แอมเวย์ ผนึก Kerry Express เสริมแผน Digital Ecosystem

แอมเวย์ ประเทศไทย จับมือพาร์ทเนอร์ Kerry Express ส่งเสริมแผน Amway Digital Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบตั้งแต่สั่งซื้อสินค้าจนจัดส่งถึงมือลูกค้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยแอมเวย์เป็นแบรนด์จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปแบบขายตรงด้วยแพลตฟอร์ม Social Commerce ของตนเอง ที่ใช้ดิจิทัลเข้ามาส่งเสริมทุกขั้นตอนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบครบวงจรเป็นเจ้าแรก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ การขยายพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ล่าสุด จับมือกับ Kerry Express ช่วยเสริมในเรื่อง Last Mile Delivery บริการจัดส่งและรับสินค้า เพื่อให้ทุกการซื้อขายสะดวก รวดเร็ว และมั่นใจได้ ตอบรับยุทธศาสตร์ความสำเร็จ 70 ปี แอมเวย์โลก (A70) พร้อมพาธุรกิจสู่โลกอนาคต

นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในสองปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายสินค้าออนไลน์ในเมืองไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ยอดการส่งสินค้าและความต้องการในการใช้บริการขนส่งพุ่งสูงขึ้น หลายแบรนด์ต้องเริ่มมีการปรับตัว โดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงสรรหาพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อจัดส่งสินค้าได้รวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งแอมเวย์ก็เป็นหนึ่งแบรนด์ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีมาส่งเสริมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นทางคือการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ไปจนถึงปลายทางคือการรับสินค้า รวมถึงจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความโดดเด่นด้านการขนส่งอย่าง Kerry Express เพื่อให้ทุกสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเชื่อถือได้

การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นจะช่วยให้ลูกค้าของแอมเวย์สามารถเลือกจุดรับสินค้าได้ที่ Kerry Express กว่า 1,800 สาขา ทั่วประเทศ รวมถึงรับบริการหลังการขายที่ง่ายกว่าเดิม ด้วยการส่งซ่อมหรือคืนสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และนำสินค้าไปส่งที่ร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อปเช่นกัน

นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแอมเวย์ เราได้มีการปรึกษาพูดคุยเพื่อให้การบริการของเราตรงกับความต้องการของนักธุรกิจแอมเวย์และลูกค้า จุดเด่นของเคอรี่ ไม่ได้มีเพียงแค่การขนส่ง แต่ในเรื่องของการบริการลูกค้า เราให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเราเชื่อว่าการบริการจัดส่งพัสดุที่ดีไม่ได้หมายถึงการให้บริการที่ดีในสถานการณ์ปกติ แต่หมายถึงการบริการที่ดีในวันที่เกิดปัญหาเช่นกัน ซึ่งการบริหารจัดการของเราเตรียมพร้อมเสมอแม้ในช่วงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และด้วยกระบวนการและฟีเจอร์ต่างๆ ที่เรามี รวมถึงบริการพิเศษที่ร่วมกับแอมเวย์ จะช่วยให้การบริการรับส่งสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดย Kerry Express มีกระบวนการและฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับแอมเวย์ ดังนี้

Next Day Delivery เป็นบริการที่เป็นหัวใจหลักของ Kerry Express
บริการระบบ EDI (Electronic Data Interchange) เพิ่มความสะดวกในการตรวจสอบพัสดุแบบเรียลไทม์ ทั้งทางฝั่งแอมเวย์และลูกค้าบริการรับสินค้าด้วยตนเอง ลูกค้าสามารถมารับพัสดุได้ตามวันและเวลาที่ลูกค้าสะดวก ณ ร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อป กว่า 1,800 แห่งทั่วประเทศ บริการจุดส่งซ่อมและคืนสินค้า ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในแบบ Omnichannel ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อผลิตภัณฑ์แอมเวย์จากช่องทางออฟไลน์หรือออนไลน์ แอมเวย์มีการรับประกันความพอใจ หากลูกค้าประสงค์จะส่งซ่อมหรือคืนสินค้า ก็สามารถนำสินค้ามาคืนที่ร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อปได้เช่นกัน

“ผมเชื่อมั่นว่า การร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การรับส่งสินค้าระหว่างผู้บริโภคกับนักธุรกิจแอมเวย์ให้เป็นไปอย่างน่าประทับใจมากกว่าที่เคย” นายอเล็กซ์ กล่าว

นอกจากเรื่องระบบการขนส่งจนถึงมือผู้รับได้อย่างสะดวกและมั่นใจแล้ว แอมเวย์ยังมีการวางโครงสร้างระบบ Ecosystem ที่สมบูรณ์ครบวงจร โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงานในทุกขั้นตอน ดังนี้

การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ด้วยการพัฒนาเว็บไซต์ของแอมเวย์ แอปพลิเคชั่น Amway Click รวมถึงอัพเกรดเพิ่มฟังชั่นและฟีเจอร์ต่างๆ บนแพลตฟอร์ม LINE ให้ผู้บริโภคเข้าถึงการซื้อสินค้าได้ง่าย หรือนักธุรกิจแอมเวย์ก็สามารถทำธุรกิจได้ไม่มีสะดุดการขยายพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่ มีการปรับใช้เทคโนโลยีไฮบริดในการควบคุมความเย็น และเพิ่มพื้นที่ให้สามารถจัดเก็บสินค้าได้มากขึ้นอีกเกือบเท่าตัว เพื่อรองรับการเติบโตของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ ที่มีความต้องการสูงมากขึ้น
การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย โดยเน้นให้ผู้ใช้สินค้าสามารถติดต่อสอบถามหรือเข้าถึงการบริการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

ทั้งหมดนี้ แอมเวย์เชื่อว่าจะเป็นเส้นทางความสำเร็จสู่อนาคต ตามกลยุทธ์ความสำเร็จ 70 ปี แอมเวย์โลก (A70) เปลี่ยนธุรกิจแอมเวย์เป็น Amway Digital Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ และทำให้ผู้ที่สนใจหาอาชีพเสริมหรือต้องการทำเป็นอาชีพหลักมีความเชื่อมั่นในธุรกิจแอมเวย์มากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตอกย้ำแนวคิด Amway, Helping People Live Better Healthier Lives.

แนะทางออกสำหรับรับมือกับอาการผิวเครียด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึงต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) ส่งผลให้มีระยะเวลาในการทำงานยาวนานขึ้นกว่าปกติ จนทำให้ไม่สามารถแยกแยะสถานที่ทำงานออกจากบ้านได้ ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของอาการ “ผิวเครียด” แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ‘ธัญ’ (THANN) คำนึงถึงความกังวลดังกล่าวจึงได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แพทย์หญิงอวิกา รงค์ทอง มา ‘แนะนำ “ความเครียด” ภัยเงียบใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพผิว พร้อมแนะแนวทางรับมือกับอาการผิวเครียด’ กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ชิโซะ คอลเลกชั่น’ (Shiso Collection) อาทิ ‘แอสตริเจนต์ โทนเนอร์’ (Astrigent Toner), ‘เฟเชียล เซรั่ม’ (Facial Serum), ไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น )Hydrating Emulsion) และ ‘รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก’ (Revitalising Face Mask) ร่วมกับเซเลบริตี้สาวสวย มาเผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพผิวตามแบบฉบับตนเอง อาทิ พัณณิตา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา,     ชวมณฑ์ ปวโรดม และ กนกรส กิตติขจร

แพทย์หญิงอวิกา รงค์ทอง  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้กล่าวถึงผลกระทบของความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อผิว รวมถึงวิธีการรับมือกับอาการผิวเครียดว่า “อาการ ‘ผิวเครียด’ เป็นโรคทางจิตวิทยาผิวหนัง (Psychodermatology) เกิดจากสภาวะของจิตใจหรือความเครียดที่ส่งผลโดยตรงต่อสภาพของผิวพรรณ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการหนึ่งของโรค “ภูมิแพ้” ซึ่งรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะต้นตอของอาการนั้นมาจาก “ความเครียด” โดยสามารถอธิบายได้อย่างง่ายๆ คือ ความเครียดไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” ออกมามากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล ส่งผลเสียต่อกระบวนการทำงานของร่างกายและผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นผื่น ระคายเคือง เป็นสิว ติดเชื้อได้ง่าย

นอกจากนี้ฮอร์โมนความเครียดยังไปกระตุ้นการหลั่ง ‘เมลาโนไซด์ สติมูเลติง ฮอร์โมน’ (Melanicyte Stimulating Hormone หรือ MSH) ซึ่งส่งผลต่อการสร้างเม็ดสี (Melanin) ทำให้หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ เข้มขึ้นได้ ดังคำโบราณบอกว่าหน้าดำคร่ำเครียด อีกทั้งยังส่งผลยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนแห่งความหนุ่มสาวหรือ ‘โกรทฮอร์โมน’ (Growth Hormone) ทำให้ผิวเกิดความแห้งกร้าน สิว ริ้วรอยก่อนวัยและความหย่อนคล้อยได้ อาการ “ผิวเครียด” หากยิ่งสะสมเป็นเวลานานมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมามากขึ้นเท่านั้น หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี

แนวทางสำหรับรับมือกับอาการผิวเครียด เริ่มจากการดูแลตัวเองจากภายในนั่นคือ พยายามลดความเครียด หรือออกห่างจากสิ่งที่ทำให้เครียด หาวิธีการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เช่น การใช้กลิ่นหอมบำบัด ดนตรีบำบัด สวดมนต์นั่งสมาธิ ออกกำลังกายเบาๆ อย่างโยคะ พิลาทิส เต้นรำ หากิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ ดูแลอาหารการกิน เลือกอาหารที่มีประโยชน์เน้นกลุ่มโปรตีน และไขมันดี อย่างเช่น โอเมก้า 3, น้ำมันมะกอก, ไขมันจากถั่ว เพราะเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างฮอร์โมนต้านความเครียด รวมถึงอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่วนการดูแลตัวเองจากภายนอก ควรให้ความสำคัญการดูแลผิวเพิ่มเติมจากขั้นตอนปกติ เช่น การกระชับรูขุมขนและคืนความสมดุลของผิวด้วยแอสตริเจนต์ โทนเนอร์, การเติมเต็มความชุ่มชื้นสู่ผิวด้วยไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น, การปกป้องผิวจากริ้วรอยและความหย่อนคล้อยแห่งวัยด้วยเฟเชียล เซรั่ม และการคืนความกระจ่างใสสู่ผิวด้วย     รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลผิวให้มีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติได้

ธัญ’ (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณจากแหล่งธรรมชาติชั้นดีทั่วโลกและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ‘ธัญ’ (THANN) มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผสานเทคโนโลยีชั้นนำผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง Spincontrol  Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia อาทิ Dermatological test, Irritation test และ Efficacy test เพื่อยืนยันในคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม โดยปัจจุบันมีกว่า 90 สาขา รวมถึงสปาอีก 15 แห่งใน 3 ทวีป ได้แก่ เอเชีย อเมริกา และยุโรป ขอแนะนำกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อุดมด้วยคุณประโยชน์ของสารสกัดจาก “ชิโซะ” (Shiso) ที่มีจำหน่ายในร้านและเคาน์เตอร์ ‘ธัญ’ (THANN) กว่า 100 สาขาในทวีปเอเชีย อเมริกา และยุโรป

นับเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าพันปีที่นักพฤกษศาสตร์ชาวเอเชียได้ค้นพบต้น “ชิโซะ” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Perilla frutescens var. crispa) พืชตระกูลมิ้นท์มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออก พบได้มากในประเทศญี่ปุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางสภาพอากาศที่แห้งแล้ง อีกทั้งยังส่งผ่านความชุ่มชื้นและช่วยให้พืชที่อยู่ล้อมรอบเจริญเติบโตได้อีกด้วย ปัจจุบันชิโซะนอกจากจะกลายเป็นอัญมณีสำหรับวงการศิลปะการทำอาหารของชาวญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นส่วนผสมสำคัญในอาหารแมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) หรืออาหารคุณภาพเพื่อการดำรงชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีสุขภาพ

‘ธัญ’ (THANN) ใช้เวลานับพันชั่วโมงในการไขความลับอันน่าอัศจรรย์ของ “ชิโซะ” พืชอัศจรรย์ที่อุดมด้วยสารสำคัญอันมีประโยชน์ อาทิ เช่น โรสแมรินิค แอซิด (Rosemarinic Acid), แอล-เพอริลลาดีไฮด์ (L-Perilladehyde) และฟีนอล คอมพาวด์  (Phenol Compound) โดดเด่นในการให้ความชุ่มชื้น ปกป้องและฟื้นฟูเซลล์ผิวจากความแห้งกร้านและการเสื่อมสภาพ อีกทั้งยังเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ทรงประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ด้วยสัดส่วนของวิตามิน A (มากกว่าผลกีวีถึง 300 เท่า), วิตามิน C (มากกว่าผลเลมอนถึง 160 เท่า) และวิตามิน E สูง พร้อม วิตามิน B1, B2, B6, K, แร่ธาตุและโปรตีนหลากชนิด นอกจากนี้ในสารสกัดจากชิโซะยังมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase Inhibitor) ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) และด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของสารสกัดจากชิโซะนำมาผ่านกระบวนการสกัดด้วย “นาโนเทคโนโลยี” ปราศจากการใช้สารเคมีจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้อนุภาคขนาดนาโนเมตร (10-9) ทำให้ได้อนุภาคขนาดเล็กสามารถซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ (Dermis) เกิดประสิทธิภาพการบำรุงอย่างล้ำลึก โดยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับฟื้นฟูสภาพผิวให้สวยสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ ได้แก่ ‘แอสตริเจนต์ โทนเนอร์’ (Astrigent Toner) ขนาด 135 มล. ราคา 900 บาท โทนเนอร์ช่วยกระชับรูขุมขน และคืนความสมดุลของผิวหลังล้างหน้า มีส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติ อาทิ สารสกัดจากใบชิโซะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว และต่อต้านสารอนุมูลอิสระ, โปรตีนและแร่ธาตุสำคัญในสารสกัดจากสาหร่ายช่วยคืนความยืดหยุ่นแก่ผิว, สารสกัดจากชาเชียวช่วยปลอบประโลมผิวให้มีสุขภาพดี และสารสกัดจากยีสต์ ช่วยรักษาสมดุลการทำงานของต่อมไขมันในผิว

‘รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก’ (Revitalising Face Mask) ราคา 1,090 บาท มาส์กหน้าสูตรเข้มข้นที่รวมคุณค่าจากสารสกัดธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้สว่างใสอย่างไร้ที่ติ มอบความเปล่งประกาย (Luminosity) สู่ผิวถึง 43%* ด้วยส่วนผสมทรงประสิทธิภาพจากธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดจากผลองุ่น (Grape fruit extract) ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ, สารสกัดจากรากหม่อน (Mulberry Root extract) ลดเลือนจุดด่างดำและความหมองคล้ำของผิว, สารสกัดจากอูกอน (Ougon extract)และ สารสกัดจากทรีฮาโลส (Trehalose extract) ปกป้องและรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว สารสกัดอนุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract) ลดการอักเสบและอาการระคายเคือง พร้อมคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์

* ทดสอบด้วยวิธี Sensory Evaluation (C.L.B.T) โดย Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France) กับผู้หญิงเอเชีย จำนวน 22 คน โดยใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์

เฟเชียล เซรั่ม (Facial Serum) ขนาด 30 มล. ราคา 2,500 บาท เซรั่มเพื่อการฟื้นฟูสภาพผิว พัฒนามาเพื่อรับมือกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัยโดยเฉพาะ สามารถลดเลือนริ้วรอยได้ 25.5%* และความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น 13.4%* ภายใน 28 วัน อุดมด้วยส่วนผสมทรงประสิทธิภาพจากสารสกัดจากใบบัวบก (Centella extract) เสริมประสิทธิภาพในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน และโครงข่ายผิว สารสกัดจากปลีกล้วย (Banana flower extract) กระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน และคืนความยืดหยุ่นสู่ผิว สารสกัดอนุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract) เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และอาการระคายเคืองต่างๆ รวมถึงทำหน้าที่เป็นสาร Anti-oxidant ทรงประสิทธิภาพ (*ทดสอบด้วยวิธี Skin Replica และ Cutometry measurement กับผู้หญิงเอเชีย 17 คน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องวันละ 2 ครั้ง (เช้า และก่อนนอน) ทำการทดสอบโดย Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France)

‘ไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น’ )Hydrating Emulsion) ขนาด 100 มล. ขนาด 1,200 บาท ผลิตภัณฑ์เติมเต็มความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้าสูตรที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาผิวขาดน้ำโดยเฉพาะซึมซาบเข้าบำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวไม่ทิ้งความมันส่วนเกิน และไม่อุดตันรูขุมขน อุดมด้วยสารสกัดธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดจากใบชิโซะ (Nano Shiso Extract) เพิ่มความชุ่มชื้นลดการอักเสบและอาการระคายเคืองต่างๆพร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะสารสกัดจากต้นไมโรทัมนัส (Myrothamnus Extract) พืชทะเลทรายจากทวีปแอฟริกาใต้ที่ได้รับฉายาต้นไม้คืนชีพเพียงโดนน้ำแค่หยดเดียวก็สามารถฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง อุดมด้วยสารอาร์บูติน (Arbutin) และโพลีฟีนอล (Polyphenol) เสริมความแข็งแรงให้ผิวเพิ่มความชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 48 ชั่วโมง พร้อมคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิเด้นท์, น้ำมันเมล็ดชาออแกนิค (Organic Camellia Seed Oil) อุดมด้วยวิตามิน A, B, D, E, กรดโอเลอิก, โอเมก้า 3,6,9 และโพลีฟีนอล )Polyphenol) ทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิเด้นท์, น้ำมันสกัดจากถั่วอินคาออแกนิค (OrganicInca Inchi Seed Oil) อุดมด้วยโอเมก้า 3,6,9 ปกป้อง และลดการระคายเคืองของผิวจากแสงแดด, เชีย บัตเตอร์ (Shea butter), โจโจ้บา ออยล์ (Jojoba oil), น้ำมันมะกอก (Olive oil), สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Algin Extract) และ ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ฟื้นฟูและปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน บำรุงผิวที่อ่อนล้าได้อย่างอ่อนโยน

ด้าน เซเลบริตี้ต่างร่วมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมเผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพผิวตามแบบฉบับตนเองเริ่มที่ พัณณิตา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เล่าว่า “การที่ต้องเวิร์คฟอร์มโฮมเป็นอะไรที่เราต้องปรับตัวเยอะพอสมควร ทำให้เราต้องมาจัดมุมสำหรับนั่งทำงานใหม่ภายในบ้าน เพื่อให้เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน งานจะได้ออกมาดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยอมรับเลยว่าหลายครั้งก็ต้องพบเจอปัญหาหรืออุปสรรค์ในการทำงานที่ทำให้เราเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่านอนไม่พอ ตื่นเช้ามาส่องกระจกพบว่าผิวเริ่มหมองคล้ำ ดูไม่สดใส ดังนั้นเราจึงจัดการตัวเองใหม่ด้วยการหาวิธีผ่อนคลายความเครียดด้วยการออกกำลังกาย แบ่งเวลาพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น รวมถึงเน้นความสำคัญเรื่องการดูแลผิวพรรณให้กลับมาสดใสมีชีวิตชีวา ซึ่งขั้นตอนการดูแลนั้นก็ไม่ยุ่งยาก โดยเราจะเช็ดทำความสะอาดผิวหลังการล้างหน้าด้วยแอสตริเจนต์ โทนเนอร์ เพื่อกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงจากนั้นก็จะฟื้นฟูสภาพผิวด้วยเฟเชียล เซรั่ม เพื่อป้องกันการเกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยก่อนวัย และเราก็จะมาส์กหน้าด้วย ไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก สัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ”

ถัดมาที่ ชวมณฑ์ ปวโรดม เผยว่า ช่วงนี้เราต้องเวิร์คฟอร์มโฮมทำให้การจัดสรรเวลาไม่ค่อยลงตัวนัก เพราะเราอดไม่ได้ที่จะเก็บเอาเรื่องงานมาคิดในช่วงเวลาที่เราต้องพักผ่อน ร่างกายจึงเกิดความเหนื่อยล้า และรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะกระทบต่อจิตใจอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อผิวพรรณอย่างเห็นได้ชัด เช่น ผิวหมองคล้ำและแห้งอีกด้วย เมื่อมานั่งวิเคราะห์ดูถึงสาเหตุจึงรู้ว่าเราจำเป็นต้องหมั่นสังเกตสภาวะร่างกายและจิตใจของเราทุกวันว่าเป็นอย่างไร หากเริ่มอ่อนล้า หรือเครียด เราก็จะเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการหากิจกรรมที่ชื่นชอบอย่างงานศิลปะทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด ควบคู่กับการดูแลสุขภาพผิว โดยเราจะให้ความสำคัญกับขั้นตอนการทำความสะอาดและปรับสภาพผิวหน้าหลังการล้างด้วยการใช้แอสตริเจนต์ โทนเนอร์ เพื่อขจัดการกับสิ่งสกปรกตกค้างและกระชับรูขุมขน ซึ่งเราก็มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแช่โทนเนอร์ในตู้เย็น เมื่อเวลานำออกมาใช้ก็จะรู้สึกว่าผิวเย็นสดชื่นได้ทันที รวมถึงการบำรุงผิวด้วยเฟเชียล เซรั่ม เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก่อนวัย

ปิดท้ายที่ กนกรส กิตติขจร เล่าว่า ปกติแล้วเราเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบออกไปพบปะผู้คน ชอบที่จะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านตลอดเวลา แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตมาอยู่ภายในบ้าน งดกิจกรรมนอกบ้าน ทำให้ต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ หลายครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่าย ขาดแรงบันดาลใจ และเกิดความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกับสุขภาพผิวทำให้เกิดผิวหมองคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณใต้ดวงตาคล้ำ รวมถึงการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วงนี้เราจึงต้องดูแลเรื่องอารมณ์มากเป็นพิเศษ พยายามที่จะไม่เครียดและหากิจกรรมเพื่อสร้างความผ่อนคลายด้วยการเล่นกับสัตว์เลี้ยง ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ดูแลเรื่องระบบขับถ่าย รวมถึงการดูแลสุขภาพผิวหลังการล้างหน้าด้วยแอสตริเจนต์ โทนเนอร์ และเพิ่มความชุ่มชื้นสู่ผิวด้วย ไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น โดยก่อนนอนเราจะมาส์กหน้าด้วย ไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก เพื่อคืนความกระจ่างใสให้กับผิว เวลาที่ตื่นมาผิวจะได้อิ่มน้ำดูสดใส

ดูแลสภาวะจิตใจให้ห่างไกลความเครียดด้วยการหากิจกรรมที่เสริมสร้างความผ่อนคลาย และฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมามีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มชิโซะ (Shiso) อาทิ  ‘แอสตริเจนต์ โทนเนอร์’ (Astrigent Toner),รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก’ (Revitalising Face Mask),  ‘เฟเชียล เซรั่ม’ (Facial Serum), ไฮเดรติ้ง อิมัลชั่น (Hydrating Emulsion) ได้แล้ววันนี้ที่ออนไลน์สโตร์  www.thann.co.th (ส่งฟรีทั่วประเทศ) และร้าน ‘ธัญ’ (THANN) ทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ อาทิ สาขาสุขุมวิท 47, ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษร, ชั้น 5 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ชั้น 1 และชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ชั้น 4 ไอคอน สยาม, ร้านวูว์ ถนนเจริญราษฎร์ และสาขาถนนพระปกเกล้า (ตรงข้ามวัดเจดีย์หลวง) จังหวัดเชียงใหม่, สาขาป่าตอง (หน้าโรงแรม La Flora ป่าตอง) จังหวัดภูเก็ต และ ธัญ เวลเนส เดสทิเนชั่น จ.พระนครศรีอยุธยา

มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง เปิดกรุคอลเลกชั่นเครื่องประดับชั้นสูง

เครื่องประดับอันสวยงามนอกจากจะให้คุณค่าทางใจแก่ผู้ที่ได้สวมใส่แล้ว ในทางกลับกันยังแสดงถึงความมั่งคั่งส่วนบุคคลของเจ้าของ เพราะไม่ใช่แค่เพียงความสวยงามที่ได้เห็น เครื่องประดับยังบ่งบอกถึงความสามารถในการลงทุนในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกได้อีกด้วย ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็เติบโตทุกปี ซึ่งนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ เจ้าของซาลอนสุดหรู Maison Mark Thawin Hair & Elite Lifestyle นั้นก็เป็นนักสะสมคนหนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง ที่ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีมากกว่าความสวยงาม

‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) ว่า “ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนกับเครื่องประดับชั้นสูงนั้น เราก็เคยลงทุนและสะสมเพชรมาก่อน ได้ศึกษารายละเอียดของเพชรมาเป็นอย่างดี ทั้งการดูความบริสุทธิ์ของเพชร ระดับความแข็ง น้ำหนักของเพชร ใบรับรองต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าใครจะเอาเพชรมาหลอกเราไม่ได้เลย แต่จุดที่ทำให้หันมาลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูงนั้น มาจากประสบการณ์ที่ได้ไปตลาดประมูลที่ต่างประเทศ ทำให้เราได้เห็นมุมมองของนักลงทุนอื่นๆ ว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ได้สนใจลงทุนในเพชรกันมากนัก เพราะเพชรสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ราคาขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก (Rapaport) และยังผันผวนตามค่าเงินดอลล่าร์ แต่ในทางกลับกันเครื่องประดับอย่างไฮจิวเวลรี่กลับมีสตอรี่ที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องราวความเป็นมาอย่างยาวนานของแบรนด์ แหล่งที่มา ชื่อเสียงของดีไซน์เนอร์ ความประณีตในการผลิต ที่มีจำนวนชิ้นน้อยหรือมีชิ้นเดียว ทำให้ราคาไม่ได้ผันผวนตามตลาด และให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้หากเรารู้จักเลือกและถือครอง ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว”

เครื่องประดับสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ไฟน์จิวเวลรี่ (Fine Jewelry) คือ เครื่องประดับที่ตัวเรือนทำจากโลหะมีค่า หรือฝังด้วยเพชรพลอยมีค่า จะเป็นแค่องค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เช่น ทองคำแท้ ทองขาว เพชร เพชรสี พลอยเนื้ออ่อน ทับทิม มุกแท้ ซึ่งจะมีแบรนด์หรือไม่มีแบรนด์ก็ได้ คุณภาพดี มีราคาแพง เป็นที่รู้จักของตลาด รวมถึงการออกแบบตัวเรือนเน้นความเป็นศิลปะ สวยงาม หรูหรา ที่สำคัญสามารถใส่ในชีวิตประจำวัน  และประเภทไฮจิวเวลรี่ (High Jewelry) คือ เครื่องประดับชั้นสูงที่เน้นความเอ็กซ์คลูซีฟ ต้องสั่งซื้อเป็นพิเศษ มีการนำสินค้าเดินทางไปจัดแสดงตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก มีประวัติความเป็นมาของแบรนด์อย่างยาวนาน มีแหล่งที่มา มีเรื่องราวแรงบันดาลใจในการออกแบบ พร้อมเทคนิคและนวัตกรรมในการผลิต

สำหรับผู้ที่สนใจในเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่ แนะนำให้ศึกษารายละเอียดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนการลงทุน นอกจากจะพิจารณาเรื่องราคาแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มา สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องประดับ และความหายากในท้องตลาด รวมถึงต้องศึกษาข้อมูลแหล่งซื้อขาย อย่างเช่น สถาบันประมูล ‘คริสตี้ส์’ (Christie’s) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประมูลของโลก ทั้งงานศิลปะ เครื่องประดับ นาฬิกา ไวน์ชั้นยอด เครื่องดนตรี เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงพรม หรือสถาบันประมูล ‘ซัทเทบีส์’ (Sotheby’s) บริษัทจัดการประมูลที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ศูนย์ในการประมูลของสะสมราคาแพง อาทิ เครื่องเพชร นาฬิกา งานศิลปะ และรถยนต์

และสำหรับเครื่องประดับชั้นสูง 6 ชิ้นเด่นจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง บูลการี’ (Bvlgari) และ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) ที่มาร์ค ธาวินได้สะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ประกอบไปด้วยกำไลและสร้อยจากแบรนด์ บูลการี’ (Bvlgari) จิลเวลรี่ชั้นสูงแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยเครื่องประดับรูปงู สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ สติปัญญา และพลังอำนาจ ซึ่งถ้าใครเห็นก็จะทราบได้ทันทีว่านี่คือเครื่องประดับจากบูลการี โดยจะมีไอเทมชิ้นเด่นอย่าง กำไล ‘บูลการี เซอร์เพนติ ไดมอนด์ เบรซเลท’ (Bvlgari Serpenti Diamond Bracelet) กำไลรูปงูที่ใช้เทคนิคการผลิตด้วยฝีมือโบราณ ‘Tubogas’  ในยุคศตวรรษที่ 18 มาแต่งแต้มในงานจิวเวลรี่ มีการนำทองหรือเหล็กมาตัดและขึ้นรูปให้คล้ายกับสปริง เพื่อใช้พันข้อมือหรือลำคอเข้ากับทรวดทรงของผู้สวมใส่ ราคา 13 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี เซอเพนติ ไดมอนด์ เนคเลส’ (Bvlgari Serpenti Diamond Necklace) สร้อยคองูสุดโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ตัวเรือนผลิตจากทองขาว (White Gold) โดยความพิเศษของเครื่องประดับชิ้นนี้อยู่ที่เป็นการสั่งทำไซส์ขนาดพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วสร้อยคอชิ้นนี้จะผลิตไซส์สำหรับผู้หญิง หากต้องการขยายไซส์เพิ่มจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อมาในราคา 13 ล้านบาท แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 16 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี โมเนเต้ เพนแด้นท์ วอช’ (Bvlgari Monete Pendant Watch) สร้อยคอที่สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องประดับ และเครื่องบอกเวลา สร้อยชิ้นนี้ผู้ที่จะได้ครอบครองต้องเป็นลูกค้าวีไอพีของแบรนด์ถึงจะได้สิทธิ์ในการซื้อ มีความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิยง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่า ‘เตตราดราคม’ (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great ซึ่งสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เมื่อสี่ปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 16 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันราคายังประเมินไม่ได้

สร้อย ‘บูลการี ลอง ไดมอนด์ เซอเพนติ สเนค เนคเลส (Bvlgari Long Diamond Serpenti Snake Necklace) สร้อยคอทองขาว (White Gold) 18K ที่มีดีไซน์บ่งบอกถึงความหรูหรา สร้อยงูตัวยาวดึงดูดทุกสายตาเมื่อหยิบมาสวมใส่ รวมถึงเครื่องประดับชิ้นเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง ‘สร้อยแบบสั่งทำพิเศษ’ (Bvlgari Special Order) ที่ผู้สวมใส่สามารถเลือกพลอยประดับได้เอง ตามความพึงพอใจ ในตัวเรือนอันงดงามของแบรนด์ ซึ่งการสั่งทำสร้อยแบบพิเศษนี้จะต้องเป็นลูกค้าวีวีไอพี (VVIP) ของแบรนด์เท่านั้นถึงจะสามารถสั่งทำได้ ซึ่งสร้อยเส้นนี้สนนราคาที่ 18.5 ล้านบาท

สุดท้ายที่แบรนด์ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) แบรนด์จิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1858 ที่ใจกลางกรุงปารีส กับสร้อยข้อมือ ‘บูเชอรง ไพธ่อน เบรซเลท’ (Boucheron Python Bracelet) ผลิตจากทองขาว (White Gold) ถือเป็นสร้อยข้อมือชิ้นเด่นของแบรนด์ที่หายาก เพราะทำออกมาน้อยชิ้น และสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นที่ฮือฮามากในวงการฮอลลีวูดตั้งแต่ปี 2014 โดยมีกลไกที่สามารถดึงลิ้นงูออกมาแล้วจะเจอลูกแอปเปิ้ลอยู่ในปากของงู ซึ่งเป็นดีเทลสุดพิเศษที่ทำให้สร้อยเส้นนี้ดูโดดเด่นจากเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ราคาแรกซื้ออยู่ที่ 13 ล้านบาท และในปัจจุบันราคาก็ขยับสูงขึ้นไปหลายเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ หลายคนอาจมีความสงสัยว่าสร้อยของบูลการีและบูเชอรงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งที่ดีไซน์ต่างก็เป็นรูปงูเช่นเดียวกัน ซึ่งหากได้ศึกษาแล้วจะพบว่าแต่ละแบรนด์จะมีเรื่องราวแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน อย่างแบรนด์บูลการีนั้นได้แรงบันดาลใจจากงูในตำนานเทพนิยายกรีกโบราณ ส่วนแบรนด์บูเชอรงนั้นมาจากตำนานงูในสวนอีเดน (Eden) เรื่องราวความเป็นมาอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเครื่องประดับชั้นสูงนี้ช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วเครื่องประดับแต่ละชิ้นยังสามารถดัดแปลงการใช้งานได้หลายอย่าง เช่น ถอดชิ้นส่วนมาใส่เป็นแหวน กำไล เข็มกลัด ทำให้เกิดฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

Mido เปิดวาร์ป Ocean Star Decompression Timer 1961 รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น

หากพูดถึงแบรนด์นาฬิกาที่เหล่านักสะสมต้องมีเก็บไว้ในครอบครอง จะต้องมีชื่อของแบรนด์ มิโด (Mido) อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะนาฬิกาดำน้ำ โอเชียน สตาร์ สกิน ไดเวอร์ (Ocean Star Skin Diver) ที่มีต้นกำเนิดในปี 1961 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในรุ่น โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961 (Ocean Star Decompression Timer 1961) ซึ่งหลังจากที่ทางแบรนด์ได้นำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2020 ก็ได้การตอบรับจากเหล่านักสะสมนาฬิกาอย่างท่วมท้น ล่าสุด มิโด (Mido) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ได้ประกาศการกลับมาของเรือนเวลาย้อนยุคสุดหายากอีกครั้ง ซึ่งถูกผลิตออกมาเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นเพียง 1,961 เรือนเท่านั้น

มิโด (Mido) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท Mido G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน

สำหรับ โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961 (Ocean Star Decompression Timer 1961) เป็นนาฬิกาดำน้ำที่ทางแบรนด์ได้นำเอาเอกลักษณ์แห่งสีสันอันสดใสของหน้าปัดรุ่นเดิม มาสร้างสรรค์ใหม่ลงบนหน้าปัดสีขาวเงิน และมีกรอบหน้าปัดเป็นสีเขียวเทอร์ควอยซ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงชิ้นงานสไตล์วินเทจ บนตัวเรือนสเตนเลสขัดเงาขนาด 40.5 มิลลิเมตร ด้วยกระจกแซฟไฟร์ คริสตัล (Sapphire Crystal) และตัวกรอบแบบหมุนได้ อีกทั้งยังใช้โลโก้แบรนด์ในดีไซน์ดั้งเดิมที่มีปรากฏอยู่บริเวณหน้าปัดของนาฬิกา ตัวล็อคเม็ดมะยม สายรัด และยังสลักไว้ที่บริเวณด้านหลังของตัวเรือนควบคู่กับลวดลายปลาดาว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านการทำนาฬิกากันน้ำของช่างชาวสวิสอีกด้วย

โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในความหลากหลายเรือนเวลารุ่นนี้ยังถูกดีไซน์มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่สามารถเปลี่ยนสายได้ถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สายถักสเตนเลสสตีล สายหนังเคลือบในโทนสีน้ำตาลสุดสีคลาสสิก และสายผ้าสีเขียวเทอร์ควอยซ์สไตล์สปอร์ตที่เย็บจากด้ายเฉดสีเดียวกันกับกรอบหน้าปัด ซึ่งมาพร้อมกับระบบเดือยที่ทำให้สามารถเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว

ด้านฟังก์ชั่นการใช้งานแน่นอนว่า มิโด (Mido) ยังคงประสิทธิภาพสูงพิเศษด้านความแม่นยำ และเที่ยงตรง ด้วยกลไก Calibre 80 อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานยาวนานกว่า 80 ชั่วโมง และเพื่อความสะดวกในการคำนวณระยะเวลาขณะดำน้ำ เรือนเวลานี้ยังสามารถระบุเวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ (Decompression) ได้ลึกถึง 6 เมตร อีกทั้งยังมีเครื่องหมายเวลาหลากหลายสีสันเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวก และง่ายต่อการอ่านค่า โดยสีเหลืองใช้สำหรับดำน้ำที่ความลึกระหว่าง 25-29 เมตร สีเขียวใช้สำหรับความลึกที่ 30-34 เมตร สีชมพูใช้สำหรับความลึก 35-39 และสีน้ำเงินใช้สำหรับความลึก 40-44 เมตร เพียงแค่หมุนเข็มนาทีไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาก่อนดำน้ำ ก็สามารถอ่านข้อมูลได้ในขณะที่อยู่ใต้น้ำ และยังมีกรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เพื่อช่วยคำนวณเวลาขณะดำน้ำ หรือเวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ ส่วนการแสดงความลึกของรุ่นนี้จะอยู่บนเลขที่ 12 ของนาฬิกาในหน่วยเมตร และฟุต อีกทั้งยังเคลือบด้วยสารเรืองแสงแบบซูเปอร์ ลูมิโนวา (Super-LumiNova) บริเวณตัวเลข เข็มชั่วโมง และเข็มนาที ซึ่งช่วยในการมองเห็นใต้น้ำที่มืดสนิทได้ยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์ที่มีความวินเทจ และฟังก์ชั่นที่เที่ยงตรง แม่นยำ โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961 (Ocean Star Decompression Timer 1961) จึงเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อเหล่านักสะสม

และนอกจากนี้ มิโด (Mido) ยังได้แนะนำเคล็บลับการดูแลเก็บรักษาเรือนเวลาหรูสำหรับนักสะสมให้ดูใหม่อยู่เสมอ โดยเริ่มจากการดูแลรักษาสายนาฬิกา หากเป็นสายหนังก็ไม่ควรโดนน้ำเป็นอันขาด เว้นแต่จะถูกเคลือบมาเป็นอย่างดี เพราะอาจทำให้ขึ้นรา และชำรุดได้ง่าย แต่หากเป็นสายโลหะควรนำมาเช็ดอย่างสม่ำเสมอ และใช้แปรงขนนุ่มปัดฝุ่นตามซอกของนาฬิกา ส่วนสายผ้าสามารถซักมือเได้ แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ซักที่เป็นสูตรอ่อนโยนเท่านั้น และที่สำคัญคือควรเก็บนาฬิกาทุกเรือนไว้ในกล่องที่ใส่เฉพาะ เพื่อป้องกันการกระแทกและรอยขีดข่วน ห่างไกลจากแสงแดด ความร้อน และความชื้น เพราะหากไม่ดูแลถนอมไว้ให้ดีก็จะยิ่งดูเก่า และเสื่อมสภาพเร็วได้

สำหรับ โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961 (Ocean Star Decompression Timer 1961) นั้นถูกผลิตขึ้นมาเพียง 1,961 เรือน โดยสำหรับเหล่านักสะสมสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่ Mido Official Store ใน Shopee ทาง https://shopee.co.th/midoofficialstore ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ และจะวางจำหน่ายหน้าร้านอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (Mido) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ทิปโก้ ตอบโจทย์สายเฮลท์ตี้อิ่มบุญช่วงกินเจ

บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ภายใต้แบรนด์ “ทิปโก้” แบรนด์น้ำผักผลไม้ 100% ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุด ตอบโจทย์สายสุขภาพในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 6 ต.ค.-14 ต.ค. นี้ด้วยแนวคิด #กินเจให้โลกจำ กับน้ำผักและผลไม้จากทิปโก้ที่จะมาสร้างประสบการณ์ใหม่ในการกินเจตลอด 9 วันไม่น่าเบื่อและเป็นที่น่าจดจำไปอีกนาน

“ทิปโก้” จัดเต็มไฟเบอร์ให้ทุกมื้ออาหารกับน้ำผักผลไม้จากทิปโก้ที่ชูจุดเด่น วิตามิน และไฟเบอร์สูง โดยใน 1 แก้วมีไฟเบอร์สูงถึง 5,000 มิลลิกรัม จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย มีให้เลือกอร่อย 2 สูตรรวม 6 รสชาติ นำโดย ทิปโก้เวจจี้ 100% (Tipco Veggie 100%) อุดมด้วยวิตามิน มีไฟเบอร์ 5,000 มิลลิกรัม/แก้ว มีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ ทิปโก้เวจจี้ น้ำว่านหางจระเข้ 100%มาพร้อมเนื้ออโลเวร่าแท้ๆ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น อุดมด้วยวิตามินเอ ซี อี บี1 พร้อม แคลเซียม ไฟเบอร์ 5,000 มิลลิกรัม/แก้ว ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทิปโก้เวจจี้ น้ำแครอทผสมน้ำผลไม้รวม 100% วิตามินซีและเอสูง ช่วยในการมองเห็น มีไฟเบอร์ 5,000 มิลลิกรัม/แก้ว ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทิปโก้เวจจี้ น้ำมะเขือเทศ 100% มีไลโคปีน วิตามินเอ และ ซี สูง ช่วยบำรุงผิวพรรณ และ ทิปโก้ โปรไฟเบอร์ (Tipco Profiber) น้ำผักผสมน้ำผลไม้และใยอาหารรวม 100% ใยอาหารสูงกว่า 5 เท่า ช่วยลำเลียงกากอาหารที่ตกค้างในล้ำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายออกมาได้ง่าย มีวิตามิน เอ ซี อี บี 1 และ บี 2 ไม่เจือสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่เติมน้ำตาล และไม่ใช้วัตถุกันเสีย มีให้เลือกอร่อยกับ 3 สูตร ได้แก่ สูตรเชอร์รี่เบอร์รี่, สูตรแอปเปิ้ลเขียว และ สูตรทับทิม 

โปรโมชั่นพิเศษ ต้อนรับช่วงเทศกาลกินเจ 2 กล่องเพียง 99 บาท (จากราคาปกติ กล่องละ 69 บาท) ตั้งแต่ 23 ก.ย.-13 ต.ค. 64 ที่โลตัสทุกสาขา.. หาซื้อ “ทิปโก้เวจจี้” และ “ทิปโก้โปรไฟเบอร์” ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ โลตัส, ท็อปส์, บิ๊กซี, ลาซาด้า, ช้อปปี้ ติดตามข่าวสารได้ที่ FB: Tipco.HealthSociety

ชวนคนไทยร่วมลุ้นงานประกาศรางวัล Museum Thailand Awards 2021

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยามชวนคนไทยร่วมลุ้นงานประกาศผลรางวัลยิ่งใหญ่แห่งปี Museum Thailand Awards 2021 ภายใต้ แนวคิด Reimage Relearn Reinvent : เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนรู้ เปลี่ยนชีวิต ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมเชิญชวนให้ร่วมโหวตพิพิธภัณฑ์ที่ชื่นชอบกับรางวัล Museum Thailand Popular Vote 2021 พิพิธภัณฑ์ขวัญใจมหาชน ทางเว็บไซต์ www.museumthailand.com โดยการประกาศผลมอบรางวัลมิวเซียมไทยแลนด์อวอร์ดในปีนี้จะมีความพิเศษกว่าทุกปีคือ การจัดงานในรูปแบบ Facebook (LIVE) ผ่านเพจ Museum Thailand ในวันที่ 19 กันยายนนี้ซึ่งตรงกับวันพิพิธภัณฑ์ไทยด้วย

ทั้งนี้ งานประกาศผลรางวัล Museum Thailand Awards ปีนี้ ทางสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้วงการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ของประเทศไทยเกิดการพัฒนาและยกระดับคุณภาพจากจุดเล็กๆ ขยายไปสู่มุมมองที่ใหญ่ขึ้น เชื่อมโยงงานพิพิธภัณฑ์ทั้งจากท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์ระดับเมืองให้โดดเด่นสามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการเรียนรู้และท่องเที่ยว รวมถึงรางวัลนี้เสมือนเป็นสิ่งตอบแทนให้กับพิพิธภัณฑ์ที่มีผลงานดีเยี่ยม ได้มีกำลังใจในการต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้และการบริหารจัดการจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน สู่ระดับจังหวัด และประเทศ และที่สำคัญสำหรับปีนี้ คือ แนวทางการปรับตัวของพิพิธภัณฑ์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังประสบภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 นี้อีกด้วย

โดยการพิจารณารางวัลฯ ในปีนี้ เน้นให้ความสำคัญ ในความดีเด่น 5 ด้าน ได้แก่  1.ด้านกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้  2.ด้านการสื่อความหมายและสร้างประสบการณ์  3.ด้านสัมพันธ์กับชุมชน  4.ด้านการอนุรักษ์และสืบสาน  5.ด้านการดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัย  ซึ่งรางวัลในปีนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. รางวัล Museum Thailand Awards 2.รางวัล Museum Thailand Popular Vote 2021 3. รางวัลบุคคลต้นแบบหรือรางวัล Muse Idol Awards 2021 ด้านการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ชุมชนและวัฒนธรรม  และได้เพิ่มรางวัลพิเศษ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ในปีนี้ คือ รางวัลพิพิธภัณฑ์เพื่อชุมชนและสังคม หรือ The Best Museum for Community Award เพื่อมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือชุมชนและสังคม ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19

ด้าน คุณราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) กล่าวว่า ” หวังว่าการคัดเลือกและมอบรางวัล Museum Thailand Awards จะเป็น “สัญลักษณ์” และรางวัลให้กับพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ที่ได้พัฒนาตัวเองจนได้รับคัดเลือกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ดีเด่นประจำปี และเป็นการส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ของประเทศไทยเกิดการพัฒนาตัวเองทั้งในเชิงวิสัยทัศน์และกระบวนการปฏิบัติงาน ส่งต่อองค์ความรู้สู่ประชาชน สังคม ต่อไปในอนาคต เกิดความร่วมมือในการพัฒนาวงการพิพิธภัณฑ์ไทยต่อไป  ในนามของมิวเซียมสยาม ผมขอขอบคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่ช่วยกันเฟ้นหาพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้อย่างเข้มข้น และ ขอแสดงความยินดีกับพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลครับ” คุณราเมศ กล่าว

นอกจากนี้ ในงานประกาศผลรางวัล มิวเซียมไทยแลนด์อวอร์ด ครั้งนี้ ได้มีการเชิญวิทยากร ในสายงานพิพิธภัณฑ์ ร่วมเสวนา ในหัวข้อ “ทำนายอนาคตพิพิธภัณฑ์ Predict the future of the Museum”  โดยมี คุณโตมร ศุขปรีชา , ผศ.ดร ปริยกร ปุสวิโร , คุณพัชรินทร์ กรูเนิร์ต และ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ชื่อดังอย่าง “บอล ยอด หนังพาไป” มาร่วมพูดคุยเพื่อร่วมแชร์วิสัยทัศน์ เพื่อการปรับตัว และพัฒนางานพิพิธภัณฑ์ให้เกิดความแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยผู้ที่สนใจสามารถ ร่วมลุ้นและติดตามการประกาศผลการคัดเลือกรางวัล Museum Thailand Awards 2021 รวมถึงผลโหวต สุดยอดพิพิธภัณฑ์ขวัญใจมหาชน ในวันที่ 19 กันยายน 2564  (วันพิพิธภัณฑ์ไทย) ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป  ผ่านเพจ Facebook Live  Museum Thailand

ครั้งแรกของโลก! สร้างประสบการณ์การดูนางงามแบบใหม่ด้วย NFT

Bitkub Group ร่วมสนับสนุนและเป็นพาร์ทเนอร์กับ เวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2021 ด้วยการนำโซลูชั่น NFT พร้อมสาระความรู้สินทรัพย์ดิจิทัล บล็อกเชนเทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่จากโลกดิจิทัลเข้าสู่เวทีการประกวดสาวงามเป็นครั้งแรกของโลก

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่ทำให้การดำเนินชีวิตและหลายอย่างต้องชะงัก จึงก้าวเข้าสู่ยุค New Normal ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป และเวทีการประกวด Miss Universe Thailand จึงมุ่งหวังที่จะช่วยกันส่งกำลังใจ ส่งเสียงให้ทุกคนมีความเชื่อมั่น สร้างพลังแห่งความมุ่งมั่น พลังแห่งความปรารถนาที่ต้องผ่านมันไปให้ได้ ตามคอนเซ็ปต์ Power of Passion! และคัดหาสาวงามเข้าร่วมประกวดนางงามจักวาล Miss Universe 2021 ที่เมือง Eilat ประเทศอิสราเอล เพื่อคว้ามงกุฏนางงามจักรวาลที่สามให้แก่ประเทศไทย

ในครั้งนี้ บริษัทในเครือบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้เข้าร่วมสนับสนุนทั้ง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ประกอบการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ดำเนินงาน Bitkub Academy ซึ่งจะเข้าร่วมให้ความรู้เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนแก่สาวงามผู้เข้าประกวด และที่สำคัญคือ NFT ซึ่งกำลังเป็นกระแสของโลกตอนนี้ ซึ่งทางบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ได้สนับสนุน NFT Solution การ์ดสะสมสำหรับแฟนนางงามตัวจริงที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่าแก่ผู้สะสม พร้อมกันนี้ยังเตรียมมอบรางวัลพิเศษให้แก่ผู้เข้าประกวดเป็นคริปโทเคอร์เรนซี่อีกด้วย

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจากบิทคับได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว ได้เผยว่า “จากคอนเซ็ปต์การประกวดของปีนี้ที่ว่า Power of Passion ทำให้ทางบิทคับสนใจเข้าร่วม เนื่องจากมีแนวคิดตรงกันว่า Passion มีพลังมหาศาลที่สามารถทำให้คุณเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ เหมือนที่กลุ่มบิทคับเชื่อว่าบล็อกเชนคือเทคโนโลยีที่มาเปลี่ยนโลก และวันนี้กับการร่วมมือกับ Miss Universe Thailand แพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเม้นท์ที่มีผู้ติดตามหลายสิบล้านคน และยังเป็นแพลตฟอร์ม อันทรงคุณค่าที่สนับสนุนความสามารถและบทบาทของสุภาพสตรี ให้มีเวทีได้ขับเคลื่อนและสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม เป็นทั้งกระบอกเสียงและเป็นทั้งการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น”

การร่วมมือกันครั้งนี้ บิทคับจะนำเรื่องราวของการเปลี่ยนโลกการลงทุนให้ทุกคนได้รู้จักผ่านแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Exchange เปลี่ยนโลกการเรียนรู้ในศาสตร์ใหม่ ผ่าน Bitkub Academy เพื่อให้ทุกคนได้ Skill Set ใหม่ สู่โอกาสแห่งอนาคตอันไร้ขีดจำกัด และที่สำคัญที่สุด ครั้งแรกของโลกกับการพลิกโฉมวงการ Entertainment กับ Miss Universe Thailand NFT การ์ดสะสมดิจิทัลที่มีมูลค่าสำหรับแฟนนางงามตัวจริง ซึ่งพัฒนาระบบโดย Bitkub Blockchain Technology ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียง ความรัก ความนิยม คุณค่า ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวที่ยาวนานของเวที Miss Universe Thailand สามารถทำให้มีมูลค่าและเก็บรักษาคุณค่าตลอดไปได้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน และการทำไอเทมพิเศษมงกุฎ Miss Universe Thailand ในเกม Morning Moon Village ที่ลงทุนโดยบิทคับ เวนเจอร์ส อีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ติดตามชมการประกวดสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ของทางบิทคับ ทั้ง Bitkub Online และ Bitkub NEXT ได้ผ่าน Line OA ของทางมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และสามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ Facebook fanpage http://www.facebook.com/missuniverse.in.th และทุกช่องทางของทาง Bitkub

บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมศึกษาแนวทางพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ-พลังงานทดแทน

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับนายชาลี โสภณพนิช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด (นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย) เพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีระบบโครงข่ายสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Smart Grid) ในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564

นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) เป็นนิคมร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งอยู่บริเวณ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 4,000 ไร่ เหมาะสมกับอุตสาหกรรมประเภทยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลจิสติคส์ อาหาร เวชภัณฑ์ อีคอมเมิร์ซ และดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินทางเข้าสู่เขตธุรกิจของกรุงเทพฯ (40 กม.) และศูนย์กลางการขนส่งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (20 กม.) ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศไทย สถานีแยกและบรรจุสินค้ากล่องลาดกระบัง (20 กม.) ท่าเรือคลองเตย (54 กม.) และท่าเรือแหลมฉบัง (85 กม.) ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว การเดินทางสู่นิคมสามารถทำได้โดยใช้สองเส้นทางหลัก คือ ถนนบางนา-ตราด ผ่านถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี และ มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ผ่านถนนหลวงเพ่ง ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเส้นทางหลักจากกรุงเทพฯ ไปสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องด้วยมีการขยายถนนเส้นดังกล่าวเป็น 4 ช่องและ 6 ช่องจราจร ปัจจุบัน ในนิคมมีผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ฮีโน่ มอเตอร์ส แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอ็นจีเค เซรามิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สายไฟฟ้าไทย-ยาซากิ จำกัด

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์  เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการทำบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นด้วยก๊าซธรรมชาติ รวมถึงพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนอื่น ๆ ตลอดจนการพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพของ บี.กริม เพาเวอร์ ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

“บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งให้บริการพลังงานที่มีคุณภาพและเสถียรภาพผ่านการซื้อขายในระบบ energy trading โดยขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าโดยตรง ไม่ผ่านระบบของการไฟฟ้า ซึ่งอาศัยโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่พัฒนาโดย บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ ได้นำร่องทดสอบระบบ trading ระหว่างอาคารต่างๆ ในเครือ บี.กริม และในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการศึกษานำร่องพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี กับสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงกำลังผลิตไฟฟ้าหลายรูปแบบ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งโซลาร์ลอยน้ำ โซลาร์รูฟท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) รวมถึง การอัพเกรดสายส่ง และระบบต่างๆ ให้ทันสมัย เป็นระบบอัจฉริยะเพื่อรองรับต่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี 5G โดยโครงการนำร่องจะทยอยดำเนินการเป็นระยะๆ

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่าง บี.กริม เพาเวอร์ และ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่ต้องการมุ่งขยายธุรกิจระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาค ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทมีการสร้างและควบคุมระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 9 แห่งทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ สู่การเป็น Smart City ในอนาคต

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 50 โครงการ และตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 เป็นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 โดยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท

นวัตกรรมสกินแคร์ทุเรียน “ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว” รายแรกและรายเดียวในไทย

สุดฮือฮา! เปิดตัวนวัตกรรมสกินแคร์ทุเรียน “ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว” รายแรก และรายเดียวในไทยที่ เดินหน้าโกอินเตอร์บุก “ทีมอลล์” เครืออาลีบาบา รุกหนักตลาดจีน พร้อมปูพรมทั่วอาเซียน

นายนพรุจ ธนภัทรชัยทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์สุรัตน์ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Durrianar By SQ (ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมสกินแคร์ทุเรียน “ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว” โดยนำ “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ไทย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทย มาศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้กับทุเรียน ซึ่งเป็น Local Fruit เพื่อสร้างเป็น International Product เพิ่มมูลค่าให้กับราชาแห่งผลไม้ของไทยให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

“ด้วยภูมิลำเนาของตน เป็นคนจังหวัดระยอง จึงเห็นโอกาสในการนำทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ชื่อดังของท้องถิ่นมาพัฒนาต่อยอด ทุเรียนเป็นผลไม้ขึ้นชื่อประจำจังหวัด ผมจึงเริ่มมองการต่อยอด ด้วยการศึกษาผลไม้ท้องถิ่นตัวนี้อย่างถ่องแท้ เพื่อนำประโยชน์ที่มากกว่าเพียงนำไปรับประทานเป็นผลไม้ อาหาร ขนม หรือผลไม้แปรรูป เท่านั้น” นายนพรุจ กล่าว

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเบื้องต้นได้ค้นพบประโยชน์ที่สำคัญจากทุเรียนว่า สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสำอางได้ เนื่องจากทุเรียนมีสารกลุ่ม Bioactives สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อมถอยที่เกิดจากวัย จึงนำมาสู่แนวคิดในการพัฒนาสารสกัดที่มีอยู่ในทุเรียนมาเป็นส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิว

“จุดเริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2561 ตนมีแนวคิดที่อยากได้สารสกัดจากทุเรียนเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสำอางประเภทสกินแคร์ จึงได้เชิญ ผศ.ดร.จิราภรณ์ ทองตัน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นที่ปรึกษาในการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดทุเรียนเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอจดสิทธิบัตร รวมถึงอยู่ระหว่างการขอทุนวิจัย เพื่อขยายผลการศึกษาเชิงลึกและควบคุมคุณภาพของสารสกัดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค” นายนพรุจ กล่าว

จากผลการศึกษาดังกล่าว บริษัทได้นำมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเปิดตัวแผ่นมาส์กบำรุงผิวหน้า ภายใต้แบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ออกสู่ตลาดเมื่อช่วงต้นปี 2562 จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัท ก่อนไปเปิดบูธแนะนำสินค้าที่ประเทศจีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวจีน จากนั้นจึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ออกมาเสริมทัพในเวลาต่อมา

สารสกัดจากทุเรียนของ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ใช้เทคโนโลยีและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางสกัดสารจาก King of Fruit เพื่อพัฒนาเป็น Queen of Beauty โดยสารสกัดจากยอดอ่อนของทุเรียนที่ผ่านกรรมวิธีสกัดเย็น เพื่อรักษาคุณสมบัติและประสิทธิภาพของสาร Bioactives อย่างสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นในเรื่องกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะไม่มีกลิ่นทุเรียนแต่เป็นกลิ่นของดอกทุเรียน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาต่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกจุดเด่นของแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว คือ ยอดอ่อนทุเรียนที่ใช้นำมาจากสวนที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นสวนเกษตรปลอดภัย โดยคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Smart Farmer ใช้เครื่องจักร และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน รวมถึงลดการใช้แรงงาน และสารเคมี ส่งผลให้ได้ต้นทุเรียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและปลอดภัย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการในผลิตสกินแคร์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว

นายนพรุจ กล่าวว่า ปัจจุบัน ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว มีสินค้า 7 รายการ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ Age Care Cream ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ หย่อนคล้อย ขาดความชุ่มชื้น Whitening Cream เพื่อผิวขาวกระจ่างใส แลดูเป็นธรรมชาติ ลดความหมองคล้ำ และ Anti acne ป้องกันการเกิดสิว รอยแดงหรือริ้วรอยที่เกิดจากสิว และยับยั้งการอักเสบของสิว โดยทั้ง 3 กลุ่ม เนื้อครีมผลิตเป็น “เจลลี่มาสก์” สูตรกลางคืน เพื่อเน้นความบางเบาของเนื้อครีมเมื่อใช้ในเวลากลางคืน สามารถทาผิวหน้าได้ทุกวันโดยไม่ต้องล้างออก

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยม คือ แผ่นมาส์กบำรุงผิวหน้า “โกลเด้น ดูเรียน เฟเชียล มาส์ก” และคลีนซิ่งเช็ดหน้า “เอ็กซ์ตร้า เจนเทิล เอชทูโอ คลีนซิ่ง” สูตรน้ำ สามารถเช็คทำความสะอาด 3 in 1 ทั้งตา ปาก และหน้าที่มีเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด ไม่มีแอลกอฮอล์ สามารถใช้ได้ในทุกสภาพผิว โดยหลังจากนี้บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสร้างความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง

“ผลิตภัณฑ์ที่ผมผลิตออกมา มองกลุ่มเป้าหมายระยะยาว คือ ทุกช่วงวัยสามารถใช้ได้ เริ่มจากวัยรุ่นที่มีปัญหาในเรื่องของสิว สิวอักเสบ Anti acne จะเป็นตัวช่วยได้ดี รวมถึง Whitening Cream ส่วนกลุ่มวัยตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ก็สามารถใช้ Age Care Cream ควบคู่กันไป มองว่าโอกาสการเติบโตในตลาดเครื่องสำอางกว้างมาก อีกทั้งมั่นใจว่า จากเรื่องราวซึ่งเป็นหัวใจหลักของ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว จะเป็นตัวชูโรงที่จะทำให้กลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีความสนใจและหันมารู้จักกับเครื่องสำอางจากทุเรียน ที่ผลิตโดยคนไทย รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่จัดจำหน่ายในต่างประเทศ” นายนพรุจ กล่าว

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายในไทย ปัจจุบันวางจำหน่ายผ่านช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังต่าง ๆ ได้แก่ ช้อปปี้ เจดีเซ็นทรัล และเตรียมวางจำหน่ายในลาซาด้าเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ยังวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัททางเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/DurrianarTH/ รวมถึงวางจำหน่ายในคิง เพาเวอร์ ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ

“ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว เริ่มต้นจากการเน้นบุกตลาดต่างประเทศ โดยวางขายในคิง เพาเวอร์ และเข้าไปเปิดบูธในจีน แต่ที่ผ่านมาเรามองเห็นศักยภาพในตลาดไทย โดยเฉพาะช่องทางอีคอมเมิรซ์ที่เติบโตอย่างมาก ในปีนี้เราจึงเริ่มวางขายสินค้าผ่านช้อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งจากนี้จะมีการปรับแพ็กเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยโดยเฉพาะอีกด้วย” นายนพรุจ กล่าว

สำหรับแผนการบุกตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทได้จดเทรดมาร์กทั้งในไทยและต่างประเทศมากกว่า 10 ประเทศ อาทิ จีน และประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาว เป็นต้น โดยมีการนำสินค้าเข้าไปบุกประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยผ่าน “ทีมอลล์” (www.tmall.com) เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของจีนที่อยู่ในเครืออาลีบาบา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการแนะนำแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว สู่ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสอีกมหาศาล โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่คนจีนชื่นชอบเป็นอย่างมาก

สำหรับแผนในสิ้นปีนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าไปบุกตลาดเวียดนามผ่านคู่ค้าในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนแผนในอนาคตตั้งเป้าขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยรูปแบบเดียวกันคือ การหาคู่ค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีความเข้าใจในสภาพตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ มากกว่า

“ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ส่วนใหญ่ชื่นชอบรับประทานทุเรียน เราจึงมองเห็นโอกาสในการนำสกินแคร์ทุเรียนเข้าไปรุกตลาดเหล่านี้ เพราะมีความคุ้นเคยกับทุเรียนอยู่แล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้เปิดรับผลิตภัณฑ์ได้ไม่ยาก โดยเป้าหมายของเราในอนาคตคือ ต้องการสร้างแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ก้าวสู่การเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล แบรนด์ สร้างชื่อให้กับประเทศไทยในวงกว้าง” นายนพรุจ กล่าวทิ้งท้าย

MARRIOTT BONVOY ON WHEELS เปิดบริการส่งถึงบ้านหรือซื้อกลับบ้าน

บริการใหม่ของการส่งอาหารหรือซื้ออาหารกลับบ้าน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสั่งอาหารจานอร่อยจากร้านอาหารของโรงแรมในเครือแมริออท สร้างสรรค์บรรยากาศการรับประทานอาหารในบ้านได้อย่างเยี่ยมยอด พร้อมหน้าครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน

แมริออท บอนวอย เชิญชวนชาวไทยเพลิดเพลินไปกับอาหารคุณภาพระดับร้านอาหาร ในบรรยากาศสบายๆที่บ้าน หรือที่ทำงาน ด้วยการเปิดบริการ “แมริออท บอนวอย ออน วีลส์” สำหรับซื้อกลับบ้านและส่งถึงบ้าน ภายใต้โครงการใหม่นี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้สอดรับช่วงเวลาของการทำงานอยู่บ้าน (WFH) เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสั่งอาหารจานโปรดจากหลากหลายร้านอาหารในโรงแรมและรีสอร์ทของแมริออททั่วประเทศ โดยสั่งอาหารตรงถึงบ้านหรือที่ทำงาน

ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมหลายร้านได้เข้าร่วมบริการนี้ ซึ่งทำให้บริการ Marriott Bonvoy on Wheels มีอาหารให้เลือกสรรหลากหลายเพื่อการบริการสั่งอาหารกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันออกแบบดั้งเดิมจากร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น หรืออินเดียของแมริออท หรืออาหารตะวันตกคลาสสิก เช่นพาสต้าหรือพิซซาอิตาเลียน เบอร์เกอร์อเมริกัน อาหารฝรั่งเศส และอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้คุณได้พบโลกของอาหารแสนอร่อยที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่อึดใจ

เพียงสั่งอาหารออนไลน์โดยตรงกับโรงแรม ผ่านไลน์ หรือใช้บริการส่งอาหารของแอพพลิเคชั่นส่งอาหาร ที่เป็นพัธมิตรกับเรา ทีมเชฟมากความสามารถของแมริออท จะปรุงอาหารสดใหม่ด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุด ซึ่งลูกค้าสามารถมารับที่โรงแรม หรือจัดส่งให้ถึงประตูบ้าน ง่ายๆ เพียงเท่านี้! ไม่ว่าจะเป็นโอกาสใด ลูกค้าสามารถสร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารในบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมหน้าครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกแมริออท บอนวอย สามารถรับคะแนนจากการสั่งอาหารกลับบ้าน หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครได้ฟรี

บริการ Marriott Bonvoy on Wheels ให้บริการแล้วที่กรุงเทพฯ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน พัทยา และภูเก็ต และจะมีอีกหลายแห่งตามมาในสัปดาห์ต่อไป