สปสช. ผนึก สปคม. เพิ่มจุดตรวจโควิด-19

สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค (สปคม.คร.) แจ้งแผนการปฏิบัติงานค้นหาโรคโควิด 19 เชิงรุกโดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ในประชาชนกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 และผู้ไปในสถานที่เสี่ยง เตรียมคัดกรองจุดละ 3,000 คน และตรวจ 08.00 . จนกว่าจะครบ

เริ่มวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 ได้แก่

1.สนามกีฬาธูปะเตมีย์ กองทัพอากาศ

2.สนามราชมังคลากีฬาสถาน (หัวหมาก)

วันพุธที่ 14กรกฎาคม 2564 ได้แก่

3.สนามฟุตบอลกองพล ปตอ. เกียกกาย

สิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่บัตรประจำตัวประชาชน  และปากกา (ส่วนตัว)

หากท่านมีอาการไข้ ไอ หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก  และมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 หรือไปในสถานที่เสี่ยงแนะนำขอให้เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารการเคลื่อนที่เก็บตัวอย่างของรถพระราชทานได้ทาง face book fan page สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค และตรวจสอบผลได้ที่ https://www.iudcthailand.org/icntracking/self_register.php โดยใส่เลขบัตรประชาชน เเละเบอร์โทรศัพท์ ที่ท่านได้ลงทะเบียนไว้

คลิกเลย! ดาวน์โหลดเอกสารออกนอกเคหสถาน

ผู้ที่ต้องการการออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 – 04.00 น. ของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร) และจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา) ต้องกรอกเอกสารรับรองความจำเป็นสำหรับการออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 – 04.00 น.

ดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์นี้

สำหรับหน่วยงาน หรือบริษัท หรือสถานประกอบการต้นสังกัดออกให้บุคคลที่ได้รับการยกเว้นฯ ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค. 64 ได้แก่ การสาธารณสุข การขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การให้บริการหรืออำนวยประโยชน์ หรือความสะดวกแก่ประชาชน และการประกอบอาชีพที่จำเป็น

นอกเหนือจากบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ให้ขอเอกสารรับรองความจำเป็นฯ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ

ให้กำลังใจตำรวจ 8 นายที่ถูกลอบวางระเบิดที่ยะลา

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ลงพื้นที่ จ.ยะลา ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจที่ถูกลอบวางระเบิด ทั้ง 8 นาย

พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9/ผบ.ศปก.ตร.สน.
พล.ต.ต.ดุษฎี ชูสังกิจ รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน.
พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบกระเช้าสิ่งของเเละเงินช่วยเหลือ เเก่ จนท.ตำรวจ ชุดสืบสวน สภ.สายบุรี

ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ ในพื้นที่ บ.กูแว ม.2 ต.กะดุนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จำนวน 8 นาย ทราบชื่อคือ 1.พ.ต.ท.ประพจน์ ล้อมเขต โดนแรงอัดระเบิด 2.ด.ต.คันธศร ทองรักษ์ โดนสะเด็ดระเบิดลำตัวด้านซ้าย 3.ส.ต.ท.เดชะพล รูปพรรณ ได้รับบาดเจ็บสาหัส 4.ด.ต.อานนท์ กันทอง โดนแรงอัดระเบิด 5 ส.ต.ต.ธีระวิทย์ จรูญแก้ว ถูกสะเด็ดระเบิดที่ไหล่ซ้าย 6.ส.ต.ท.วีระพัฒน์ บัวแก้ว ถูกสะเด็ดระเบิดที่แขนซ้าย 7.ส.ต.ท.ธีระนาถ พัณนุกิจ โดนแรงอัดระเบิด และ 8.ส.ต.อ.ณัจกร กุยรัตน์

 

เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า ที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศ พร้อมดำเนินการส่งมอบวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆตามที่ ศบค. กำหนด โดยเน้นฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับแจ้งข่าวการบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส และได้รับบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว จำนวน 1.05 ล้านโดส เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยกรมควบคุมโรค เตรียมดำเนินการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปยังพื้นที่เป้าหมายตามแนวทางที่ ศบค. กำหนด คือ พื้นที่ที่มีการระบาด และพื้นที่ที่เปิดให้ท่องเที่ยว โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดการในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะบริหารจัดการผ่านโรงพยาบาลในพื้นที่ และกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ประสานหลักในการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติ

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส จะฉีดให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 (Booster Dose จำนวน 1 เข็ม)  2.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  3.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  4.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต โดยจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า Booster Dose 1 เข็ม ทั้งนี้ การจัดสรรวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เข็ม 3 จะมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 12 ก.ค. 64 นี้

ส่วนแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 1.05 ล้านโดส นั้น จะฉีดให้กับ 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  2.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  3.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต เป็นต้น

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อลดความสับสน  ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุตรหลาน พาผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรคเรื้อรังไปรับการฉีดวัคซีน เพื่อลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตในสถานการณ์ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย รวมถึงให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด 19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ลดกิจกรรมนอกบ้านที่ไม่จำเป็น เมื่อกลับถึงบ้านต้องทำความสะอาดร่างกายทันที เพื่อลดโอกาสการนำเชื้อเข้ามาติดต่อสู่คนในครอบครัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สธ. เตรียมเสนอวัคซีนบูสเตอร์โดส

กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของพยาบาลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เตรียมเสนอการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณาวันพรุ่งนี้ ย้ำวัคซีนช่วยลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ว่า กระทรวงสาธารณสุขขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19 โดยพยาบาลรายนี้ได้ฉีดวัคซีนครบสองเข็มเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม แต่จากการปฏิบัติงานภายในหอผู้ป่วยผู้ป่วยโควิด 19 แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสรับเชื้อจากการปฏิบัติงาน ถือเป็นความเสียสละที่ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท และจากการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัสจากอัลฟาเป็นเดลต้า ทำให้การป้องกันโดยวัคซีนโควิด 19 อาจไม่ได้ผลดีเท่าเดิม ดังนั้น คณะกรรมการวิชาการภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่ประชุมเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ด้านไวรัสวิทยา และโรคติดเชื้อเข้าร่วม เห็นตรงกันว่า บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ควรได้รับวัคซีนกระตุ้นอีก 1 เข็ม ด้วยวัคซีนต่างชนิด คือ ไวรัลเวคเตอร์ หรือ mRNA โดยเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณาวันที่ 12 กรกฎาคมนี้

“หากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบสามารถดำเนินการได้ทันที กระทรวงสาธารณสุขจึงได้สำรวจความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อจัดสรรและส่งวัคซีนไปฉีดเป็นเข็มกระตุ้น โดยจะมีการเก็บข้อมูลด้วยการเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกันก่อนและหลังฉีด เพื่อเป็นประโยชน์การให้วัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ เชื้อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไวรัสตัวใหม่มักมีความสามารถหลบภูมิคุ้มกันมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น คำแนะนำแนวทางการให้วัคซีนจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เพื่อรับมือกับเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์และผู้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” นายแพทย์โสภณ กล่าว

สำหรับข้อมูลการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 10 กรกฎาคม 2564 มีจำนวน 880 ราย เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เป็นกลุ่มพยาบาล/ผู้ช่วยพยาบาลมากที่สุด 54% กลุ่มอายุที่มากที่สุด คือ ช่วงอายุ 20-29 ปี จากการตรวจสอบข้อมูลการรับวัคซีนพบว่า มีจำนวน 173 คน หรือ 19.7% ที่ไม่มีประวัติฉีดวัคซีน โดยมีรายงานการเสียชีวิต 7 ราย จำนวนนี้ไม่ได้รับวัคซีนโควิด 5 ราย ได้รับวัคซีน 2 ราย โดยรายแรกรับวัคซีนซิโนแวคเพียงเข็มเดียว เนื่องจากเริ่มป่วยหลังรับวัคซีนเข็มสองเพียงวันเดียว ซึ่งปกติภูมิคุ้มกันจะขึ้นเมื่อฉีดสองเข็มแล้ว 14 วัน ส่วนอีกรายฉีดครบสองเข็มคือพยาบาลรายดังกล่าวที่เสียชีวิต

ทั้งนี้ ผู้ที่รับวัคซีนครบมีโอกาสติดเชื้อและป่วยเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับวัคซีน เนื่องจากข้อมูลพบว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีนซิโนแวค 1 เข็ม จำนวน 22,062 ราย มีรายงานป่วย 68 ราย คิดเป็นอัตรา 308 ต่อการฉีดแสนโดส แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย 67 ราย ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ที่รับซิโนแวคครบ 2 เข็ม จำนวน 677,348 ราย มีรายงานป่วย 618 ราย คิดเป็นอัตรา 91 ต่อการฉีดแสนโดส ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย 597 ราย อาการปานกลาง 19 ราย และอาการรุนแรง 1 ราย  สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส จำนวน 66,913 ราย มีรายงานป่วย 45 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย 43 ราย อาการปานกลาง 1 ราย และอาการรุนแรง 2 ราย

“ในระยะนี้มีการระบาดของโควิด 19 จากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในหลายพื้นที่ แม้ว่าคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะมีภูมิคุ้มกันป้องกันอาการรุนแรง แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ จึงต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันโรค โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มรับประทานด้วยกันทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เพื่อป้องกันการรับเชื้อและแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น” นายแพทย์โสภณ กล่าว

เช็คด่วน! จุดตรวจโควิด-19 ฟรี! กทม.

กรุงเทพมหานคร ประกาศจุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ดังนี้

📍เขตดุสิต เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 12 ก.ค. 64 ณ ลานจอดรถศูนย์บริการสาธารณสุข 38 จี๊ด-ทองคำ บำเพ็ญ โดยเริ่มแจกบัตรคิวให้ผู้ที่ walk-in จำนวน 300 คน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ หน่วยบริการตรวจฯ เขตดุสิต จะให้บริการตรวจคัดกรองทั้งสิ้น 500 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง 200 คน และประชาชนที่ walk-in 300 คน

📍เขตลาดพร้าว เปิดรับการจองคิวตรวจหาเชื้อโควิด-19 ล่วงหน้า 1 วัน จำนวนวันละ 900 คน ณ ลานจอดรถเทสโก้โลตัส สาขารามอินทรา ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โดยเริ่มแจกบัตรคิววันนี้ (11 ก.ค. 64) ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 12 ก.ค. 64 และจะแจกบัตรคิวในวันที่ 12 – 17 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 13 – 18 ก.ค. 64 ตามลำดับ โดยมีการจัดช่วงเวลาในการตรวจตามคิวเพื่อลดความแออัดของผู้มารอตรวจ สำหรับคิวที่ 1 – 300 จะได้รับการตรวจเวลา 08.00 น. เป็นต้นไป คิวที่ 301 – 600 จะได้รับการตรวจเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป และคิวที่ 601 – 900 จะได้รับการตรวจตรวจเวลา 12.30 น. เป็นต้นไป

📍เขตมีนบุรี เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 วันละ 1,000 คน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 14.00 น. ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ซอยคุ้มเกล้า 1/5 ถนนคุ้มเกล้า ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค. 64 โดยเริ่มแจกบัตรคิวในเวลา 06.00 น. เป็นต้นไป และจะแจกบัตรคิวจนกว่าจะครบตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละวัน

📍เขตสวนหลวง เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 11 – 15 ก.ค. 64 ณ วัดยาง ถนนอ่อนนุช โดยเริ่มแจกบัตรคิวให้ผู้ที่ walk-in จำนวน 300 คน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป หากประชาชน walk-in เข้ามาแล้วคิวเต็ม จะดำเนินการแจกบัตรคิวล่วงหน้าของวันถัดไปอีกจำนวน 200 คน และสำรองบัตรคิวสำหรับประชาชนที่ walk-in มาในช่วงเช้าวันถัดไปอีก 100 คน ทั้งนี้ หน่วยบริการตรวจฯ เขตสวนหลวง จะให้บริการตรวจคัดกรองทั้งสิ้น 700 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นผู้เสี่ยงสูง 100 คน ประชาชนภายในชุมชนและสถานประกอบการซึ่งได้ทำการนัดหมายล่วงหน้า 300 คน และประชาชนที่ walk-in 300 คน

📍เขตบางพลัด เปิดรับการจองคิวตรวจหาเชื้อโควิด-19 ล่วงหน้า 1 วัน จำนวน 900 คน ณ บริเวณใต้สะพานพระราม 8 (ฝั่งธนบุรี) โดยเริ่มแจกบัตรคิววันนี้ (11 ก.ค. 64) ถึงวันที่ 17 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 17.00 น. เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 12 – 18 ก.ค. 64 ตามลำดับ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

📍เขตราษฎร์บูรณะ เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไปวันละ 900 คน ตั้งแต่วันที่ 12 – 18 ก.ค. 64 ระหว่างเวลา 09.00 – 12.00 น. ณ วัดราษฎร์บูรณะ โดยเขตได้จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 04.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร และจัดระเบียบประชาชนผู้มารับบริการให้มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการที่กำหนด เมื่อรับบัตรคิวแล้ว ประชาชนสามารถกลับบ้านหรือไปทำธุระส่วนตัวแล้วค่อยกลับมาตามเวลาที่กำหนดในบัตรคิว หรือสามารถเข้าไปรอยังจุดพักคอย ซึ่งรองรับประชาชนได้ประมาณ 600 คน เพื่อไม่ให้เกิดความแออัดบริเวณจุดแจกบัตรคิว สำหรับลำดับการตรวจ มีดังนี้ คิวที่ 1 – 150 จะได้รับการตรวจเวลา 09.00 – 09.30 น. คิวที่ 151 – 300 จะได้รับการตรวจเวลา 09.31 – 10.00. น. คิวที่ 301 – 450 จะได้รับการตรวจเวลา 10.01 – 10.30 น. คิวที่ 451 – 600 จะได้รับการตรวจเวลา 10.31 – 11.00 น. คิวที่ 601 – 750 จะได้รับการตรวจเวลา 11.01 – 11.30 น. และคิวที่ 751 – 900 จะได้รับการตรวจเวลา 11.31 – 12.00 น.

สำหรับประชาชนที่ได้รับบัตรคิวแล้ว กรุณาเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามวันเวลาในบัตรคิว โดยนำบัตรคิวมาแสดงพร้อมบัตรประชาชนตัวจริง สำเนาบัตรประชาชน 2 ใบ ปากกาสีน้ำเงินส่วนตัว 1 ด้าม และจะต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองและญาติที่สามารถติดต่อได้ ทั้งนี้ หากต้องการเอกสารรับรองผลการตรวจ กรุณาสอบถามเจ้าหน้าที่ ณ หน่วยตรวจ ในวันที่เข้ารับการตรวจ

กทพ. ปิดให้บริการ สามทุ่มถึงตีสี่ เริ่ม 12 ก.ค. นี้

รายงายข่าวแจ้งว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. จำกัดการให้บริการทางพิเศษทุกด่านฯ ทุกสายทาง เป็นระยะเวลา 14 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 – 25 กรกฎาคม 2564 ระหว่างเวลา 21.00 – 04.00 น. ทั้งนี้ ยกเว้นแต่รถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนด

ปิดมอเตอร์เวย์ สามทุ่มถึงตีสี่ เริ่ม 12 ก.ค. นี้

รายงานข่าวแจ้งว่า กรมทางหลวง ประกาศปิดการจราจร มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และ 9 ตั้งแต่ เวลา 21.00 – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 64 เป็นต้นไป ทั้งนี้ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนด สามารถสอบถามเพิ่มเติม สายด่วนกรมทางหลวง 1586

ตำรวจรวบผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ หลังหลบหนีเกือบสิ้นอายุความ

พ.ต.อ.กฤษฎาพร ปานโปร่ง ผกก.3 บก.รฟ. พ.ต.ต.สถาพร มุสิกพงศ์ สว.ส.รฟ.ทุ่งสง กก.3 บก.รฟ.นำชุดจับกุมหมายจับค้างเก่าของตำรวจรถไฟทุ่งสง เข้าจับกุมตัวนางเพ็ญศรี อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตรัง ที่ จ.781/2550 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 คดีอาญา สภ.สิเกา ที่ 161/2550 โดยกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป” เข้าสกัดจับกุมได้ที่สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง ต.ปากแพรก อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ คดีเกิดขึ้นเมื่อปี 2550 ผู้ต้องหารายนี้ได้ทำงานก่อสร้างมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อำเภอสิเกา แล้วได้ลักลอบนำเอาเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างของนายจ้างออกไปขาย เพื่อมาใช้จ่ายส่วนตัว ทางผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี จนพนักงานสอบสวนได้ขอออกหมายจับ หลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้กระทำการหลบหนีกลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านทางภาคอีสานจนใกล้จะขาดอายุความ กระทั่งผู้ต้องหารายนี้เดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่อำเภอทุ่งสง จึงถูกตำรวจรถไฟเข้าจับกุมดังกล่าว และนำส่ง พงส.สภ.สิเกา จ.ตรัง ดำเนินคดีต่อไป

ภูเก็ต ยกการ์ดสูง เพิ่มมาตรการเข้มข้นทั้งเข้า-ออก

รายงานข่าวแจ้งว่า สาระสำคัญมาตรการ คัดกรองคนเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามคำสั่งที่ 3860 / 2564
บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15-31 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง มีดังนี้

1. ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุมสูงสุด 24 จังหวัด รวม 34 จังหวัด ต้องถือปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส ถ้าเป็น AZ ต้องได้รับมาแล้ว 14 วัน หรือถ้าหายป่วยจาก covid ต้องไม่เกิน 90 วัน
1.2 ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อ covid19 ด้วยวิธีอันเป็นเท็จหรือ rt-pcr ไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการตรวจ
1.3 ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นหมอชนะและยินยอมให้แชร์โลเคชั่นตลอดเวลาที่อยู่ในภูเก็ต
หมายเหตุสำหรับจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มข้น 10 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และพื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น 24 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี สระบุรี ชัยนาท นครนายก นครสวรรค์ อ่างทอง อุทัยธานี ปราจีนบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา ตาก นครศรีธรรมราช กระบี่ ระนอง)

ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆนอกเหนือจากข้อ 1 ต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีน covid ครบ dose หรือ AZ 1 เข็ม 14 วันหรือได้รับการตรวจหาเชื้อ covid19 ด้วยวิธี rt pcr หรือ Antigen testไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการตรวจ