เสิร์ฟความอร่อย 16 แบรนด์ ผ่านแอปพลิเคชั่น1312 FOODHUNT DELIVERY

เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (CRG) ปรับโฉมใหม่ แอปพลิเคชั่น 1312 FOODHUNT DELIVERY พร้อมเสิร์ฟความอร่อยภายใต้แบรนด์ในเครือ 16 แบรนด์ เน้นการใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิมผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมครอบคลุมไปยังเวบไซต์ บริการโทรสั่งผ่านเบอร์ 1312 และแชทสั่งผ่าน LINE Official Account ภายใต้คอนเซปต์ “Something Special, Something More” เริ่มในเดือนกันยายนนี้ พร้อม 2 โปรโมชั่นพิเศษไม่เหมือนใคร ได้แก่

1. โปรโมชั่นส่งฟรี ในระยะทาง 10 กิโลเมตรแรก เมื่อสั่งอาหารขั้นต่ำ 200 บาทขึ้นไป และใส่โค้ดส่วนลดค่าส่ง “CRGFREE” ระยะเวลาตั้งแต่ 9 ก.ย. – 30 ก.ย. 2564

2. โปรโมชั่น Special for You สั่งเท่าเดิม เพิ่มให้ฟรี เมื่อสั่งเซตอาหารราคาปกติ แถมฟรีเมนูพิเศษที่ให้ลูกค้าเลือกรับได้ ระยะเวลาตั้งแต่ 1 ก.ย. – 31 ต.ค. 2564

ผู้สนใจสามารถสั่งเดลิเวอรี่ในโปรโมชั่นพิเศษจาก 1312 FOODHUNT DELIVERY ได้ 4 ช่องทางคือ

1. Application: https://bit.ly/3kKcfQS

2. Website: https://bit.ly/3kAXY92

3. โทรสั่งผ่านเบอร์ 1312

4. แชทผ่านไลน์ @1312food หรือคลิก: https://bit.ly/3zrdMkN

สำหรับ 1312 FOODHUNT DELIVERY แอปพลิเคชั่นสั่งเดลิเวอรี่ภายใต้เครือ CRG ได้มีการปรับรูปแบบใหม่ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมสิทธิ์พิเศษที่เหนือกว่าและไม่เหมือนใคร เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้นและเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด 19 ในขณะนี้ สำหรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีการปรับรูปแบบใหม่นั้น เน้นการใช้งานให้ง่ายขึ้น สะดวกรวดเร็ว และครอบคลุมไปถึงการใช้งานบนเวบไซต์ด้วย เพื่อมอบความรู้สึกพิเศษให้ลูกค้าคนสำคัญ ได้รับความอิ่มอร่อยภายใต้แบรนด์ในเครือ CRG ทั้ง 16 แบรนด์ ส่งตรงถึงมือ อีกทั้งยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ของแอปพลิเคชั่นและเวบไซต์ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ได้แก่

1. สามารถใส่โค้ดส่วนลดค่าจัดส่ง (โค้ดส่งฟรี)

2. สามารถสั่งอาหารผ่านบริการได้ทั้ง Delivery และ Takeaway (บริการสั่งกลับบ้านและรับเองที่สาขา)

3. สามารถสั่งออเดอร์เดลิเวอรี่ล่วงหน้า (ปัจจุบันทำได้ผ่านการโทร 1312 หรือแชทไลน์กับ Customer Service)

และกำลังเร่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าทุกท่าน พร้อมส่งต่อเมนูอร่อยจากทั้ง 16 แบรนด์ในเครือ CRG ได้แก่ Mister Donut, Auntie Anne’s, Pepper Lunch, Chabuton, Cold Stone Creamery, Thai Terrace, Yoshinoya, Ootoya, Tenya, Katsuya, Aroidee, Kowlune, Salad Factory, Brown Café, Arigato และ Somtamnua

ดีพร้อม หนุนเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรที่เหมาะสมผ่านรูปแบบ Online– Virtual Conference ในงานประกาศรางวัลการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Agro-Machinery DIProm 2021 – SAMAD 2021) เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้มีโอกาสรับทราบการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ภูมิปัญญา กระบวนการผลิตและเครื่องมือกลที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอุตสาหกรรม จาก 20 แบบอย่างการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

ในปีนี้ ทั้ง 20 แบบอย่างมีการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องจักรที่สามารถติดตั้งหรือประกอบเพิ่มเติมก้าวหน้าขึ้นมาก ส่งผลให้เครื่องจักรทำงานได้ดีขึ้น (Smart) ผ่านฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เช่น การวัด เก็บ/ส่งข้อมูล วิเคราะห์/เปรียบเทียบ สั่งควบคุมตัวแปรในการทำงาน อีกทั้ง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมให้คำปรึกษาโดยการวินิจฉัยสถานประกอบการของ OTOP/วิสาหกิจชุมชนก่อนการให้คำแนะนำเพื่อให้การพัฒนาปรับปรุงตรงตามความต้องการของผู้ใช้ การทดสอบตัวแปรสำหรับวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ในการผลิต ตลอดจนการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรและการใช้งาน ส่งเสริมให้วิสาหกิจเข้าใจและสนใจเกี่ยวกับการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของตนโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้คัดเลือกแบบอย่างการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และประกาศผลเพื่อมอบโล่เกียรติยศและเงินรางวัลจำนวน 5 รางวัล ประกอบด้วย

  1. รางวัลชนะเลิศ 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องเผาข้าวหลาม
  2. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับหนึ่ง 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องผสมและพาสเจอไรซ์น้ำมะนาว
  3. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องขอดเกล็ดปลาอัตโนมัติ
  4. รางวัล Knowledge Sharing จำนวน 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องอบฟักข้าว
  5. รางวัล Technical Challenge จำนวน 1 แบบอย่าง ได้แก่ ตู้อบไล่ความชื้นน้ำผึ้งอัจฉริยะ

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เครื่องอบลมร้อน แม่พิมพ์สบู่น้ำส้มควันไม้ การปรับปรุงโรงเรือนพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีความอัจฉริยะ เครื่องนวดผสมเนื้อปลา เครื่องอัดไส้อั่วไฟฟ้า เครื่องสลัดน้ำมัน เครื่องซีลสายพาน เครื่องแพ็คข้าวสุญญากาศ เครื่องกลั่น/สกัดสารสมุนไพร เครื่องบดปูนา เครื่องบดขิงผง เครื่องคั่วหอมกระเทียม และ Solar Dome ควบคุมด้วย IoT

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เกษตรอุตสาหกรรมถือเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพในการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์และสินค้าเกษตรทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อีกทั้งยังช่วยยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัย และทดแทนแรงงานภาคเกษตรที่ลดลงและเข้าสู่สังคมสูงอายุ

ตามที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดงานประกาศรางวัลการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ช่วยให้เห็นกรณีศึกษาในการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตรและเพิ่มรายได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับธุรกิจเกษตรชุมชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน โดยสามารถเรียนรู้กระบวนการและเทคนิคการพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนทราบว่ามีหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกันต่อไป นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปจะช่วยยกระดับรายได้ของธุรกิจเกษตรชุมชน ซึ่งหากสามารถดำเนินได้แพร่หลายทั่วถึงพื้นที่ต่าง ๆ จะเป็นเสมือนกลไกหลักด้านหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

PROEN แจ้งเกิดแล้ว “บอกต่อโควิด.com”

PROEN ประกาศความสำเร็จ โปรเจค PROEN håi เปิดให้บริการใช้งานคลาวด์ฟรี! แก่องค์กรโรงพยาบาล การแพทย์ สาธารณสุข กลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเหลือเรื่องโควิด 19 องค์กรการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และสตาร์ทอัพไทย ได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ พร้อมแจ้งเกิด “บอกต่อโควิด.com” พอทัลเว็บไซต์เพื่อสังคม ผลงานจาก Dev Community หวังเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคม ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด!

นายวิศรุต มนูญพล Vice President & Business Development บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN เปิดเผยว่า หลังจาก PROEN Corp เริ่มเปิดตัวโครงการ PROEN håi อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เพื่อให้ใช้งานคลาวด์ ฟรีแก่องค์กรโรงพยาบาล การแพทย์ สาธารณสุข กลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเหลือเรื่องโควิด 19 องค์กรการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และสตาร์ทอัพไทย ได้นำคลาวด์ไปพัฒนาและแก้ไขปัญหาการดำเนินงานต่างๆ ให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ล่าสุดกลุ่ม Dev Community ได้ติดต่อเข้ามา นำเสนอโปรเจค “บอกต่อโควิด.com” ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสิ่งดีๆ คืนสู่สังคมทันที

“บอกต่อโควิด.com” เป็นรายแรกที่เข้ามาใช้คลาวด์ฟรีผ่าน โปรเจค PROEN håi เป็นผลงานเพื่อสังคมจากกลุ่ม Dev Community ที่มีใจอาสามาร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด 19 (COVID-19) ให้อยู่บน Portal Website เว็บแรกในไทย PROEN Corp จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันโครงการให้บรรลุเป้าหมายและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ทุกคนจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง นักพัฒนาจากกลุ่ม Dev Community จึงเล็งเห็นความสำคัญในจุดนี้และได้ชักชวนเพื่อนๆ นักพัฒนาอย่าง DevThai Community, KubeOps Skills และ Content Creator มาร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มรูปแบบ Portal Website ให้เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด 19 ในทุกแง่มุม โดยมีทีมงาน Content Creator เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมดก่อนนำมาเผยแพร่ทุกครั้ง
นายนินท์ฐวัฒน์ มารุ่งเรือง Co-Founder of Dev Thai Community กล่าวว่า ได้มีการหารือกันในกลุ่ม Dev Thai Community ทาง club house ว่า ในฐานะที่เราเป็นนักพัฒนา จึงอยากใช้ความสามารถเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาเกี่ยวกับโควิค 19 และได้มีการติดต่อมาทาง นายสิริณัฎฐ์ ปภัสร์สิรินัที Co-Founder of KubeOps Skills ในการหาไอเดีย จนเกิดเป็นการหัวข้อ ป้องกัน, ตรวจ, ติด และเตียง ต่อยอดสู่การสร้างแพลตฟอร์มมารองรับข้อมูลเหล่านี้ให้อยู่ในที่เดียวกัน ทั้งยังต่อไปสู่ Social Media Platform อย่าง Facebook, Twitter และ Line เพื่อให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

TQR ลุยธุรกิจให้บริการเรียนรู้-อบรม ผ่านออนไลน์

บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) เดินหน้าลุยธุรกิจให้บริการ เรียนรู้-อบรม ในระบบออนไลน์ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้งานผ่านใบหน้า “Face Detection and Face Recognition” เพิ่มประสิทธิภาพการอบรม อีกทั้งช่วยลดต้นทุนธุรกิจ  ฟากซีอีโอ “ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์” ระบุเปิดให้บริการได้ภายใน ไตรมาส 3/64 คาดรับรู้รายได้ทันที เน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นบริษัทประกันภัย และหน่วยงานฝึกอบรมต่างๆ หวังสร้างรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนผลงานปี 64 เติบโตโดดเด่น

นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ TQR ผู้ให้บริการนายหน้าประกันภัยต่อ (Reinsurance Broker) แบบครบวงจร เปิดเผยถึงการจัดตั้งบริษัท อาร์สแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท คอร์สสแควร์ จำกัด  โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 55%  เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา และการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning Solutions) โดยมีการนำเทคโนโลยีที่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้งานหรือ Face Detection and Face Recognition มาใช้งาน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยในการตรวจสอบ และระบุตัวตนผู้เข้าอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการนำมาพัฒนาใหม่ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานของบริษัทฯ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการจดแจ้งลิขสิทธิ์เทคโนโลยีต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 3/2564

“ธุรกิจใหม่ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ โดยจะเป็นธุรกิจที่ให้บริการ และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาฯ สำหรับการอบรมผ่าน web application ที่จะทำให้การเข้ารับการอบรมสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มาก ขณะเดียวกัน ยังมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรม (Learner behavior) เข้ามาเสริมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรมให้มากยิ่งขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีที่นำมาใช้มีความซับซ้อน ดังนั้น ผู้ที่จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญเท่านั้น”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQR กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายลูกค้ากลุ่มแรก จะเป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยและหน่วยงานฝึกอบรมต่างๆ ที่ให้บริการจัดการอบรม ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าได้แสดงความสนใจแล้ว โดยคาดว่า จะมีจำนวนผู้เข้ามาใช้งานในเทคโนโลยีใหม่ ไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ดังนั้น จึงน่าจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัทฯ และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ซึ่งมั่นใจว่า ธุรกิจใหม่ จะช่วยสนับสนุน ทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาฯ ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ประกอบกับองค์กร หน่วยงานต่างๆ รวมถึงผู้บริโภค มีการปรับตัวในการใช้ระบบออนไลน์ในการทำงานมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของอาชีพตัวแทน/ นายหน้าประกันภัยในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยประมาณ 500,000 คน โดยการได้รับใบอนุญาตนั้น ต้องได้รับการอบรมและการสอบใบอนุญาต รวมถึงการอบรมเพื่อต่อใบอนุญาตจากสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย หรือบริษัทประกันภัยอีกด้วย

“เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจใหม่ จึงได้นำเทคโนโลยี Face Detection and Face Recognition เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และในอนาคต คาดว่า จะพิจารณาขยายการให้บริการไปสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่มีความต้องการจัดการอบรมและการเรียนการสอน เช่น การอบรมการทำใบขับขี่ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย และการพัฒนาบุคลากรในองค์กรต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเชื่อมั่นว่า การลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันผลงานให้เติบโตอย่างมั่นคง”

SIMAT ได้ 2 แรงหนุน “ฮินซิซึ-โปรเจค USO” ดันปี 64 ทุบสถิติใหม่

SIMAT โชว์สเต็ปเทพ ไตรมาส 2/64 กำไรสุทธิ 32.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,210% YoY และ 88% QoQ ขณะที่ครึ่งแรกของปีนี้ แตะ 49.2 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปีของปี 63 ที่ทำไว้ 40.78 ล้านบาท ฟาก CIO “ธีรวุฒิ กานต์นิภากุล” มั่นใจโค้งหลังแรงได้อีก จากยอดขายสินค้าลาเบลและซิลค์สกรีน ของ “ฮินซิซึ” (บริษัทย่อย) เพิ่มขึ้น และการเปิดฉากรับรู้รายได้ก้อนโตจากงานให้บริการและซ่อมบำรุงโปรเจคเน็ตห่างไกล หนุนผลงานปี 64 ออลไทม์ไฮ ตามนัด!

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SIMAT เปิดเผยว่า  ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 32.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,210% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 2.46 ล้านบาท และมีรายได้รวม 249.7 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจลาเบลและซิลค์สกรีนแฝงควบคุมในเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์โทรคมนาคม ที่ผลิตภายใต้ บริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (HST) บริษัทย่อยของ SIMAT ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 70% มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มแบรนด์สินค้าจากเกาหลี รวมทั้งการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 49.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 30.22 ล้านบาท และสูงกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 40.78 ล้านบาท

ภาพรวมของผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกปีนี้ SIMAT ทำผลงานได้ดี แม้การระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย แต่จะเห็นได้ว่า มีความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้สำนักงาน และสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นมาก ทั้งในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นฐานลูกค้าหลักของฮินซิซึ ทำให้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังได้ประโยชน์จากการทำสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ทำให้กลุ่มลูกค้าส่งคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มจากเดิมที่สั่งสินค้าจากคู่แข่งในประเทศจีน

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน SIMAT กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้  ธุรกิจลาเบลและซิลค์สกรีนแฝงควบคุมในเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์โทรคมนาคม ที่ผลิตภายใต้ ฮินซิซึ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากลูกค้าเดิม และบริษัทฯ เตรียมขยายเข้าไปยังฐานลูกใหม่เพิ่ม ส่วนธุรกิจวิศวกรรม  IT ยังคงเดินหน้าหางานใหม่เข้ามาต่อเนื่อง และปีนี้เป็นปีแรกที่ บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Universal Service Obligation (USO) ในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการบริการจัดการและบำรุงรักษาในระยะเวลาต่อเนื่อง 5 ปี โดยมีมูลค่าสัญญารวม 5 ปี กว่า 1,213 ล้านบาท

ในส่วนของธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภายใต้โครงการ SINET บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับบริษัท เอฟโอที เอ็มเอสโอ จำกัด (FOT) บริษัทในเครือเจริญเคเบิลทีวี เคเบิลทีวีอันดับ 1 ของประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ในโครงการ SINET ในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งมั่นใจว่า จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้ เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

“ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เรายังเดินหน้าในธุรกิจหลักๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมองหาโอกาสใหม่ๆ หา S curve ใหม่ๆ ในการเข้าไปลงทุน ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่ SIMAT มีโนว์ฮาว มีความชำนาญและมีประสบการณ์ และในปีหน้า วางแผนที่จะนำ HST เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ได้ในอนาคต” นายธีรวุฒิกล่าวในที่สุด

TPS ลุยคว้างานใหม่ ดัน Backlog จ่อทะลุ 600 ล้าน

บมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) คว้างานใหม่ติดตั้งระบบของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มูลค่า 44.50 ล้านบาท  หนุน Backlog จ่อทะลุ 600 ล้านบาท ฟากซีอีโอ “บุญสม กิจเกษตรสถาพร” ระบุแนวโน้มครึ่งปีหลังสดใสต่อเนื่อง ลุยเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐ และเอกชน  รวมทั้งรุกขยายไปยังธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ช่วยต่อยอดธุรกิจเดิมเพิ่มรายได้  มั่นใจผลักดันผลงานปีนี้โตเข้าเป้าที่ระดับ 20%

นายบุญสม กิจเกษตรสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือTPS ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับงานใหม่ ประเภทงานติดตั้งระบบ โครงการซื้ออุปกรณ์สำหรับโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องแม่ข่ายพร้อมระบบบริหารจัดการ ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มูลค่าโครงการ 44,500,765 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ยังไม่คลี่คลาย แต่บริษัทฯ ยังสามารถเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และการได้รับงานใหม่ในส่วนของภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งจะสามารถทำให้มี Backlog เพิ่มขึ้นมากกว่า 600 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้า Backlog ในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลงานปีนี้เติบโต 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPS กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ ทั้งงานของภาครัฐและเอกชน รวมทั้ง บริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ดำเนินธุรกิจติดตั้งสายสื่อสารโทรคมนาคมเสาไฟฟ้า ยังมีงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท พร้อมทั้งมีงานที่จะเข้าประมูลงานใหม่อีกหลายโครงการ และคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรุกขยายไปยังธุรกิจใหม่เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้อีกด้วย โดยที่ผ่านมาได้จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท เอ็กซ์-ซีเคียว จำกัด (X-Secure Co.,Ltd) เป็นบริษัทย่อย เรียบร้อยแล้ว โดยจะเปิดให้บริการด้านความปลอดภัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างครบวงจรหรือ Managed Security Service (MSS)

ทั้งนี้ จะให้คำปรึกษา และการออกระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์, จัดหาบริการศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามไซเบอร์ (CSOC: Cyber Security Operation Center & CSIRT : Cyber Security Incident Response Team) ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีชั้นนำที่ทันสมัย เช่น นวัตกรรม AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) และการเข้าไปจัดการแก้ไข ป้องกัน ภัยคุกคามไซเบอร์ อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตลอดจน พัฒนาบุคลากร (People) และการสร้างขบวนการทำงาน (Process) ของลูกค้าที่ใช้บริการให้เข้าใจ ตระหนักถึงและสามารถรับหรือเผชิญเหตุกับสถานการณ์ภัยเพื่อการบริหารระบบสารสนเทศให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามไซเบอร์อย่างยั่งยืน

TPCH เตรียม COD โครงการโรงไฟฟ้าขยะ “สยาม พาวเวอร์”

บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) ส่งสัญญาณครึ่งหลังปี 64 ผลงานโดดเด่น จากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้า 10 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 106.8 เมกะวัตต์ ฟาก”กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ประธานคณะกรรมการบริหาร ระบุเตรียม COD โครงการโรงไฟฟ้าขยะ”สยาม พาวเวอร์” ขนาด 9.5 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 4/64  ดันกำลังผลิตไฟฟ้ารวมปีนี้เพิ่มเป็น 116.3 เมกะวัตต์ เผยล่าสุด มีบริษัทย่อยสามารถผ่านคุณสมบัติและคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ รวม 10 แห่ง ขนาดกำลังการผลิต 38 เมกะวัตต์ รอลุ้นประกาศผล 23 ก.ย.นี้  มั่นใจหนุนการเติบโตก้าวกระโดด

นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 ว่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลครบ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG ,TPCH 5 , TPCH 1 และ TPCH 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 106.8 เมกะวัตต์ รวมทั้ง คาดว่าโรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) จะทำการ COD ได้ตามแผนที่วางไว้

“ในครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ จากโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 10 แห่ง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวลปัตตานี กรีน จำกัด (PTG) กำลังการผลิตไฟฟ้าเสนอขาย 21 เมกะวัตต์ ที่สามารถขายไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้น  รวมทั้งคาดว่าจะ COD โรงไฟฟ้าขยะสยาม พาวเวอร์ (SP) มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ ได้ภายในไตรมาส 4/2564 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมในสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 116.3 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 106.8 เมกะวัตต์ มั่นใจว่า จะช่วยสนับสนุนให้ผลงานปี 2564 เป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน” นางกนกทิพย์กล่าว

ด้าน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า แผนการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ เดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ล่าสุด บริษัทฯ ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคเพิ่มมาอีก 1 โครงการ คือ บริษัท ไบโอเอ็นเนอร์ยี่ สตูล จำกัด จังหวัดสตูล ขนาดกำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์  ประเภทเชื้อเพลิงชีวภาพ ภายหลังที่ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเรียบร้อยแล้ว จากเดิม 9 บริษัท รวมเป็น 10 บริษัท ทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ รวม 38 เมกะวัตต์ ซึ่งรอการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการในวันที่ 23 กันยายนนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2564 มูลค่าไม่เกิน 1,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 9 เดือน เพื่อใช้ชำระคืนตั๋วแลกเงินที่จะครบกำหนด ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ในการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท รวมถึง การขยายธุรกิจ ประกอบด้วย เตรียมพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 แห่ง  รวมทั้ง โรงไฟฟ้าชุมชนฯ

 “TPCH ยังคงเป้าหมายการมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ และโรงไฟฟ้าขยะ ภายในปี 2566 โดยเข้าไปศึกษา โครงการต่างๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาวและเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้อย่างยั่งยืน” นายเชิดศักดิ์กล่าวในที่สุด

อนึ่ง ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 832.41 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.85 ล้านบาท

ขณะที่งวดไตรมาส 2/2564  บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่  642.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมเท่ากับ 439.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 48.40 ล้านบาท

“ท็อปส์” เปิดตัวบริการใหม่ Personal Shopper

จากมาตรการล็อคดาวน์และขอความร่วมมือให้ประชาชน Work From Home เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ผู้บริโภคยุค New Normal แสวงหาบริการใหม่ๆ  ที่ยังคงสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการตามไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล พร้อมนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับบริการใหม่ล่าสุด  “Personal Shopper” ช้อปแบบเรียลไทม์ผ่านผู้ช่วยช้อปส่วนตัว ที่จะทำให้ทุกการช้อปปิ้งสะดวก ง่าย ได้ดั่งใจ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ต้องการซื้อสินค้าแต่ไม่อยากเดินทางออกจากบ้าน ในขณะที่ลูกค้ายังคงได้รับประสบการณ์ในการซื้อสินค้าเสมือนไปเดินเลือกช้อปด้วยตนเอง สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทุกแผนก ตั้งแต่อาหารสด อาหารพร้อมรับประทานไปจนถึงสินค้าอุปโภค-บริโภค   

ความพิเศษของบริการ “Personal Shopper” ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ทุกสาขา ได้จัดเตรียมทีมผู้ช่วยนักช้อปที่ผ่านการฝึกอบรบเป็นพิเศษ มีความรู้ในสินค้าและบริการ สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวสินค้าที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมดูแลลูกค้าแบบตัวต่อตัว (Personalized offer on demand) ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการช้อปปิ้งผ่านทีมผู้ช่วยนักช้อป “Personal Shopper” จะช่วยลูกค้าเลือกสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ครบตามที่ต้องการอย่างแน่นอน โดยลูกค้าที่สนใจสามารถเริ่มต้นใช้บริการ “Personal Shopper” ได้ง่าย ๆ เพียง 

  • เพิ่มเพื่อนในLINE ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาใกล้บ้าน (ตรวจสอบบัญชี LINE สาขาใกล้บ้าน คลิก https://bit.ly/3j8eDBo 
  • ทัก Chat หรือกด Call เพื่อเริ่มต้นช้อปปิ้ง จะมี Personal Shopper คอยบริการตัวต่อตัว ให้คุณช้อปแบบ Exclusive เลือกสินค้าได้ตรงใจเหมือนมาช้อปเองแบบง่ายๆ 
  • เลือกจัดส่งสินค้าถึงบ้าน ผ่านบริการ Home Delivery ส่งฟรีถึงบ้านในพื้นที่ที่ให้บริการ เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,500 บาทขึ้นไป  หรือเลือกรับสินค้าที่สาขาภายใน ชั่วโมงหลังยืนยันคำสั่งซื้อ ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม กับบริการรับชำระเงินแบบ contactless หลากหลายวิธี 
สามารถใช้บริการ Personal Shopper บริการช่วยช้อป ของคนชอบช้อป ได้แล้ววันนี้ที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต,  ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, ท็อปส์ เดลีเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ทุกสาขา ตั้งแต่เวลา 08.00 – 20.00 น. ของทุกวัน “Personal Shopper” จะเป็นอีกหนึ่งบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าทุกท่านช้อปอย่าง อุ่นใจ สะดวก ปลอดภัย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th , เฟซบุ๊ก TopsThailand, Central Food Hall หรือ แอปพลิเคชั่นไลน์ @TopsThailand 

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล โชว์สัดส่วนชำระค่าสินค้าแบบไม่ใช้เงินสดมีกว่า 60%

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ทในเครือเซ็นทรัล รีเทล เผยนักช้อปยุคโควิด-19 ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตวิถีใหม่ หลีกเลี่ยงการใช้เงินสด เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)  เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลยอดชำระค่าสินค้าแบบไม่ใช้เงินสดผ่าน e-Payment โตก้าวกระโดด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของยอดการชำระค่าสินค้า 

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า “จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่เรียกว่า Touchless Society คือ ไม่สัมผัสกับของใช้สาธารณะ สิ่งของต่าง ๆ ชำระค่าสินค้าแบบไร้การสัมผัส  ซึ่งพบว่า e-Payments ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดของผู้บริโภค จากข้อมูลธนาคารแห่งประไทยแม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้  e-Payment มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 สถิติเฉลี่ยแล้ว คนไทยใช้ e-Payment มากถึง 151 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2559 ทั้งนี้หนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นตัวเร่งมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการสัมผัส ลดการใช้เงินสด เปลี่ยนพฤติกรรมในการชำระค่าสินค้า    จนเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)

จากสถิติดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นและคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ของทั่วโลก จึงได้มีการเก็บข้อมูลการชำระค่าสินค้าผ่าน e-Payment ของลูกค้าท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด จนถึงปัจจุบันในปี 2564 เมื่อพิจารณาสัดส่วนการชำระค่าสินค้าพบว่า ลูกค้าเลือกชำระผ่าน e-Payment สูงถึง 60%  เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน e-Payment  50 %   จากสัดส่วนการชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้เงินสดที่เติบโตมากขึ้น ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบชำระเงินที่ใช้เงินสดเป็นหลักไปสู่การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้รับมากกว่าการใช้เงินสด เช่น การชำระผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin ที่มีส่วนลดพิเศษ,  รับ Cash Back เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตต่าง ๆ การสะสมคะแนน  รวมถึงการชำระด้วย e-Gift Card หรือโปรโมชั่นอื่น ๆ เฉพาะสมาชิกบัตรเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังพบสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได้แก่ ลูกค้าท็อปส์ที่ใช้ e-Payment มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ อายุ 45-54 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นลูกค้าหลักของการใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่แล้ว จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ e-Payment นั้นครอบคลุม   ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45-54 ปี ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสดมากขึ้น ปัจจุบัน “ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท” รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น QR Payment ผ่าน Mobile Banking และพร้อมเพย์, RFID Ship Card, e-Wallet ต่างๆ อาทิ Dolfin, Rabbit LINE Pay, Alipay, WeChat Pay รวมไปถึงการชำระเงินผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและมองหาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าถึงทุกการใช้จ่าย ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin ครบ 800 บาท รับคูปองส่วนลดทันที 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2564 หรือ สมาชิกเดอะวัน เพียงมียอดซื้อสินค้าครบ 800 – 1,499 บาทต่อใบเสร็จ และเลือกชำระผ่าน e-Payment รับคูปองส่วนลด 100 บาทสำหรับการซื้อสินค้าในครั้งถัดไป นอกจากนั้นระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (ContactlessPayment) จะเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”

นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์เทรนด์ในอนาคตของธุรกิจค้าปลีกหลังสถานการณ์ โควิด-19 ว่า “ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป Touchless Society จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ทั้งระบบ Online Business และ Financial Business โดยสัดส่วนของการใช้ e-Payment จะเพิ่มเป็นร้อยละ 80  แอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทแทน Credit card และ Physical card โดยผู้บริโภคเกือบทั้งหมดจะหันมาใช้ e-Wallet หรือ e-Payment แทน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเดิม  ใบเสร็จรับเงินจะถูกส่งให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการออกใบเสร็จฯ ที่เป็นกระดาษ รวมไปถึงคูปองส่วนลดต่างๆ และในอนาคต ลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ได้เอง แล้วจึงนำมารวมยอดชำระที่เคาน์เตอร์ ผ่านระบบ e-Payment ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อชำระเงินค่าสินค้า  ซึ่งท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและการบริการอยู่เสมอ ให้สามารถตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันรวมไปถึงอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดและรักษาไว้ซึ่งการเป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th ,เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือ แอปพลิเคชั่นไลน์ @TopsThailand

คอลเล็กชั่นพิเศษ Tops 25th Anniversary X Gongkan

ท็อปส์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ชวนลูกค้าทุกคนร่วมเดินทางไปยังโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งการช้อปปิ้ง ผ่านผลงานศิลปะที่มีลายเซ็นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหนุ่มป็อปอาร์ตชื่อดังของไทยที่โด่งดังไกลระดับโลก ก้อง-กันตภณ เมธีกุล หรือ “Gongkan” (ก้องกาน) กับโปรเจคสุดพิเศษ “Tops 25th Anniversary X Gongkan มาร่วมคอลาบอเรชั่น ออกแบบสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นฉลองครบรอบ 25 ปี ผ่านมุมมองประสบการณ์ช้อปปิ้งของศิลปินรุ่นใหม่ในคอนเซ็ปต์  “The Future of Shopping”  

ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ท็อปส์ร่วมเดินทางเคียงข้างนักช้อปทุกรุ่น ทุกวัย มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการให้ทันยุคสมัย ในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปี ท็อปส์อยากเชิญชวนลูกค้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวไปข้างหน้าสู่โลกอนาคตของการช้อปปิ้งที่ไม่เคยหยุดนิ่งผ่านมุมมองศิลปินหนุ่ม “ก้องกาน” ที่มาพร้อมผลงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Tops 25th Anniversary X Gongkan”  กับการออกแบบสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นซึ่งสะท้อนเรื่องราวการข้ามมิติหรือ Teleport เพื่อตอกย้ำว่า ท็อปส์ พร้อมแล้วในการก้าวไปสู่โลกอนาคตในฐานะผู้นำธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตของไทย      

สำหรับการออกแบบสินค้าลวดลายลิมิเต็ดอิดิชั่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Future of Shopping” เกิดจากการผสมผสานภาพจินตนาการของการช้อปปิ้งที่ท็อปส์ในอนาคตข้างหน้า  ซึ่งเต็มไปด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นรถเข็นหรือตะกร้าลอยได้ หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักช้อปที่ให้บริการอย่างอบอุ่นมีกลิ่นอายของคนคุ้นเคยที่รู้ใจนักช้อปไม่ต่างจากเพื่อนสนิท ทำให้การช้อปปิ้งมีสีสัน สนุกสนาน  เกิดเป็นความประทับใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดย “ก้องกาน” เลือกใช้ซิกเนเจอร์ดีไซน์ที่สร้างชื่อให้ตนเองอย่าง เทเลพอร์ต’ ผลงานการเล่นกับสเปซผ่านพื้นที่วงกลมสีดำ (Teleport Art) มาประยุกต์ออกแบบให้เหมาะกับผลงานคอลาบอเรชั่น “Tops 25th Anniversary X Gongkan” ให้เลือกช้อปและสะสมได้แก่  

  • Tops X Gongkan Gift Card บัตรของขวัญที่ใครได้รับก็แฮปปี้ เพราะช้อปเสร็จก็สามารถเก็บสะสมได้ มีให้เลือกถึง 10 ดีไซน์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ! รับฟรี Exclusive Bag มูลค่า 99 บาท เมื่อซื้อ Tops X Gongkan Gift Cardครบ ใบ และเติมเงินขั้นต่ำใบละ 500 บาท 
  • Tops X Gongkan Bag ถุงผ้าดีไซน์มินิมอล ผลิตจากผ้าฝ้าย 100% คุณภาพดี ทรงสวย บรรจุของได้เยอะ เป็นกระเป๋าช้อปปิ้งก็เหมาะ หรือจะใช้ในชีวิตประจำวันก็เก๋ มีให้เลือก ลวดลาย ราคาใบละ 169 บาท 
  • Tops X Gongkan Cooler Bag กระเป๋าเก็บความเย็น ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี ใบใหญ่ ใส่ของได้เยอะ ช่วยให้สินค้าคงความสด คุณภาพคุ้มค่าในราคาเบาๆ เพียงใบละ 249 บาท 

มาเทเลพอร์ตไปยังโลกอนาคตในแบบฉบับท็อปส์ และรีบเป็นเจ้าของคอลเล็กชั่น “Tops 25th  Anniversary X Gongkan” ได้แล้ววันนี้ที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ทุกสาขา และ www.tops.co.th รายละเอียดเพิ่มเติมที่เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือ แอปพลิเคชั่นไลน์ @TopsThailand