ เช่น ประเทศเกาหลี เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์ด้วย

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 50 โครงการ และตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 เป็นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 โดยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท

CIG เผยงบครึ่งปีแรก 64 มีรายได้ 578.53 ล้าน

CIG ประกาศงบครึ่งปีแรก 64 มีรายได้อยู่ที่ 578.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.04 ล้านบาท หรือ 17.71% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 491.49 ล้านบาท หลังธุรกิจหลักผลิตคอยล์เย็น     คอยล์ร้อนและคอยล์น้ำเย็น ยังเติบโตในทิศทางที่ดีและมีออเดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง ด้านผู้บริหาร “วราวุธ อรุโณทัย” พร้อมเดินหน้ามอบเครื่องฟอกอากาศ AP450 ช่วยเหลือผู้ป่วย COVID-19

นายวราวุธ อรุโณทัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG ผู้นำด้านอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับระบบปรับอากาศและทำความเย็นให้กับแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกเปิดเผยว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้อยู่ที่ 578.53  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.04 ล้านบาท หรือ 17.71% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 491.49 ล้านบาท และขาดทุนลดลงอยู่ที่ 40.42 ล้านบาท หรือ 34.33 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุน 74.75 ล้านบาท

หลังจากที่ธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตคอยล์เย็น (Evaporator Coil) คอยล์ร้อน (Condenser Coil) และคอยล์น้ำเย็น (Chilled Water Coil) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักของอุปกรณ์ถ่ายเทความร้อน ความเย็นทุกประเภท โดยเป็นการผลิตสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า (Made to Order) เพื่อจำหน่ายในประเทศ มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหรือทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยจุดเด่นเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าจากสถาบันต่างประเทศ คือ Canadian Standards Association (“CSA”) ของประเทศแคนาดาและ Underwriters Laboratories Inc. (“UL”) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วย COVID-19 จึงได้มอบเครื่องฟอกอากาศ AP450 จำนวน 3 ชุด ให้กับสมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขและมอบเครื่องฟอกอากาศ AP450 จำนวน 2 ชุด ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.บางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ในช่วงที่ผ่านมา  เพื่อดำเนินการจัดส่งต่อให้โรงพยาบาลภาครัฐที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ในการสร้างห้อง ICU สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนักเพิ่มมากขึ้นในแต่ละพื้นที่ต่อไป

TMILL โชว์ 6 เดือนแรก กำไรแตะ 81.28 ล้าน

บมจ.ที เอส ฟลาวมิลล์  (TMILL)  เปิดผลงานไตรมาส2/64  ไม่ทำให้ผิดหวัง!   โกยกำไร   34.43  ล้านบาท   โตสนั่น 44.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน   หลังรายได้จำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 6.0%  ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 3.8%   ด้านอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.86%  มาอยู่ที่ 74.92%  ขณะที่งวด 6 เดือนแรก กำไรพุ่งแตะ 81.28 ล้านบาท

นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อํานวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ   เปิดเผยว่าผลประกอบการในไตรมาส2/2564  บริษัทฯ  มีกำไรสุทธิ  34.43   ล้านบาท   เพิ่มขึ้น  10.61  ล้านบาท  หรือคิดเป็น 44.6%   เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่  23.81 ล้านบาท

ด้านรายได้จากการจำหน่ายในไตรมาส2/2564  อยู่ที่ 374.11  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 340.76   ล้านบาท  โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 6.0%   และรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 3.8%   ทั้งนี้มาจากปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 4.8%  และ  13.7%    ส่วนราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.5%  และ 20.8%  ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส2/2564 สูงขึ้น 3.3%   เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับไตรมาส2/2564  นี้ บริษัทฯ มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 74.92%  เพิ่มขึ้น 3.86%   เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ในไตรมาส2/2564 เพิ่มขึ้น  11.80 ล้านบาท  จากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากค่าขนส่งสินค้า ค่าส่งเสริมการขาย เงินบริจาคและตอบแทนสังคม เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงาน และหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลประกอสบการของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564   บริษัทฯ  มีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ  81.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.03  ล้านบาท  หรือคิดเป็น 20.9%   เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิยู่ที่  67.24  ล้านบาท  เป็นผลจากบริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 763.82  ล้านบาท    คิดเป็น 7.3%   จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้   712.05   ล้านบาท   โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 0.3%  และรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 7.0%   เนื่องจากปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 4.8%  และ7.2%    แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาลี เฉลี่ยลดลง 0.8%   ส่วนรำข้าวสาลีเฉลี่ยสูงขึ้น  19.1%

นางแววตา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น 2.2%  ในงวดครึ่งปีแรกปี 2564   เป็นผลมาจากราคาจำหน่ายรำข้าวเฉลี่ยสูงขึ้น   อีกทั้งยังมีการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยใน 6 เดือนแรกของปี 2564  อยู่ที่ 77.30%  เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่73.76%

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564  เพิ่มขึ้น 15.74 ล้านบาท  จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากค่าขนส่งสินค้า ค่าส่งเสริมการขาย เงินบริจาคและค่าตอบแทนสังคม เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงาน และหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น

บี.กริม เพาเวอร์ คว้ารางวัลสูงสุดระดับ Gold จาก The International ARC Awards 2021

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทได้รับรางวัลสูงสุดระดับ Gold จาก The International ARC Awards 2021 กลุ่ม Sustainability Report : Asia/Pacific สาขา Interior Design จาก “รายงานความยั่งยืนประจำปี 2563: สร้างพลังให้สังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” (Sustainability Report 2020: Empowering the World Compassionately) โดย บี.กริม ถือเป็นบริษัทไทยเพียงรายเดียวและหนึ่งเดียวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รับรางวัล The International ARC Awards 2021 ในสาขานี้ ตอกย้ำความเป็นเลิศในการออกแบบรายงานความยั่งยืนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีรูปแบบการนำเสนอและจัดวางข้อมูลที่สวยงาม และสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์และพันธกิจ (Vision & Missions) ของ บี.กริม ออกมาได้อย่างชัดเจน ครบถ้วน และเข้าใจง่าย

“การได้รับรางวัลนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ บี.กริม ที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้หลักธรรมภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างรับผิดชอบ และคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว

สำหรับรางวัล The International ARC เป็นรางวัลภายใต้ MerComm International Awards Programs จัดโดยบริษัท MerComm Inc. องค์กรอิสระระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความเป็นเลิศในด้านการสื่อสาร และเพื่อยกย่องบุคลากรขององค์กรและบริษัทที่มีผลงานโดดเด่น  โดยจัดอย่างต่อเนื่องมาถึง 35 ปี  ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านการสื่อสารข้อมูลเชิงเศรษฐกิจ และวิทยาการเทคโนโลยีจากทั่วโลก แบบ Blind Judges โดยมีการจัดลำดับคะแนนตามเกณฑ์ของรางวัล ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องได้รับคะแนนอยู่ในเกณฑ์มากกว่า 70%

ตลอดเวลากว่า 143 ปีที่ บี.กริม ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ปรัชญา “การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี เพื่อสร้างความศิวิไลซ์ ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ” บี.กริม มุ่งเน้นการสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและสังคม พร้อมให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า

หนึ่งในโครงการสำคัญที่ บี.กริม เข้าไปร่วมสนับสนุนเป็นเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา คือ “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง” ณ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์และคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ประเทศไทย เพื่อร่วมปกป้องถิ่นที่อยู่ของเสือโคร่งจากการลักลอบล่าสัตว์และรุกล้ำที่อยู่อาศัย และช่วยฟื้นฟูธรรมชาติของผืนป่าตะวันตกของปรเทศไทย โดยเข้าไปร่วมสนับสนุนตั้งแต่การศึกษาวิจัยและสำรวจประชากรเสือโคร่ง และสัตว์ป่าอื่นๆ การเสริมประสิทธิภาพการลาดตระเวนด้วยระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า รวมไปถึงการเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการร่วมสร้างจิตสำนึกและเครือข่ายการอนุรักษ์เสือโคร่งและสัตว์ป่าในประเทศไทย

นอกจากนี้ บี.กริม ยังให้การสนับสนุนร่วมมือกับองค์กรไม่หวังผลกำไร คือ ฟรีแลนด์ (Freeland) ในการรณรงค์การยุติการค้าสัตว์ป่า ในแคมเปญ EndPandemics ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การจัดงานเสวนาประชาสัมพันธ์โครงการ สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาคมโลกในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ด้านการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 50 โครงการ โดยตั้งเป้ามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 จากสิ้นปี 2563 มีกำลังผลิตรวม 3,058 เมกะวัตต์ และเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 1 หมื่นเมกะวัตต์ในปี 2573 ด้วยเป้าหมายรายได้กว่า 100,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่บริษัทผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญคือ การก้าวสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050

เอไอเอส ไฟเบอร์ เปิดตัวโฆษณาชิ้นใหม่ เจาะตลาดเน็ตบ้าน

ถึงจะอยู่ติดบ้าน แต่คอนเทนต์ไม่เคยขาด พระเอกซุปตาร์ “เวียร์ ศุกลวัฒน์” ซึ่งเป็นอีกคนที่มีความเคลื่อนไหวผ่านทางอินสตาแกรมให้ได้กดไลก์กันตลอด งานนี้ขอสลัดคราบพระเอกมาสวมบทเป็น นายช่างสุดหล่อของเอไอเอส ไฟเบอร์ กับผลงานโฆษณาชิ้นใหม่ล่าสุดในฐานะ เอไอเอส แฟมิลี่ ที่หนุ่มเวียร์มาร้อง เต้น กันแบบจัดเต็มให้แฟนคลับได้หายคิดถึง และยังยืนยันถึงคุณภาพเน็ตบ้านจากเอไอเอส ไฟเบอร์ ที่พร้อมให้บริการ ทั้งการติดตั้ง แก้ไขปัญหาที่รวดเร็วใส่ใจแบบ 24 ชั่วโมง

นอกจากหนุ่มเวียร์จะส่งความห่วงใยถึงทุกคนที่ต้องห่างกันในช่วงนี้แล้ว เจ้าตัวยังเข้าใจหัวอกคนที่ต้อง Work From Home รวมถึงเด็กๆ ที่ต้อง Learn From Home จากสถานการณ์ช่วงนี้ที่ต้องห่างกันชั่วคราว เมื่อชีวิตต้องเปลี่ยน ตื่นเช้าแต่ออกเดินทางไปนอกบ้านไม่ได้เหมือนก่อน หนุ่มเวียร์จึงย้ำว่า “เน็ตบ้านที่มีคุณภาพและมั่นใจได้ถือเป็นหัวใจสำคัญ” AIS Fibre จึงตอบโจทย์ด้วยโครงข่ายและคุณภาพของสัญญาณ ที่เร็ว แรง และเสถียร ให้การทำงานไม่มีสะดุด เรียนออนไลน์อย่างสะดวก ท่องโลกออนไลน์ได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเข้าแอพพลิเคชั่นเพื่อการประชุม หรือเรียนออนไลน์ รวมถึงการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ในโลกโซเชียล ที่โดนใจ จะยิ้มได้ไปกับโครงข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพ

แค่บอกต่อยังไม่พอ ขอร้องเพลงเอ็นเตอร์เทนที่ถือว่าเป็นงานถนัดหนุ่มเวียร์อยู่แล้ว ชนิดที่เล่นใหญ่ ร้องไป เต้นไป ด้วยรอยยิ้มสุดอบอุ่น ซึ่งหนุ่มเวียร์ร่วมเป็น 1 ในทีมช่างจาก AIS Fibre ที่พกหน้าหล่อๆ พร้อมหัวใจที่รักในงานบริการ เคาะประตูบ้านเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เชื่อมต่ออย่างราบรื่น นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกสถานการณ์ ซึ่ง AIS Fibre ให้ความสำคัญกับคุณภาพเป็นเลิศของงานบริการมาโดยตลอด จึงเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเน็ตบ้านไทยให้ร่วมกันยกระดับ “งานบริการ” ภายใต้แนวคิด “Service Innovation”

มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเสียงยืนยันจากหนุ่มเวียร์ที่เผยว่าเป็นการยกระดับมาตรฐาน บริการที่เหนือกว่า โดย AIS Fibre และทีมงานทุกฝ่าย ทุกคนพร้อมอยู่เคียงข้างชีวิตออนไลน์ของคนไทยทั้งประเทศ มีบริการที่ติดตั้งเร็ว ช่างมาตรงเวลา แก้ปัญหาเร็วใน 24 ชั่วโมง ให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาในการใช้งาน อย่างรวดเร็ว ทันใจ ไม่ให้การเชื่อมต่อสะดุด

มาม่า คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ

ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ตอกย้ำความแข็งแกร่งและความสำเร็จในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้าแบรนด์ “มาม่า” ด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ Prime Minister’s Export Award 2021 ที่รัฐบาลโดยกรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้จัดขึ้น โดยได้รับถึง 2 รางวัล ได้แก่ ประเภท Best Exporter หรือ ผู้ส่งออกธุรกิจยอดเยี่ยม และประเภท Best Thai Brand หรือแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยได้รับมาแล้ว 3 ครั้ง โดยในปี 2539 ได้รับประเภท Best Thai Brand ปี 2547 ได้รับประเภท Best Exporter และ Thai Owned Brand และปี 2556 ได้รับประเภท Best AEC Business Enterprise Award

นางสาวพจนา พะเนียงเวทย์ กรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของไทย มียอดขายรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 14,300 ล้านบาทต่อปี โดยมีโรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทย 5 แห่ง และต่างประเทศ 4 แห่ง ได้แก่ ฮังการี บังคลาเทศ เมียนมาร์ และกัมพูชา มีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในทุกทวีปทั่วโลกมาเป็นเวลามากกว่า 30 ปี รวม 68 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ เยอรมนี เนเธอแลนด์ แอฟริกาใต้ เลบานอน อังกฤษ ยูเครน ไอส์แลนด์ จีน อินเดีย กัมพูชา ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 4,300 ล้านบาทต่อปี นอกจากมาม่าซึ่งเป็นแบรนด์หลักของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์แล้ว ยังมีแบรนด์อื่น ๆ ที่ส่งออกด้วย อาทิ Ruski, Mendake, Thai Chef, Bamee, Mamy, Papa, President Rice, Bissin, Homey, Green Mate และ Kelly

ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ มีการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีภาพลักษณ์ที่ดี มีการเพิ่มตลาดใหม่ มีการขยายฐานลูกค้า มีการพัฒนาสินค้า ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้า มีการจัดการที่ดี และยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้รับ Prime Minister’s Export Award ประเภท Best Exporter

ส่วน Prime Minister’s Export Award 2021 ประเภท Best Thai Brand ได้รับจากแบรนด์ “มาม่า” จากเหตุผลที่มาม่าเป็นเครื่องหมายการค้าของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์เอง เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีการพัฒนาสินค้าที่ดี และเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ซึ่งมาม่านับเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน โดยจะมีอายุครบ 50 ปีในปี 2565 ความคุ้นเคยของคนไทยที่มีต่อมาม่าทำให้ส่วนใหญ่เรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกแบรนด์ว่า “มาม่า” เป็นเหมือน Generic Name ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สำหรับในต่างประเทศมาม่าก็เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวเอเชียที่ชื่นชอบรสต้มยำกุ้ง และชาวยุโรปที่ชื่นชอบรสไก่

นางสาวพจนา กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์ ประสบความสำเร็จในต่างประเทศว่า เป็นเพราะคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานโลก อาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, ISO 14000, SME TA, BRC, FAIR TRADE เป็นต้น รวมถึงการมีทีมงานที่มีความแข็งแกร่งทั้งทีมขายและทีม R&D ที่สามารถพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกมาได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การมีคู่ค้าที่ดี ความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังใส่ใจในประเด็นที่ละเอียดอ่อน เช่น การใช้น้ำมันรำข้าวแทนน้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปจำหน่ายยังยุโรป เพื่อลดผลกระทบเรื่องการปลูกปาล์มในพื้นที่ที่อยู่อาศัยของอุลังอุตัง รวมทั้งการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

“การได้รับ Prime Minister’s Export Award นับเป็นความภาคภูมิใจของทีมงานทุกคน รางวัลนี้เป็นเสมือนเครื่องหมายการันตีคุณภาพ ผลงาน ยืนยันถึงความสำเร็จที่ได้รับ และแม้ว่าจะได้รับรางวัลแล้ว แต่เราจะยังเดินหน้ามุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคยิ่งขึ้นไปอีก และเรายังได้ตั้งเป้าหมายว่าจะขยายตลาดเพิ่มขึ้นปีละ 4 ประเทศ และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี” นางสาวพจนา กล่าว

สำหรับ Prime Minister’s Export Award นับเป็นรางวัลที่มีประวัติมายาวนาน และมีการมอบรางวัลมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 30 โดยผู้ที่ได้รับ Prime Minister’s Export Award จะต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น เป็นระบบ และโปร่งใส จากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมอบให้กับผู้ส่งออกสินค้าและบริการของไทยที่มีผลงานดีเด่น ริเริ่มและพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล บุกเบิกตลาดต่างประเทศภายใต้ชื่อทางการค้าของตนเอง และมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ของตนเอง จนสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก ซึ่งรางวัลนี้นับเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดของผู้ส่งออกไทย และเป็นรางวัลสูงสุดของรัฐบาลที่มอบให้แก่ผู้ส่งออก

ร่วมใส่ใจช่วยพ่อค้าแม่ค้า ห่างไกลโควิด-19

“ก๊าซหุงต้มพีที” โดยบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด ในกลุ่มบริษัท PTG จับมือกับพันธมิตรใหญ่ “ตลาดยิ่งเจริญ” โดยบริษัท สุวพีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ให้บริการตลาดสด และตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในย่านสะพานใหม่ บางเขน ร่วมกันใส่ใจช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าทั่วทั้งตลาด มอบหน้ากากผ้าและเจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันภัยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนให้พ่อค้าแม่ค้าทั่วทั้งตลาดใช้ก๊าซคุณภาพมาตรฐานกับก๊าซหุงต้มพีทีไฟแรงเต็มแมกซ์ สร้างความปลอดภัยทั่วทั้งตลาด

นายสุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม(CSR)  ด้วยการมอบหน้ากากผ้า และเจลแอลกอฮอล์ ช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาด เพื่อการป้องกันให้ห่างไกลภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่  ด้วยบรรยากาศ New Normal และการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)  พร้อมด้วยคุณกัญจนิดา ตันติสุนทร กรรมการบริหาร บริษัท สุวพีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารตลาดยิ่งเจริญ ร่วมกิจกรรมด้วย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและสร้างความปลอดภัยทั่วทั้งตลาดมากยิ่งขึ้น บริษัทฯในฐานะพันธมิตรของตลาดยิ่งเจริญ ยังเดินหน้าสนับสนุนพ่อค้าแม่ค้า ให้ใช้ถังก๊าซคุณภาพมาตรฐานพีที ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น คือ ถังใหม่ได้มาตรฐาน บรรจุน้ำหนักเต็มกิโล น้ำก๊าซได้คุณภาพ ไฟแรงสม่ำเสมอ ปลอดภัยด้วยวาล์วเช็กล็อกที่ป้องกันก๊าซรั่วไหล และ QR Code บนถังทุกใบทำให้สามารถเช็กวันหมดอายุของถัง และวันเดือนปีที่ทดสอบถังก๊าซ

นอกจากนี้เพื่อเป็นตอกย้ำด้านความปลอดภัยในการให้บริการส่งก๊าซหุงต้มพีทีให้กับร้านค้าทุกร้านมากยิ่งขึ้น พนักงานที่ให้บริการส่งก๊าซทุกคนของบริษัทฯ จะได้รับการฝึกอบรมภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งถังก๊าซทุกถังยังผ่านการฉีดพ่นฆ่าเชื้อก่อนส่งมอบลูกค้าอีกด้วย   โดยพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อก๊าซหุงต้มพีทีใช้งานก็สามารถสะสมคะแนนกับบัตร PT Max Card เพื่อแลกส่วนลดและแลกของรางวัลได้อีกมากมาย

สำหรับการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทฯ นอกจากการมุ่งช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดแล้ว บริษัทฯ ยังมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือทั้งประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ในอีกหลายแห่งต่อเนื่อง  ทั้งการมอบถังก๊าซสนับสนุนโครงการต่างๆเพื่อทำอาหารช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่เดือดร้อน เป็นต้น

“การกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาดยิ่งเจริญ และเป็นการเดินหน้าเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้ก๊าซหุงต้มให้กับตลาด ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นก้าวแรกที่ให้ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดและยังได้ก๊าซหุงต้มคุณภาพที่พร้อมสิทธิพิเศษมากมายอย่างก๊าซหุงต้มพีทีไฟแรงเต็มแมกซ์ไว้ใช้งานอย่างคุ้มค่า เพื่อการส่งต่อสินค้า อาหาร และการบริการให้กับประชาชนได้อย่างมีคุณภาพต่อๆไป” นายสุวัชชัย กล่าว

นางกัญจนิดา ตันติสุนทร กรรมการบริหาร บริษัท สุวพีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารตลาดยิ่งเจริญ กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ตลาดยิ่งเจริญ มีความยินดีที่ ก๊าซหุงต้มพีที เข้ามาดูแลถังก๊าซหุงต้ม เพื่อให้การใช้ก๊าซหุงต้มทั้งหมดในตลาดเป็นแบบที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจับจ่ายใช้สอยในตลาด  อีกทั้งต้องขอบคุณก๊าซหุงต้มพีทีที่มาให้การดูแลพร้อมโปรโมชั่นและบริการดีๆ เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อค้าแม่ขาย และถือเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ส่งมอบให้กันเพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤตที่ยากลำบากนี้

SNNP ปักธงบุกเวียดนามสร้างการเติบโตในอาเซียน

บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ SNNP รุกตลาดเวียดนาม ตามแผนยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน เปิดแคมเปญ  Bento set yourself free, fire !!! และโปรโมชั่น “Bento Adrenaline & Extreme Amazing Thailand Tours” ร่วมจับมือกับ ททท. เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย พร้อมดึงแนนโน๊ะ ‘คิทตี้ – ชิชา อมาตยกุล’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ สร้างปรากฎการณ์ความเผ็ช Extreme Snack กระตุ้นยอดขายเติบโต 20% พร้อมเร่งเกมขยายดิสทริบิวเตอร์ 80 แห่งทั่วประเทศเวียดนาม นำผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง

นายฐากร ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP หนึ่งในผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทยเปิดเผยว่า หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ SNNP มีฐานทุนที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยประเทศเวียดนามถือเป็นตลาดที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการผลักดันการเติบโต หลังเข้าลงทุนผ่าน S.T. Food Marketing Co., Ltd. เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งล่าสุดได้วางแผนทำตลาดเชิงรุกผ่านแคมเปญการตลาดเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าและผลักดันการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางจำหน่าย

ทั้งนี้ กลยุทธ์หลักที่บริษัทฯ ใช้ในการรุกตลาดเวียดนามคือการประยุกต์และพัฒนาธุรกิจให้สอดรับกับตลาดท้องถิ่น (Localization strategy) โดยดำเนินกลยุทธ์ในหลายด้านๆพร้อมกัน ทั้งการตั้งฐานการผลิต การกระจายสินค้าที่เข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายในวงกว้าง และการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าให้อยู่ในใจของผู้บริโภคในพื้นที่ โดยได้เปิดตัวแคมเปญอย่างยิ่งใหญ่ “Bento set you self free, fire!!!” และโปรโมชั่น “Bento Adrenaline & Extreme Amazing Thailand Tours” ในช่วงไตรมาส 4/2564 โดยได้รับเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ณ นครโฮจิมินห์ ในฐานะตัวแทนสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศเวียดนามเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ในปีหน้าหลักจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย พร้อมดึงแนนโน๊ะ “คิทตี้ – ชิชา อมาตยกุล” นักแสดงนำจากซีรีส์ Girl From Nowhere ที่โด่งดังไปทั่วโลก ขึ้นแท่นเป็นพรีเซ็นเตอร์เบนโตะในเวียดนามอีกด้วย

สำหรับ แนนโน๊ะ “คิทตี้ – ชิชา อมาตยกุล” เป็นไอดอลที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศเวียดนามชื่นชอบ และซีรีส์เรื่องดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศเวียดนาม จนขึ้นเทรนด์ Netflix อันดับหนึ่ง โดยคิทตี้จะเป็นตัวแทนของแบรนด์เบนโตะที่มาถ่ายทอดความเผ็ชในแบบฉบับของเบนโตะ ที่มีความเเป็นตัวของตัวเอง ผ่านไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อตอกย้ำผลิตภัณฑ์ขนมทานเล่นที่มีเอกลักษณ์ความเผ็ดสไตล์เอเชียนสไปซี่ และเป็น Extreme Snack ที่ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ค้นพบศักยภาพสุด Extreme ของตนเอง ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างเบนโตะและผู้บริโภค

รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม ผ่านสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Zalo ซึ่งเป็น Chat Application ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศเวียดนาม  รวมทั้งสื่อโฆษณานอกบ้าน (OHM) และสื่อโฆษณา ณ จุดขาย โดยคาดว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากกว่า 40 ล้านคน และคาดว่าจะสร้างยอดขายให้เติบโตได้ประมาณ 20% จากการขยายฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน ‘เบนโตะ’ เป็นแบรนด์ขนมทานเล่นที่มีความแข็งแกร่งและได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดเวียดนาม  ทำให้ล่าสุด Gojek ผู้ให้บริการฟูดส์เดลิเวอรี่ในระดับอาเซียน ได้นำผลิตภัณฑ์ ‘เบนโตะ’ จัดจำหน่ายและสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านโฆษณา สำหรับเป็นอาหารว่างในระหว่างรับชมซีรีส์ในช่วง Work From Home ที่เริ่มเป็นกระแสที่เพิ่มขึ้นมากในเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งกระจายสินค้าในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยร่วมกับบริษัท Chance and Challenge Co., Ltd. พันธมิตรหลักของบริษัทฯ ในการพัฒนาการกระจายสินค้าในประเทศเวียดนาม ขยายตัวแทนจำหน่ายในช่องทางการค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นช่องทางการกระจายสินค้าที่ครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของการกระจายสินค้า FMCG ในเวียดนามให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้การกระจายสินค้าของบริษัทฯ มีศักยภาพครอบคลุมได้ครบทั้งช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งนี้หลังจาก SNNP เริ่มดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายในเวียดนาม จะช่วยสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งที่ลดลง รวมทั้งการผสมผสานการทำตลาดอย่างต่อเนื่องจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้รวมจากตลาดต่างประเทศให้เติบโต เป็น 3 เท่าภายใน 5 ปี ตามแผนระยะยาวที่วางไว้

“SNNP พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในอาเซียนด้วยแบรนด์พอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย รวมถึงการวางรากฐานการผลิตและระบบจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีฐานประชากรกว่า 250 ล้านคนในกลุ่มประเทศ CLMVและไทย และยังจะเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกในอนาคต โดยใช้เวียดนามเป็นประเทศยุทธศาสตร์เพื่อสร้างการเติบโตของเรา เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักดันรายได้จากต่างประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด”  นายฐากร กล่าว 

STARK ต่อยอดธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล ดันปี 64 นิวไฮต่อ

บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ปลื้มประสบความสำเร็จการขายหุ้นกู้เป็นครั้งแรก รับผู้ลงทุนสถาบัน – รายใหญ่ ชี้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจสอดรับพื้นฐานธุรกิจแกร่ง จากการเป็นผู้นำการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางเป้าหมายรายได้ปี 64-65 เติบโต 15 – 20% ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อจากปี 63 

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทฯ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 2,241 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.50% และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ 

ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายครั้งนี้ ได้การตอบรับทั้งจากผู้ลงทุนสถาบันที่ให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และผู้ลงทุนรายใหญ่ที่ให้ความสนใจเป็นอย่างดี หลังเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจองซื้อเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จากตอนแรกที่จำนวน 1,800 ล้านบาทแสดงให้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มองหาการลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในทวีปเอเชีย รวมถึงความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่งฐานะการเงินและโอกาสเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต 

สำหรับการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินหรือบริษัทในกลุ่ม รวมถึงใช้ชำระคืนตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม และ/หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ 

บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ และเสียงตอบรับเป็นอย่างดีสำหรับการออกหุ้นกู้เป็นครั้งแรกของ STARK ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่ง เพราะอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้งานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อเป้าหมายการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต” นายประกรณ์ กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 50 ปี มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับโลก จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนงานและวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยเป้าหมายมุ่งสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten ของโลก  

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,252 ล้านบาท เติบโต 23.9% เมื่อเทียบจากชช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 524 ล้านบาท เติบโต 22.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน) ของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 9,908 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 963 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากทั้งโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างตามแผนงาน รวมถึงรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจที่เวียดนามเข้ามา ปัจจุบัน STARK มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้  

บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ในช่วงปี 2564-2565 ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี หรือเติบโต 15 – 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ 16,917 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟแรงดันระดับกลางถึงระดับสูงพิเศษเพื่อรองรับงานโครงการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงใช้ประโยชน์จากโรงงานในเวียดนามที่เปรียบเชิงการบริการจัดการด้านต้นทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรรวมถึงเดินหน้าปรับลดต้นทุนต่างๆ ในทุกด้าน ซึ่งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทฯน่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.5-4 เท่า พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศภายในปี 2564 จากปีที่ผ่านมาส่งออก 40 ประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8%

AIT มั่นใจรายได้เข้าเป้า 6,500 ล้าน

บมจ. แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี หรือ (AIT) แย้มผลงานปีนี้ เติบโตต่อเนื่อง มั่นใจทั้งปีรายได้แตะ 6,500 ล้านบาทตามเป้า พร้อมตุน Backlog 7,800 ล้านบาท ส่องกล้องอุตสาหกรรมไอซีทีขยายตัวต่อเนื่อง รับรัฐ-เอกชนเร่งลงทุน หลังโควิด-19 เป็นตัวเร่งพฤติกรรมผู้บริโภคเข้าสู่ดิจิทัล

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจบริการออกแบบและรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ทิศทางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปี 2564 หลายองค์กรให้ความสำคัญกับการลงทุนในด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลต่อวิถีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นจุดเชื่อมต่อในการทำงานส่งผลทำให้การลงทุนด้านไอซีทีเพิ่มขึ้น โดยอ้างอิงการศึกษาของการ์ทเนอร์ (Gartner) คาดหมายว่าในปี 2564-2565 จะเติบโตได้ปีละ 4.9% และ 5.7% ตามลำดับ หลังจากในปีที่ผ่านมาได้ชะลอตัวลงไป

ทั้งนี้ AIT ได้ปรับตัวและพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆที่รองรับกับกระแสดิจิทัลมากขึ้น อาทิ อุปกรณ์ใน Data Center และระบบ Cloud เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม และการเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ICT ซึ่งภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าประจำที่มียาวนาน โดยบริษัทฯ ยังเน้นงานวางระบบเนื่องจากมีความเชี่ยวชาญสูง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการให้คำปรึกษา การวางแผนงานโครงการ การออกแบบระบบ การดำเนินการติดตั้ง การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุงรักษาแบบครบวงจร ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ AIT

ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง หลังครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 3,905 ล้านบาท ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 7,800 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกประมาณ 480 ล้านบาท โดยยังคงมุ่งเน้นเข้าร่วมประมูลงานทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตามนโยบายรัฐที่เร่งขับเคลื่อนออกมา ส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งปีคาดว่าทำรายได้แตะ 6,500 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมาย